ถ้าแผ่เมตตาอัปปมัญญาเนี่ย
แผ่ไม่มีขอบเขตครอบโลกธาตุเลย
จะกว้างขวางมาก
แต่คนที่จะแผ่(เมตตา)อัปปมัญญาได้
สมาธิต้องแรงพอ
ถ้ามีแรงนิดเดียวจะไปแผ่กว้างๆนะ
เหมือนมีหลอดไฟ ๕ แรงเทียน
แหม จะแผ่ทั่วห้องเนี้ยนะ
หายไปหมดแหละหาไม่เจอ
จี้อยู่แถวนี้ยังพอดูอะไรได้
งั้นอย่างสมาธิเราดี
เวลาเราเจริญเมตตานะไม่มีขอบเขต
ไม่มีประมาณ กว้างขวาง
แล้วเวลาเราจะทำสมาธิต่อนะ
เวลาใจที่มีเมตตาเนี่ยนะ
ทรงจิตอยู่กับความเมตตาไว้
เมตตาเป็นอรูปนะ เมตตาเป็นอรูป
จิตจะกระโดดเข้าอรูปฌานไป
โดยไม่ต้องผ่านรูปฌาน
งั้นเวลาเราเจริญเมตตาเนี่ย
จิตเข้าอัปปนาสมาธินะจะไม่มีนิมิต
อย่างถ้าเราใช้ลมหายใจ ใช้กสิณเนี่ย
ก่อนที่(จิต)มันจะสงบ
แล้วจะเกิดนิมิตปฏิภาคขึ้นมา
จะเป็นดวงขึ้นมาสว่าง
กำหนดได้อย่างนู้นอย่างนี้
แต่อย่างเมตตาจะไม่มีจุดไม่มีดวงนะ
จะไร้ขอบไร้เขต คนละแบบกัน
งั้นการเข้าอัปปนา(อัปปนาสมาธิ)จะมี ๒ แบบ
แบบหนึ่งเข้าโดยกรรมฐานที่ทำให้มีปฏิภาคนิมิต
อีกอันหนึ่งเป็นกรรมฐานที่ไม่มีนิมิตนะ
เนี่ยเรื่องของสมาธินะสนู้กสนุก
เรียนชาติเดียวไม่จบหรอกนะ เรียนหลายชาติ
บางองค์ท่านก็ทำอะไรได้แปลกๆนะ
แต่ว่าไม่เล่าดีกว่าเสียเวลา
พวกเราก็ช้อบชอบนะเรื่องอย่างเนี้ยนะ
สมาธิอีกชนิดหนึ่งนะ ก็คือ
"สมาธิที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว"
อย่างเราแผ่เมตตาเนี่ย
ความรู้สึกเราจะกระจายออกไป
เราเพ่งกสิณความรู้สึกเราจะเคลื่อนออกไป
แล้วเราทำกรรมฐานไปรู้ลมหายใจ
เพ่งลมหายใจ จิตเราจะเคลื่อนไปอยู่ที่ลมหายใจ
เราพัฒนาจากสมาธิ
ที่จิตเคลื่อนไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว
มาเป็นสมาธิที่จิตตั้งมั่นแล้วรู้อารมณ์
ก็ใช้กรรมฐานอย่างเดิมนั่นแหละ
อย่างเราแผ่เมตตาไป
แผ่เมตตา หรือพุทโธ หรือหายใจไปนะ
ใช้(กรรมฐาน)อย่างที่เคยทำ
แต่ให้ความสนใจ ให้ความใส่ใจที่จิต
ไม่ได้ไปให้ความใส่ใจที่ตัวอารมณ์
อย่างเราแผ่เมตตาเนี่ยนะใจเราจะกว้างนะ
เราไม่สนใจจิตใจตัวเองนะ
(จิต)มันจะกว้างขวางไม่มีขอบไม่มีเขต
ฮู้! มีความสุขบอกไม่ถูก
แต่คราวนี้แทนที่จะให้ความสำคัญกับเมตตา
หรือให้ความสำคัญกับอารมณ์เนี่ย
"ให้ความสำคัญกับจิต"
พุทโธ พุทโธไป จิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน
พุทโธไป จิตสงบ รู้ว่าสงบนะ
พุทโธไป จิตหนีไปคิด รู้ว่าจิตหนีไปคิด
โดยเฉพาะการรู้ว่าจิตหนีไปคิดเนี่ย ดีมากๆเลย
จิตที่หนีไปคิดคือจิตที่มีโมหะ มีความฟุ้งซ่าน
มีกิเลสที่ชื่ออุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
งั้นเวลาเราพุทโธ เราหายใจ หรือเราเจริญเมตตา
แล้วมันลืมกรรมฐานของเราไป
(จิต)หนีไปคิดเรื่องอื่นน่ะ
เราก็รู้ทัน อ้าว!จิตหนีไปแล้ว
คอยรู้ทันจิตไว้
เอาจิตเป็นพระเอก เอาจิตเป็นนางเอก
แล้วไม่ใช่เอาอารมณ์เป็นที่พึ่งที่อาศัยอีกต่อไป
งั้นเราทำกรรมฐานนะ พุทโธๆๆ
จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นลืมพุทโธ.. รู้ทัน
พอรู้ทันนะ จิตที่หลงก็จะดับ จิตที่รู้ก็จะเกิด
เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า"จิตผู้รู้"
คำว่า"จิตผู้รู้" เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนเนี่ย
เข้าไปหาครูบาอาจารย์วัดป่า
เนี่ยจะได้ยินแต่คำว่า"จิตผู้รู้"
หาองค์นี้ท่านก็พูดถึงจิตผู้รู้
องค์นี้ก็พูดถึงจิตผู้รู้นะ
ตอนเราหัดใหม่ๆ เราก็ไม่เข้าใจ
พอภาวนาไปแป๊บนึง
โอ้ย (จิตผู้รู้)ตัวนี้ เราเห็นมาแต่เด็กแล้ว
จิตที่มันเป็นคนดู จิตที่ทำหน้าที่รู้อารมณ์
ไม่ใช่"จิตที่ทำหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง"
"เป็นจิตที่ทำหน้าที่รู้อารมณ์"
รู้อารมณ์คือรู้อะไร ?
