มีพระพุทธพจน์รับรองไว้อย่างชัดเจนว่า
“สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถา ภูตํ ปชานาติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
(สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว (สัมมาสมาธิ)
ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง (สัมมาทิฐิ) ดังนี้”
นั่นคือ เมื่อจิตของผู้ปฏิบัติได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างจริงจัง จากการปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนามา จนจิตของตนมีฐานที่ตั้งสติ (สติปัฏฐาน) อย่างมั่นคงหรือมีกรรมฐานแล้ว ย่อมต้องคอยประคองจิตของตนไม่ให้แส่ส่าย กวัดแกว่ง กลอกกลิ้ง ดิ้นรน ฯลฯ ออกไปหาอารมณ์อุปกิเลสทั้งหลาย ที่ทำให้จิตของตนเศร้าหมอง ยิ่งประคองจิตของตนได้มากเท่าไหร่ ยิ่งปล่อยวางอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น
ซึ่งอันนี้ต้องอาศัยความเพียรอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนาให้เกิดความชำนาญ เพื่อจะได้รู้เห็นตามความเป็นจริง (ปัญญา) เมื่อมีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว (สมาธิอบรมปัญญา) ก็อาศัยพลังปัญญาที่เกิดขึ้นจากการได้รู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น นำมาเพื่อปล่อยวางอารมณ์อุปกิเลสทั้งหลายออกไปจากจิตของตน (ปัญญาอบรมสมาธิ)
สรุป พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ล้วนทรงสอนเรื่องอธิจิต (อธิจิตฺเต) เพื่อชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย โดยการปฏิบัติธรรมสมาธิกรรมฐานภาวนา (อธิจิตตสิกขา) เพื่อให้จิตเกิดปัญญา หลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน ไม่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสเป็นแขกจร
สาธุ เจริญในธรรมทุกๆ ท่าน
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
การสร้างพระภายในให้เกิดขึ้น
ความสำคัญอยู่ที่ศีล หากศีลทรงตัว
คือ เพียรรักษาศีลจนกระทั่งศีล
รักษาจิตใจผู้นั้นไม่ให้กระทำผิดศีลอีก
เรียกว่าศีลเข้าถึงใจ เป็นสีลานุสสติ
เป็นอธิศีล หรือเป็นพระโสดาบันนั่นเอง
เป็นพระอริยะเบื้องต้น จิตเป็นพระ
เป็นแล้วไม่เสื่อมมั่นคงถาวร มีแต่
จะเจริญขึ้นตกต่ำไม่มี ก็เพราะความดีนั้น
ตั้งมั่นอยู่บนศีล ๕ ข้ออันบริสุทธิ์นั่นเอง
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
เวลา กิเลส มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ
รู้ทันมัน เดี๋ยวนี้ มันก็ดับไป
เดี๋ยวนี้แหละ ..ตัว "สติ" มันปกครองอยู่เสมอ
ถ้ามีสติ อยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุมมันล่ะ
ครั้นเกิดขึ้น รู้ทัน มันก็ดับ รู้ทัน ก็ดับ รู้ทัน ก็ดับ ..
คิดผิด ก็ดับ คิดถูก ก็ดับ พอใจ ไม่พอใจ ก็ดับลงทันที ที่ "ตัวสติ"..
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
#ท่านว่า_เหตุก็ของเก่านี้แหละ...!!
"..แต่ไม่รู้ว่าของเก่า ของเก่านี่แหละ
มันบัง"ของจริง"อยู่นี่ มันจึงไม่รู้ ถ้ารู้ว่าเป็นของเก่า มันก็ไม่ต้องไปคุย
มีแต่ของเก่าทั้งนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ก็ของเก่า เวลามาปฏิบัติภาวนา ก็พิจารณา
อันนี้แหละ
ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง ให้มันรู้แจ้งออกมาจากภายใน มันจึงไปนิพพานได้
นิพพานมันหมักอยู่ในของสกปรกนี่ มันจึงไม่เห็น
พลิกของสกปรกออกดู ให้เห็นแจ้ง.."
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 267 การถวายเป็นพุทธบูชาที่สูงสุด
........................
ในเช้าของวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึงเรื่อง “การมอบกายถวายชีวิต” ของผู้ที่ปรารถนาจะทำความดี หน่ะเจ้าคะ..
แท้ที่จริงแล้ว.. การที่เรามอบกายถวายชีวิต แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อเป็นการบูชา เป็นการน้อมปฏิบัติตาม เป็นการฝึกฝนจิตของตนนั้น..
... เราต้องประพฤติ ปฏิบัติแบบไหน หล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา ด้วยเจ้าค่ะ”
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอ๋ย.. การน้อมถวายเครื่องไหว้สักการะใดๆ ก็ไม่เท่ากับการน้อมถวายกาย จิต และใจของตน เป็นที่บูชาแห่งองค์พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเราได้น้อมกาย ถวายชีวิต ถวายดวงจิตของเรา ไว้ในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว.. เราจงตั้งใจรักษากายนี้ให้บริสุทธิ์ด้วย ศีล
เราสมาทานศีลระดับใดเอาไว้ เราก็จงรักษาศีลในระดับนั้นให้ดี
เพราะกายนี้.จะได้ในอยู่ในการบูชาธรรม บูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระยาธรรมเอ๋ย.. กายที่ได้ถวายเหล่านั้น จึงต้องรักษาศีลให้ดี.. ลูกเอ๋ย
จะได้ไม่เหมือน สักแต่ว่า พูดไป ..สักแต่ว่าทำไป.. โดยไม่เกิดประโยชน์อะไร!
การที่เราน้อมถวายกาย.. ก็แค่เอากายนี้ มาทำให้อยู่ในการบูชา บูชาด้วยศีล
กายนี้.. จะรักษาศีล ทำความดีตามคำสอนสั่งขององค์พระพุทธเจ้า
สิ่งใด.. ที่ผิดศีล ผิดธรรม ที่ทำไปแล้ว.. มันไม่ถูกไม่ต้อง ไม่ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราจะไม่เอากายนี้ไปทำ เพราะว่ากายนี้เราได้ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แล้ว
เราได้อยู่ในร่มบารมีของพระพุทธองค์ เราได้ถวายกายนี้ไปแล้ว - ไม่ใช่ของเรา !
เราจะเอาไปทำตามใจ กิเลสตัณหา นั้น.. มันไม่ได้แล้วเราจะเอาไปทำ ในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ในสิ่งที่ผิดจากคำสอน... มันไม่ได้แล้ว - เพราะว่า เราถวายองค์พระพุทธเจ้าไปแล้ว…
ฉะนั้น.. กายนี้ สักว่าเป็นของเรา
แต่จริงๆแล้ว ถวายไปแล้ว ต้องอยู่ในกรอบของความดี ที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ ซึ่งอาจจะเป็นความดี ในกรอบของศีลระดับต่างๆ ที่เราได้สมาทานเอาไว้
แต่เราต้องรักษาศีลนั้น ดูแลกายนี้ อย่าให้บกพร่องในศีล..
* เพื่อจะได้เป็นการ ไม่หลอกลวงตนเอง
* เพื่อจะได้เป็นการ ถวายอย่างแท้จริง
* เพื่อจะได้ไม่สร้างกรรม โดยการสักว่า ถวายหลอกๆไปอย่างนั้น
เอาง่ายๆละนะ พระยาธรรม.. คือ ถ้าเราตั้งจิต ตั้งใจว่า.. จะน้อมกายถวายชีวิตแล้ว..
เราก็แค่ดูแลร่างกายนี้ให้ดี อย่าให้ทำอะไร ที่มันผิดพลาดไปจากคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า..คือ การพลาดในการรักษาศีล
ช่วยดูแลกายนี้ให้ดีนะ ดูแลให้หน่อยละกัน
ดูแลด้วยศีลที่ลูกนั้น.. ตั้งใจสมาทานเอาไว้
-- อย่างนี้ ก็ถือว่า.. เป็นการน้อมกายถวายชีวิต --
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ใดที่คิดว่า ถวาย กาย ใจ
เมื่อรักษากายให้ดีแล้ว ก็ต้องรักษาใจ คือ ความคิดให้
ดีด้วย รักษาความคิดของตน ให้อยู่ในกรอบ *ของศีล ของธรรม ของสมาธิ และปัญญา* สิ่งใด ที่เป็นความคิดไม่ดี ก็อย่าไปทำมัน !
สิ่งใดที่เป็นความคิดดี เป็นสิ่งที่เราจะมุ่งมั่นทำดี ตามหลักธรรมคำสั่งสอนเราจงทำไป
ช่วยรักษาใจนี้ เอาไว้ถวายบูชาแด่องค์พระพุทธเจ้า ตามที่ตนได้กล่าวเอาไว้นะ
บุคคลผู้ที่ " ถวายจิต " แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ก็จงรู้ไว้ว่า
** จิต นี้ได้ยกถวายแด่องค์พระพุทธเจ้าแล้ว..
ต้องรักษาความสะอาดของจิตเข้าไว้ **อย่าให้กิเลสตัณหา มาทำให้เศร้าหมอง **
ถ้ามันมีอยู่แล้ว.. ไม่เป็นไร ! พยายามขัดเกลาให้มันออก และอย่าเพิ่มเข้ามา
ช่วยรักษาจิตของลูก ที่ได้น้อมถวายแล้วนั้น.. ให้ดีนะ ช่วยรักษาให้ดี ทำความสะอาดให้หน่อยนะ ช่วยขัดเกลากิเลสตัณหา ออกไปให้ดี จะได้เป็นดวงจิตที่สะอาด และบริสุทธิ์
เช่นนี้หละ พระยาธรรม คือ การมอบกายถวายชีวิต น้อมจิต กาย และใจ ถวายบูชาแด่องค์พระพุทธศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระยาธรรมเอย.. น้อมกายบูชา ก็ต้องเอากายนี้รักษาความดี เพราะว่า.. เราได้บูชาพระพุทธเจ้า ด้วยกายแล้วก็ต้องทำความดี ตามกรอบของศีลในระดับต่างๆ
ทำได้มาก ได้น้อย ไม่เป็นไร ขอให้ทำ แล้วกายนั้น ก็จะเป็นกายแห่งการบูชา อย่างแท้จริง จะสำเร็จ ในการถวายบูชา..
น้อม"ใจ"บูชาแล้ว ก็ต้อง"คิดดี ทำดี" ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า เพื่อจิตใจนั้นได้ จะได้เป็นการบูชาอย่างแท้จริง
เมื่อน้อมจิตถวายแล้ว.. ก็ต้อง
รักษา"จิต"นั้นให้ดี ให้สะอาด ปราศจากกิเลส และตัณหารักษาให้ดี อย่าให้เพิ่ม แต่ทำให้กิเลสตัณหาลดน้อยลง
เช่นนี้หละ.. พระยาธรรม จะ..เป็นกาย ที่ถวายได้อย่างดีเป็นจิต ที่ถวายได้อย่างดี เป็นใจ ที่ถวายอย่างดี … อย่างนี้แหละลูก
และการถวายองค์พระพุทธเจ้านั้น.. ก็ใช่ว่า องค์พระพุทธเจ้าจะเอากายของลูก เอาใจของลูก เอาจิตของลูกไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ …ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
การถวายกาย ก็เพื่อให้ลูกนั้น ได้อยู่ในกรอบของ " ศีล" ที่องค์พระพุทธเจ้าตั้งเอาไว้
การถวายใจ.. ก็เพื่อ"คุมใจ"ของลูก ให้อยู่ในกรอบของการคิดดี ทำดี
การถวายจิต.. ก็เพื่อให้จิตของลูกนั้น -ได้อยู่ในกรอบของ การชำระกิเลส ดับกิเลส ตัณหา
เมื่อจิต กาย และใจ ของลูกนั้น.. อยู่ในกรอบของความดีสิ่งที่ดี ก็ย่อมก่อเกิดแก่ลูกสินะ เพราะ..
กาย - ก็ดี
ใจ - ก็ดี
จิต - ก็ดี
** ดี ครบองค์สามแล้ว - เมื่อนั้นละลูก.. ลูกก็จะสามารถทำความดีได้อย่างแท้จริง **
และตัวของลูกก็จะเป็นผู้ที่สามารถแบ่งปันความดี สืบทอดความดี ทำความดี ที่แท้จริงตามรอยขององค์พระพุทธเจ้า เอาไว้ให้โลกรู้ โลกเห็น เอาไว้ให้โลกจารึก และปฏิบัติตาม..
ก็เลยเป็นการถวายชีวิต แด่องค์พระพุทธเจ้า บูชาด้วยกาย ใจ และจิตอย่างแท้จริง
เมื่อลูกนั้น.. เข้าถึงความเป็นพุทธะ จิตที่บริสุทธิ์เมื่อไร..
