พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น
จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา
นอกเหนือจากเครื่องช่วยการชำระกิเลส เครื่องช่วยที่จะนำพาให้เราไปสู่พระนิพพาน
คือศีล ธรรม สมาธิและปัญญา กับคุณวิเศษต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น
ยังมีสิ่งใดอีก นอกเหนือจากนั้นอีก หรือเปล่าเจ้าค่ะ ที่พอจะช่วยหรือเป็นเครื่องช่วย ให้ดวงจิตทั้งหลาย ได้อาศัยเพื่อไปสู่พระนิพพาน อีกหน่ะเจ้าค่ะ
ยังมีอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้นหรือเปล่าเจ้าค่ะ ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธองค์ พระยาธรรมเอย เมื่อดวงจิตทั้งหลาย ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ โดยอาศัย ศีล ธรรม สมาธิและปัญญา อาศัยสิ่งที่โลกเรียกว่า คุณวิเศษต่างๆ
ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น หรือเครื่องช่วยในการชำระกิเลสต่าง ๆ เหล่านั้น เมื่อได้อาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ช่วยตนจนเข้าถึงระดับที่จิตของตนนั้น
มีพลังที่มากพอ มากพอที่จะนำเอาพลังของสมาธิ พลังของความสงบ พลังแห่งสติและปัญญา พลังแห่งความรู้แจ้งเหล่านั้น มาพิจารณาถอดถอน
เพื่อที่จะได้พาตนเข้าสู่พระนิพพานอย่างแท้จริง จิตทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะประพฤติปฏิบัติตน ดังต่อไปนี้
คือจะนำเอากำลังเหล่านั้น มาพิจารณา ให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริงในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่มีอยู่ในตนเพื่อถอดถอนกิเลสให้สิ้นไป อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอย ดวงจิตทั้งหลายผู้ที่จะเข้าสู่พระนิพพาน จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้ เมื่อผ่านขั้นตอนเหล่านี้แล้ว
จึงสามารถบรรลุเป็นองค์พระอรหันต์ได้ บุคคลผู้ใดก็ตาม ที่ยังมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ บุคคลผู้นั้นต่อให้จะมีคุณวิเศษมากเพียงใด ย่อมไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน
อาจเป็นผู้หลงอยู่ติดอยู่ ในความดีใดความดีหนึ่ง ที่เป็นความดีอย่างละเอียดปราณีต แต่อยู่ในวัฏฐะสงสารนี้ ไม่อาจที่จะดับการเกิดแห่งตนได้
ลูกเอ๋ย ฉะนั้น เมื่อเราเริ่มต้นในการทำความดี โดยอาศัยศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา จนเรานั้น เกิดคุณวิเศษต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องช่วยในการชำระกิเลส
เราจึงอาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มาพิจารณาให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ถึงสิ่งที่มีอยู่ในเรา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็คือการพิจารณาดูกาย
เมื่อดูกายแล้ว ก็ต้องดูกายในกายอีกทีหนึ่ง ถอดถอนสิ่งที่เรียกว่ากายนั้นให้ได้ ถอดถอนสิ่งที่เรียกว่ากายนั้นให้รู้ ให้เห็นตามความเป็นจริง
รวมถึงจะต้องพิจารณาให้เห็นเวทนา เวทนาที่อยู่ในกาย เวทนาที่อยู่ในจิต จะต้องพิจารณาให้เห็นความสุข ความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกของทั้งกายและจิต
ให้ลึกเข้าไปให้ถึงที่สุด ให้เห็นแจ้ง เห็นชัดเวทนาในกายเวทนาในจิต ถอดถอนให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัว ใช่ตน ไม่ใช่เรา ใช่ของ ๆ เรา