รู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส
รู้โผฏฐัพพะ ในสิ่งที่กระทบกาย
รู้นามธรรมทั้งหลาย หรือธรรมารมณ์ทั้งหลาย
ธรรมารมณ์ ไม่ใช่นามธรรมอย่างเดียวนะ
รูปธรรมจำนวนมากก็เป็นธรรมารมณ์
เป็นสิ่งที่รู้ด้วยใจ อย่างเราลองหลับตา
แล้วเราขยับเนี่ย เรารู้ด้วยตา หรือเรารู้ด้วยหู ?
เรารู้การเคลื่อนไหวเนี่ย รู้ด้วยใจ
รูปที่เคลื่อนไหวเนี่ยเรียก"วิญญัติรูป"
เป็นรูปที่รู้ด้วยใจ
งั้นธรรมารมณ์เนี่ยบางส่วนเป็น"รูป"
นามธรรมทั้งหมดเป็นอารมณ์
นิพพานเป็นอารมณ์
แล้วก็บัญญัติ ก็เป็นอารมณ์
นี่เป็นอารมณ์ เป็นธรรมารมณ์
งั้นสิ่งที่รู้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เรียกว่าอารมณ์ จิตมันเป็นคนรู้อารมณ์
เช่นความสุขเกิดขึ้น จิตก็รู้ว่าความสุขเกิดขึ้น
เนี่ยจิตเป็นคนดู
ขณะเนี้ยพวกเรานั่งอยู่ รู้สึกมั้ย
พวกเรานั่งอยู่ ใครเป็นคนรู้ ? จิตเป็นคนรู้
ไม่ต้องไปหานะว่าจิตอยู่ที่ไหน
หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อว่า
ถ้าเราใช้จิตแสวงหาจิตอีกกัปหนึ่งก็ไม่เจอ
ท่านสอนขนาดนี้เลย หาอีกกัปหนึ่งก็ไม่เจอ
ไม่ใช่หาสิบนาทีอย่างพวกเรา หาไม่เจอแล้วก็แล้วกันไป
ให้พากเพียร(เอาจิตไปหาจิต)ตลอดกัปหนึ่งก็ไม่เจอ
งั้นเราไม่ต้องไปหาตัวผู้รู้
เราให้รู้ทันเวลามันหลงน่ะ
ทันทีที่รู้ว่าจิตหลงนะ จิตหลงจะดับ
แล้วจะเกิดจิตผู้รู้ขึ้นโดยอัตโนมัติ
"ถ้าเราไม่มีจิตผู้รู้ เราจะเจริญปัญญาไม่ได้"
อย่างขณะเนี้ยร่างกายเรานั่งอยู่
จิตมันรู้ว่าร่างกายนั่ง
ร่างกายหายใจ
ตอนนี้ร่างกายหายใจออกหรือหายใจเข้า
ดูออกมั้ย ต้องวางฟอร์มมั้ยถึงจะรู้
ว่าตอนนี้หายใจออกหรือหายใจเข้า
ไม่ต้องเลยใช่มั้ย
ตอนนี้หายใจออกหรือหายใจเข้า รู้มั้ย ?
ตอนนี้นั่งอยู่ รู้มั้ย ?
เห็นมั้ยแค่ไม่ใจลอยเท่านั้นน่ะมันก็รู้แล้ว
ว่าร่างกายจะหายใจออกจะหายใจเข้า
ร่างกายจะยืน เดิน นั่ง นอน
ร่างกายจะเคลื่อนไหว ร่างกายจะหยุดนิ่ง
แค่ไม่ลืมตัวนะ!
