.. เมื่อบุคคล.. ไร้เสียซึ่งการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา..
ก็ยากที่จะทำสติ สมาธิ และปัญญา..ให้สมบูรณ์ แน่นแฟ้นขึ้นได้เช่นกัน ... .
.#พุทธดำรัส..
ถาม : "เพ่ง" มีเพ่งนอก. กับเพ่งใน. เพ่งนอกก็ว่าง. เพ่งในก็ว่าง. นอกก็ว่าง. ในก็ว่าง. สองว่างรวมกัน. เป็น "นิพพาน"
ตอบ : "เพ่ง". เป็นภาษาธรรม. หมายถึงจี้ลงไป. เพ่งลงไป. ไม่ต้องเดินปัญญา. หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงตา พระอรหันต์เจ้า. ท่านจะใช้คำว่า "เพ่ง". สมมติว่าเราจะเพ่ง "เครื่องยนต์" กำหนดจิตเพ่งไปที่เครื่องยนต์. จี้เข้าไป จนจิตมันเป็นหนึ่ง. เพ่งๆๆๆๆเข้าไป. เครื่องจะดับกึ๊กเลย. นี่เป็นอำนาจจิต. เป็นกำลังของสติ. เรียกว่า "เพ่ง".
ในทางปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน. กำหนดจิต "เพ่ง". เพ่ง. ไม่ต้องเดินปัญญา. เพ่งไปที่ "จุดรู้" หรือ เพ่งไปที่ "ผู้รู้" เลย. "ผู้รู้" จะเปลี่ยนรูปเป็น "ความว่าง" เลย. เพ่งไปที่กาย. ลมคือกาย. เพ่งเข้าหาลมเลย. ลมนั้นจะหายวั๊บไปเลย. กายไม่มี. ไม่มีกายในอิริยาบถลืมตานี้แหละ. กายไม่มี. เหลือแต่ "ผู้รู้ล้วนๆ". เอา "ปัญญา" เพ่งเข้าไปอีก. "ผู้รู้หาย". เอาจิตที่เป็น "หนึ่ง" นั้นแหละเพ่งเข้าไป.
เพ่ง "จิตผู้รู้". ผู้รู้ว่าง. เพ่งลม. กายว่าง. สองว่าง.รวมกันเป็น "นิพพาน" (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล.).
(สู่แดน พระนิพพาน)
เมื่อชำนาญในวสีแล้ว.
จิตหนึ่งไม่ต้องรักษา. ไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว. ทุกสภาวะเห็นธรรมเป็นธรรม.
*เพ่ง*.
สายเจโต. จะใช้ "จิตเพ่ง" เอาเลย. ง่ายดี. สายปัญญาจะใช้ "วิปัสสนาปัญญา".
อย่าไปมากเรื่อง !!
สติพุทโธลม. รวมลงที่จุดรู้. ทำอยู่แค่นี้. เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว. ให้รักษามันไว้.
"แยกธาตุรู้ กับ ธาตุไม่รู้"
ด้วย."วิปัสสนาปัญญา"ให้ได้.
"กาย"
กายเป็นธาตุไม่รู้. ความคิด สังขาร ความปรุงแต่งไม่ได้ออกมาจากกาย. สัญญาความจำไม่มีในกาย. วิญญาณ ความรู้ ความฉลาด ความโง่ ไม่ได้ออกมาจากกาย.
กายไม่รู้จักจิต. มันคิดไม่เป็น. น้ำไม่รู้จักไฟ. กายไม่รู้จักบุญ. ไม่รู้จักบาป. ไม่รู้จักทาน. ไม่รู้จักศีล. ภาวนา. ไม่รู้จักสติ. ไม่รู้จักสมาธิ. ไม่มีปัญญา. ไม่รู้จักความอยาก. ไม่รู้จักทุกข์. ไม่รู้จักสุข. ไม่รู้จักนิโรธ. ไม่รู้จักมรรค.
มันไม่รู้จักความเกิด. ความแก่. ความเจ็บ. ความตาย.
** กายมันตายไม่เป็น **
(สู่แดน พระนิพพาน)
"เอกจิต" จิตเป็น "หนึ่ง"
"จิตหนึ่งมันเป็นหนึ่ง". อยู่ภายในจิตของเรา. ในอิริยาบถ-ลืมตา. รู้แจ้งเห็นจริงๆ. ว่ามันเป็นหนึ่ง. มันเป็นหนึ่งอยู่ภายในกาย. ในจิตของเรานี้แหละ. ชัดเจน. เป็นปัจจัตตัง. มันเป็นหนึ่งของมัน. อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ทั้งหลับตาและลืมตา. ไม่ใช่นึกเอา. คิดเอานะ. ไม่ต้องไปถามใครเลย.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ความอยาก"
ความอยาก. ถ้ามันเกิดที่จิตผู้หลง. มันจะเป็นภพ. เป็นวิญญาณปฏิสนธิ. เป็นวัฏฏะ. มีทะเลหลงเป็นแดนเกิด. จิตเป็นนักท่องเที่ยว. มีภพน้อยภพใหญ่. ท่ีองไปเที่ยวไปไม่มีที่สิ้นสุด.
แต่ถ้า "ความอยาก" มันเกิดที่จิตผู้รู้. ความอยากมันจะเปลี่ยนรูปเป็น ผู้รู้. เข้าสู่ความว่างในสิ่งที่มีอยู่. ถ้าเป็นลูกเจี๊ยบ. ก็เตรียมตัวออกจากไข่. ถ้าเป็นงู ก็เตรียมตัวลอกคราบ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"เราจะมาหลงเอาอะไรอีกในโลกนี้".
จิตมันมาอาศัยกาย. มาอาศัยอายตนะจากกาย. เพื่อที่จะรู้สิ่งที่มีอยู่ในโลก. มันมีอะไรบ้าง. รวมทั้งกายเราเองด้วย. สิ่งที่อยู่นอกกายออกไปมีอะไร. สังขารที่มีวิญญาณครองสิง. และสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองสิง. แล้วตัวจิตเราเอง มันเป็นอย่างไร ? มันรู้แล้วมันออกไปยึด. ออกไปอุปาทานว่า. เป็นตัวกูของกู. ทั้ง ๆที่ตัวของมันเอง. ก็เป็น สิ่งไม่มีตัวมีตน. ได้มาแล้วก็เอาไปก็ไม่ได้.
ตัวมันเอง. ก็ไม่มีตัวไม่มีตน. แล้วมายึดเอาสิ่งที่มีตัวตน. คิดดู. มันจะเอาไปได้อย่างไร ? น่าเบื่อหน่ายไหม ?
โคตรเบื่อเลย. มันเอาไปไม่ได้. ยังไงก็เอาไปไม่ได้. ยังจะไปกอบโกย. ไปโกง. ไปโลภ. ไปโกรธ. ไปพยาบาท. ไปหลง. ว่าเป็นตัวเราของเรา. มันทุเรศไหม ?.
หนี !! หนีเลย. ตามรอยพระพุทธเจ้าครับ. อย่าลังเล !! บินเลย. ทำจิตเป็น "หนึ่ง" เท่านั้น. เส้นทางอื่นไม่มี. "เอโกมัคโค" !!