เมื่อนั้นหละลูก จิตของลูกได้ ถวายแล้ว อย่างแท้จริง
เพราะว่า..พระพุทธ ก็คือ ความบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสตัณหา รู้แจ้งในทุกสิ่งทุกอย่าง
พระธรรม ก็คือ ผู้ประพฤติ ปฏิบัติธรรมตาม จนรู้แจ้ง
พระยาธรรมเอ๋ย.. พระสงฆ์ คือ ผู้สืบทอดธรรม
เมื่อลูก ถวายบูชา จิต กาย และใจ อย่างบริสุทธิ์.. ลูกย่อมเข้าถึงพระพุทธ เข้าถึงพระธรรม เข้าถึงพระสงฆ์.. ลูกเอ๋ย
เมื่อลูกได้เข้าถึงสิ่งทั้งสามนี้แล้ว ลูกย่อมที่จะเข้าสู่พระนิพพาน เข้าถึงองค์พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง **
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาจึงน้อมกาย ถวายชีวิต
* เพื่อตีกรอบความดีของตน ให้สูง* เพื่อที่จะทำให้ใจ กาย หรือจิตนั้น.. อยู่ในกรอบแห่งความดี
เมื่อเขาทำทุกอย่างอยู่ในกรอบความดี - ตามที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าว ได้สอนเอาไว้..
ดวงจิตของเขา - ย่อมบริสุทธิ์ เข้าถึงพระนิพพาน
และสิ่งที่องค์พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ สอนสั่งธรรม ไว้ให้ลูกทั้งหลาย..สิ่งนั้นก็มีเพียงจุดมุ่งหมายเดียวเท่านั้น ก็คือ.. ชี้ทาง บอกทาง ให้ลูกทั้งหลาย..ได้เดินตาม ได้ปฏิบัติ จนพ้นทุกข์ตาม
นั่นแหละลูก คือ จุดมุ่งหมาย จุดประสงค์ ความปรารถนาขององค์พระพุทธเจ้า
เมื่อลูกสามารถ ทำจิต กาย และใจของลูก.. จนเข้าถึงจุดมุ่งหมาย จุดประสงค์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ถือว่าลูกได้ทำสำเร็จแล้ว ถือว่าลูกได้มอบกาย ถวายชีวิต อย่างแท้จริงแล้ว
และการที่องค์พระพุทธเจ้า ปรารถนาให้ลูกนั้น มอบกายถวายชีวิต หรือว่าบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยกาย วาจา และใจนั้น..ก็เพียงแค่เพื่อให้ลูกนั้นรักษากรอบความดี เอาไว้ในกาย
กายนี้เป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว - อย่าเอาไปทำความชั่ว
ความคิด หรือใจนี้ คือ ขององค์พระพุทธเจ้าแล้ว อย่าเอา
ไปคิดชั่ว !
จิตนี้ คือ ขององค์พระพุทธเจ้าแล้ว อย่าเอาไปทำในสิ่งที่
เพิ่มกิเลส ต้องรีบขัดเกลากิเลสตัณหา
ถวายบูชาแด่พระองค์ สิ่งนี้ที่สอนสั่งว่า..
การบูชาใดๆ ก็ไม่เท่ากับการบูชา ด้วยจิต กาย และ
ใจ นั้น ก็เพื่อให้ลูกรักษา เป็นกรอบของความดีเอาไว้..
แล้วลูกนั้น จะได้เข้าถึงจุดมุ่งหมาย แห่งองค์พระสัมมา
สัมพุทธเจ้า คือ *ให้ลูกนั้นพ้นทุกข์*
เมื่อไรที่ลูกพ้นทุกข์ นั่นก็ถือว่าเป็น **การบูชาขั้นสูงสุด เลย**
เพราะว่าประสบความสำเร็จแล้ว ในเป้าหมายที่วางเอาไว้
พระยาธรรมเอ๋ย.. เช่นนี้แหละลูก คือ ผู้มีปัญญาธรรม ที่
เขารู้จัก ถวายชีวิตบูชา
รู้จักทำความดี ในกาย ในใจ ในจิตบูชา
บูชา ด้วยจิต กาย และใจ อย่างแท้จริง
... และสามารถบูชาได้ จนสำเร็จเสียด้วย…
พระยาธรรมเอย.. ปรารถนาเพียงแค่ให้ดวงจิตทุกดวงพ้น
ทุกข์ ลูก
ดวงจิตใด ที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ด้วยการบูชากาย ใจ และจิต ก็จะเอากรอบของการถวายบูชานี้ มาทำความดี ขัดเกลา กิเลสตัณหา
จนจิตดวงนั้นพุ่งขึ้นมา ด้วยความสะอาด.. บริสุทธิ์.. พ้นทุกข์
นั่นหละลูก คือ สิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สั่งสมบารมีมาจนเหน็ดจนเหนื่อย จนทุกข์ยากลำบาก.. หลายแสนภพชาติ ก็ทำไป
เพื่อที่จะได้มาบอกทางกับทุกคน ! นั่นหละลูก คือ จุดมุ่งหมายขององค์พระพุทธเจ้า ทุกองค์
ลูกบูชาธรรม บูชาด้วยการน้อมจิต น้อมกาย น้อมใจ บูชา โดยการปฏิบัติตามธรรมนั้น
นั่นคือ การบูชา.. ลูก
ลูกบูชาองค์พระพุทธเจ้า ก็คือ การน้อมจิต กาย และใจ
ทำตามคำสอน ทำตามองค์พระพุทธเจ้า
อย่างนั้นหละ.. พระยาธรรม
เมื่อองค์พระพุทธ ทำแล้ว องค์พระธรรม ทำสมบูรณ์แล้ว
องค์พระสงฆ์ ก็ย่อมเกิดขึ้นกับลูกด้วย ลูกนั้น.. ก็จะได้
เป็นดวงจิต ที่บริสุทธิ์ ที่ดี
และเมื่อไร ที่จิตดวงใสๆ ที่เป็นแก้ว ที่ปราศจากกิเลส
ตัณหา พุ่งขึ้นมาถวายแล้ว..
จิตทั้งหลาย.ที่ถึงจุดตรงนั้น.ก็จะสลายจากความต้องมี
/ ต้องเป็น / ต้องถวาย ต้องอย่างนั้นอย่างนี้.. หายไปหมด
เพียงแค่จิตเหล่านั้น.ถึงจุดมุ่งหมายแล้ว ทุกอย่างก็วาง
ลง ถือว่า **ประสบความสำเร็จอันสูงสุด คือ ดับการเกิดแห่งตนได้ **
อย่างนี้หละ.. พระยาธรรมเอย
การมอบกายถวายชีวิต การถวายจิต กาย และใจ.. เขา
บูชากันเช่นนี้
แล้วก็เพื่อการประสบความสำเร็จสูงสุด คือ การชำระจิต จนขาวสะอาด จากกิเลสตัณหา และดับการเกิดของตนได้
ผู้มีปัญญาธรรม.. เขาก็ทำกันเช่นนี้ละ..พระยาธรรม
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม
นี้ให้ลูกได้ฟัง
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น คนที่เขาสมาทานศีล
นั้น.. ก็แสดงถึงการถวายกาย อย่างนั้น หรือเปล่าเจ้าคะ
พระพุทธองค์ : การที่สมาทานศีลในระดับต่างๆ.. ก็
เหมือนการถวายกายนี้
เพื่ออยู่ในกรอบความดี ตามคำสอนขององค์
พระพุทธเจ้า
นั่นก็คือ การถวายกาย ลูก
แต่จะถวายสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการรักษาศีลหรือไม่..
ลูก
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้น..
- ความคิดที่คิดว่า จะดำเนินตามรอยองค์พระสัมมาสัม
พุทธเจ้า
- คิดที่จะทำความดี เพื่อที่จะไปสู่พระนิพพาน
- คิดที่จะรักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ เติมปัญญา
ความคิดเหล่านี้ คือ ความคิด หรือใจ ที่ถวายบูชาแด่องค์
พระพุทธเจ้า อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ : ถูกต้องแล้วหละลูก
ความคิดที่ตาม- คิดดี- ปรารถนาดี ตามองค์พระพุทธเจ้า
ปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน และดับการเกิด
นั่นก็คือ ความคิดที่ดี คือ ใจที่บูชาแด่องค์พระพุทธเจ้า
แต่จะบูชา สำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า.. จะคิดดีตลอด
ไป.. จนถึงวันที่เข้าสู่พระนิพพานหรือเปล่า ?
หรือจะเอาความคิดดีนั้น มานำทางจนเข้าถึงพระนิพพาน
หรือเปล่า ? จึงจะเป็นการถวายอย่างแท้จริง ลูก
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้น ดวงจิตที่พยายาม
ชำระกิเลสในตน ไม่ให้เพิ่มกิเลส
แล้วเขาก็ทำหน้าที่นั้นไปเรื่อยๆให้ดีที่สุด ตามกำลังของ
เขา นั่นก็คือ ดวงจิตที่ถวายแด่องค์พระพุทธเจ้า อย่างนั้น หรือเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ : ก็ถูกต้องอีกแล้ว นั่นหละ..พระยาธรรม
ดวงจิตผู้พยายามขัดเกลากิเลส ไม่เพิ่มกิเลสตัณหา
ผู้ทำให้ตนปราศจากกิเลสตัณหา นั่นถือเป็นการบูชา
ถึงแม้ว่าตนจะได้กล่าว หรือไม่ได้กล่าวการถวาย
ถ้าตนปฏิบัติตามเช่นนี้.. ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ดี
** ดียิ่งกว่าการถวายบูชาสิ่งอื่นใด เลยลูก**
ฉะนั้น.. จงบูชาพระพุทธเจ้า
ด้วยกายที่ รักษาศีล
ด้วยใจที่ คิดดี ทำดี
ด้วยจิต ที่พยายามชำระกิเลส ตัณหา ไม่เพิ่มกิเลส
ตัณหา เถิดลูก
นั่นคือ การบูชาของผู้มีปัญญาธรรม นั่นคือ การบูชาอัน
สูงสุด ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม
นี้ ให้ลูกได้ฟัง และทำความเข้าใจ นำไปประพฤติ ปฏิบัติ
และเผยแผ่
ลูกจะ..พยายามรักษาศีล.. เพื่อถวายกายนี้
พยายามคิดดี.. เพื่อถวายใจนี้
พยายามชำระกิเลสตัณหา.. เพื่อถวายจิตนี้
และจะดูแลกาย ใจ และจิตให้นี้ใด้ดี เพื่อที่จะได้เหมาะ
หรือว่าเป็นการถวายแด่พระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง
จนวันหนึ่ง.. ที่สามารถทำสำเร็จ เจ้าค่ะ
สาธุ
เรื่องราวทั้งหลายไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ทำให้คนเราเกิดความรู้สึกเพียง 3 ชนิด คือ สุข ทุกข์ เฉยๆ
ถ้าไปพิจารณาที่ความคิดก็จะพบว่ามีร้อยแปดพันเก้าหลายหลายสารพัดเรื่อง แต่หากระลึกรู้ที่ความรู้สึกจะพบว่ามีแค่ 3 ชนิดเท่านั้น
คนเรามักวุ่นวายอยู่กับความคิด การปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆเสียส่วนใหญ่ จึงทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวปัญหาต่างๆนั้นมีมากมาย
แต่หากฝึกฝนการมีสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อมให้มากไว้ จะพบว่าการสังเกตชนิดของอารมณ์ความรู้สึก จะทำให้เข้าใจปัญหาต่างๆในชีวิตได้ดีขึ้น
เพราะความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเป็นความคิดเรื่องใด แต่ขึ้นอยู่ที่ลักษณะของจิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นกับความคิดนั้นๆ
หากจิตเข้าไปยึดในลักษณะดึงดูดเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน ก็คือ "สุข"
หากจิตเข้าไปยึดถือในลักษณะของ การผลักออก ความต้องการที่จะสลัดหลุดพ้นออกจากสภาวะนั้น ก็คือ "ทุกข์"
ส่วนจิตที่เข้าไปยึดในลักษณะนิ่งสงบอยู่ด้วยความไม่รู้ ก็คือ "เฉยๆ"
การมีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม ปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ปล่อยวางสุขและทุกข์ไป จิตก็จะค่อยๆน้อมเข้าสู่ความรู้สึก "เฉยๆ"
แต่ความรู้สึก "เฉยๆ" ในตอนแรกนั้น ยังเป็นเฉยแบบไม่รู้ เฉยแบบยังมี "อวิชชา" อยู่ ซึ่งเราต้องอาศัยความเพียร อาศัยสติ และ ปัญญาเข้ามาช่วย
หากสติปัญญาในการสังเกตสภาวะ พิจารณาเรื่องราวต่างๆจนเกิดญาณปัญญาเกิดวิชชาขึ้นมาแล้ว จากเฉยๆไม่รู้ ก็จะกลายเป็นเฉยเพราะรู้แจ้งเห็นจริงแทน
ไม่ทราบผู้แต่งชัดเจนครับ
"สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราหมดความตั้งใจ
วิปัสสนาจะเกิดขึ้นมาได้ต่อเมื่อเราหมดความคิด
หมดความตั้งใจ คือ ความว่างของจิต สมาธิก็เกิด
การหมดความคิดก็คือความว่างของจิต วิปัสสนาคือปัญญาก็เกิด"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ความรู้เรื่อง จิตกับอารมณ์ โดยพระครูเกษมธรรมทัต
อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ อารมณ์ที่เป็นบัญญัติ
อารมณ์หมายถึง สิ่งที่เป็นที่ยินดีหรือเป็นที่ยึดหน่วงของจิต เป็นที่ตั้งที่รับรู้ของจิต
จิตเกิดขึ้นมาต้องรับรู้อารมณ์ ถ้าไม่รับรู้อารมณ์จะเกิดไม่ได้ จิตกับอารมณ์จึงไปด้วยกัน จิตเป็นผู้รับรู้อารมณ์เป็นฝ่ายผู้รู้ อารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกรู้หรือเป็นที่ยึดหน่วงของจิต
รู้มีหลายอย่าง เช่น รู้แบบสัญญา(จําได้หมายรู้) รู้แบบปัญญา รู้แบบรับรู้(เป็นความหมายของจิต)
"จิตเป็นธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ รู้แบบแค่รับรู้"
..เวทนาเป็นตัวยึดจิตไว้กับกาย
และความรู้สึกนึกคิด..หากไม่ตระหนักรู้
..เวทนาคือการ รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉยๆ
เวทนามี 2 ประเภท
..คือเวทานาทางกาย..เช่น รู้สึก เคล็ดขัดยอก เมื่อย เจ็บปวด
..เวทนาทางใจ..