ไม่เหม่อ ไม่ใจลอยลืมเนื้อลืมตัว
แค่นี้ก็รู้สึกได้แล้ว
ว่าร่างกายมันกำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่
ร่างกายหายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึกไป
ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกไป
ลองพยักหน้าซิ
เนี่ยเดี๋ยวนี้เริ่มพยักหน้าเป็นแล้ว
แต่ก่อนพยักหน้าไม่เป็นนะ
แต่ก่อนพอหลวงพ่อบอกพยักหน้าซิ
หลวงพ่อคิดถึงกิ้งก่า
กิ้งก่าเวลามันพยักหน้านะมันทำอย่างนี้นะ
เมื่อกี้หัวเราะ รู้มั้ย ใครหัวเราะ ?
เห็นมั้ยว่าร่างกายหัวเราะ เห็นรึเปล่า ?
อย่าบอกว่าเห็นนะ เมื่อกี้เนี้ยเราหัวเราะ
เมื่อกี้เราหัวเราะ
ถ้าจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ มันจะเห็นร่างกายต่างหาก
ที่กำลังหัวเราะอยู่ จิตเป็นคนรู้คนดูนะ
แต่ถ้าจิตเป็นคนรู้คนดูมันไม่ค่อยหัวเราะหรอก
จิตมันเบิกบานแล้วหัวเราะ
เบิกบานในธรรมะแล้วหัวเราะ ยิ้ม
หรือจิตหลงโลก จิตมีราคะก็ยิ้มได้ หัวเราะได้
เพราะมีเหตุของการหัวเราะเยอะแยะเลย
งั้นลองคอยรู้สึกไป
ร่างกายเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
คันแล้ว สมมุติคันแล้วเกา
เนี่ยคันรู้ว่าคันก่อนนะ
มีทุกขเวทนาเกิดแล้ว คือคัน
เกา เกาเห็นร่างกายมันเคลื่อนไหว
ถ้าเราร่างกายเคลื่อนไหว จิตเป็นคนดูเนี่ย
แป๊บเดียวมันจะรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู
พวกเราไปสังเกตดู อะไรที่ถูกรู้ถูกดู
อันนั้นจะไม่ใช่ตัวเรา
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
การเจริญ"เมตตาพรหมวิหาร"
ถ้าสูงขึ้นก็เป็น"เมตตาอัปปมัญญา"
เมตตาพรหมวิหารเนี่ย
เป็นการแผ่เมตตาเฉพาะบุคคล
แผ่ให้ควายตัวนี้ เสือตัวนี้ ให้งูตัวนี้
หรือให้คนคนนี้ อะไรอย่างนี้
ถ้าอีก1 เดือน.หมดลม.จะทำอะไร?.
ขออโหสิกรรม.
เร่ง.วางโลกีย์.
เร่งสร้างโลกุตระ ทาน-ศีล-ภาวนา- อุเบกขา-ใจนิ่งสงบเมตตา-มีพุทธานุสสติ
อานิสงส์ของความเมตตา แม้ใครจะคิดร้ายต่อเรา ก็จะทำอะไรเราไม่ได้ ผลจากอะไร..ผลจากความเมตตาที่เราให้เค้าไปมันปกป้องไปในตัว เค้าไม่สามารถทำลายสิ่งนั้นได้ ถ้าเค้าทำร้ายสิ่งนั้นจะกลับไปหาบุคคลผู้นั้น เพราะว่ากรรมมันจะให้ผลอย่างหนัก เพราะว่าคนที่จ้องจะทำร้ายกับอีกฝ่ายหนึ่่งไม่คิดจะทำร้าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นผลแห่งความเมตตานี้..แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมตตาเป็นอย่างไร การว่าเจริญเมตตาจัดว่าเป็นทานอย่างหนึ่ง..ทานอะไร ทานเรียกว่า"ให้อภัยทาน" คนที่จะให้อภัยทานกันได้เป็นสิ่งที่ยาก คนที่ให้อภัยทานไม่ได้เพราะมันมีมิจฉาทิฏฐิ หลงตัวหลงตน ถือดีถือตนอยู่ จึงมีแต่ความอาฆาตพยาบาท ที่ว่าใครจะเหนือกว่าเราไม่ได้..นี่คือความหลง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นการให้อภัยทาน คือให้อโหสิกรรม ความไม่เอาโทษ ความไม่โกรธตอบ สิ่งเหล่านี้ถ้าบุคคลละได้ ทำได้ เจริญได้แล้ว ก็เรียกว่าแม้บ้านเรือนนั้นจะมีสัตว์อสรพิษเข้าไปสิงสู่ก็ไม่สามารถกัดเจ้าของเรือนได้ แม้โยมไม่ต้องสวดมนต์บทใดก็ตาม