(สู่แดน พระนิพพาน)
* นามรูป. ของจิตผู้รู้ กับ จิตผู้หลง. ต่างกัน *.
นามรูปของตัวอวิชชา. หรือ จิตผู้หลง.
นาม. กระทบ รูป. วิญญาณเกิด. ตาเห็นรูป วิญญาณรูปเกิด. หูได้ยินเสียง วิญญาณเสียงเกิด. จมูกได้กลิ่น วิญญาณกลิ่นเกิด. ลิ้นลิ้มรส วิญญาณรสเกิด. กายสัมผัส วิญญาณร้อนอ่อนแข็ง ฯ เกิด. ภาวะนี้เป็น สภาวะของ อวิชชา. เป็นสภาวะของ จิตผู้หลง. วิญญาณตัวนี้ เป็น วิญญาณปฏิสนธิ.
อีกสภาวะหนึ่ง. !! นามรูปของจิตผู้รู้ หรือ ตัววิชชา.
นาม. กระทบ รูป. ความรู้สึกเกิด. ตา. เห็น รูป. ความรู้สึกเกิด. หูได้ยินเสียง ความรู้สึกเกิด. จมูกดมกลิ่น ความรู้สึกเกิด. ลิ้นลิ้มรส ความรู้สึกเกิด. กายสัมผัส ความรู้สึกเกิด. จิตกระทบกับอารมณ์ ความรู้สึกเกิด. สภาวะนี้เป็นภาวะของวิชชา. หรือ สภาวะของจิตผู้รู้. คำว่า ความรู้สึกเกิด. หมายถึง ผู้รู้เกิด. "ผู้รู้เกิด" ผู้รู้จะปล่อยวาง แล้วเข้าสู่ "ความว่าง"
ปัญญาของสายเจโต. !! มีนิดเดียว. * ลมเกิด ผู้รู้เกิด. ลมดับ ผู้รู้ดับ * ครับ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"สมาธิ" ไม่ขี้ขลาด. เป็นนักต่อสู้.
อารมณ์อะไรที่เข้ามากระทบก็ตาม. สมาธิจะต้องค้นคว้าหาต้นตอ. หาเหตุหาผลของสิ่งนั้น ๆ. จนเห็นสภาวะอันหนึ่ง. ที่เป็นความว่างในสิ่งที่มีอยู่. เมื่อเห็น "ทุกข์" ตามความเป็นจริง แล้ว. ทุกข์นั้นก็ยังมีอยู่.
ทุกข์. คือ วิบากขันธ์. ที่เราต้องชดใช้. ยอมใช้หนี้. วิบากขันธ์ตามทันได้แค่กาย. ส่วนทุกข์ที่จิตไม่มี.
นี่คือ. ความเป็น "สมาธิ".
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ฌาน". ไม่มีการต่อสู้.
ฌาน. วิ่งเข้ารู. เข้าหลุมหลบภัยลูกเดียว. ฌานขาดปัญญา. เสวยปีติ. เสพสุข. อยู่ในอารมณ์อันเดียว. เป็นเอกัคตารมณ์. จิตสงบวางเฉย. อริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. ผู้รู้ที่แท้จริงยังไม่เกิด. ยังไม่พ้นโลกีย์.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ฌาน". ไม่มีการต่อสู้.
ฌาน. วิ่งเข้ารู. เข้าหลุมหลบภัยลูกเดียว. ฌานขาดปัญญา. เสวยปีติ. เสพสุข. อยู่ในอารมณ์อันเดียว. เป็นเอกัคตารมณ์. จิตสงบวางเฉย. อริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. ผู้รู้ที่แท้จริงยังไม่เกิด. ยังไม่พ้นโลกีย์.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ถามตอบ"
สวัสดีครับท่าน. รบกวนครับ. ผมกำหนดฐานจิต หรือจุดรู้ ไว้ที่หน้าผาก. จะเป็นความรู้สึก หน่วงๆ ในจุดนี้.
ผมหายใจลึกๆค้างๆไว้ก็จะดึงความรู้สึกที่จุดนี้ชัดขึ้น. ผสมกับการบริกรรม พุทโธ.
รบกวนถามว่า แบบนี้ใช้ได้ไหมครับ. ?
ตอบ : ใช้ได้ครับ. ทีนี้. ขอเพิ่มเติมอีกว่า. จุดรู้นี้. เราจะกำหนดไว้ที่ตรงไหนก็ได้. แล้วแต่จริตของเรา. หน้าผาก. ปลายจมูก. หรือกลางอก. ก็ได้. แล้วจริตของแต่ละท่าน. เมื่อเรากำหนดจุดรู้ได้แล้ว. ให้รวมความรู้สึก. แน่วแน่. ตั้งมั่น. ลงที่จุดรู้ที่เดียว. ทีนี้. ถ้าเราเลือกจุดรู้ไว้ที่ กลางหน้าผาก หรือ ปลายจมูก. เวลาเราดึงลมหายใจ. ความชัดเจนของจุดรู้. มันจะไม่ชัดและหนักแน่นเหมือนกับเรากำหนดไว้ที่กลางอก.
เมื่อจิตรวมเป็น "หนึ่ง" แล้ว. เราสามารถย้าย "จิตหนึ่ง" ตัวนี้ไปไว้ที่จุดไหนก็ได้. ภายในกายของเรา.
ที่สำคัญ. ฝึกให้มีความรู้สึกว่า. ฝึกให้ลมมันเข้าออกที่จุดรู้. ให้มันชำนาญในวสีให้ยิ่ง. จนมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. เป็นปกติ. ดูลมครั้งใด. ก็จะเห็นผู้รู้ หรือ จิตหนึ่ง. เห็นผู้รู้ก็จะเห็นลมในขณะจิตเดียว. มันอยู่ในที่เดียวกัน.
ทีนี้. เวลาเราย้ายจุดรู้ไปไว้ที่ปลายจมูก. ลมมันก็จะตามไปเข้าออกที่ปลายจมูกด้วย. ที่กลางหน้าผากก็เช่นเดียวกัน.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ถ้าไปยึดเอาแสงภายนอก" ว่าเป็น "ความบริสุทธิ์".
ไม่ถือเอา "จิตบริสุทธิ์" เป็นเกณฑ์. ความเห็นเช่นนั้น ยังห่างไกลจากความเป็นจริง. "นิมิตเกิดจากภวังค์" เป็นส่วนมาก. "ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค" โดยเฉพาะอยู่แล้ว. มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร ? !!
เหตุที่ "ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค" ก็เนื่องจาก "ในภวังค์นั้นมันเคลิบเคลิ้ม" จึงไม่สามารถใช้ "สติได้อย่างบริบูรณ์" นั่นเอง.
(สู่แดน พระนิพพาน)
** ไฟเย็น **
"อย่าไปต่อสู้กับนักปฏิบัติด้วยกัน"
ให้ออกไปอยู่นอก "จิตหนึ่ง". แล้วปล่อยให้ "กรรมเป็นคนจัดการกับเขาเอง"
กรรมใครกรรมมัน.