เช่น รู้สึกสบายใจรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกเฉยๆ
..เวทนาทั้งทางกาย และทางใจนี้
เป็นความปกติธรรมชาติของกายใจ
ย่อมเกิดขึ้นเองและดับไปเองตลอดเวลาอยู่แล้ว..
..แต่หากไม่ตระหนักรู้ รู้เห็นไม่ละเอียดละออพอ
จิตจะไหลเข้าไปยึดถือเป็นเราเจ็บ เราปวด เราเมื่อย..เรารู้สึกสบายใจ เรารู้สึกไม่สบายใจ เรารู้สึกเฉยๆ
..แต่หากค่อยๆสังเกตุดูให้แจ่มแจ้ง เวทนาเหล่านี้ จะเป็นเพียงแค่อาการทางกาย..อาการทางใจ..
..จิตรู้จะอยู่ส่วนหนึ่ง..อาการทางกายทางใจอยู่ส่วนหนึ่ง
..หากจิตรู้ แยกตัวออกมาอย่างนี้
สิ่งเหล่านี้จะเป็น แค่อาการ...."ไม่เป็นเวทนา"
..แต่ขณะใด..ที่จิตไหลรวมไปผสมโรง กับอาการเหล่านี้
..จะกลายเป็นเวทนาทันที..หรือเรียกว่า"จิตเสพอารมณ์"
..เมื่อจิตไปผสมโรงกับอาการ กลายเป็นเวทนา..
..จิตกับเวทนา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน
ฉะนั้น เมื่อเกิดอาการทางกาย
หากไร้การตระหนักรู้ ในอาการจิต..อาการ..และกาย ก็เป็นสิ่งเดียวกัน คือเป็นอัตตา ตัวตน ตัวเรา
จึงรู้สึกว่า" ร่างกายเราปวด" "รางกายเราเจ็บป่วย"
เมื่อเกิดอาการทางใจ หากไร้การตระหนักรู้ ในอาการ
จิต อาการ ความนึกคิด ก็เป็นสิ่งเดียวกัน คือเป็นอัตตาตัวเรา
จึงรู้สึกว่า..เราทุกข์ใจ..เราสุขใจ เราเฉยๆ..
จึงควรตระหนักรู้ แค่รู้..ในอาการของกาย อาการใจ
ให้แจ่มแจ้ง..จึงจะหลุดพ้น..จากการยึดถือในเวทนา..
และยึดถือ ในกาย ในใจ
..เจริญธรรม..
ศีล นี้เองเป็นพ่อแม่ของธรรมะ
คนที่ไม่มีศีลนี้ ธรรมะเกิดขึ้นไม่ได้
เหมือนกับคนเราต้องอาศัย “พ่อแม่” เกิดขึ้น
ถ้าไม่มีพ่อแม่ ก็เกิดขึ้นไม่ได้
พ่อแม่เป็นเหตุของบุตร
บุตรเป็นผลเกิดมาจากเหตุ คือพ่อแม่
ศีลนี้คือเหตุ เป็นแดนเกิดของธรรมะคือศีล
โอวาทธรรม หลวงปู่ชา
"ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตเรา เราคิดดี พูดดี ทำดี #มีความสุข"
หลวงพ่อชา เคยกล่าวไว้ว่า...
"ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น ๙๐% ดูตัวเองเพียง ๑๐%
คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น
เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น"
จงมองกลับเสียใหม่นะ
ดูคนอื่นเพียง ๑๐% ดูเพื่อศึกษาว่าเมื่อเขาทำอย่างนั้น
คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเอง
จงพิจารณาตัวเอง ๙๐% จึงได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรมอยู่
ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า...
"เรามักจะเห็นความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา
ความผิดของเราเท่ารูเข็ม"
มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย....
เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ
เห็นความผิดของคนอื่นให้หารด้วย ๑๐
เห็นความผิดของตนเองให้คูนด้วย ๑๐
จึงจะใกล้เคียงความจริง และ ยุติธรรม
เพราะเหตุนี้....
เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ
แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ
พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ
เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ
แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไร
หรือรีบแก้ไขอะไร ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็นไว้ก่อน
ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่...ไม่แน่
อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
สักแต่ว่า....สักแต่ว่า...ใจเย็นไว้ก่อน
หัดปล่อยว่างก่อน เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว
จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น พูดด้วยเหตุ ด้วยผล
ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง
ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มันจะเสียประโยชน์ซ้ำไปอีก
เพราะฉะนั้น..อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้านก็สงบๆๆๆ
ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆๆ
ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มากๆ
พยายามแก้ไขพัฒนาตัวเรานั่นแหละ
เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
เรื่องของคนอื่นพยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งแต่เรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องเราหมด
มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบายทั้งวัน
พยายามตามดูจิตของเรา
รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มากๆ
ใครจะเป็นอย่างไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี #เรื่องของเขา
แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา...ก็เรื่องของเขา
อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา
ดูใจเรานั่นแหละ พัฒนาตัวเองนั่นแหละ
ทำให้จิตเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ หัด-ฝึกปล่อยวาง นั่นเอง...
.
ที่มา : ทุกข์เพราะคิดผิด คิดถูกดับทุกข์ได้
#ประวัติรูปถ่ายพระพุทธเจ้า
ประวัติมีอยู่ว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2523 ได้มีฝรั่งชาวอังกฤษท่านหนึ่งชื่อ นายแพทย์เบอร์นาร์ด ได้มาเที่ยวที่ประเทศอินเดียและได้มาพบเห็นประเพณีโบราณหลายอย่าง บางอย่างก็ดูทารุณโหดร้าย บางอย่างก็สกปรก บางอย่างล้าสมัยเหยียดหยามกัน นึกตำหนิอยู่ในใจ เมื่อได้เที่ยวมาถึงพุทธคยา ได้มาชมประเพณีเวียนเทียนวันวิสาขบูชาที่เจดีย์พุทธคยาได้เห็นประชาชนเวียนเทียนกราบไหว้ต้นโพธิ์ที่สัมมาสัมพุทธเจ้าเคยประทับนั่ง ตรัสรู้ก็นึกตำหนิในใจว่า ประชาชนพวกนี้โง่มากขาดกราบไหว้ต้นไม้ได้ ครั้งสอบถามได้รับตอบว่าเป็นต้นไม้โพธิ์ที่ประทับนั่งตรัสรู้ของเจ้าชายสิ ทธัตถะ ในครั้งแรกทำให้เกิดศาสนาพุทธขึ้น ฝรั่งผู้นี้ก็นึกในใจว่าเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นมา นับถือเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องมีจริง นึกเหยียดหยามชาวพุทธอยู่ในใจว่าโง่เง่างมงาย แต่ไม่พูดอะไรกลัวมีเรื่อง ครั้งกลับที่พักแล้วตอนดึกของคืนนั้นนอนหลับฝันไปว่าตนเองได้ย้อนกลับมาที่ พุทธคยานี้อีก แต่เห็นสถานที่เป็นป่าแปลกตาออกไป เห็นต้นโพธิ์ใหญ่มีพระนั่งอยู่องค์หนึ่งมีรัศมีงดงาม จึงได้เข้าไปถามว่าท่านเป็นใคร มานั่งที่นี่ทำไม ได้รับคำตอบว่า เราชื่อพระสิทธัตถะ สละราสมบัติมาบวชและได้เคยมานั่งค้นคว้าพระธรรมที่นี่จนได้ตรัสรู้ ฝรั่งสงสัยจึงย้อนถามว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีจริงหรือ ทรงตอบว่าใช่ เจ้าชายสิทธัตถะมีจริงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริง ณ โคนต้นไม้โพธิ์นี้เป็นที่แรกตรัสรู้ของเรา ท่านไม่เชื่อเพราะไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อนเลย ท่านเก่งทางวิทยาศาสตร์แต่ท่านไม่ได้เก่งเรื่องธรรมะ ถ้าท่านได้ศึกษาธรรมะท่านก็จะรู้ได้และจะไม่ไปตำหนิคนอื่นเขาอย่างนี้อีก สิ่งใดที่เราไม่เคยเรียนไม่เคยรู้ไม่เคยค้นคว้าศึกษามาก่อนแล้วจะไปว่าคนที่ เขาศึกษาค้นคว้าโง่เง่าอะไรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าท่านได้ศึกษาแล้ว พิสูจน์แล้วหากปรากฏว่าเหลวไหลไร้สาระจริงจึงประณามก็สมควรทำ ท่านไม่ศึกษาเลยแล้วมาประณามเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ควรทำ เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม อาจผิดพลาดได้ ในฝันของฝรั่งคิดในใจว่าถ้าตนเอากล้องถ่ายรูปมาจะถ่ายภาพพระสิทธัตถะองค์นี้ ออกอวดชาวโลกว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีจริง จะได้แก้ข้อสงสัยของชาวโลกได้ แต่ในฝันตนลืมกล้องถ่ายรูปไป ได้สนทนาได้รับคำตอบที่ถูกใจมากจนลากลับ และได้ตื่นขึ้นในตอนเช้า ครั้นตื่นแล้วติดใจในความฝัน ลุกขึ้นค้นหากล้องถ่ายรูปคิดว่าจะไปถ่ายรูปนี้มาให้ได้ ครั้นอาบน้ำ รับประทานอาหารแล้วได้ไปซื้อฟิล์มมาใหม่ 1 ม้วน ใส่กล้องออกเดินทางมาที่พุทธคยานี้อีกครั้ง ตั้งต้นถ่ายรูปไปทีละฟิล์มรอบต้นโพธิ์ นึกในใจว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีจริงหรือ นั่งตรงไหนจึงได้ตรัสรู้ ถ้าจริงขอให้ติดสักภาพเถิดจะได้ไปอวดเขาได้ว่า พระสิทธัตถะมีจริง ได้ถ่ายรอบต้นโพธิ์ทุกแง่ทุกมุม เสร็จแล้วถอดฟิล์มให้ช่างล้างให้ ปรากฏว่าได้มาภาพเดียวคือภาพนี้ ภาพที่ถ่ายมาด้วยกันไม่ติดอะไรเลยแม้แต่ต้นหญ้า ทั้งนี้เพราะฝรั่งตั้งใจขอภาพเดียว จึงได้ภาพเดียว ครั้งได้แล้วก็ดีใจกลับประเทศของตน อวดลูกอวดเมียก็ไม่เชื่อ อวดใครก็ไม่เชื่อ ซ้ำยังถูกว่าโง่เง่าเชื่อในสิ่งเหลวไหลอีก จึงได้เก็บใส่กระเป๋าคงอยู่ในอัลบั้มอย่างนั้น ไม่ได้อวดใครอีกต่อไป ฝรั่งผู้นี้ไม่รู้ว่าการปิดภาพบุคคลที่ทำบุญบารมีมาเพื่อโปรดสัตว์ ทำบารมีมามากมายหลายร้อยหลายพันชาติจนได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกได้จริงเช่น นั้นเป็นบาป อย่างน้อยที่สุดใส่กรอบแขวนไว้ข้างฝาก็จะพ้นบาปไม่ผิดสัจจะที่ขอมาว่าจะให้ ชาวโลกเขาดู เมื่อผิดสัจจะอย่างนี้ฝรั่งผู้นี้จึงประสบวิกฤติส่วนตัว รู้สึกสิ้นหวังได้คิดถึงคำสอนของพระสิทธัตถะที่ว่า ให้ทดลองศึกษาธรรมะดูบ้างเพราะวิทยาศาสตร์ศึกษาจนจบแล้ว ได้ตันสินใจหิ้วกระเป๋าใบเก่ากลับมาขอบวชอยู่ที่วัดพุทธคยา เมื่อคนไทยไปเที่ยวคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ได้ไปสนทนากับท่าน ถามท่านว่ามีเหตุอะไรจึงได้มาบวช จึงได้ทราบเรื่องราวดังกล่าว
06:01 สิชณ์ธนัช
คำเทศน์ของ องค์ที่ไม่ประทานนาม หลายองค์
06:01 สิชณ์ธนัช
๑๓ กรกฏาคม ๒๕๒๑
วันนี้ จะคุยเรื่องอารมณ์ อารมณ์ของพวกเธอทั้งหลาย ยังวางอารมณ์ไม่ได้แน่นอน จะกล่าวถึงอารมณ์ของ อุเบกขาบารมี เป็นที่ตั้ง เพราะอุเบกขาบารมีนั้น เป็นทางของอารมณ์ที่จะนำไปสู่สมาธิ ฌาน เธอจะทรงอารมณ์อุเบกขาได้ จะต้อองละกิเลสตัวสำคัญได้เสียก่อนคือ ความโกรธ
ความโกรธเปรียบเหมือนเชื้อเพลิง ที่ปะทุใจเราให้ร้อน เมื่ออารมณ์ร้อนสติจะขาดเหตุผลจะไม่มียับยั้งชั่งใจ จึงกล่าวได้ว่าบุคคลใด มัวแต่ฝัดใฝ่มัวเมาอยู่ในความโกรธ โมโหโทโสอยู่เป็นนิจ บุคคลนั้นจัดได้ว่าเป็นบุคคลหาปัญญาไม่ได้ เพราะความโกรธจะปิดกั้นปัญญา ปัญญาไม่เกิดเพราะไม่มีเหตุผล ไม่แจ้ง ไม่รับรู้ในเหตุผลเพราะขาดสติที่มั่นคง จงไตร่ตรอง คิดวางอารมณ์ร้ายนี้ทิ้งไป เพราะเป็นทางของอวิชชา
*** ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ***
(ตอนที่๑๔/๒๖)
"บันทึกของท่านผู้ทรงคุณวิเศษในชาตินี้"(๑/๖)
-----------------------------------------
๑๔. เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว หวังว่าท่านทั้งหลายจะยังจำคำสมาทานของท่านได้ ว่า "อิมาหัง ภควา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจัชฌามิ" ซึ่งแปลว่าข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงคำนี้เมื่อกล่าวแล้ว ถ้าจำได้แล้วก็คิดไว้อยู่เสมอ ท่านทั้งหลายจะไม่มีความชั่วเกิดขึ้นมาในใจเลย ความชั่วทั้งหลายที่ท่านจำเป็นจะต้องระมัดระวังนั่นก็คือ อารมณ์ที่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งห้าประการ คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส อีกประการหนึ่งก็คือ ความโลภอยากจะได้ทรัพย์มาเป็นของตนให้มันมากที่สุดขึ้นเท่าไรก็ตาม เกาะติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แล้วก็ความโกรธ ความพยาบาท ความหลงในการทะนงตอนว่าเป็นผู้วิเศษลืมความตาย
นี้ขอท่านทั้งหลายที่สมาทานแล้วพิจารณาไว้เสมอ ว่าอารมณ์แห่งความเลวทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้มันมีอะไรบ้างที่อยู่ในจิตของตน เราประกาศตนเป็นสาวกของสมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากล่าวว่าขอมอบกายถวายชีวิตแด่พระองค์ คำว่ามอบกายถวายชีวิต ก็หมายความว่ายอมประพฤติปฏิบัติตามความดีทุกอย่างที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน แล้วก็ละความชั่วทุกอย่างไม่ให้มันเกิดขึ้นในจิต อารมณ์อย่างนี้มีในใจของท่านครบถ้วนแล้วหรือยัง
ต่อไป ก็คุยกันถึงปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ความจริงปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าเป็นปฏิปทาที่ไม่ยาก เพราะเป็นปฏิปทาของบุคคลในปัจจุบันเราเอง ไม่ใช่ว่าจะไปอ้างเอาสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเกินวิสัยที่พวกเราจะพึงพบเห็น นี่คนในสมัยเราๆ นี่สามารถทำได้ แล้วก็ไม่สามารถทำได้คนเดียว เวลานี้ในประเทศไทยถ้าเอากันแค่มรรคเบื้องต้น คือ โสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผลขึ้นไปตามลำดับถึงอรหัตผล เราจะนับเป็นร้อยมันไม่ได้เสียแล้ว ผมก็ไม่กล้านับ จะเป็นพันหรือเป็นหมื่นนี่ผมไม่รู้ แต่ถ้าปริมาณละก็รู้สึกว่าน้อยเกินไป ถ้าจะถามว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ถ้าอยากจะทราบก็ไม่ยาก ทำใจของเราให้เข้าถึงเสียก่อน ถ้าใจของเราเข้าถึงเมื่อไรเราก็พบได้เมื่อนั้น แล้วก็รู้ได้เมื่อนั้น แต่จงระวังนะ อย่าคิดว่าตนดี เมื่อเราเลว จงมีความรู้สึกตัวคิดว่าเราเลวอยู่เสมอนั่นแหละจึงจะดี........(1/6)
โดย พระเดชพระคุณ
พระราชพรหมยาน มหาเถระ
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วิถีแห่งชีวิตนี้แหละ แบบธรรมดาๆนี้แหละ
คือชัยภูมิที่แท้จริง สำหรับผู้ภาวนา
กิเลสทั้งหลาย ก็มีทั้งจากภายใน
ความปรุงของเราเอง และที่มาจากภายนอก
แต่ส่วนมากจะรับมาจากข้างนอกทั้งสิ้น
การจะละกิเลสก็ต้องรู้จักกิเลส
เห็นความไม่น่าเอาน่าเป็น
เห็นความที่นำทุกข์มาให้
การที่จะรู้ซื่อตรงๆกับกิเลสนี้ ใจต้องถึง
และมีเกราะป้องกันไว้ก่อนคือ ศีล ๕
ไม่ละเมิดออกทางกาย วาจา
เพียงรู้กระบวนการอยู่ภายในด้วยความอดทน
กิเลสนี้มันทนการรู้ไม่ได้นาน มันต้องสลายดับไปแน่ๆ
ถ้ารู้ได้บ่อยๆ จิตเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น
สติปัญญาก็เพิ่มขึ้น อาจจะดีกว่าผู้ที่ภาวนาอยู่ในป่าเขา
ไม่มีสิ่งกระทบอะไรเลยก็ได้ เป็นเรื่องของสติ ของปัญญา
ไม่ใช่เรื่องจมแช่อยู่กับความสงบ
แต่ถ้าทำความสงบได้แล้ว ก็ต้องรู้จัก
ใช้เป็นฐาน ในการรู้เห็นตามเป็นจริง
ของกายใจให้ได้ นี่เป็นหนทางแห่งปัญญา
Aoddy Samutthaเสียงพระธรรมสู่พระนิพพาน ตามแบบฉบับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน11 ชม. ·
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
จุดนี้จักต้องพิจารณาให้หนัก
และเอาจริงจึงจักวางภาระขันธ์ ๕ ไปได้ ถ้าไม่พิจารณาธาตุ ๔
อาการ ๓๒ ให้เห็นจริงจัง จิตก็จักเผลอไปเกาะขันธ์ ๕ ทันที
ให้เห็นสภาวะของจิต ใกล้สิ่งไหน เกาะสิ่งนั้น
สภาพของจิตยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่ใกล้ตัวของมัน
รับสัมผัสสิ่งดีก็ยึดดี รับสัมผัสสิ่งเลวก็ยึดเลว
สภาพของจิต มีอารมณ์"ชอบยึด"
ให้รู้สภาวะของจิต ซึ่งยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบจิต
เมื่อเราปรารถนาจักหลุดพ้นเพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพาน
ก็จักต้องปล่อยวาง อารมณ์ของจิตที่ยึดมั่นถือมั่น มาแต่เดิมนั้นเสีย
จุดนี้ให้ใช้ปัญญาพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง
ในโลกไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ และ
ในที่สุดก็อนัตตาไปหมด
พยายามชำระจิตอย่าให้เกาะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
ทำได้เมื่อไหร่ จิตก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น
การบำรุงรักษาสิ่งสิ่งใดๆ ในโลก...การบำรุงรักษาตนคือใจ เป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน
ใจนี้ คือสมบัติดันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือคนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติ ก็คือผู้เกิดพลาดอยู่นั่นเอง
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
"เอาละ ชาตินี้เราจะมอบกายอันนี้ ใจอันนี้ ให้มันตายไปชาติหนึ่ง จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการเลย
จะทำให้มันรู้จักในชาตินี้ ถ้าไม่รู้จักก็ลำบากอีก จะปล่อยวางมันเสียทุกอย่าง จะพยายามทำถึงแม้ว่ามันจะทุกข์ มันจะลำบากขนาดไหน ก็ต้องทำชีวิตในชาตินี้ ให้เหมือนวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเท่านั้น ทิ้งมัน จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะทำตามธรรมะให้มันรู้ ทำไมมันยุ่งยากนัก วัฏสงสารนี้"
หลวงปู่ชา สุภทฺโท
ดูความคิด ให้"เห็น"ความคิด
เมื่อความคิดเกิดขึ้น อย่าไปตามความคิด และ อย่าเข้าไปในความคิด
เมื่อมันเกิด จึงรู้ รู้ก่อนไม่ได้ และไม่ใช่การสะกดจิต ห้ามไม่ให้คิด
ต้องดูความคิด เมื่อ"เห็น"ความคิด มันจะหดตัวและหยุดคิดของมันเอง
ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ
“หลักในการดำรงชีวิต”
…เราต้องอบรมจิตเรา อบรมใจเราให้มีวิชชา ไม่ว่าการจะทำงานสิ่งใด อย่างเช่นที่สำนักงานนี่ เจ้าหน้าที่ท่านใดมีหน้าที่ในจุดไหน ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจในงานในหน้าที่ที่ตนเองต้องทำ
ถ้าศึกษาให้เข้าใจ ให้เห็นแจ้งในงานในหน้าที่ รู้จักว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดมิควรทำ สิ่งใดเป็นประโยชน์ต่องานในหน้าที่ สิ่งใดเป็นโทษต่องานในหน้าที่นั้น รู้จักเลือก รู้จักประพฤติ รู้จักปฏิบัติ มันก็จะเกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานนั้น
ถ้าเราประพฤติผิดพลาด ไม่รู้จักสิ่งใดควรทำมิควรทำ งานการนั้นก็จะเกิดปัญหา เป็นความเดือดร้อนในหน่วยงานในสังคม เป็นความเดือดร้อนในตนเอง เมื่องานมีปัญหา เราก็ต้องเสียเวลาที่จะต้องไปแก้งานนั้นมาก มันก็เกิดความลำบาก ถ้างานข้างหน้ามาเพิ่มเติมอีก มันก็ทำไม่ทัน ก็ยิ่งเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้นการที่จิตเรามีความเครียด ความกังวล ความทุกข์ ก็เพราะเราปฏิบัติในสิ่งนั้นยังไม่ถูกต้องนั่นเอง ยังไม่รู้แจ้งในเหตุปัจจัยในตรงนั้น งานนั้นก็เลยเป็นปัญหา
ถ้าเราทำได้ถูกต้อง มันก็จะดับไปแต่ละเรื่อง งานใหม่มามันก็ไม่ทับถม เพราะงานเก่ามันก็เรียบร้อย งานใหม่ก็ทำเต็มที่ มันก็เรียบร้อยอีก เพราะเราทำด้วยสติด้วยปัญญา รู้เหตุรู้ผล รู้หน้าที่ที่จะทำ
เหตุนั้นจิตดวงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ “มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ”
ถ้าเราเข้าใจประเด็นนี้ ต้องอบรมใจเรานั้นให้มีวิชชา งานภายนอกก็ต้องศึกษาให้ถ่องแท้ เราต้องพิจารณาให้ชัดแจ้ง...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “หลักในการดำรงชีวิต”
เทศน์ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๐
ไม่ว่าเราจะภาวนาในรูปแบบใด สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือการเรียนรู้ที่จะรักษาไว้ซึ่งความคมชัดของจิตตลอดการปฏิบัติ หากไม่ให้ความสำคัญเช่นนั้น เมื่อกายและจิตเริ่มผ่อนคลายระหว่างการภาวนา ความรู้สึกทื่อๆ หรือความง่วงงุนก็อาจครอบงำ หากปราศจากความคมชัด จิตจะรู้สึกหนักๆ และไม่คล่องแคล่วว่องไว แต่ถ้ามีความคมชัด จิตจะอยู่ในภาวะที่น้อมได้ง่าย ตั้งมั่น และมีพลัง
ตามรากศัพท์คำว่า ‘พุทธะ’ มีความหมายว่า ‘ผู้ตื่นรู้’ ดังนั้นกล่าวในเชิงลึกซึ้งแล้ว การถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ คือการพัฒนาจิตให้ตื่นตัวและตื่นรู้ตามแบบอย่างของพระพุทธองค์ และการตื่นรู้และเห็นตามความเป็นจริงของสภาวะจิตทั้งหลายทั้งมวลนั่นแหละที่ย่อมนำจิตไปสู่การหลุดพ้น มิใช่การพยายามเข้าสู่สภาวะสงบสุขนิรันดร
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ศิษย์ทีมสื่อดิจิทัลฯ
Whatever form of meditation we practise, it is vitally important that we learn how to sustain clarity of mind throughout the session. Without that emphasis, the physical and mental relaxation that occurs as the meditation proceeds will result in dullness or sleepiness rather than samādhi. Without clarity, the mind feels heavy and clumsy. With clarity, it feels supple, stable and strong. The word ‘Buddha’ means ‘the awakened one’. In its most profound sense, going for refuge to the Buddha means establishing our mind in a Buddha-like alertness and wakefulness. It is in being awake to the true nature of all mental states that liberation is realised, not through attaining an endlessly blissful state of peace.