นอกจากนั้นแล้วยังคงต้องพิจารณาให้ลึก ถอดถอนความมีตัวมีตน มีที่ตั้งแห่งจิต ถอดถอนจิตนั้น ให้อยู่เหนือความมีและความไม่มี
ให้จิตนั้นมีพลังที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง มีคือไม่มี ไม่มีนั้น มีก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากมีหรือไม่มีเลย
คือจิตนั้นจะว่างเว้นจากการยึดถือว่ามี หรือยึดถือว่าไม่มี
พระยาธรรมเอย เมื่อเราพิจารณาจนเห็น จิตที่เห็นความมีหรือไม่มีแล้ว ก็พิจารณาให้เห็นอีก เห็นธรรม ธรรมคือความจริงที่องค์พระพุทธเจ้าได้ชี้บอกเอาไว้
ธรรมคือความจริงที่มันมีอยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต เห็นแจ้งตามความเป็นจริงชัดเจนแก่ตัวของเรา ที่สมมุติว่าเป็นตัว เป็นความรู้สึกที่มี ที่เข้าใจ
แล้ว ก็วางความรู้สึกเหล่านั้น จนไม่ยึดถือสิ่งใด
อย่างนี้หละพระยาธรรม คือเครื่องช่วยในการชำระกิเลสในอีกขั้นตอนหนึ่ง ที่ทุกดวงจิตจะต้องเข้าไปถึงจุดตรงนี้ หากว่าจิตทั้งหลายเหล่านั้นต้องการที่จะไปสู่พระนิพพาน
พระยาธรรมเอย ขั้นตอนนี้จึงเป็นขั้นตอนสุดท้าย และเป็นขั้นตอนแห่งการพิจารณาที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก ซึ่งจะต้องอาศัยกำลังของสมาธิที่สูง
กำลังของจิตที่อยู่ในกรอบของศีลจนจิตนั้นเป็นภูมิจิตที่อยู่ในที่ที่สูง จะต้องอาศัยการเข้าใจในธรรม อาศัยปัญญาที่มาก
จะต้องอาศัยคุณวิเศษที่ตนมีในบางประการหรือทั้งหมดที่มี มีทั้งหมดทุกข์ข้อ อาศัยสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้เข้าช่วย จึงสามารถที่จะเข้าใจ
พระยาธรรมเอย บุคคลผู้ใดก็ตาม ที่ไม่สามารถที่จะทรงกำลังของศีล ธรรม สมาธิและปัญญาอย่างแท้จริง
บุคคลผู้นั้น ต่อให้จะได้ยินได้ฟัง เรื่องของการพิจารณากาย พิจารณาเวทนา จิตและธรรม ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ลูก
เพราะมันเป็นเรื่องของพระอริยะเจ้า มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันเป็นเรื่องที่รู้เห็นเข้าใจได้เฉพาะตนเท่านั้น
บางทีการที่เราได้ยินคำพูดคำหนึ่งซึ่งเป็นคำพูดง่ายๆ แต่คำพูดคำนั้น ก็สามารถที่จะตีความหมายไปได้หลายรูปแบบ ตามระดับภูมิจิตแต่ละภูมิ
เช่นถ้าเกิดว่า บุคคลผู้ที่เคยได้ยินได้ฟัง ในเรื่องของการพิจารณาดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม ฟังดูแล้วเข้าใจ
เพียงแค่ชั้นเดียวกายก็คือกายนี่หละ เวทนาก็คือการรับรู้สุขทุกข์นี่หละ จิตก็คือจิตนี่หละ ธรรมก็คือธรรมนี่หละ
อาจจะเข้าใจแบบระดับชั้นต้น เข้าใจเพียงชั้นเดียว ไม่อาจที่จะเข้าถึงการแตกฉานอย่างแท้จริง ตนจึงตีความไปตามที่ตนนั้นเข้าใจว่า
ธรรมคือธรรม กายก็คือกาย จิตก็คือจิต เวทนาก็คือเวทนา ก็เลยตีความหมายเข้าใจแบบที่ตนคิด แบบที่ภูมิจิตแห่งตนนั้นทรงความรู้อยู่ เพียงเท่านั้น คือเข้าใจแบบหยาบๆ
จึงเอามาเปรียบเทียบในเรื่องของความหยาบ แล้วก็เลยตัดสินว่า เป็นอย่างนั้น อย่างนี้
พระยาธรรมเอย แต่หากว่าตนนั้นเป็นบุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึง การพิจารณากาย การพิจารณาเวทนา จิต หรือธรรม
ด้วยการเป็นพระอริยะเจ้า เป็นผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานแล้วในส่วนหนึ่ง คือจิตนั้นสามารถเข้าสู่กระแสแห่งนิพพาน