ดังนั้นอานุภาพแห่งเมตตามันไม่มีประมาณอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นก่อนที่โยมจะสำเร็จโทษด้วยการเจริญรจนาพระคาถาอะไรก็ตาม ขอให้โยมเจริญมนต์คำสั้นๆว่าพุทโธ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ แม้โยมจะเดินในเคหสถานในบ้านเรือนของโยมทุกก้าวย่าง..เป็นการเปลี่ยนภพเปลี่ยนมิติหมด อย่าคิดว่าปลอดภัย ให้ภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขณะที่โยมภาวนาโยมเหยียบย่ำที่ใด..ไม่เรียกว่านับเป็นภพ เพราะว่าจิตโยมอยู่ในอารมณ์เดียว แสดงว่าโยมยืนอยู่ แม้เดินก็เหมือนยืนอยู่ แต่ถ้าโยมเดินอยู่แต่ไม่มีสติ นั่นแหล่ะจ้ะ โยมกำลังก้าวล่วงไปถึงอีกมิติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันจึงเกิดเหตุเพทภัยได้ในบ้านเรือนเรา..เพราะเรานั้นประมาท
ดังนั้นกรรมที่เราเคยทำไว้ หากขาดแล้วซึ่งความประมาทซึ่งสติแล้ว กรรมนั้นก็จะเล่นงานเราได้ รู้จักคนที่เค้าจ้องเล่นงานเรามั้ยจ๊ะ เค้าจะให้เราเห็นมั้ย แต่ถ้าโยมมีสติพุทโธทุกก้าวย่าง ทุกสติที่โยมเดิน โยมจะเท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อโยมเห็นอารมณ์โยมก็เห็นกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
กรรมมันเกิดจากที่เรามีอารมณ์ เพราะเรามีความอยาก แต่ถ้าเราหมดอยากโยมจักไม่มีอารมณ์ เมื่อโยมไม่มีอารมณ์โยมก็ไม่ต้องไปเสวยภพเสวยชาติ เมื่อคนที่ไม่มีภพไม่มีชาติ..จะมีมรณา มีความเจ็บความป่วย มีเคราะห์มีกรรม..เป็นไปไม่ได้ เพราะคนนั้นเค้าหมดซึ่งโทษแล้ว ผู้คุมไม่สามารถเอาตัวมาทรมานรับโทษทัณฑ์นั้นได้อีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แม้เดินอยู่ในบ้านในเรือน ห้องนอนก็ดี โยมต้องพุทโธ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เพราะบางคนก็ตายในห้องน้ำก็มี นั้นอย่าได้ประมาท
ยิ่งพอยิ่งใกล้มีภัย เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ไอ้ที่มันออกมาโผล่มามันไปแฝงรอเราอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ จ้องจะเล่นงาน แล้วโยมจะรู้ได้ยังไงว่าโยมไปทำอะไรมาบ้าง นั้นทางที่ดีถ้าโยมเจริญเมตตาเสร็จแล้วให้โยมแผ่เมตตาออกไป อะไรบ้างในขณะใดที่เราสามารถแผ่เมตตาได้..ขณะคิดจะให้ก็แผ่ได้เลย อ้าว..คนคิดจะให้นี่เป็นบุญแล้ว ถ้าคนคิดอยากจะได้นี่ไม่ใช่บุญ เค้าเรียกว่ากำลังเบียดเบียน กำลังสร้างเวร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