Ajahn Jayasāro
หลวงงปู่มั่น_บำเพ็ญเพียรขั้นแตกหัก เที่ยววิเวกในป่าทางแม่ริม-เชียงดาวเพียงองค์เดียว
ท่านพักอยู่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ พอสมควรแล้ว ก็กราบลาท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เพื่อไปเที่ยวแสวงหาที่วิเวกตามอำเภอต่าง ๆ ที่มีป่ามีเขามาก ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็อนุญาตตามอัธยาศัย ท่านเริ่มออกเที่ยวครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ทราบว่าท่านไปเที่ยวองค์เดียว จึงเป็นโอกาสอันเหมาะอย่างยิ่ง ที่ช่วยให้ท่านมีตนเป็นผู้เดียวในการบำเพ็ญเพียรอย่างสมใจที่หิวกระหายมานาน นับแต่สมัยที่อยู่เกลื่อนกล่นกับหมู่คณะมาหลายปี เพิ่งได้มีเวลาเป็นของตนในคราวนั้น ทราบว่าท่านเที่ยววิเวกไปทางอำเภอแม่ริม เชียงดาว เป็นต้น เข้าไปพักในป่าในเขาตามนิสัย ทั้งหน้าแล้งหน้าฝน
การบำเพ็ญเพียรคราวนี้ท่านเล่าว่าเป็นความเพียรขั้นแตกหัก ท่านพร่ำสอนตนว่า .... คราวนี้จะดีหรือไม่ดี จะเป็นหรือจะตายต้องเห็นกันแน่นอน เรื่องอื่น ๆ ไม่มียุ่งเกี่ยวแล้ว เพราะความสงสารหมู่คณะและการอบรมสั่งสอนก็ได้ทำเต็มความสามารถแล้วไม่มีทางสงสัย ผลเป็นประการใดก็เห็นประจักษ์มาบ้างแล้ว บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะสงสารตัวเอง อบรมสั่งสอนตัวเอง ยกตัวเองให้พ้นจากสิ่งมืดมิดปิดบังที่มีอยู่ภายในให้พ้นไป
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่มีภาวะเกี่ยวข้องด้วยหมู่คณะ เป็นชีวิตที่เกลื่อนกล่นทนทุกข์จนเหลือทน แทบไม่มีเวลาปลีกตัวออกได้ แม้จะมีสติปัญญาพอเป็นเครื่องพาหลบซ่อนผ่อนคลายความทุกข์ได้บ้างไม่เผาลนจนเกินไปก็ตาม แต่ก็จำต้องยอมรับว่าเป็นชีวิตที่กระเสือกกระสนอดทนต่อความทุกข์ร้อนอยู่นั่นเอง การบำเพ็ญก็น้อย ผลที่จะพึงได้รับก็นิดเดียว ไม่สมกับความเหนื่อยยากลำบากมานาน
บัดนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่ได้หลีกออกมาบำเพ็ญอยู่คนเดียว ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด นี่คือชีวิตของบุคคลผู้เดียวไม่เกี่ยวเกาะ นี่คือสถานที่อยู่ที่บำเพ็ญที่เป็นและที่ตายของบุคคลผู้มุ่งตัดความเยื่อใยทั้งภายในภายนอกออกจากใจ มิให้มีสิ่งกังวลเศษเหลืออยู่พอเป็นเชื้อแห่งภพชาติ อันเป็นที่ไหลมาแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ซึ่งจะตามมาบีบบังคับให้จำต้องทรมานต่อไปไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้ นี่คือสถานที่ของผู้มีความเพียรตามติดเพื่อประชิดต่อสิ่งที่เคยก่อภพก่อชาติ อันเป็นจอมฉลาดทางปลิ้นปล้อนหลอกลวงให้พลอยหลงตามอยู่ภายใน ให้ขาดกระเด็นไปจากใจในไม่ช้า
อย่ามัวพะว้าพะวังกับสิ่งโน้นสิ่งนี้ คนโน้นคนนี้ อันเป็นเรื่องของเรือพ่วงที่เพียบด้วยภาระหนัก จะไปไม่ถึงไหนและใกล้ต่อความอับปาง ทั้งห่างเหินต่อฝั่งแห่งพระนิพพาน เมื่อถึงที่หมายตามใจหวังแล้ว ความเมตตาสงสารจะดับไปตามกิเลสความเห็นแก่ตัว ไม่เหลียวแลผู้ใดที่กำลังตกทุกข์ ก็ขอให้รู้กันในวงแห่งความบริสุทธิ์ที่กำลังมุ่งมั่นหวั่นเกรงกลัวจะไม่ถึงอยู่เวลานี้ ขณะนี้จงห่วงใยตัวเอง เมตตาตัวเอง ให้พอกับความหวังด้วยความเพียรของผู้เป็นศิษย์พระตถาคตผู้ปรากฏเด่นทางความเพียรไม่ลดละและถอยกำลัง
เราทราบหรือยังว่าเวลานี้เรามาทำความเพียรพยายามเพื่อข้ามโลกข้ามสงสาร มีพระนิพพานเป็นหลักชัย ไกลกังวลและพ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง
ถ้าทราบแล้วประโยคพยายามของผู้จะข้ามโลกสมมุติท่านดำเนินกันอย่างไรบ้าง พระศาสดาผู้ทรงพาดำเนินและประกาศสอนธรรมไว้ ท่านพาดำเนินและสอนไว้อย่างไร ท่านสอนไว้ว่าพอรู้เห็นอรรถธรรมบ้างแล้วให้เริ่มห่วงนั้นห่วงนี้จนลืมตัวหรืออย่างไร?
แรกเริ่มที่พระองค์ทรงประกาศพระศาสนาแก่หมู่ชน โดยมีพระองค์และพระสาวกไม่กี่องค์ที่ควรช่วยพุทธภาระให้เบาลง และเพื่อพระศาสนาได้แพร่ไปในหมู่ชนกว้างขวางโดยรวดเร็ว ข้อนั้นควรอย่างยิ่ง สำหรับเราไม่เข้าในลักษณะนั้น จึงควรเห็นตนเป็นสำคัญในขณะนี้ เมื่อตนชอบยิ่งแล้ว ประโยชน์เพื่อผู้อื่นจะค่อยตามมาอย่างแยกไม่ออก นี่จัดว่าเป็นผู้รอบคอบและไม่เนิ่นช้า ควรนำมาขบคิดเพื่อเป็นคติแก่ตัวเรา
เวลานี้เรากำลังเข้าอยู่ในสนามรบ เพื่อชิงชัยระหว่างกิเลสกับมรรค คือข้อปฏิบัติ เพื่อช่วงชิงจิตให้พ้นจากความเป็นสมบัติสองเจ้าของ มาครองเป็นเอกสิทธิ์แต่ผู้เดียว ถ้าความเพียรย่อหย่อน ความฉลาดไม่พอ จิตจำต้องหลุดมือตกไปอยู่ในอำนาจของฝ่ายต่ำ คือกิเลส และพาให้เป็นวัฏจักรหมุนเพื่อความทุกข์ร้อนไปตลอดอนันตกาล
ถ้าเราสามารถด้วยความเพียรและความฉลาดแหลมคม จิตจำต้องตกมาอยู่ในเงื้อมมือและเป็นสมบัติอันล้นค่าของเราแต่ผู้เดียว คราวนี้เป็นเวลาที่เรารบรันฟันแทงกับกิเลสอย่างสะบั้นหั่นแหลก ไม่รีรอย่อหย่อนอ่อนกำลัง โดยเอาชีวิตเข้าประกัน ถ้าไม่ชนะก็ยอมตายกับความเพียรโดยถ่ายเดียว ไม่ยอมถอยหลังพังทลายให้กิเลสหัวเราะเยาะเย้ยซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอับอายไปนาน ถ้าชนะเราก็ครองอิสระอย่างสมบูรณ์ไปตลอดกาล ทางเดินของเรามีทางเดียวเท่านี้ คือต้องสู้จนถึงตายกับความเพียรเพื่อชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเป็นทางออกตัว
เหล่านี้เป็นโอวาทที่ท่านพร่ำสอนตัวเองให้เกิดความกล้าหาญ เพื่อชัยชนะอันเป็นความสมหวังดังใจหมายต่อไป ก็เป็นประโยคแห่งความเพียรที่ดำเนินตามกฎข้อบังคับแบบตายตัวทั้งกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่ขณะหลับเท่านั้น นอกนั้นเป็นความเพียรไปตลอดสาย สติกับปัญญาหมุนรอบความสัมผัสภายนอกและความคิดภายใน มีสติกับปัญญาเป็นผู้วินิจฉัยไต่สวนเรื่องที่เกิดกับใจไม่ยอมให้ผ่านไปได้ เพราะสติปัญญาขั้นนี้เป็นธรรมจักรหมุนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่นิยมอิริยาบถ
ท่านเล่าความเพียรตอนนี้ ผู้ฟังทั้งหลายต่างนั่งตัวแข็งเหมือนไม่มีลมหายใจไปตาม ๆ กัน เพราะเกิดความอัศจรรย์ในธรรมท่านอย่างสุดขีด เหมือนท่านเปิดประตูพระนิพพานออกให้ดู ทั้งที่ไม่เคยรู้ว่าพระนิพพานเป็นเช่นไรเลย แม้องค์ท่านเองก็ปรากฏว่ากำลังเร่งฝีเท้าคือความเพียรเพื่อบรรลุพระนิพพานอย่างรีบด่วนอยู่เช่นกันในขณะนั้น หากแต่ธรรมที่ท่านเล่าเพียงขั้นกำลังดำเนินนั้น เป็นธรรมที่ผู้ไม่เคยได้ยินมาก่อนจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ จำต้องไหวตามด้วยความอัศจรรย์อยู่ดี
ท่านเล่าว่า ... จิตท่านทรงอริยธรรมขั้น ๓ อย่างเต็มภูมิมานานแล้ว แต่ไม่มีเวลาเร่งความเพียรตามใจชอบ เพราะภารกิจเกี่ยวกับหมู่คณะมีมากตลอดมา พอได้โอกาสคราวไปพักที่เชียงใหม่ จึงได้เร่งความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย และก็ได้อย่างใจหมายไปทุกระยะ สถานที่บรรยากาศก็อำนวย พื้นเพของจิตที่เป็นมาดั้งเดิมก็อยู่ในขั้นเตรียมพร้อม สุขภาพทางร่างกายก็สมบูรณ์ควรแก่ความเพียรทุก ๆ อิริยาบถ ความหวังในธรรมขั้นสุดยอด ถ้าเป็นตะวันก็กำลังทอแสงอยู่แล้วทุกขณะจิต ว่าแดนพ้นทุกข์กับเราคงเจอกันในไม่ช้านี้
ท่านเทียบจิตกับธรรมและกิเลสขั้นนี้เหมือนสุนัขไล่เนื้อ ตัวอ่อนกำลังเต็มที่แล้วเข้าสู่ที่จนมุม รอคอยแต่วาระสุดท้ายของเนื้อจะตกเข้าสู่ปากและบดเคี้ยวให้แหลกละเอียดอยู่เท่านั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เพราะเป็นจิตที่สัมปยุตด้วยมหาสติมหาปัญญา ไม่มีเวลาพลั้งเผลอตัว แม้ไม่ตั้งใจระวังรักษา เนื่องจากเป็นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปโดยลำพังตนเอง เมื่อทราบเหตุผลแล้วปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง ไม่ต้องมีการบังคับบัญชาเหมือนขั้นเริ่มแรกปฏิบัติ ว่าต้องพิจารณาสิ่งนั้น ต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้ อย่าเผลอตัวดังนี้ แต่เป็นสติปัญญาที่มีเหตุมีผลอยู่กับตัวอย่างพร้อมมูลแล้ว ไม่จำต้องหาเหตุหาผลหรืออุบายต่าง ๆ มาพร่ำสอนสติปัญญาขั้นนี้ให้ออกทำงาน
เพราะในอิริยาบถทั้งสี่เว้นแต่หลับเท่านั้น เป็นเวลาทำงานของสติปัญญาขั้นนี้ตลอดไป ไม่ขาดวรรคขาดตอน เหมือนน้ำซับน้ำซึมที่ไหลรินอยู่ตลอดหน้าแล้งหน้าฝน โดยถือเอาอารมณ์ที่คิดปรุงจากจิตเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา เพื่อหามูลความจริงจากความคิดปรุงนั้น ๆ ขันธ์สี่คือนามขันธ์ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่แลคือสนามรบของสติปัญญาขั้นนี้ ส่วนรูปขันธ์เริ่มหมดปัญหามาแต่ปัญญาขั้นกลางที่ทำหน้าที่เพื่ออริยธรรมขั้น ๓ คือ อนาคามีธรรมนั้นแล้ว