พระยาธรรมเอย จิตที่มีสภาวธรรมสูงเช่นนั้น ย่อมมีปัญญา มีสิ่งที่จะช่วยให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง สิ่งที่ละเอียดลึกเข้าไปอีก
เช่น เห็นกาย เห็นทั้งกายนอก และกายใน กายที่ซ้อนในกายอีกทีหนึ่ง
เช่น พิจารณาเห็นเวทนาย่อมเห็นทั้งเวทนาที่หยาบและละเอียดเข้าไป
พิจารณาดูจิต ย่อมรู้และเข้าใจในเรื่องของจิต ว่าจิตมีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน ให้อยู่เหนือทั้งความมีและความไม่มีนั้น ย่อมเข้าใจได้เป็นอย่างดี
เช่น พิจารณาธรรม ย่อมเข้าใจว่าธรรมนั้นหมายถึงธรรมในระดับของธรรมที่หยาบ หรือธรรมที่ละเอียดลึกเข้าไปจนทะลุแจ่มแจ้ง จนเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าเรา
ในตัวในตนของเรา ในตัวในตนของบุคคลผู้อื่น หรือสิ่งอื่นได้อย่างชัดเจน จนรู้แจ้งถอนรากถอนโคน ของการเกิดจนได้เพราะตนเป็นผู้รู้ตื่นอย่างแท้จริงแล้ว
ไม่ใช่การตีความตามความเข้าใจแห่งตน
พระยาธรรมเอย เรื่องของการประพฤติปฏิบัติหนะลูก มันมีทั้งแบบที่หยาบ กลาง และปลาย คือละเอียดมาก บางทีเราประพฤติปฏิบัติเข้าใจธรรมในขั้นต้น
เกิดความลุ่มหลงว่าเรารู้แล้ว เข้าใจแล้ว แต่เมื่อเราประพฤติปฏิบัติลึกเข้าไปยังมีธรรมที่ละเอียด ที่ซ้อนลึกเข้าไปเรื่อยๆ อีก มากมาย
ฉะนั้นเรา จึงควรที่จะประพฤติปฏิบัติ ให้ตนนั้น เข้าถึงเข้าใจอย่างแท้จริง เมื่อเข้าถึง เข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว เราจะได้ไม่หลงว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว
เพราะการที่ปฏิบัติจนเข้าถึงอย่างแท้จริงมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งนัก
จึงฝากธรรมนี้ ไว้ให้ลูกนั้นได้นำไปเผยแผ่ เพื่อที่จะเปิดทางให้กับดวงจิตทั้งหลายผู้ที่เข้ามาฟังธรรมนี้แล้ว อาจจะรู้สึกว่าไม่ถูกต้องตามที่ตนรู้
อาจจะรู้สึกว่าตนรู้แล้วเข้าใจแล้ว
พระยาธรรมเอย เรื่องของพระธรรม เรื่องของการประพฤติปฏิบัติ เรื่องของหนทางที่จะไปสู่พระนิพพานนั้น มันเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน
และรู้ได้อย่างแท้จริงจากการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น อาจจะเกิดการถกเถียง กันขึ้นมา
เมื่อได้ยินได้ฟังในเรื่องของการพิจารณากาย จิต เวทนา และธรรม อาจจะเกิดการถกเถียงตามความเข้าใจ ของระดับภูมิจิตภูมิธรรม ของแต่ละคน
ที่ประพฤติ ปฏิบัติ แต่ลูกเอ๋ย ความจริงก็คือความจริง ความจริงคือผู้ปฏิบัติเท่านั้น ที่จะสามารถเห็นธรรมที่ซ้อนธรรม เห็นสิ่งที่มันซ่อนมันซ้อนละเอียดลึกเข้าไป
คือความเป็นจริง บุคคลผู้ที่ถึงแล้ว ซึ่งการเป็นองค์พระอรหันต์ จะเป็นบุคลคลผู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริงเท่านั้น
ไม่ใช่บุคลคลผู้ที่ได้เคยได้ยิน เคยผ่านหูผ่านตา เคยท่องเคยจำเอาไว้ ไม่ใช่ลูก ต้องประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึง
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย เรื่องของการพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรมนั้น จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ฉะนั้นลูกจงตั้งใจ ศึกษาธรรมเหล่านี้ ให้ดี
ให้ละเอียดอ่อนอย่างที่สุด เพื่อประโยชน์แก่ดวงจิตทั้งหลาย ผู้ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน แล้วเอาความจริงไปพูดกันเถิด