คิดอยากจะเอาของคนอื่นก็เรียกว่าละเมิดศีลแล้ว อันนี้เป็นอกุศล แต่คิดที่จะให้นี้แลจึงเรียกว่าเป็นทาน เป็นกุศล สามารถเจริญจิตอธิษฐานแผ่เมตตาได้ เช่นคิดอยากจะให้คนอื่นเค้าปรารถนาดีให้เค้าหมดจากทุกข์ คิดปรารถนาดีอยากให้เค้ามีแบบนี้แบบมีสุข แบบนี้เป็นเรียกเป็นกุศล เรียกเป็นบุญ เรียกเป็นเมตตาทั้งนั้น คนที่ไม่มีเมตตาเค้าคิดแบบนี้ไม่ได้ สังเกตง่ายๆคนที่ไม่มีเมตตาคือคิดจะเอาอย่างเดียว อันนี้เรียกขาดเมตตา คนถ้าคิดจะให้นี้เค้าเรียกมีเมตตาไม่มีประมาณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แล้วคนที่คิดแต่อยากจะได้ ขาดจากความเมตตา มันจะหาความสงบ มีแต่ความเร่าร้อน หรือนอนเป็นสุข ไม่ได้เลย เกิดสะดุ้งผวาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแม้โยมจะนอนหลับไปก็ขอให้โยมนั้นภาวนาจนหลับไป พอหลับโยมก็ยังเป็นสมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกหลับไปกับบุญ อ้าว..หลับไปกับบุญตายไปในขณะนั้นโยมก็ไปเสวยบุญเลย เห็นมั้ยจ๊ะ ไม่ต้องมาทรมาน ตายเลยได้บุญด้วย..ตายไปพร้อมกับบุญ
เค้าถึงบอกว่าถ้าโยมตายพร้อมกับบาปเป็นยังไง ในขณะนั้นกำลังอาฆาตพยาบาทคนนั้นอยู่ แล้วก็ตายไป นอนหลับไปแล้วก็ตายไป อันนี้เค้าเรียกตายไปพร้อมกับพยาบาทก็เป็นสัตว์นรกอยู่แล้ว ตายด้วยอารมณ์แห่งโทสะก็ต้องเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์นรก
แต่ถ้าโยมตายไปด้วยบุญหรือการเจริญภาวนา ด้วยฌาน กำลังของฌานจะไปสู่พรหมโลกเลย ดังนั้นโยมอย่าไปดูถูกดูแคลนว่าแค่ภาวนาโยมจะไปถึงไหน คือโยมจะไปไกลเลย ไปถึงนิพพานก็ได้ จิตนี้ไปได้ทุกที่ ไม่มีที่ไหนที่จิตไปไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
พวกเราจะบอกพวกคุณว่า
ในระหว่างกระบวนการสื่อสาร
กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนของพวกคุณนั้น
"#ความเมตตากรุณา"คือตัวกระตุ้นอย่างหนึ่ง
ที่จะทำให้กระบวนการมันเกิดขึ้นมาได้
หาใช่การใช้เพียงภาษาหรือการใช้แค่เพียง
พลังงานของการถาม หรือการใช้แค่เพียง
พลังงานของการเป็นที่รักแต่อย่างใด
เพราะโลกแลจักรวาลได้สั่งสมพลังงานโดยขาดหรือบกพร่องการจัดระเบียบมานานแสนนานแล้ว
แลสำหรับโลกใบนี้ ที่มนุษยชาติเป็นสัตว์ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือสัตว์อื่นทั้งหลายในการบริหารจัดการ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่หาได้มีจิตสำนึกสูงส่ง ตระหนักดีพอ ในการจัดการอย่างถูกวิธี อย่างถูกต้องชอบธรรมไม่
แต่กลับใช้อำนาจมิจฉาทิฏฐิ อวิชชา ตัณหา อาสวะกิเลส มาทับถม หมักดอง จนกลายมาเป็นระเบิด เป็นเครื่องมือทำร้าย ทำลายล้างผลาญ รุนแรงมากขึ้น มากขึ้น เรื่อย ๆ
สาเหตุนี้เอง จึงเป็นการเร่งรัดให้พระสัทธรรมจักต้องเข้ามาจัดระเบียบโลกและจักรวาลอย่างเร่งด่วนยิ่งขึ้น
การทำความสะอาด จัดระเบียบ นี้.. อาจเป็นไปถึงขั้นกวาดล้าง ครั้งย่อม ครั้งย่อย ไปจนถึงครั้งใหญ่ ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น
ระดับความรุนแรงของการจัดการ จะเป็นไปถึงขั้นใด ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมบุญ, บาปของมนุษย์ทั้งโลกร่วมกัน เป็นสำคัญ
เมื่อลูกหลานรู้แลเข้าใจดังนี้แล้ว จักดำรง จักดำเนินชีวิตอยู่ ด้วยระดับจิตสำนึกตามมาตรฐานเดิม ดั่งเคยเป็นมา หาได้ไม่!!!!!!