อริยธรรมขั้น ๓ นี้ ต้องถือรูปขันธ์เป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณาอย่างเต็มที่ และละเอียดถี่ถ้วนจนหมดทางสงสัยแล้วผ่านไปอย่างหายห่วง เมื่อถึงขั้นสุดท้าย นามขันธ์เป็นธรรมจำเป็น ที่ต้องพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ทั้งที่ปรากฏขึ้น ตั้งอยู่และดับไป โดยมีอนัตตาธรรมเป็นที่รวมลง คือ พิจารณาลงในความว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล หญิง ชาย เรา เขา ไม่มีคำว่าสัตว์ บุคคล เป็นต้น เข้าไปแทรกสิงอยู่ในนามธรรมเหล่านั้นเลย
การเห็นนามธรรมเหล่านี้ต้องเห็นด้วยปัญญาหยั่งทราบตามหลักความจริงจริง ๆ ไม่เพียงเห็นด้วยความคาดหมายหรือคาดคะเนเดาเอาตามนิสัยของมนุษย์ที่ชอบด้นเดามาประจำสันดาน ความเห็นตามสัญญากับความเห็นด้วยปัญญาต่างกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน ความเห็นด้วยสัญญาพาให้ผู้เห็นมีอารมณ์มาก มักเสกสรรตัวว่ามีความรู้มากทั้งที่กำลังหลงมาก จึงมีทิฐิมานะมากไม่ยอมลงใครง่าย ๆ
เราพอทราบได้เวลาสนทนาธรรมกันในวงนักศึกษาที่ต่างรู้ด้วยความจดจำด้วยกัน สภาธรรมมักจะกลายเป็นสภามวยฝีปากกันอยู่เสมอ โดยไม่จำกัดชาติชั้นวรรณะและเพศวัยเลย เพราะความสำคัญตนพาให้เป็นไป จนลืมมรรยาทความเคารพอันดีงามต่อกันตามประเพณีของมนุษย์ผู้มีธรรม ส่วนความเห็นด้วยปัญญาเป็นความเห็นซึ่งพร้อมที่จะถอดถอนความสำคัญมั่นหมายต่าง ๆ อันเป็นตัวกิเลสทิฐิมานะน้อยใหญ่ออกไปโดยลำดับที่ปัญญาหยั่งถึง ถ้าปัญญาหยั่งลงโดยทั่วถึงจริง ๆ กิเลสทั้งมวลก็พังทลายไปหมด ไม่มีกิเลสชนิดใดจะทนต่อสติปัญญาขั้นยอดเยี่ยมไปได้ ฉะนั้น สติปัญญาจึงเป็นอาวุธชั้นนำของธรรมที่กิเลสทั้งมวลไม่หาญสู้ได้แต่ไหนแต่ไรมา
พระศาสดาได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะสติปัญญา พระสาวกได้บรรลุถึงพระอรหัตก็เพราะสติปัญญาความรู้จริงเห็นจริง มิได้ถอดถอนกิเลสด้วยสัญญาความคาดหมายหรือเดาเอาเฉย ๆ เลย นอกจากนำมาใช้พอเป็นแนวทางในขั้นเริ่มแรกเท่านั้น แม้เช่นนั้นก็จำต้องระวังสัญญาจะแอบแฝงตัวขึ้นมาเป็นความจริงให้หลงตามอยู่ทุกระยะมิได้นิ่งนอนใจ
การประกาศพระศาสนาเพื่อความจริงแก่โลก ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสาวกทรงประกาศด้วยปัญญาความรู้จริงเห็นจริงทั้งนั้น ดังนั้นผู้ปฏิบัติทางจิตตภาวนาจึงควรระวังเจ้าสัญญาจะแอบเข้าทำหน้าที่แทนปัญญา โดยรู้เอาหมายเองเฉย ๆ แต่กิเลสแม้ตัวเดียวก็ไม่ถอดออกจากใจบ้างเลย และอาจกลายเป็นทำนองว่า “ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไปไม่รอด” ก็ได้
ธรรมขั้นรู้เห็นด้วยปัญญานี่แลที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่กาลามชนว่า ไม่ให้เชื่อแบบสุ่มเดา แบบคาดคะเน ไม่ให้เชื่อตาม ๆ กันมา ไม่ให้เชื่อตามครูอาจารย์ที่ควรเชื่อได้ เป็นต้น แต่ให้เชื่อด้วยปัญญาที่หยั่งลงสู่หลักความจริงด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นความรู้ที่แน่ใจอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ท่านมิได้มีคนประกันรับรองว่า ท่านได้บรรลุธรรมจริงอย่างนั้น ไม่จริงอย่างนี้ แต่ สนฺทิฏฺฐิโกมีอยู่กับทุกคน ถ้าปฏิบัติตามธรรมที่แสดงไว้โดยสมควรแก่ธรรม
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า ... ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ มีความเพลิดเพลินจนลืมเวล่ำเวลา ลืมวันลืมคืน ลืมพักผ่อนหลับนอน ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จิตตั้งท่าแต่จะสู้กิเลสทุกประเภทด้วยความเพียร เพื่อถอดถอนมันพร้อมทั้งราก โดยไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นเกรงอะไรเลย นับแต่ออกจากวัดเจดีย์หลวงไปบำเพ็ญโดยลำพังองค์เดียวด้วยเวลาเป็นของตนทุก ๆ ระยะ ไม่ปล่อยให้วันคืนผ่านไปเปล่า
ไม่นานนักเลย ก็ไปถึงบึงใหญ่ชื่อ “หนองอ้อ” และ “อ้อนี่เอง” คือนับแต่ขณะปลีกออกไป จิตท่านเริ่มแสดงตัวอย่างผาดโผนเหมือนม้าอาชาไนยตัวองอาจ
ทั้งจะเหาะเหินเดินฟ้า ทั้งจะดำดินและบินขึ้นบนอากาศ ทั้งจะออกรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่มีประมาณบรรดามีอยู่ในโลกธาตุ ทั้งจะขุดค้นรื้อถอนกิเลสภายในใจให้หมดสิ้นไป ประหนึ่งในอึดใจเดียว เพราะความสามารถอาจหาญของสติปัญญาที่ถูกกักขังบังคับไว้ด้วยภาระเกี่ยวกับหมู่คณะเป็นเวลานาน มิได้ออกแล่นในห้วงมหาสมมุติ มหานิยม เพื่อชมและเลือกเฟ้นกลั่นกรองให้สุดสติปัญญาที่แสนอยากรู้มานาน คราวนั้นจึงสบโอกาสวาสนาอำนวย สติปัญญาจึงแผลงฤทธิ์ทะยานออกล่องหนค้นดูไตรโลกธาตุ ทั้งภายในภายนอก วิ่งออกวิ่งเข้า แหวกว่ายผุดขึ้นดำลง ทั้งปลดทั้งปลง ทั้งปล่อยทั้งวาง ทั้งตัดทั้งฟัน ทั้งขยี้ทำลายสิ่งจอมปลอมทั้งหลายอย่างสุดกำลัง เหมือนปลาใหญ่สนุกแหวกว่ายหัวหางกลางตัวในทะเลหลวงฉะนั้น
จิตมองคืนไปข้างหลังที่ผ่านมาแล้ว เห็นแต่ความตีบตันมืดมิดและเต็มไปด้วยภัยนานาชนิดสุดที่จะรั้งรออยู่ได้ ใจสั่นริก ๆ เพื่อหาทางรอดพ้น มองไปข้างหน้าเห็นมีแต่ความสง่าผ่าเผยเวิ้งว้างสว่างไสว สุดความรู้ความเห็นที่จะพรรณนาให้จบสิ้นลงได้ และยากที่จะนำมาเขียนลงเพื่อท่านได้อ่านอย่างสมใจ จึงขออภัยไว้ด้วยในตอนที่ไม่สามารถจะนำมาลงซึ่งมีอยู่มากมายตามที่ท่านเล่าให้ฟัง
ในเวลาไม่นานนักนับแต่ท่านออกรีบเร่งตักตวงความเพียรด้วยมหาสติมหาปัญญา ซึ่งเป็นสติปัญญาธรรมจักรหมุนรอบตัวและรอบสิ่งเกี่ยวข้องไม่มีประมาณตลอดเวลา
ในคืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัด ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่ชายภูเขาที่มีหินพลาญกว้างขวางและเตียนโล่ง อากาศก็ปลอดโปร่งดี ท่านว่าท่านนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงต้นเดียว มีใบดกหนาร่มเย็นดี ซึ่งในตอนกลางวันท่านก็เคยอาศัยนั่งภาวนาที่นั้นบ้างในบางวัน แต่ผู้เขียนจำชื่อต้นไม้และที่อยู่ไม่ได้ว่า เป็นตำบล อำเภอและชายเขาอะไร เพราะขณะฟังท่านเล่าก็มีแต่ความเพลิดเพลินในธรรมท่านจนลืมคิดเรื่องอื่น ๆ ไปเสียหมด
หลังจากฟังท่านผ่านไปแล้วก็นำธรรมที่ท่านเล่าให้ฟังไปบริกรรมครุ่นคิดแต่ความอัศจรรย์แห่งธรรมนั้นถ่ายเดียวว่า ตัวเรานี้จะเกิดมาเสียชาติและจะนำวาสนาแห่งความเป็นมนุษย์นี้ไปทิ้งลงในตมในโคลนที่ไหนหนอ จะมีวาสนาบารมีพอมีวันโผล่หน้าขึ้นมาเห็นธรรมดวงเลิศดังท่านบ้างหรือเปล่าก็ทราบไม่ได้ ดังนี้ จึงลืมไปเสียสิ้น มิได้สนใจว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องราวกับท่านในวาระต่อไป ดังได้นำประวัติท่านมาลงอยู่ขณะนี้
~~~~~~~~~~~~~~~~~
#ท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ ตอนที่ ๕ "บำเพ็ญเพียรขั้นแตกหัก"
#โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว_ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
--------------
คติธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
เห็นใจแล้ว คือ เห็นธรรม
รู้ใจแล้ว คือ รู้ธรรมทั้งมวล
ถึงใจตนแล้ว คือ ถึงพระนิพพาน
การรักษาศีลธรรม โดยไม่มีใจเป็นตัวประธาน ผลก็คือ
ไม่เป็นศีลธรรมอันน่าอบอุ่นแก่ผู้รักษา และ ไม่น่าเลื่อมใสแก่ผู้อื่น
ศีล คือ รั้วกั้นความเบียดเบียน ร่างกาย และจิตใจ ของกันและกัน
ศีล คือ พืชแห่งความดีงามอันยอดเยี่ยม
ร่างกายกับจิตใจ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อจิตใจไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จะแยกกันไม่ได้
หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ต้องอิงอาศัยกันอยู่ฉันใดก็ดี . . . ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็อาศัยกันอยู่อย่างนั้น
สัทธรรมสามอย่างนี้ จะแยกกันไม่ได้เลย
ดีใด ไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่า ดีเลิศ
ได้สมบัติทั้งปวงไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง
การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลกนั้น การบำรุงรักษาตน คือใจเป็นเยี่ยม
จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี
ใจนี้คือ สมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป
คนพลาดใจคือ คนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้
แม้จะเกิดสักร้อยชาติ พันชาติ ก็คือ ผู้เกิดพลาดอยู่นั่นเอง
พัฒนาตน
คนเราทุกคน . . . . .ใหญ่แต่กาย ใหญ่แต่ชาติ ใหญ่แต่ชื่อ ใหญ่แต่ยศ
ใหญ่แต่ความสำคัญตน แต่ความรู้ - ความฉลาดเท่านั้น
ที่จะทำตนให้ร่มเย็นเป็นสุข ทั้งกายและใจโดยถูกทาง
ตลอดจนให้ผู้อื่นได้รับความร่มเย็นเป็นสุขด้วย
นั่นไม่ค่อยเจริญเติบโตด้วย และไม่สนใจบำรุงให้ใหญ่โตด้วย
จึงเกิดความเดือดร้อนกันอยู่ทุกหนทุกแห่ง
โดยไม่เลือกเพศ - วัย - ชาติ - ชั้นวรรณะ อะไรเลย
ปล่อยวาง
สิ่งที่ล่วงไปแล้ว . . . ไม่ควรทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้น
กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว
โดยความไม่สมหวังตลอดไป . . .