"นิมิต. มีนิมิตดีกับนิมิตชั่ว".
นิมิตดีแท้ๆก็ไม่มี. นิมิตชั่วแท้ๆก็ไม่ใช่. นิมิตจึงมีทั้งดีและชั่ว. จึงมีทั้งถูกทั้งผิด. ขึ้นอยู่กับผู้ใช้หรือนักปฏิบัตินั่นเอง. นิมิตมิใช่ตรงกลาง แต่ไม่สุดโต่งไปทางดี และทางชั่วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว.
"นิมิตดี" เป็นนิมิตที่เกิดขึ้นแล้ว. ทำให้นักปฏิบัติเกิดปัญญา. เกิดนิพพิทาญาณ. เบื่อหน่าย. จากการรู้แจ้งเห็นจริง. เช่น. "เอาภาพอสุภหรือซากศพ" เป็น "กสิณหรืออารมณ์" แล้ว "เกิดนิมิต" เห็นภาพปรากฏขึ้นของอสุภซากศพในลักษณะต่างๆ. เป็นสิ่งน่าสังเวช. น่ารังเกียจด้วยปฏิกูล. ไม่เที่ยง. เป็นทุกข์. ทั้งในร่างกาย. และของผู้อื่น. คลายกำหนัดใน "ราคะ". ถือว่าเป็น "นิมิตดี".ในการปฏิบัติ.
ส่วน "นิมิตที่จัดว่าเป็นโทษ" เป็น "นิมิตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นบ่วงของมาร" เกิด "วิปัสสนูปกิเลส" เช่น ใน "โอภาสแสงสว่างครอบโลกธาตุ ทำให้นักปฏิบัติเกิดโมหะความหลง. เกิดความติดเพลิน. เพลิดเพลิน (นันทิ-ตัณหา). อันเนื่องมาจากโมหะความหลงด้วยอวิชชา. เห็นผิดว่าเป็น "บุญ. เป็นฤทธิ์. เป็นเดช. เป็นปาฏิหาริย์. เหนือกว่าผู้อื่น. มีอำนาจในการเห็นต่างๆ. เช่นเห็นอดีต. เห็นอนาคต. หรือทำไปเพื่อหวังในลาภยศสักการะ, สรรเสริญ, ศรัทธา. เพื่อประโยชน์ทางโลกหรือโลกีย์. บางท่านก็เป็นไปโดยไม่รู้ตัว.
*** ความไม่เป็นกลางที่แอบแฝงนอนเนื่อง. โดยไม่รู้ตัวด้วยตัณหาอุปาทาน ***
การเห็นสิ่งเหล่านี้. เนื่องจาก "จิตที่สงบระงับจากกิเลส. ในฌานสมาธิ. ในระยะแรก ๆ.
{ "นิมิต ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น คือภาพ และ ความคิด ฯ. ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่จริง" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (อตุโลไม่มีใดเทียม น. ๔๕๔) }
(สู่แดน พระนิพพาน)
** ฟังนะ. !!! **
ท่านใดก็ตาม. พอนั่งภาวนาจิตสงบลงสู่ "อุปจาระฌาน" หรือ "อุปจาระภาวนา" หรือ "ภวังคจลนะ". เกิดเห็นครูบาอาจารย์. เห็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง. แม้แต่พระพุทธเจ้า. **มาสอนธรรม**.
"เห็นแสงสว่างครอบโลกธาตุ". มีสีแสงล้วนแต่ทำให้พิศวง" ตื่นตาตื่นใจ. เป็นที่อัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง.
"เห็นกลางคืนสว่างยิ่งกว่ากลางวัน". มองเป็นด้วยตาเนื้อนี่แหละ. ใครจะมาหาในวันพรุ่งนี้หรือวันไหน. มาหาเรื่องอะไร. รู้หมด.ใครมีเงินอยู่ในกระเป๋าเท่าไหร่. รู้หมด. รู้อดีต. รู้อนาคต. รู้วาระจิต. ของหายรู้หมด.
"สภาวะนี้จะผุด. แสดงแว๊บขึ้นในใจ". สภาวะนี้เป็นสภาวะ “สัญญาของนักปฏิบัติ”. ไม่ใช่ "ปัญญาที่ไปรู้แจ้งตามความเป็นจริง". จากนั้น. !! จะเกิดความคิด. และเข้าใจผิด. คิดว่าเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องราว. ซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้. แต่มักจะผิด. !! และเมื่อบังเอิญเกิดถูกต้องขึ้นบ้าง.
บางคนเข้าใจผิดคิดว่า นี่คือ !! "พระนิพพาน" !!!
"สภาวะนี้". จะเป็นบ่อเกิดของ "อธิโมกข์" อธิโลกข์คือ "ความน้อมใจเชื่อ. อย่างแรงกล้า". จากนั้นจะ "ติดเพลินด้วยเข้าใจผิด ๆ" แล้วไป "โน้มน้าวจิตบุคคลอื่น. ด้วยมายาแห่งจิตของตน. หลงด้วย "อวิชชา" อย่างง่ายดายและแน่นแฟ้นเป็นที่สุด. นิมิตพวกนี้.จัดว่าเป็น "บ่วงของมารทันที". จนถอดถอนไม่ออก.
แก้ไขได้โดย... ต้องให้ **เกิดปัญญาพิจารณาเห็นด้วยตนเอง** จึงจะถอดถอนความเห็นผิดในนิมิตนี้ได้. เพราะ !!!
***นักปฏิบัติ จำเป็นต้องผ่าน. และ ต้องเกิดขึ้นในที่สุดนั่นเอง***
"นิมิตเหล่านี้" มักเกิดขึ้นในภาวะของ "ภวังคจิต"
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ถ้าผู้รู้ที่แท้จริงยังไม่เกิด"
*เราจะไม่เห็น* สัญญา. สังขาร. วิญญาณ. เราจะไม่เห็นผัสสะ. เราไม่เห็นเวทนา. ไม่เห็นความอยาก. ไม่เห็นตัวอุปาทาน. ไม่เห็นวิญญาณปฏิสนธิ. เราจะไม่เห็นตัวภพ. เราจะไม่เห็นตัวอวิชชา. เราจะไม่เห็นตัววิชชา. *อุปมาเหมือนคนตาบอด*
"จิตรวมลงเป็นหนึ่ง" เมื่อใด. "ผู้รู้เกิด" วิญญาณปฏิสนธิดับ. ภพดับ. ชาติดับ. เต็มที่เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"กาย. ให้มันกินมื้อเดียวพอ "
กายมันเป็นธาตุไม่รู้. มันไม่รู้จักบาปบุญ. มันไม่รู้จักดีใจเสียใจ. มันไม่มีอารมณ์ใด ๆทิ้งสิ้น. มันไม่รู้จักพี่จักน้อง. มันไม่รู้จักทาน ศีล ภาวนา. มันไม่รู้จักสติ สมาธิ ปัญญา. มันไม่รู้จักสวรรค นรก นิพพานใด ๆทั้งสิ้น.