พึงต้องดำเนินการ-จัดการชีวิตตน โดยเคร่งครัด(แต่มิเคร่งเครียด) ด้วยความ รู้-ตื่น-เบิกบาน ตามหลักการแห่ง โอวาทปาฏิโมกข์ คือ
1. เลิกคิด, พูด, ทำหรือเกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายทั้งหมด
2. คิด, พูด, ทำ แต่ความดี
3. ชำระล้างจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในอ้ตตาตัวตนทั้งสิ้น
พระสัทธรรมจักดำเนินการปัดกวาด หรือ ถึงขั้นกวาดล้าง ความชั่วร้าย หรือภาวะอึมครึมซึมเซา สีดำ สีเทา ให้เสื่อมสิ้นไป ครั้งใหญ่มโหฬาร อีกคราหนึ่ง (แต่หาใช่จักกวาดล้างไปทั้งหมดจนความชั่วร้ายเลวทรามสูญสิ้นไปก็หาไม่ เพราะกาลเพลานี้วงจรแห่งการเกิดและเสื่อมสูญยังไม่สิ้นวงรอบ ยังคงต้องดำเนินวัฎจักรอยู่ เพื่อเป็นเชื้อไขให้ให้กระแสวงวัฏสงสารยังคงอยู่สืบไป)
ส่วนสัตว์ที่จิตวิญญาณบำเพ็ญเพียรอยู่เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งมั่นอยู่ในธรรม คือ ความสะอาด-สว่าง-สงบ ไม่นำจิต, วาจา, กาย ตนไปเกี่ยวข้องแวะกับบาปกรรมของสัตว์อื่น.. สัตว์นั้นจึงจะรอดพ้นพิบัติภัยร้ายทั้งปวง
ผู้ฉลาดทางจิต แลเคารพอย่างสูง ในหลักพระสัทธรรม เมื่อได้สดับคำหลวงปู่ใหญ่แล้ว ขอให้บำเพ็ญเพียรยกระดับขั้นจิตวิญญาณตนเข้าสู่ยานพาหนะทางธรรมใหญ่กว่าเดิม ด้วย ศีล สมาธิ ภาวนามยปัญญา ดำรงและดำเนินจิตใจแห่งตนด้วยความไม่ประมาท ฝึกฝนจิตสำนึกให้ละเอียดลออ อย่าทะนงตน ให้ลด ให้ละ ให้เลิก ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนเสีย โดยสิ้นเชิง
ความผิดบาปที่ตนมีอยู่ แม้ว่าเล็กน้อย ก็จักต้องภาวนาขัดเกลาเอาออกไป ให้มากที่สุด จนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือในจิตใจ
แล้วพึงอุทิศบุญให้กลุ่มก้อนพลังงานบาปนั้นไป อัญเชิญทุกบุญบารมีแห่งสัมมา เช่น มรรคมีองค์แปด หรือ พระโพธิสัตว์ผู้มีฐานบารมีเต็ม มาปรับภพภูมิให้กลุ่มพลังงานบาปนั้น ๆ
แล้วเชิญพลังงานบาปทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นให้พ้นไปจากตัวเรา(คำว่า "ตัวเรา" ในที่นี้ เป็นเพียงสมมุติเท่านั้น) ด้วยพลานุภาพแห่ง "อุเบกขาพรหมวิหาร" ขัันอัปมัญญา
คำเทศนาแห่งหลวงปู่นี้ ขมวดมาจากคำสอนพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
เพียงแต่เพ่งเป้าประสงค์ให้สอดคล้องกับกาละเทศะ นี้...
ซึ่งลูกหลานทั้งปวง ย่อมทราบซึ้งโดยทั่วกันแล้ว ด้วยหลวงปู่บอกกล่าวมาก่อนหน้านี้เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
ถึงเวลานี้ลูกหลานจึงได้ประจักษ์แจ้งว่า ยุคสมัยแห่งการจัดระเบียบจักรวาลได้มาถึงแล้ว
.. ด้วยธรรม พร แลอัปมัญญาพรหมวิหาร แด่ลูกหลานทุกคน..
.. นะลูกหลานเอ๊ยฯ:..
------------------------
ควรฝึกใจนี้แล ดูใจนี้แลให้อยู่บ่อยๆ เมื่อเราดูใจเป็นปกติบ่อยๆ ธรรมมันก็เกิดขึ้นอยู่ตลอด เกิดขึ้นได้มากบ้าง เล็กน้อยบ้าง ปานกลางบ้าง ปราณีตบ้างก็อยู่ที่ใจเราสงบปราณีตแค่ไหน เราต้องทำให้มันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ การอบรมบ่มจิตให้เกิดขึ้นก็ต้องดูใจนี้เป็นที่ตั้ง ดูใจให้มันสงบ ใจไม่สงบไปดูเหตุเป็นเพราะอะไร นี่แลเมื่อเราดับเหตุได้ เมื่อเหตุการณ์มันสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เรียกสู่ภาวะปกติ ใช่มั้ยจ๊ะ