อนาคต ที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
อดีต . . . ปล่อยไว้ตามอดีต
อนาคต . . . ปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย
การรักษาศีล
ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลง กายกับจิตเราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่กี่กาลก็ได้ผลไม่กี่กาล ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจ กล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้มีศีลจักมั่งคั่ง ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวร หมดภัย
หลวงปู่ตอบคำถามเรื่องการรักษาศีล และอะไรคือศีลอย่างแท้จริง
ศีลที่แท้จริง คือความคิดในแง่ต่างๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามขอบเขตของศีลธรรม ที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่า มีสภาพปกติไม่คะนองกายวาจาใจ ให้เป็นกิริยาน่าเกลียด นอกจากความปกติดีงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่าอะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือนซึ่งเป็นคนละอย่างที่พอแยกกันออกได้ไม่ยากนักว่า นั่นคือตัวบ้านเรือน และนั่นคือเจ้าของบ้าน ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลำบาก เฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้ แม้แต่ผลคือความเย็นใจที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกกันไม่ออก ถ้าแยกออกได้ศีลก็อาจกลายเป็นสินค้ามีเกลื่อนตามตลาดไปนานแล้ว และอาจมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยงจากตัวไปหลายรายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของเช่นเดียวกับสมบัติอื่นๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอาที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน เพราะได้มาแล้วก็ไม่ปลอดภัย ดังนั้นความไม่รู้ "อะไรเป็นศีลธรรมแท้" จึงเป็นอุบายวิธีหลีกภัยอันเกิดแก่ผู้มีศีลได้อย่างหนึ่งอย่างแยบยลและเย็นใจ อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้ เพราะระวังภัยยาก แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกสบาย ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องเป็นห่วงว่าศีลจะหาย ตัวจะตายจากศีล กลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีลเช่นเดียวกับคนที่เป็นห่วงสมบัติ ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้
วาสนา
วาสนานั้นเป็นไปตามอัธยาศัย คนที่มีวาสนาในทางที่ดีมาแล้ว แต่คบคนพาล วาสนาก็อาจเป็นเหมือนคนพาลได้ บางคนวาสนายังอ่อน เมื่อคบบัณฑิต(ผู้มีปัญญาและประพฤติดี) วาสนาก็เลื่อนขั้นขึ้นเป็นบัณฑิต ฉะนั้นบุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิตเพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้น
การบำรุงรักษาตน คือใจเป็นเยี่ยมในโลก (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม
รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดอยู่นั่นเอง ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ
: หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
การตำหนิติเตียนผู้อื่น
ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง
ธรรมคำสอน...หลวงปู่มั่น
อย่าสำคัญว่าตนเอง เก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเอง จนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ยังไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร
เมื่อมีผู้เตือนสติ ควรยึดมาเป็นธรรมคำสอน จะเป็นคนมีขอบเขตมีเหตุผล ไม่ทำตามความอยาก เมื่อพยายามฝ่าฝืนให้เป็นไปตามทางของนักปราชญ์ได้จะประสบผลคือความสุขในปัจจุบันทันตา แม้จะมิได้เป็นเจ้าของเงินล้าน แต่มีทางได้รับความสุขจากสมบัติและความประพฤติดีของตน
การบำรุงรักษาสิ่งใด ๆ ในโลก...
การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยื่ยม
จุดที่เยี่ยมยอดของโลก คือ ใจ
ควรบำรุงรักษาด้วยดี
ได้ใจแล้ว คือ ได้ธรรม
เห็นใจแล้ว คือ เห็นธรรม
รู้ใจแล้ว คือ รู้ธรรมทั้งมวล
ถึงใจตน แล้วคือ ถึงพระนิพพาน
ใจนี้ คือ สมบัติอันล้ำค่า
จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป
คนพลาดใจ คือ คนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้
แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติ ก็คือผู้เกิดพลาดอยู่นั่นเอง
*******
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จะแยกกันไม่ได้
หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ต้องอิงอาศัยกันอยู่ฉันใดก็ดี
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็อาศัยกันอยู่อย่างนั้น
สัทธรรมสามอย่างนี้ จะแยกกันไม่ได้เลย
*******
ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญ “ตน” ว่าเสวย เป็นอันผิดทั้งนั้น
*******
ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 13 มกราคม 2563
ตอนที่ 25 **การรักษากายวาจาใจ 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563 ณ วัดพระพุทธเจ้าใหญ่ศรีเชียงของ
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมทูลถามพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงเรื่องของการรักษาแก้ว 3 ประการ ให้ดี ให้สมบูรณ์ไปพร้อมๆกัน ถึง 3 ขั้น น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่องนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอย.. แก้ว 3 ประการ นั้น คือหมายถึง กาย วาจา และใจ ของตน ที่จะใช้ในการฝึกฝน ทำให้ก่อเกิดความดีเป็นขั้นๆ เช่นนั้นใช่หรือเปล่า.. พระยาธรรม
สิ่งที่ลูกตั้งใจจะทูลถาม เป็นเช่นนั้นหรือไม่เล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาก่อนเถิด
พระยาธรรม :: เจ้าค่ะ ลูกหมายถึง กาย วาจา และใจ ที่จะทำให้ดี สมบูรณ์เป็นขั้นๆ - จนถึงขั้นที่ 3 แห่งการประพฤติปฏิบัติ ทำความดี พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดีนะ
การที่คนเราสื่อสาร หรือว่าคำถามที่บุคคลผู้ตอบนั้น ยังไม่ได้เข้าใจตรงกัน ว่า คือคำถามใด
เช่น แก้ว 3 ประการ ก็มีในศาสนา คือ *องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์*
และก็มีในการรักษา แก้ว 3 ประการ ของตน คือ *กาย วาจา และใจ*
คำพูดจะต้องสื่อสารกัน ให้เข้าใจชัดเจน -- จึงจะสามารถพูดคุยไปในเรื่องเดียวกัน ทิศทางเดียวกันได้
พระยาธรรมเอย.. เหตุนี้ เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเพื่อให้ลูกนั้นได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจละเอียด ในเรื่องของการใช้คำพูด
การใช้คำพูด เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่จะต้องสื่อสารกัน ให้เข้าใจตรงกัน
สิ่งที่ทำไป จะได้เหมือนกัน - ตามที่ตั้งใจเอาไว้ทั้ง 2 ฝ่าย
เช่นนี้ละ พระยาธรรม
แม้เพียงแค่เหตุเล็กน้อย หากเรารู้จักสังเกตก็สำคัญ.. เพราะมันจะเป็นเหตุของการสื่อสารไปในทางที่ไม่ตรงกัน - ย่อมเป็นเหตุก่อให้เกิดการผิดพลาด ในสิ่งที่จะทำร่วมกันได้..
และอาจจะกลายเป็นความขัดแย้ง กลายเป็นความทุกข์ กลายเป็นการเพ่งโทษในใจของกันและกัน
พระยาธรรมเอย.. เรื่องของคำพูด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนักนะ..
ทีนี้ ก็ลองมาฟังเรื่องของการรักษาแก้ว 3 ประการในตน - ให้สมบูรณ์เป็นขั้นๆไป
เพราะการที่เราทำความดี -- มันต้องดีสมบูรณ์พร้อม ด้วย กาย วาจา และใจ
ความดีนั้น จึงสมบูรณ์พอให้เราเลื่อนขั้นไปทีละขั้นๆ
ถ้าหากการทำความดีนั้น ไม่สมบูรณ์ ด้วยกาย วาจา และใจ -- เราก็จะไม่สามารถที่จะเลื่อนขั้น ในการทำความดีละเอียดขึ้นๆ ไงลูก
และก็สำคัญยิ่งนักนะ ว่า.. กาย วาจา และใจ จะต้องดีไปพร้อมๆกัน *
-- เมื่อดีไปพร้อมๆกัน การทำความดีจึงสมบูรณ์ และเกิดผลได้อย่างรวดเร็ว ++
พระยาธรรมเอย.. การที่ทำดี - แต่พูดไม่ดี คิดไม่ดี
ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแก้ว 3 ประการนี้ไปแล้วนั้น
-- ย่อมเป็นความดีที่มีรูรั่ว - เป็นความดีที่เติมแล้วไม่เต็ม ลูก
-- ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำดีไป - ก็ไม่ได้ดี เช่นนั้น ลูก
ฉะนั้น ถ้าหากว่า เราตั้งใจที่จะทำความดีแล้ว.. จงเพียรพยายามฝึกฝน ให้พูดดี คิดดี ทำดี
ให้มันดีให้ได้ทั้ง 3 อย่างนะลูก
-- ความดีที่เราทำจึงจะสมบูรณ์ จึงจะไม่มีรูรั่วในการทำความดี ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. ในขั้นที่ 1 ของการทำดี พร้อมด้วยแก้ว 3 ประการ คือ
บุคคลผู้นั้น เขาจะ
- พยายามฝึกฝนตน ให้ทำแต่สิ่งที่ดี
- พยายามระงับ ไม่ให้พูดสิ่งที่ไม่ดีออกมา
- แล้วก็พยายามระงับ ไม่ให้คิดสิ่งที่ไม่ดีออกมา
แต่เขาก็จะยังต่อสู้กับสิ่งทดสอบต่างๆเหล่านั้น เป็นธรรมดา - อาจจะผลัดแพ้ ผลัดชนะ
แต่เขาก็พยายามมีสติตั้งมั่น รู้เท่ารู้ทันว่า
* การกระทำเช่นนี้ คือ การกระทำที่ไม่ดี
* การพูดเช่นนี้ คือ การพูดที่ไม่ดี
* การคิดเช่นนี้ คือ ความคิดที่ไม่ดี
คือ สติตามรู้ และควบคุม - ควบคุมได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางทีก็เผลอไปบ้าง เป็นอย่างนั้น
แต่อย่างน้อย เขาก็จะมีความตั้งมั่น ตั้งใจ ที่จะพยายามดูแลตนให้อยู่ในกรอบความดี
และก็จะรักษาครบทั้ง 3 อย่างด้วย
ไม่ใช่พูดดี - แต่ไม่ทำดี แต่ไม่คิดดี แบบนั้น !
ไม่ใช่คิดดี - แต่ไม่ทำดี ไม่พูดดี แบบนั้น !
-- บุคคลผู้ยังทำเช่นนั้น ยังถือว่า.. ไม่เข้าข่ายของการทำความดีเลย แม้แต่ขั้นที่ 1 ++
บุคคลผู้จะทำความดี รักษาแก้ว 3 ประการ -- จะต้องเริ่มตั้งแต่
/ มีสติ รู้ตัว
/ รู้เท่าทันสิ่งที่ไม่ดี คิดสิ่งที่ไม่ดี เพียงแต่ควบคุมบังคับยังไม่ได้ทั้งหมด
/ พยายามที่จะฝึกฝนตนด้วยกาย วาจา และใจ
/ ยังคงอยู่ในกรอบของการควบคุม บังคับไม่ให้ทำด้วยสติ ด้วยศีล ยังคงฝึกไปเช่นนั้น อย่างนั้น..
แต่อย่างน้อย.. เขาก็ยังลดละการทำผิดทำพลาดไป - มากกว่าปรกติที่ไม่คิด ไม่มีสติควบคุมตนเองเลย
เขาก็จะพูดในสิ่งที่ดีมากขึ้น - ดีกว่าไม่รู้เท่าทันวาจาแห่งตนเลย
เขาจะคิดในสิ่งที่ดีมากขึ้น - ดีกว่าไม่รู้เท่าทันความคิดเลย
คือ ขั้นที่ 1 - ที่จะรักษาความดีให้สมบูรณ์ ถึง 3 ประการ
จะเป็นผู้ที่เริ่มมีสติควบคุมตนเอง - ให้ทำความดี ให้พูดสิ่งที่ดี คิดสิ่งที่ดี
มีสติตามรู้ ตามเบรก ตามที่จะหยุดในสิ่งที่ไม่ดี
และควบคุมกาย วาจา และใจ ให้อยู่ในทางที่ดี
... ค่อยๆทำ ค่อยๆสั่งสมไปเช่นนี้ - จนถึงจุดหนึ่ง ที่ขึ้นสู่ขั้นที่ 2 แห่งการรักษาแก้ว 3 ประการ
ในขั้นที่ 2 นี้ -- บุคคลผู้ที่ทำให้ตนนั้นก้าวขึ้นสู่ ขั้นที่ 2 ได้แล้ว
แน่นอนละ พระยาธรรม.. ขั้นที่ 2 นี้ -- เขาจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีออกไปทางกาย
หรือทำ - ก็เป็นความผิดเพียงแค่เล็กน้อย เช่น แสดงอาการโกรธ +
หรือว่าอาจจะแสดงในสิ่งที่ไม่พอใจเกิดขึ้น - ผ่านทางอารมณ์เล็กน้อย
แต่สิ่งใดที่ไม่ดี - ที่เป็นการผิดพลาด การผิดศีลผิดธรรม - ที่เขาจะทำออกไปสู่กายนั้น.. ย่อมไม่มี !
จะเพียงแต่ว่า.. แสดงอาการทางกายเล็กน้อย
แต่สติ ก็จะตามรู้ และควบคุมให้เขาอยู่ในกรอบของความดีทางกายได้ +
และเขาก็จะควบคุมให้คำพูดของเขานั้น เป็นคำพูดที่ไม่รุนแรง
แม้อาจจะเผลอไปบ้างเล็กน้อย.. แต่คำพูดก็จะเบาลง และเขาก็จะใช้แต่คำพูดที่ดี ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ทุกคน
-- เขาก็จะพูดแต่สิ่งที่ดีมากกว่า แม้บางครั้งไม่พอใจเลย - เขาก็เลือกที่จะพูดด้วยเหตุด้วยผล / ด้วยสิ่งที่ไม่ทำร้ายผู้อื่น- ด้วยคำพูด จนเกินไป ++
พยายามควบคุมคำพูดไว้ได้ในระดับของการ
- พูดดี
- พูดเป็นเหตุเป็นผล
- พูดเป็นการเป็นงาน
ถึงแม้ว่า อาจจะมีความไม่พอใจอยู่บ้าง.. แต่ก็ควบคุมคำพูดของตนได้ - ให้เป็นไปในทิศทางที่ดี..