มันไม่รู้จักทุกข์. มันไม่รู้จักอยาก. มันไม่รู้จักความดับทุกข์. มันไม่รู้จักมรรค. มันไม่รู้จักนิโรธ.
กายอันนี้ ให้มันกินมื้อเดียวพอ !!
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิต เมื่อเป็นหนึ่งเมื่อใด. มันจะแยกออกไปจากกายทันที".
ไม่ต้องไปกำหนดให้มันแยกออกจากกัน. อย่างนั้นอย่างนี้เลย. ทำให้มันเป็น "หนึ่ง" ให้ได้เท่านั้นเอง. แยกแล้วแยกเลย. มันจะไม่ย้อนกลับเข้าไปหากายอีก เป็นอนันต์กาลเลย.
ทีนี้. แยกจิตออกจากจิต. ก็คือ แยกผู้รู้. หรือเปลี่ยนรูปจากผู้รู้ ให้เป็นความว่าง นั่นเอง. "ความรู้สึก" คือ "ความรู้" คือ "ผู้รู้". ความรู้สึก. มันเป็นความรู้สึก. มันเกิดดับตลอด. ผู้รู้ หรือ จิตผู้รู้ มันก็เกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น. มันไม่ได้ตั้งโด่. มันไม่ได้นอนเนื่องเป็น "หนึ่ง" ของมันอยู่อย่างนั้น.
อารมณ์เกิด. ผู้รู้ จึงเกิด. เกิดมาเพื่อรู้. อารมณ์ดับ ผู้รู้ก็ดับตาม. อารมณ์เกิดใหม่ ผู้รู้ก็เกิดใหม่. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น.
ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. คำว่าแยกจิตออกจากจิต. จึงหมายถึง จิตมันเปลี่ยนรูปจาก ผู้รู้ เปลี่ยนรูปเป็น ความว่างนั่นเอง.
ในความว่างนั้น. มันเป็น "ความว่างในสิ่งที่มีอยู่".
(สู่แดน พระนิพพาน)
"สิ่งนั้น" ไม่ได้ถูกปิดบังอำพลาง. อันเนื่องด้วย "ความคิดของเจ้าของ". นะ. !!
เหตุที่เราไม่รู้แจ้ง ตามความเป็นจริง. นั้น. ไม่ใช่เพราะความคิดอย่างเดียวนะครับ. แต่เพราะ "อวิชชา" ต่างหาก. สิ่งนั้นไม่ได้ถูกปิดบังอำพลางด้วย "ความคิด" แต่อย่างใด. แม้ "สิ่งนั้น" จะหลุดพ้นเป็นเสรี. เข้าสู่จิตเดิมแท้ของจักรวางเดิมแล้วก็ตาม. สัญญา. สังขาร. วิญญาณ. นามรูป. สังขารทั้งหลายทั้งปวง. เขาก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม. โลกอยู่ส่วนโลก ธรรมอยู่ส่วนธรรม ต่างคนต่างอยู่.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตเห็นจิต. เห็นเหมือนเห็น "ตัวนก" บินออกจาก "รัง" ชัดเจน.!!"
"ความรู้สึกในอารมณ์ต่างๆ" ที่เกิดขึ้นที่จิตของเรานั้น. เรารู้ว่ามันเกิดที่จิต. เรารู้. !! ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้. เรารู้. แต่เราจะไม่รู้ไม่เห็นว่ามันออกมาจากไหน. นี่ !! ตรงนี้แหละ. อุปมานกบินออกจากรัง. ตัวนกคือ อารมณ์. ตัวจิตคือ รังนก. อารมณ์ที่มันออกมาจากตัวจิต. มันเป็นเหมือน "ตัวนก" บินออกจาก "รัง" ชัดเจน.!!
ในสภาวะของจิตผู้รู้. เราจะเห็นชัดว่า อารมณ์ และ อาการของจิต. ที่มันเกิดที่ผู้รู้. มันจะออกมาจากผู้รู้. แล้วมันก็ดับที่ผู้รู้. รู้แจ้งเห็นจริง. ชัดเจน !!
ความเป็นหนึ่งของจิต. ที่เกิดที่ผู้รู้. เห็นชัด. ความอยากก็เห็นชัด. ทุกข์. สมุทัย. นิโรธ. มรรค. เห็นชัด. ความว่างที่เห็นด้วยปัญญา. ก็เห็นชัด.
"จึงได้เปิด" ให้พวกเราได้รู้ตามความเป็นจริง. ตามนี้แล. !! ครับ...
(สู่แดน พระนิพพาน)
"วิธีแยกกายกับจิต"
การแยกกายกับจิตออกจากกัน. ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน. แต่ต้องทำ. แล้วก็ต้องทำเองด้วย. ถ้าไม่ทำเอง. ก็จะไม่รู้เองเห็นเอง. ไม่เป็นปัจจัตตัง.
แยกกายกับจิต. ให้เป็นสมุทเฉท. ขาดออกจากกันโดยสิ้นเชิง. มีอยู่ ๒ วิธิ. ขาดวิธีใดวิธีหนึ่งไม่ได้. ต้องแยกทั้ง ๒ วิธี.
๑. แยกกายออกจากจิต. ด้วย. "สมถะหน้าเดียว" ฝึกจิตให้เข้าสู่ความสงบด้วย "ฌาน" หรือ "สมาธิ". จน "จิตรวม" เป็น "หนึ่ง" ทั้งในอิริยาบถหลับตา. และ ลืมตา.ต้องทำให้ได้.
๒. แยกกายออกจากจิต. ด้วย "ปัญญา" จุดนี้สำคัญนะ !!. อย่าแยกด้วย "สัญญาความจำ" ตรงนี้ให้ทำอย่างนี้. พิจารณาด้วย "ความคิดความปรุงแต่ง" ของจิตนี้แหละ. เมื่อพิจารณาด้วย "ความคิด" แล้ว. ให้เข้า "พักจิต" นำจิตให้เข้าสู่ความสงบ. ก็คือ นั่งสมาธิให้จิตเข้าสู่ "เอกัคตารมณ์" ให้มีอารมณ์อันเดียว. ถ้าทำอย่างนี้. "ความคิดความปรุงแต่ง". ที่เราพิจารณานั้น. ไม่ใช่ "สัญญาความจำ" มันเป็น "ปัญญาที่แท้จริง". แต่ปัญญาที่แท้จริงตัวนี้มันจะอยู่ได้ไม่นาน. "ความคมของปัญญา" ตัวนี้มันจะ "คมได้ไม่นาน". ต้อง "พักจิต" ถ้าไม่พักจิต. ความคิดความปรุงแต่งจะกลายเป็น "สัญญา" ทันที. ต้องระวัง !!