อย่ามัวแต่เอาสิ่งที่คิดว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว ตามความคิดเห็นแห่งตน มานำพาตน ให้หลงอยู่ในความรู้แล้ว เข้าใจแล้วเหล่านั้นเลย
พระยาธรรมเอย เครื่องช่วยในการชำระกิเลสนั้น มีสิ่งที่ให้ลูกนั้นได้พากันประพฤติ ปฏิบัติขั้นต้น คือศีล ธรรม สมาธิและปัญญา รวมถึงคุณวิเศษต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว
ก่อนหน้านั้น มีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งเป็นขั้นต้น ขั้นตอนต่างๆ ในการประพฤติ ปฏิบัติ ลูก
ทำให้ได้ ทำให้เข้าถึงทำให้ได้กำลังจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ค่อยเอากำลังจากสิ่งเหล่านี้ มาพิจารณาเรื่องของกาย เรื่องของเวทนา เรื่องของจิต ของธรรม
ที่รวมอยู่ในหมวดของการมีสติระลึกรู้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่เรียกว่าเรา เพื่อถอดถอนตัวเรา ดับเราให้สิ้นจากการเกิด ไม่ให้เราเกิดอีกต่อไป
พระยาธรรมเอย และการพิจารณาดูกาย ดูจิต ดูธรรม ดูเวทนา นั้น มันก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน วันนี้ก็ทำความเข้าใจเอาไว้ก่อนนะลูก
แล้วจะค่อย ๆ อธิบาย เป็นแต่ละขั้นแต่ละตอน แต่ละหัวข้อในการพิจารณาเช่นการพิจารณากายนั้น มีวิธีในการพิจารณาแบบไหน มีกี่แบบในการพิจารณา
เราต้องพิจารณาแบบไหนบ้าง การพิจารณาดูจิต ดูเวทนา หรือธรรมก็เช่นเดียวกัน ต้องค่อยๆศึกษาไป ทีละขั้น ทีละตอน ทีละแบบให้เข้าใจ เข้าถึงอย่างแท้จริงเถิด
ลูกเอ๋ย จงตั้งใจทำหน้าที่แห่งตนให้ดี ดวงจิตอีกมากมายที่จะอาศัยธรรมเหล่านี้ เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน วันนี้แม้จะเป็นแค่วันที่เพาะปลูก หว่านเมล็ด ยังไม่ถึงวันที่
ออกดอกออกผล แต่สิ่งใดก็ตาม หากเราได้ทำไปแล้ว สิ่งนั้นย่อมจะเจริญงอกงาม ขอเพียงแค่ให้เรา หว่านเมล็ดพืชที่ดีที่สุดเอาไว้
และดูแลมันตามเหตุและปัจจัยที่ควรจะเป็น ถึงเวลา ผลก็ย่อมออกมาเองหละ พอจะเข้าใจแล้วหรือยัง พระยาธรรมเอย
สาธุ เจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วหละเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ทำความเข้าใจและนำไปเผยแผ่
วันนี้พระพุทธองค์ทรงสอน เรื่องของการมีสติอยู่กับกาย เวทนา จิต และธรรม ให้เข้าใจสภาวธรรมความละเอียดของการพิจารณา
เข้าใจว่าเราต้องอาศัยศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา และเครื่องช่วย ในการขัดเกลากิเลสต่างๆ
อาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นกำลังในการพิจารณา ดวงจิตทั้งหลายผู้ที่จะไปสู่พระนิพพาน ต้องผ่านการพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม
บุคคลผู้ที่ฟัง บุคคลผู้ที่เคยได้ยิน เฉยๆ แต่ไม่ปฏิบัติ ท่องเอา จำเอา จะไม่สามารถเข้าใจ เข้าถึงธรรมที่ซ้อนธรรม เข้าถึงความละเอียดที่ซ้อนอยู่ในสิ่งที่มันมีมันเป็นอยู่
ฉะนั้นทุกคน จึงควรที่จะปรับจิตปรับใจ ค่อยๆ พิจารณาตามธรรมที่พระพุทธองค์ จะทรงเมตตาแสดงต่อไปนี้
คือการชี้ทางในรูปแบบของการพิจารณากาย จิต เวทนาและ ธรรม สิ่งเหล่านั้นอย่างละเอียด พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วหละเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตานะเจ้าคะ ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าข้า สาธุ