นั้นในอดีตไม่ควรไปคำนึงไปโหยหา เพราะมันเป็นอุทาหรณ์ไปแล้ว แม้มันจะเห่าหอนแค่ไหนวิญญาณมันก็ไม่ฟื้น อนาคตก็ไม่ควรไปคิดถึง เพราะมันเป็นความเพ้อเจ้อ การปรุงแต่งอุปาทานของจิตของธาตุขันธ์ ปัจจุบันต่างหากที่สามารถประกอบประโยชน์ให้จิตได้ สามารถกำหนดอนาคตได้ นั้นจึงให้เพ่งอยู่แต่อารมณ์ในปัจจุบันอยู่ฝ่ายเดียว อยู่บ่อยๆอยู่เป็นนิตย์ ให้มันเกิดความชำนิชำนาญตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์นั้นอยู่บ่อยๆ..ให้เกิดฌาน
นั้นการจะฝึกฌานให้ได้โดยโยมไม่ต้องมาภาวนาจิตอยู่บ่อยๆ ก็คือการหลับนอน ก่อนนอนให้โยมภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ นึกอยู่แต่ความสุขของอารมณ์แห่งลมเข้าลมออก โยมเพ่งลมอยู่อย่างนั้น หรือภาวนาจิตก็ดี ดูอยู่ในกายสังขารก็ดี ทอดยาวก็รู้ นั่งก็รู้ ยืนก็รู้ อยู่แต่อารมณ์ปัจจุบันจนจิตโยมสงบ คนที่มันจะหลับได้มันต้องสงบ แต่ถ้าสงบที่โยมเพ่งอยู่ในความสงบนั้นเรียกว่าโยมนั้นเจริญฌานอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ไม่เรียกว่าปัญญา
การเจริญฌานคือการเพ่งและการทรง คืออยู่แต่อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์เดียว เป็นสมถะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นแต่ถ้าโยมพิจารณาอารมณ์นั้นมาทำให้เกิดปัญญา เห็นอารมณ์ทั้งหลาย เห็นสภาวะความไม่เที่ยงเป็นทุกข์นั่นแหล่ะจ้ะ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาเมื่อไหร่..เรียกว่าโยมเจริญวิปัสสนาญาณก่อนนอน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นให้โยมทรงอารมณ์ความสงบ เมื่อจิตโยมสงบโยมไม่มีอาฆาตมาดร้ายต่อใครนั่นแล จิตโยมว่างเว้นแล้วจากอกุศลมูลทั้งปวง แม้เช้าโยมไม่ได้ตื่น..โยมก็ไปอยู่ชั้นพรหมแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นโยมจะทำกรรมชั่วมาเพียงใด ขอให้โยมวางไว้ทุกอย่าง มันเป็นอดีตแก้ไขไม่ได้ โยมเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตยุงตายไปตัวนึง โยมจะไปเป่าตูดให้มันตื่นก็ไม่ได้แล้ว ให้ย้อนกลับมาในปัจจุบันแล้วแผ่เมตตาจิตออกไป เอาลมหายใจที่เรายังเข้ายังออกแสดงว่าเรายังมีบุญอยู่ ไอ้ที่ตายไปแล้วหมดบุญหมดเป่าตูดก็ไม่ตื่นเรียกว่าหมดบุญ
แต่ตอนที่เราลมเข้าลมออกได้อยู่นี้แล..คนที่มันจะตายหายใจเข้ามันจะว่าง ไม่มีความรู้สึกลมเข้านั่นแหล่ะจ้ะ..ไปแน่นอน แล้วถามต่ออีกว่าคนที่จะตาย ลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออกตอนที่มันจะตาย มันต้องหายใจไม่เข้าสิจ๊ะ แล้วมันก็ไม่ต้องออก ถ้ามันไม่เข้าแล้ว..มันก็ไม่ออกอยู่แล้ว มันต้องเข้าก่อน ถ้าวิญญาณไม่เข้าร่างโยม..โยมจะออกได้มั้ยจ๊ะ ออกมาเดินเหินไม่ได้ นั้นเข้าสำคัญ นั้นโยมต้องกำหนดรู้เข้า บางคนกำหนดรู้ออก..ไม่มีหรอก มันต้องกำหนดรู้เข้าก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ให้อยู่แต่อารมณ์ปัจจุบัน ใครจะตายเพราะไปทำกรรมชั่วไปทำกรรมหนักมาแค่ไหนไม่ต้องไปสนใจมัน สมเด็จองค์พระคุลีมาลท่านทำกรรมชั่วมาขนาดไหน ฆ่าคนไม่รู้เท่าไร ท่านก็ยังสำเร็จอรหันต์ได้ ทำไมล่ะจ๊ะ เพราะอะไรเล่าจ๊ะ อ้าว..ก็กรรมชั่วที่ทำมามันก็เป็นกรรมของท่าน แต่กรรมในปัจจุบัน ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นกรรมถ้าจะหลุดพ้นจากกรรมได้ต้องสำนึกกรรม และสร้างกรรมขึ้นมาใหม่