วิธีที่ ๑. สมถะหน้าเดียว. กำลังของสติอย่าให้สติขาด. ถ้าสติขาดมันจะเปฺ็น "สมาธิหัวตอ" นั่งสมาธิ "อย่าหลับ" สติต้อง "ตื่น" ต้อง "รู้ตัว" อยู่เสมอ. อย่าหลับ. หลับเมื่อใดจิตจะเข้าสู่ "ภวังค์". ภวังค์คือภพ. สติ !! อย่าให้ขาด. อย่าให้สติขาด. ให้มีสติ. รักษาสติไว้. หนักเดินจงกรม. ในอิริยาบถ-ลืมตา. จิตจะรวมเป็น "เอกัคตาจิต" สมาธิจิตตัวนี้. นึกคิดอะไร. จะลืมตา หรือ หลับตา. เป็น "ธรรม" หมด. ขาดกระจุยเป็น "สมุทเฉท". ไร้ร่องรอย.
"เอกัคตาจิต" เป็น "สัมมาสมาธิ" เป็นสมาธิจิตของ "พระอริยเจ้า" กำลังของสติข้าม "โลกีย์" เข้าสู่ "โลกุตระ" จิตตกกระแสพระนิพพาน.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"นิมิต"
ต้องมีครูบาอาจารย์ เป็นผู้แนะนำ หาไม่แล้วต้องจมปลัก. อยู่กับนิมิต นานแสนนาน.
เช่น อาฬารดาบส. แล อุททกดาบส.
"นิมิต" มันเกิดของมันเอง. เป็นของแต่งเอาไม่ได้.
"นิมิต" เป็นอาการของจิต. ตกอยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์. เป็นทุกข์. เป็นของไม่เที่ยง. ถ้าไม่มีจิตหนึ่งเป็นสักขีพยาน. นิมิตนั้นจะกลายเป็น "วิญญาณ". เป็น "วิญญาณปฏิสนธิ" เป็นภพ. เป็นชาติ. เป็นวัฏฏะ.
"ธรรมชาติของมัน". มันเกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น. ถ้าอริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. นิมิตเกิด. สฬายตนะผัสสะ. เวทนาเกิด. ตัณหาเกิด. อุปาทานเกิด. ภพเกิด. ชาติเกิด.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"อรูปฌาน" อ่านเพื่อประดับเป็นความรู้. แล้วดูภายในจิต. ว่ามีสภาวะนี้เกิดขึ้น. มีขึ้น. ภายในจิตของเราหรือไม่. โดยเฉพาะ ท่านที่ได้ "จิตหนึ่ง" แล้ว.
"อรูปฌาน ๑". ยึดเอา "ความว่างโล่ง" เป็น "อากาศอยู่เฉยๆ" มาเป็นอารมณ์ เรียกว่า "อากาสานัญจายตนะ"
"อรูปฌานที่ ๒" เมื่อจิตไปยึดเอา "อากาศมาเป็นอารมณ์". จิตจึงได้เห็น "อาการของผู้รู้" (ผู้ที่ได้จิตหนึ่งแล้ว. คำว่า ผู้รู้. เห็นผู้รู้แล้วชัด. จุดตรงที่ผู้รู้ มีอะไรเกิดขึ้นที่ ผู้รู้) รู้ว่า "วิญญาณ" เป็นตัวไปยึดเอา "อากาศมาเป็นอารมณ์". จึงปล่อยวาง “อากาศ” แล้วมายึดเอา “วิญญาณ” มาเป็นอารมณ์. แล้ว “ยินดีในวิญญาณ” ถือเอา “วิญญาณเป็นอารมณ์” เรียกว่า “วิญญาณัญจายตนะ” เป็นอรูปฌาน ๒. (นี่เรากำลัง เอาผู้รู้ที่แท้จริง มาวิปัสสนาปัญญา วิญญาณ. วิญญาคือ ความรู้. ความรู้กับ ผู้รู้ คนละตัว. นะ.)
"จิตเพ่งอยู่ที่วิญญานัญจายะตนะ" เป็นความรู้ละเอียด "วิญญาณเป็นอรูปจิต" เมื่อ "ติดอยู่กับวิญญาณ" (วิญญาณตัวนี้ ก่อนจิตจะรวม เรียกว่า ผู้หลง. เมื่อจิตรวมแล้ว เรียกว่า ผู้รู้). จิตจะปล่อยวาง "นิมิต" น้อมจิตเข้าไปหาความละเอียด. "อารมณ์หยาบไม่มี". (อารมณ์หยาบในที่นี่ คือ กาม. หมายถึง กามราคะ กับปฏิฆะ. อารมณ์นี้ เป็นอารมณ์ของ "อรูปพรหม". ถ้าพระอริยะเข้าจึงจะเป็น "พระอนาคามี") เรียกว่า "อากิญจัญญายตนะ" เป็น "อรูปฌานที่ ๓"
"อรูปฌานที่ ๔" ด้วย "อำนาจการเพ่ง" ว่าน้อยหนึ่งในที่นี้ก็ไม่มีดังนี้อยู่ เมื่อ "จิตน้อมไปในความละเอียด" อยู่อย่างนั้น ความสำคัญนั่นนี่อะไรต่ออะไรย่อมไม่มี. (ตรงนี้จิตข้ามมานะได้แล้ว) แต่ว่า "ผู้ที่น้อม" ไปหาความละเอียดแล "ผู้รู้ว่าถึงความละเอียดนั้น" ยัง "มีอยู่" เป็นแต่ "ผู้รู้" ไม่คำนึงถึง "คำนึงเอาแต่ความละเอียด" เป็น "อารมณ์". (ไม่ยอมวางผู้รู้) ฉะนั้น "ในที่นั้น" จะเรียกว่า "สัญญาความจำอารมณ์อันหยาบ" ก็ไม่ใช่. (กามดับแล้ว) เพราะไม่มีเสียแล้ว จะเรียกว่า "ไม่มีสัญญา" ก็ไม่ใช่ "แต่ "ความจำว่าเป็นของละเอียด" ยังมีปรากฏอยู่. (ความจำไม่มี ในขณะที่ทรงอยู่ในฌาน. เมื่อจิตถอน ความจำก็กลับมาเหมือนเดิม) "ฌานชั้นนี้" ท่านจึงเรียกว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนะ" เป็น "อรูปฌานที่ ๔".
*จับหลักฌานให้ได้นะ* ไม่ว่าอากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ. อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ. จะดับชั่วคราวในขณะที่จิตทรงอยู่ในฌานเท่านั้น เมื่อจิตถอนออกมา. ลมหรืออากาศ. วิญญาณความรู้. ผู้รู้. สัญญาความจำ. มีครบหมด เหมือนเดิม.
(“หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี” วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย)
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ทุกขสัจจะ"
ที่นี้. เมื่อพูดถึงทุกข์. ทุกข์มันอยู่ที่ไหน? ก็มีทุกข์ในกาย. กับทุกข์ในจิต. สุขอยู่ที่ไหน?. สุขในกายไม่มี. สุขมีอยู่ในจิตเท่านั้น.
ทีนี้. ภาษาธรรม. ถ้าพูดถึงทุกข์ขอให้เข้าใจว่า. หมายถึง "เวทนา". เวทนาแบ่งเป็น ๓. มีทุขเวทนา ๑. สุขเวทนา ๒. และไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา ๓. เวทนามีอยู่ทั้งในกาย และในจิต.