อาการทางกาย ก็ควบคุม
อาการทางวาจา ก็ควบคุมได้ อยู่ในระดับที่พอดีพองาม
แต่ยังแสดงถึง อาการต่างๆ - ที่ไม่พอใจบ้าง ซึ่งเป็นการทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่เล็กน้อย
แล้วเขาก็จะคิดบวก คิดในสิ่งที่ดี คิดไปในมุมที่ดี โดยส่วนมาก
แม้จะมีความคิดที่ไม่ดี เช่น การเผลอไปเพ่งโทษคนอื่นบ้าง เล็กน้อย
หรือว่ามีความคิดที่ขัดเคืองใจ /ไม่พอใจบ้าง - แต่สติจะรู้เท่าทัน +
และจะหยุดความคิดเหล่านั้นเอาไว้ - แค่เฉพาะในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในมุมใดมุมหนึ่ง
ไม่ปล่อยให้เชื้อที่ไม่พอใจ หรือไม่ดีเหล่านั้น ครอบงำตน..จนกลายเป็นทุกข์ ++
เขาก็จะพิจารณา และมองไปในมุมบวก สลัดเอาความคิดที่ไม่ดีนั้น- ออกจากตัวของเขา
บุคคลที่ถึงในระดับที่ 2 นี้ -- เขาก็จะเป็นผู้มีสติ ระงับกาย วาจา และใจ ให้อยู่ในกรอบของการทำความดี
และการที่ระงับกาย วาจา และใจ อยู่ในกรอบของความดีนี้.. ก็อาจจะมีการแสดงออกมาทางกาย
แสดงออกมาทางใจ ทางวาจา - ที่ไม่ค่อยดี เล็กๆน้อยๆ
-- เป็นเพียงแค่อารมณ์ของการขัดเคืองใจ ไม่พอใจนิดหน่อย.. แต่
/ จะไม่ไปทำในสิ่งที่ เรียกว่า เป็นความชั่ว
/ จะไม่ไปพูด ในสิ่งที่เป็นความชั่ว
/ จะไม่คิดไป ในสิ่งที่เป็นความชั่ว
ชั่ว หมายถึง ผิดศีลผิดธรรม ทำผิดรุนแรง ร้ายแรง - ในอาการที่แสดงแบบรุนแรงออกไป
เขาจะตั้งมั่นอยู่ในกรอบของศีล ด้วยการสำรวมกาย วาจาและใจ ไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี
แม้เพียงแค่ มีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจของเขา / ในคำพูดของเขา / ในการกระทำของเขา เพียงแค่เล็กน้อย ... เขาก็จะมีสติรู้เท่าทัน ระงับมันลงได้ ไม่ให้แพร่ขยายกว้างออกไป ++
- ไม่ให้เกิดการสร้างกรรมที่หนักออกไป...
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ ฝึกฝนไป.. จนถึงระดับที่ 3 - แห่งการรักษาแก้ว 3 ประการในตนให้ดี สมบูรณ์
จิตของเขาก็จะรู้ตื่น อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
เขาจะไม่มีความพอใจ หรือไม่พอใจ - ในสิ่งใดเลย
เขาจะอยู่อย่างผู้รู้แล้ว.. เข้าใจแล้ว.. ตามความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง
ควรแก่การที่จะต้องแก้ไข จัดสรร จัดการ สิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นไปในทางที่ดีอย่างไร
-- เขาก็จะจัดการให้เป็นไปเช่นนั้น..
ควรแก่การที่ต้องใช้คำพูด ในรูปแบบใด - เพื่อให้ช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
หรือบุคคลผู้ที่จะต้องช่วยเหลือนั้น - ให้ได้ดีขึ้น / ให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
-- เขาก็จะใช้คำพูด ตามเหตุตามรูปแบบนั้น โดย..
ปราศจากอารมณ์ส่วนตัว ปราศจากความสุข- ความทุกข์ การชอบ-ไม่ชอบ อารมณ์โกรธ- หรือความขัดเคืองใจความคับแค้นใจต่างๆ
-- มันจะปราศจากทั้งหมด...
จะสักแต่ว่า พูดไปตามเหตุ ตามสถานการณ์ ตามสิ่งที่ควรพูด - เพื่อที่จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น +
เขาจะคิดสิ่งใด - ในใจก็จะพิจารณาถึงเรื่องที่จะพูด จะทำ จะดำเนินไป ที่ถูกต้องที่สุดอย่างรู้ตื่น รู้แจ้ง
แม้แต่ความคิด - ก็ไม่ได้สร้างเหตุแห่งทุกข์แก่เขาเลย +
เพราะเขาแค่สักแต่ว่า พิจารณาไป..
ถ้ารู้สึกว่า มีคลื่นแห่งความทุกข์เข้ามาแล้ว - เขาก็จะวางความคิดนั้นไป..
... ใจของเขาจึงสงบตั้งมั่น และสว่างไสว ++
การกระทำทางกาย / การกระทำทางวาจา / และการพิจารณานั้น.. จึง
เป็นเพียงอาการทางกาย
เป็นเพียงอาการที่สักแต่ว่าดำเนินไป เพื่ออยู่กับโลกได้
เป็นเพียงสิ่งที่.. สักแต่ว่า
... จึงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องด้วยจิตเลย เพราะจิตนั้นรู้ตื่น เห็นแจ้งในสรรพสิ่ง สักแต่ว่า
ใช้กายนั้นดำเนินไป เพื่อให้เหตุต่างๆทั้งหลาย เป็นไปในทิศทางที่ดี
แม้แต่การทำเพื่อสิ่งใด ก็สักแต่ว่าทำไปตามเหตุนั้น โดยไม่มีความยึดติด ยึดมั่น ในสิ่งใดๆ
ใจของเขาย่อมโล่ง โปร่ง เบาสบาย
สิ่งที่จะทำให้มัวหมอง เศร้าหมอง - ย่อมจะไม่มีในดวงจิตดวงนั้น
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. คือ บุคคลผู้รักษาแก้ว 3 ประการ - 3 ขั้น
ขั้นที่ 3 คือ ผู้สักแต่ว่า..
ดำเนินไป ด้วยกาย วาจา ใจ
ที่เป็นอาการทางกาย ปราศจากเจตนาใดๆทั้งหมด
ดำเนินไปตามเหตุ แล้วทำไปตามเหตุ
แล้วปรับทุกอย่างไปตามเหตุ ที่ควรจะทำให้มันเป็นไปในทางไหน - สักแต่ว่าทำไปเช่นนั้น..
บุคคลในขั้นที่ 3 นี้ จึงไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกรรม / เป็นสิ่งที่จะต้องมายึดมาถือ ว่า..
อันนั้นดี- อันนี้ไม่ดี
อันนั้นถูก - อันนี้ไม่ถูก
-- ทุกอย่างเหนือเหตุเหนือผล / ทุกอย่างเพียงแค่สักแต่ว่า ดำเนินไป..
จึงไปใช้ผิดใช้ถูก กับคนที่มีสภาวธรรมเช่นนี้ไม่ได้แล้ว
-- เพราะเป็นการกระทำที่..
... หลุดลอยเหนือกิเลสตัณหา อัตตาตัวตน
... หลุดลอยเหนือสิ่งทั้งหลายแล้ว *
ฉะนั้น จึงเป็นเพียงแค่อาการสักแต่ว่า จะเอาผิดเอาถูก เอาดีเอาชั่วอะไรไม่ได้
เพราะในสิ่งที่ทำเหล่านั้น มันละเอียด ลึกยิ่งกว่า..บุคคลธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจได้ !
ฉะนั้น จึงเป็นการกระทำที่ทำไป สักแต่ว่า..
ส่วนตัวเราที่ยังไม่ถึงจุดที่ 3 นั้น เราก็ควรพิจารณาให้มาก ถึงสิ่งที่เราถูกกระทบจากเหตุต่างๆ
แล้วก็ปรับปรุงแก้ไขตน ตามระดับที่ตนนั้นควรจะแก้ไข
ค่อยๆปรับสภาวะของตนไปให้ดี - ก็ให้มันดีทั้งกาย วาจา และใจ ให้สมบูรณ์ **
ถ้าเกิดว่า เราทำดีมากแล้ว - แต่ยังพูดไม่ดี ยังคิดไม่ดี
-- ยังไงก็ ไม่ผ่านขั้นที่ 1
-- ยังไงก็ ไม่ผ่านขั้นที่ 2
ฉะนั้น ถ้าเกิดว่าเรา ต้องการที่จะฝึกฝนตัวเราให้ดีอย่างแท้จริง.. เราต้องฝึกแก้ว 3 ประการไปพร้อมๆกัน ให้ดีเสมอกันไป
ทำดี พูดดี คิดดี
แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ ทำให้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่เหนือการกระทำทั้งปวง
-- ทำทุกอย่างสักแต่ว่า.. นั่นละ จึงจะใช้ได้ ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น ถ้าหากลูกทั้งหลาย ตั้งใจจะฝึกตน ให้เป็นแก้ว 3 ประการที่สมบูรณ์นะ
/ อย่าทำดีแต่แค่ กาย
/ อย่าทำดีแต่แค่ คำพูด
/ อย่าทำดีแต่แค่ ความคิด
เพราะถ้าลูกเพียงแค่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.. แสดงว่าลูกนั้นยังไม่เข้า - แม้แต่ขั้นที่ 1 เลย !
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกคิดดี พูดดี และทำดีด้วย
แล้วก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ของการควบคุม บังคับ มีสติตามรู้ ผิดพลาดบ้าง / ควบคุมได้บ้าง
-- แปลว่า อยู่ในขั้นที่ 1
เมื่อไหร่ที่การกระทำที่ไม่ดี ที่เป็นกรรมชั่วมาก - ก็ไม่ทำแล้ว ไม่พูดแล้ว ไม่คิดแล้ว !
เหลือเพียงแค่อารมณ์เล็กน้อย ในความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ หรือความโกรธ
มันเป็นเพียงอารมณ์เล็กน้อย
เผลอแสดงอาการออกมาบ้าง เล็กน้อย
พูดเล็กน้อย คิดเล็กน้อย
-- แล้วก็ควบคุมได้ คิดไปในทางที่บวกได้ แสดงว่า อยู่ในขั้นที่ 2 *
เมื่อไหร่ที่ลูกอยู่เหนือการกระทำทั้งปวง ทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า ..
เมื่อนั้นละ.. ลูกก็ทำดีอยู่ในขั้นที่ 3 หรือเป็นการรักษาแก้ว 3 ประการ ถึงขั้นที่ 3 แล้ว
และความดีที่ทำไปจะเห็นผล เกิดขึ้น -- ก็ต่อเมื่อลูกอยู่ในขั้นที่ 2 และเลื่อนสภาวธรรม อยู่ในขั้นที่ 3 ก็จะชัดเจน
แต่ถ้ายังอยู่ในขั้นที่ 1 -- ลูกก็ยังมองไม่เห็นผลจากการที่ลูกนั้นฝึกฝนตน ให้คิดดี พูดดี ทำดี
บางคนก็อาจจะเห็นเล็กน้อย บางคนก็อาจจะไม่เห็นเลย
.. แต่ว่า จงมุ่งมั่นตั้งใจทำต่อไป
ด้วยว่าขั้นที่ 1 นั้น - ยังมีรูรั่วแห่งการทำความดีอยู่
ก็จงตั้งใจทำไป ๆ
แล้วลูกจะรู้เองว่า.. การทำดี - ได้ดี ทำชั่ว - ได้ชั่ว
การทำดี -ละดี การละชั่ว อยู่เหนือกรรมทั้งปวง สบาย และเป็นเช่นไร ในจิตดวงนั้น
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย
และที่นำเอาเรื่องของแก้ว 3 ประการนี้ มากล่าวไว้ ให้เป็น 3 ขั้น - ก็เพื่อให้ลูกทั้งหลาย ได้ระลึกรู้ถึง
* รูรั่วแห่งการทำความดี *
บางคนว่าทำดีแล้ว - แต่คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไปจึงไม่เห็นผล.. ลูกเอ๋ย
บางคนพูดดีแล้ว คิดดีแล้ว - แต่ไม่ลงมือทำอีกด้วย.. จึงเป็นรูรั่ว
บางคน เขาได้แต่คิดดี - แต่ไม่พูดดี ไม่ทำดี.. ก็กลายเป็นรูรั่ว
จึงเป็นเหตุที่ทำให้บุคคลผู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง - เกิดการท้อใจในการทำความดี
การทำสิ่งใดก็ตาม ลูกเอ๋ย.. ถ้าเรานั้นทำไม่ถูกต้องตามวิธี - ผลจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า ?
-- ทำอะไรก็ตาม ต้องทำตามวิธี ตามขั้นตามตอน ทำถูกต้อง.. ผลของมันจึงก่อเกิด **
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
การทำความดี ต้องทำให้ครบ แก้ว 3 ประการ ด้วยกาย วาจา ใจ
และต้องทำด้วยการทำตามสติ แล้วสติก็ห้ามไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ดี พูดไม่ดี คิดไม่ดี
จนจิตนั้นอยู่เหนือการกระทำทั้งปวง สักแต่ว่าทำไปเป็นขั้นๆ เช่นนี้
และเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก ที่เราต้องรู้เช่นนี้..
-- ถ้าไม่อย่างนั้น ความดีของเราก็จะรั่วไหล ++
พอจะเข้าเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกต้องกราบลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