การว่าสร้างกรรมขึ้นมาใหม่..คนละภพแล้วทีนี้ แต่อยู่ในภพเดียวกันมั้ยจ๊ะ..มันซ้อนภพอยู่ กรรมชั่วโยมทำมาแล้วอีกวาระหนึ่งเวลาหนึ่ง สิบนาที ชั่วโมงนึง กี่นาทีโยมมาสร้างกรรมดี..มันคนละภพแล้วนะจ๊ะ แต่ถ้าโยมในขณะนี้สร้างกรรมชั่ว แล้วต่อมาก็ยังทำกรรมชั่ว..ภพเดียวกัน ยังไงมันก็เจอกันแน่นอน ถ้าโยมจะหลบหลีกยังไงมันก็ไม่ได้ มันชนกันแน่ประสานงากันแน่นอนมันใช้รางเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ถ้าโยมข้ามไปแล้วในกรรมชั่วน่ะ มาปัจจุบันโยมมีสำนึกในบาป มีต้นทุนเก่าในทาน ศีล ภาวนา มาเจริญสติปัญญาภาวนาจิตในกรรมใหม่ ในภพใหม่..นี่คนละภพแล้วนะจ๊ะซ้อนกันนะ แสดงว่านี่โยมได้เกิดใหม่ โยมไม่ต้องตายก็เกิดใหม่ได้ การเกิดใหม่คือสำนึกในบาปบุญคุณโทษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เอาคราวนี้มาดู โยมสร้างกรรมภพต่อภพมาเจอกัน มันจะไปคู่เลยทีนี้ ดูซิว่าใครจะสร้างกรรมมากกว่ากัน กรรมอะไรจะให้ผลกว่ากัน ถ้าโยมสร้างกรรมดีมันก็จะไปทางนี้ ส่วนกรรมชั่วตัวนี้มันยังให้ผลมั้ยจ๊ะ..มันอยู่นิ่งๆ แต่เมื่อใดโยมไปให้ผลในกรรมชั่วมัน ไปส่งผลให้มันส่งส่วยให้มัน ไปกระทำเพิ่ม..มันก็จะขยับตามสิทีนี้ (ลูกศิษย์ : เหมือนเส้นขนานใช่มั้ยคะหลวงปู่ คือถ้าเรายังทำดีด้วยเนี่ย) กรรมชั่วกรรมดีบรรจบกันไม่ได้ หรือเรียกว่าลบรอยกันไม่ได้ เมื่อมันเป็นกรรมไปแล้วรอยยังคงอยู่
แต่ถ้าโยมไม่สนใจมัน..ถามว่าพระสมเด็จพระคุลีมาลสร้างกรรมหนัก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตฆ่ามนุษย์..ยังอยู่มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ยังอยู่) แต่ท่านสร้างทำกรรมใหม่ แล้วท่านทิ้งไว้เบื้องหลังหมด สำนึกในบาปกรรมชดใช้ยอมรับชะตากรรมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านก็ยึดมั่นในพระรัตนตรัยเดินตามครูบาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ดวงจิตนั้นหลุดพ้นจากเวรอาฆาตโทสะ เห็นมั้ยจ๊ะ จิตมันหลุดพ้น
แล้วไอ้ที่ตายไปน่ะ..ตายฟรีมั้ยจ๊ะ ไม่ได้ตายฟรีนะ อ้าว..บุญมันกลับมาหาสิจ๊ะ เพราะเป็นวิญญาณไม่บาปแล้ว เป็นวิญญาณที่หมดจด นั้นบุญที่ท่านมาส่งให้เหมือนได้เกิดใหม่กันหมด ก็วิญญาณเป็นจิตทิพย์ทีนี้ เห็นมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าไอ้นี้ตายไป นี่ก็ไปฆ่าวิญญาณไม่จบสิ้น เรียกวิญญาณบาป ทีนี้ก็ตามอาฆาตกันทีนี้เพราะอยู่ในภพเดียวกัน ใช่มั้ยจ๊ะ แต่ท่านสร้างภพใหม่ขึ้นมา พอท่านไปถึงท่านก็ส่งบุญกลับมา เห็นมั้ยจ๊ะ กรรมจึงเหนือกรรม หลุดพ้นกรรมได้ตรงนี้…
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ถึงกาลสมัยของโลกอีกวาระหนึ่งแล้ว ที่จะมีการแยกธาตุขันธ์ความบริสุทธิ์, ไม่บริสุทธิ์ ออกจากกันโดยเด็ดขาด
เพื่อที่โลก แล มหาจักรวาล จักดำเนินการ จัดระเบียบ จัดการ ตามระบอบแบบของพระสัทธรรมโดยองค์รวมทั้งหมด
พวกเรากำลังพูดถึง
"#การทำให้พลังงานความรักหนาแน่นขึ้นมา"
เพราะว่าความเมตตากรุณาคือกุญแจดอกสำคัญ
และเมื่อใดที่พวกคุณรู้สึกถึงความเมตตากรุณาล่ะก็
พลังงานอันนี้มันก็จะย้อนกลับไปหาพวกคุณ
ในรูปแบบการตอบสนองทั้งสองทิศทาง
คือ..
พวกคุณจะสามารถรู้สึกถึงพวกเราได้
เมื่อพวกคุณรู้สึกถึงพลังงานแห่งความเมตตากรุณา
ที่อยู่ในตัวพวกคุณอันนั้น...แล้วมันก็จะทำให้เกิด
การติดต่อสื่อสารขึ้น
Kryon