สุข. สุขมีอยู่ในจิตเท่านั้น. สุขในกายไม่มี. ทุกข์มีอยู่ทั้งที่กายและที่จิต.
เวทนาในกาย. ได้แก่. "รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส". เวทนาในจิต. ได้แก่ "ธรรมารมณ์" ก็คือ "อารมณ์" นั่นเอง. เวทนาเกิดที่กาย. อารมณ์เกิดที่จิต. รูปเกิด. อารมณ์เกิด. รูปดับ. อารมณ์ดับ. สัญญาสังขารวิญญาณเข้าทำงาน. จิตนำไปเก็บไว้ที่ "ธรรมารมณ์".
ทีนี้เราจะมาดูที่ สังโยชน์ ๑๐. ตัวไหนที่เราจัดว่าเป็นทุกข์. สังโยชน์ตัวไหนก็ตาม. ที่มาจากกาย. จัดสังโยชน์ตัวนั้นว่าเป็นทุกข์.ได้แก่. กามราคะ กับปฏิฆะ. สองตัวนี้จัดว่าเป็นตัวทุกข์. อีกตัวคือ รูปราคะ. หรือ รูปนิมิต. สังโยชน์ข้อนี้ จัดว่าเป็นทุกข์ เป็น "เงาของทุกข์"
"อรูปราคะ" สังโยชน์ข้อนี้ จัดเข้า "สุข" ไม่เกี่ยวข้องกับ "กาย". "สุข" ตัวนี้. เกิดขึ้นที่ "จิต". เป็นสุขที่เกิดจาก "สมาธิจิต ฐีติจิต". สุขตัวนี้ไม่มีในกาย. เกิดขึ้นที่จิตเท่านั้น. "พระอนาคามี" เท่านั้น. เป็นผู้เสวย. พระอนาคามีพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง. ทั้งทางกายและทางจิต. ไม่ต้องมาเกิด. ต่อที่ "สุทธาวาส" เลย.
โสดา. สกิทาคา. ทุกข์ทางจิตยังมีอยู่. ทุกข์ทางกายไม่มี. เป็น "สักแต่ว่า" เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ.
ทีนี้. พูดถึง "ทุกขสัจจะ" ของ "พระอริยะเจ้า". จัดเข้า. เป็น "เวทนาขันธ์" ตัวนี้เป็น "โลกวิทู". ขันธ์นิพพาน. ตัวนี้เป็นตัวตัดสินสุดท้าย. ในสภาวะ "จิตตื่น" จะเข้า "นิพพานแท้" ได้หรือไม่ได้. ก็อยู่ตรงที่ลมหายใจสุดท้าย. "ในสภาวะจิตตื่น" นี่แหละ.
เอวัง.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"การปล่อยวาง" คือ การถอยจิตเข้าสู่ความว่างในสิ่งที่มีอยู่.
"จิตกระทบกับอารมณ์" จะชนิดใดก็ตาม. ทิ้งให้หมด. วิ่งเข้าหาความสงบอย่างเดียว. ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์. ไม่ต้องมีเหตุมีผล. ไม่ต้องคิดลึกซึ้งอะไรมากมาย. ทิ้งมันเฉย ๆอย่างนั้นแหละ.
จนจิตมันสงบลงสู่ "เอกัคตารมณ์" เข้าถึง "เอกัคตาจิต" เป็นหนึ่งอยู่แต่เพียงผู้เดียว.
(สู่แดน พระนิพพาน)
ฌาน. ละนิวรณ์ หรือ ข่มนิวรณ์.
สมาธิ. ละสักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส. เป็นการเดินมรรค.
"เพ่ง"
เป็นการแผดเผา. เป็นการทำลายกิเลส. ไม่เห็นไม่ยอม. เพ่งเป็นไปเพื่อความตรัสรู้.
(ลป.เทสก์ เทสรังสี)
"วิธีรักษาจิต"
"จิตหนึ่ง" เมื่อมันเป็น "หนึ่ง" ของมันเองแล้ว "ไม่ต้องรักษา". แต่ถ้าความเป็น "หนึ่ง" มันยัง "ไม่นิ่ง". บางครั้ง "หายไป". บางครั้งมันก็ "โผล่กลับมา". สภาวะนี้ต้องรักษา.
เมื่อวิปัสสนาปัญญา. "ปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง" แล้ว. ให้ "ปล่อยวางปัญญา" ทันที. สภาวะของการปล่อยวางปัญญาก็คือ. "อย่าส่งจิตออกนอก" เมื่อใดก็ตามที่จิตส่งนอก. "สฬายตนะเกิด" อารมณ์เกิด, "สัญญา, เวทนา, สังขาร, วิญญาณเกิด". ตัณหาเกิด. อุปาทานเกิด. ภพเกิด. ชาติเกิด.
เมื่อมันเป็น "หนึ่ง" ของมันเองได้แล้ว "ไม่ต้องรักษา". หนึ่งมันจะตั้งของมันอยู่อย่างนั้น. อารมณ์จะหนักแค่ไหน. มันจะไม่หวั่นไหว.
เมื่อความเป็นหนึ่งมั่นคงแล้ว. "สิ่งที่มีอยู่". ที่อยู่ในความว่าง. มันจะ "พลิกตัว" ออกจากความว่าง. เป็น "เสรี" รอวันสิ้นลมปราณ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตเดิมแท้. หรือ จิตหนึ่ง. ไม่เกิดไม่ดับ"
"จิตเดิมแท้". กับ "จิตหนึ่ง". เป็นตัวเดียวกัน. มันไม่ได้ดับปุ๊บแล้วก็สว่างจ้าขึ้นนะ. อย่าแต่งจิต. จิตเดิมแท้หรือจิตหนึ่ง. มันเป็นเหมือนความว่าง. มันเป็น "ความว่างในสิ่งที่มีอยู่". ***ความว่างที่แท้จริงมันไม่ได้สว่างขึ้น. แล้วมันก็ไม่ได้ดับลง***. เพราะ "จิตหนึ่งหรือจิดเดิมแท้". มันเป็นเหมือนความว่าง. ไม่ใช่ความว่างนะ. มันเป็นเหมือนความว่าง. ในความว่างนั้น. มันมีสิ่งหนึ่งหรือสิ่งนั้น. อยู่ในความว่างน้้น. สองความว่างนี้รวมกันเรียกว่า "นิพพาน"
*** จิตเดิมแท้ไม่สูญ*** มันเป็น สิ่งที่มีอยู๋.***
ความสว่างจ้า. หรือ แสงสีขาวนวล. จะสีอะไรก็ตาม มันเป็นเงาของฝุ่น. ความว่างที่แท้จริงแล้ว มันสัมผัสไม่ได้ด้วยอายตนะใดๆทั้งสิ้น.
การออกมา "แจกธรรม" ว่า. จิตมันเกิดดับ. จิตมันสว่างจ้านั้น *** ทำให้พระสัทธรรมคลาดเคลื่อนนะ***. ถ้าผู้รู้ที่แท้จริงยังไม่เกิด. จิตยังไม่รวมเป็น "จิตหนึ่ง". แล้วออกมาทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอน. *** จักเป็นผู้มีโทษ "ปาปโกสทฺโท"*** เป็นผู้มี "ชื่อเสียงชั่วฟุ้ง" ไปใน "จตุรทิศ" *** เพราะ "โทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวก" .
*** อย่าเอา "ของปลอมมาทำการจำแนกแจกธรรม". อย่าทำให้ "พระสัทธธรรมคลาดเคลื่อน" มหานรกอเวจีคือที่ไป ***
(สู่แดน พระนิพพาน)
"แสงสว่างหลังวัดดอยธรรมเจดีย์. เป็นตัวมหาภัย. เป็นวัฏฏะจักร. เป็นยอดอวิชชา".
จิตมันอัศจรรย์. เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของ. ทำไมจิตมันสว่างไสว. ทำไมมันสว่างจ้าไปหมดเลย !! *** อวิชชามันแผลงฤทธิ์ ขั้นสุดท้าย *** ไม่รู้ว่าเราไปหลงอัศจรรย์หาอะไร ? ตัวอัศจรรย์ ตัวที่มันจ้านั่นแหละ คือ ***ตัวมหาภัย***. นั่นแหละตัววัฏฏะจักร. ยอดวัฏฏะจิต. นั่นแหละยอดอวิชชา.
ธรรมท่านเตือนขึ้นมา. มันมีจุด. เหมือนไส้ตะเกียงเจ้าพายุแสงสว่างมันออกไปจากไส้ตะเกียง. สว่างจ้านั่นแหละตัวสำคัญ. ถึงอุทานในใจเลยนะ. โอ้โห้ !! จิตของเรามันสว่างไสว อัศจรรย์ เหมือนหนึ่งเหนือโลก เหนือสงสารโน่น !! นั่นเห็นไหม !!. อวิชชาแผลงฤทธิ์เวลาสุดท้าย. เห็นไหม !!
*** ไม่รู้เราไปหลงอัศจรรย์ หาอะไร ?***
กลางเดือนกุมภา - นั่นแหละ เดือน ๓ เดือนกุมภา - ไม่คิดไม่คาด ว่าอันนี้เป็นตัวมหาภัย. เห็นไหม กิเลสหลอก. ตัวมหาภัยอยู่จุดนี้แหละ...
(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"ตัญหาความอยาก ไม่มีอยู่ในจิตที่บริสุทธิ์."
แม้จิตจะหลุดพ้นเป็น "หนึ่ง" ไปอยู่แต่เพียงผู้เดียวแล้ว. อาการของจิตก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม. สัญญาความจำยังมีอยู่ สักแต่ว่าสัญญา. สังขารความคิดความปรุงแต่งยังมีอยู่ สักแต่ว่าสังขาร. วิญญาณความรู้หรือ ผู้รู้ ก็ยังมีอยู่ สักแต่ว่ารู้. เวทนาในจิตรู้อยู่เฉย ๆ สักแต่ว่าเวทนา. สุขในฐีติจิต ก็รู้อยู่เฉย ๆ สักแต่ว่าสุข. นิมิตก็ยังมีอยู่ สักแต่ว่านิมิต. มานะในศีล ในทางโลกก็ยังมีอยู่. ต้องเคารพในสมมติ. โลกธรรม ๘ ก็ยังมีอยู่ ก็สักแต่ว่า.
สรุป. สังขารทั้งหลายทั้งปวง ยังมีอยู่เหมือนเดิม. จิตสังขารมี. กายสังขารมี. วจีสังขารมี. ผู้รู้มี. รูปกายหยาบมี. ทุกอย่างมีครบหมด.
ลมดับสิ้นลมปราณเมื่อใด. ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น. ราบเรียบเป็นหน้ากลอง.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"แก่นธรรม"
เมื่อเข้าถึง "หนึ่งเดียว" แล้ว. นอกนั้นเป็น "อาการของจิต" เป็น "สักแต่ว่า". ตัวเราคือ "จิตเดิมแท้". มัน "ไม่ปรุงไม่แต่ง". เป็น "อกิริยาจิต".
"ตัวจิตเดิมแท้". ตัวนี้แหละคือ "ตัวธรรม". มันอยู่สภาพของมันต่างหาก. ภาษาธรรมท่านเรียกว่า "จิตหนึ่ง" อาการที่มันฉายออกไป. มันเป็น "แสงสว่าง". มันเป็น "แสงของจิต" ไม่ใช่ "ตัวจิต". อย่าไปเอาอาการของจิต. "อย่าไปเอาแสงสว่าง" ว่าเป็นตัวเราของเรา.
เมื่อเราเข้าใจว่า "อาการของจิต" ไม่ใช่เรา. เมื่อมีตัว. ย่อมมีอาการ. อย่าไปเอาอาการ. ให้เอาตัวที่ไม่มีอาการ. ให้เข้าหา "จุดรู้" จุดที่ไม่มีอาการ. เมื่อเราเห็นชัดตามความเป็นจริงแล้ว. "แสงสว่าง" ที่เป็นอาการทั้งหลาย "มันจะหายไป". มันจะหดตัวเข้ามาหา "อันเดียว". มันเข้าถึง "หนึ่ง" ของมัน.
ตัวนี้คือรากฐานสำคัญ. "จิตหนึ่ง" เป็น "แก่นของธรรม" นอกนั้นเป็น "สักแต่ว่า".
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ฌาน. กับ สมาธิ."
"ฌานกับสมาธิ". มีอารมณ์อันเดียวกัน.
"ฌาน". ตะล่อมจิตให้อยู่ในจุดเดียว. ไม่ต้องนึกคิดอะไร. เช่น. เพ่งกสิณ. เมื่อจิตสงบ. เกิดปีติ. สุข. จิตจะวางอารมณ์ที่เราเพ่งอยู่. จิตสงบลงสู่ "เอกัคตา". จิตจะปล่อยวางเรื่องอื่นทั้งหมด. จิตรวมเข้าสู่ "ภวังค์". หรือ "ภพของใจ". แล้ว "เฉยอยู่".
"สมาธิ" จิตจะวิตกวิจาร. เช่นวิตกวิจารใน "อสุภะ". ลงสู่ไตรลักษณ์. เป็นอนิจจัง. ทุกขัง. อนัตตา. มีสภาวะเกิดดับ. ไม่มีตัวตน. เราเขา. ตัวนี้เรียกว่า "ปัญญา". เป็นปัญญาที่เกิดจาก "สัมมาสมาธิ" อันนี้ไม่ใช่ "ฌาน" สภาวะนี้เรียกว่าสมาธิ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"อานาปานสติ" รวมลงที่ "จุดรู้".
อย่าตามรู้.!! ถ้าตามรู้เป็นสภาวะ "จิตส่งนอก".จิตจะไม่รวมเป็น "หนึ่ง". ให้ "หยุดนิ่งรู้". อยู่ที่ "จุดรู้". ไม่มีเส้นทางใดที่จะลัด และสั้น. เท่ากับ "รวมความรู้สึก ของอานาปานสติ" รวมลงที่ "จุดรู้". ให้ต่อเนื่องในทุกอิริยาบถ. ทั้งหลับตาและลืมตา. กำหนดให้ ลม" เข้าออกที่ "จุดรู้" ในทุกอิริยาบถ. "ผู้รู้ หรือ จิตหนึ่ง หรือ จิตเดิมแท้". จะปรากฎให้เรา "รู้เองเห็นเอง". ที่ "จุดรู้".
เส้นทางนี้. มีผู้ที่นำไปปฏิบัติแล้ว. จิตรวมเป็น "หนึ่ง" ในอิริยาบถลืมตา. ประมาณเกือบ ๒๐ คน. จิตระเบิด ๖ คน.
ท่านใดที่ไม่มีของเก่ามาด้วย. ก็ขอให้หนักความเพียร. เมื่อมันรวมเป็น "หนึ่ง" แล้ว. จิตรวมแล้วรวมเลย. มันจะไม่หวนกลับลงสู่ "ทะเลหลง" อีกต่อไปเป็นอนันต์กาล. ถึง "นิพพาน" แน่นอน. หลงได้อีกไม่เกิน ๗ ชาติ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตต้องรวมเป็นหนึ่ง"
เป้าหมายของการปฏิบัติธรรม. ต้องให้ "จิตรวมเป็นหนึ่ง" จะด้วยวิธิการใดก็ตาม. ต้องให้จิตเป็น "หนึ่ง" เท่านั้น.
ศีล ๕. ไตรสรณคมน์. เป็นธรรมให้ได้เกิดเป็นมนุษย์. ในแดนพุทธศาสนา. มีบิดามารดาเป็นสัมมาทิฐฺิ. ศีล ๕. ไตรสรณคมน์. ป้องกันไม่ให้ตกอบาย. ได้แค่ชาติเดียว. ชาติต่อไป. มันก็วังเวงแล้ว. ศีลเป็นผู้กำหนด.
ตามรอย. ให้ตามรอยโพธิญาณ. ตามรอยพระพุทธเจ้า. ตามรอยพระอรหันต์เจ้าเท่านั้น. ความไม่รู้แจ้งในธรรม. ทำให้เราหลงเข้าไปใน "ดงสัญญา" เสียเวลาไม่ได้อะไรเลย.
ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรม. ทำให้จิตเป็น "หนึ่ง" ต้องชัดเจน. ต้องพูดถึง "อริยมรรค" ชัดเจน. นำไปปฏิบัติแล้วต้องได้ผล. รู้ได้ตัวเอง เพราะเพื่อน ๆ. ที่อยู่ในกลุ่มธรรมด้วยกันปฏิบัติแล้วได้ผล. "จิตเป็นหนึ่ง". ถ้าไม่กล่าวถึง ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์. (มรรค) แล้ว. ให้ถอยออกมา. อย่าเสียเวลา.
ปัจจุบัน. พระธรรมของพระพุทธเจ้า. โอวาทธรรมของพระอรหันต์เจ้า. เป็นธรรมปฏิบัติชี้ทางให้พ้นทุกข์ชัดเจนที่สุด. ปฏิบัติแล้วได้ผล. อย่าเห็นแก่สถาบัน. จบจากสถาบันเดียวกัน สถาบันนั่น. นี่. โน่้น.
** สถาบัน "พุทโธ" เท่านั้น **.
"ถ้าศีล ๕. ไตรสรณคมน์. ไม่มีในจิต". *สุญญกัป* ได้ไปแน่ ๆ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
ปฏิจจสมุปบาท.
ของอวิชชา. กับวิชชา.ต่างกันที่วิญญาณปฏิสนธิเกิด. กับ ผู้รู้เกิด.
วัฏฏะ. กับ วิวัฏฏะ.
ปัจจุบัน.
*มันคิดว่า กายเป็นผู้คิด*
เป็นตัวกูของกู. ถามใจตัวเองดู. ว่า ใช่หรือไม่. ?
การเข้าถึง "จิตเดิมแท้" ไม่ใช่ "การดับความคิดปรุงแต่ง" ลงได้อย่างเดียวเท่านั้น. นะ.
** การเข้าถึง "จิตเดิมแท้" จะเส้นทางใดก็ตาม. อริยมรรคต้องรวมเป็น "หนึ่ง" เท่านั้น. "เอโกมัคโค" เส้นทางอื่นไม่มี.**
"การดับความคิดความปรุงแต่ง". เป็นสมถะ. วิปัสสนาปัญญา. ก็ต้อง "อาศัยความคิด ความปรุงแต่ง" วิตก วิจาร. ในธรรมนั้น ๆ.
"ความคิด" เป็นสังขาร. เป็น อาการของจิต. ดับความคิดความปรุงแต่งอย่างเดียวหรือ จึงจะสำเร็จทุกอย่าง ? แล้ว สัญญาความจำละ. วิญญาณละ. นามรูปอีก. เวทนา. ตัณหา. อุปาทานละ. วิญญาณปฏิสนธิ. ภพ. ต้องดับด้วยไหม ?
(ความคิดในที่นี้. หลวงปู่ดูลย์ อตุโล. หมายถึง ความคิดชนิดฟุ้งซ่าน หรือความคิดนึกปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ. มิได้หมายถึง ความถึงความคิดทั้งมวล.)
(สู่แดน พระนิพพาน)
"กำลังของสติ"
อ่านดูสักนิด. จะได้เข้าใจถูก, "สติ" เป็นอาการของ "จิต" ตามจริง "สติกับจิต" มันเป็นตัวเดียวกัน.
"กำลังของสติ" ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด, ไม่ใช่ความรู้ที่เราจำมาจากตำรา, ที่เราจำมาจากพระไตรปิฎก, ที่เราจำมาจากพุทธวจน, ฯลฯ. ในทางปฏิบัติแล้วมันคือ "ความสงบของจิต".
ถ้าจิตมันสงบรวมลงแค่ "เอกัคตารมณ์" มีอารมณ์อันเดียว คือ "อัปปนาสมาธิ" ที่เราเรียกว่า "สมาธิตั้งมั่น" หรือ "สติตั้งมั่น" นั่น. ยังถือว่า "กำลังของสติ"กำลังยังไม่พอ, ยังเป็น "ผู้หลง" อยู่.
*** ไม่ใช่ว่า "อัปปนาสมาธิ" ไม่ดีนะ, อย่าเข้าใจผิด !! ไม่ใช่อย่างนั้น.***
"สมาธิตั้งมั่น" หรือ "อัปปนาสมาธิ" เป็น "ญาณ" เป็นเส้นทางพาให้จิตเข้าสู่ "สติ สมาธิ ปัญญา" เป็น "เอกัคตาจิต" เป็น "จิตหนึ่ง".
"กำลังของสติที่เป็นหนึ่ง", ตัดสังโยชน์ขาดไปตามลำดับ, ข้ามโลกีย์ เข้าสู่ โลกุตระ, ข้ามวัฏฏะ, จิตตกกระแส, จิตจะไม่หวลกลับเป็นอนันต์กาล, สมาธิไม่เสื่อม. ถึงที่หมายคือ "พระนิพพาน" ได้อย่างแน่นอน...
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)