ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 16 เมษายน 2563
ตอนที่ 95 **ประโยชน์จากการฟังธรรม 3 ขั้น**
+ +
ในเช้าของวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อม ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าขอฟังธรรมจากพระพุทธองค์ท่าน ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาที่จะเฝ้าทูลถามถึง ประโยชน์ของบุคคลผู้ได้ฟังธรรม ที่พระยาธรรมิกราชนำมาเผยแผ่ ซึ่งเป็นธรรมที่พระองค์ทรงแสดง น่ะเจ้าค่ะ.. ว่าจะได้ประโยชน์มากเพียงใด ?
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ลุกพิจารณาแล้วว่า ตลอดเวลาของการแสดงธรรมมา 5-6 ปี มานี้ มีผู้เข้ามาฟังธรรมมากกมาย ตามรอบบุญรอบบารมีของแต่ละคน
จนบัดนี้ ลูกก็รู้ว่า มีคนในกลุ่มหนึ่งที่ศรัทธามั่นคง และพยายามฟังธรรม ปฏิบัติตามอยู่
ลูกจึงจะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่อง ประโยชน์ 3 ขั้น จากผู้ที่ได้ฟังพระธรรมของพระพุทธองค์ โดยพระยาธรรมิกราชนำมาเผยแผ่ ว่าจะได้ประโยชน์เช่นไรบ้าง พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงฟังตั้งใจฟังให้ดี
จากที่ฟังคำถามแล้ว.. พอจะเข้าใจได้ว่า ลูกพยายามถามถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้น สำหรับบุคคลผู้ฟังธรรม ที่ลูกนำไปเผยแผ่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็น *ธรรมจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง *
-- ลูกปรารถนาจะทราบถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ฟัง เช่นนั้น
พระยาธรรมเอย.. ลูกพอจะเข้าใจในเหตุในสิ่งที่ทำบ้างแล้วละ เพราะลูกนั้นก็ได้ดูจากบุคคลผู้ได้ฟังธรรม ได้เห็นผลงานที่ได้ทำไป ที่ก่อเกิดขึ้นกับดวงจิตต่างๆ ที่หมุนวนกันเข้ามา..
... ซึ่งลูกก็พอจะทราบว่า.. ทุกคนได้มีการเลื่อนระดับภูมิจิตภูมิธรรมได้ดี ++
แต่วันนี้ ก็จะแสดงธรรมถึงเรื่อง ประโยชน์จากการฟังธรรม ให้ลองได้ฟังกันดู และลองได้นำไปพิจารณาตรึกตรอง ทบทวนดู ถึงประโยชน์ที่แต่ละคนได้รับดูนะ.. พระยาธรรม
ลูกเอ๋ย.. การฟังธรรมที่ลูกนำไปเผยแผ่ ประโยชน์ ขั้นที่ 1 ที่เกิดแก่ผู้ฟัง - ก็คือ ทำให้ได้รู้ และเข้าใจตามความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง * ลูก
โลกใบนี้..
มีความสับสนวุ่นวาย
มีสิ่งที่รู้ แต่ไม่รู้อยู่มากมาย
มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราก็ตัดสินไปแบบผิดๆถูกๆ- พูดไปคิดไป ทำไป ตามความรู้ความเข้าใจของเรา..
แต่เมื่อเราได้ฟังธรรม จากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมที่ลูกนำไปเผยแผ่แล้ว..
-- มันก็จะทำให้บุคคลผู้ซึ่งฟังนั้น ได้รู้ได้เข้าใจ..
ในมุม ที่กว้าง
ในมุม ที่ไม่ใช่ของตน
ในมุม ที่ไม่ใช่ของคนอื่น
-- แต่เป็นความจริง ของทุกสิ่งที่ที่เกิดขึ้น.. ลูกเอ๋ย
ความเข้าใจ ความเห็น กับความจริงนั้น มันต่างกันลูก !
สิ่งที่เราเข้าใจ / สิ่งที่เรามองเห็น มันต่างจากสิ่งที่มันเป็นจริง
ซึ่งธรรมที่ทรงแสดง และให้ลูกได้เผยแผ่นั้น..
* ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม ที่ชี้ให้ลูกทั้งหลาย.. เห็นตามความเป็นจริง - ซึ่งเป็นความเป็นจริง *
... แต่ไม่ใช่ความเห็น หรือความคิดของใครคนใดคนหนึ่ง ++
องค์พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญบารมีมาจนเต็ม แล้วก็ได้บำเพ็ญจนตรัสรู้ เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้รู้แจ้งโลก ตามความเป็นจริงของโลก ที่เป็นไป ..แต่
/ ไม่ใช่เป็นผู้เห็น ตามความคิดของตน
/ ไม่ใช่ผู้มองเห็น ตามในมุมที่ตนเห็น
-- แต่เป็นดวงจิตที่รู้ตื่น - รู้ตื่น เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งที่มันเป็นอยู่ - ในวัฏสงสาร ในจักรวาลนี้ *
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น องค์พระศาสดา
ไม่ได้เห็นโลกใบนี้ ตามความเห็นของตน
ไม่ได้เห็น ตามมุมมองของตน
ไม่ได้เห็น ตามความคิดของตน ลูก
-- แต่องค์พระศาสดา ได้ทรงบำเพ็ญเพียร จนตรัสรู้ เห็นแจ้งโลก
เห็นโลกนี้ ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มันเป็นไป
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. ธรรมทั้งหลาย ที่องค์พระศาสดาทรงแสดงนั้น - จึงไม่ใช่ธรรม ที่แสดงตามความเห็น หรือมุมมองของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง // หรือแม้กระทั่งของพระองค์เอง
* แต่เป็นการแสดงให้เห็น - ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มันเกิดขึ้น และมันมีอยู่ในวัฏสงสารนี้ **
ฉะนั้น เมื่อลูกฟังธรรมเหล่านี้แล้ว.. มันก็จะทำให้ดวงจิตของลูก.. ค่อยๆมองเห็นตามความเป็นจริง ของทุกสรรพสิ่ง ที่มันดำเนินไป..
ตามกฎเกณฑ์ของมันเอง
ตามสิ่งที่มันดำเนินไป
ตามสัจธรรมของมันเอง
พระยาธรรมเอย.. เมื่อดวงจิตของลูกฟังธรรมไปๆ พิจารณาไป เห็นตามความเป็นจริงเหล่านี้ไปเรื่อยๆ--- จิตของลูกจะได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ..
/ เป็นผู้เห็น ตามความเป็นจริง
/ เป็นผู้อยู่เหนือตัวตน คือ ความคิด ความเห็นของตน
แต่เป็นผู้ดูอยู่ รู้อยู่ อย่างรู้ตื่น
-- เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความจริงของสิ่งที่มันดำเนินไป ตามธรรมที่องค์พระศาสดา ทรงชี้ทางบอกทางให้ ++
จิตของลูกจะอยู่อย่างผู้รู้ตื่น อยู่อย่างผู้รู้ ผู้เห็นตามสัจธรรม คือ ความเป็นจริงของวัฏสงสาร
นี่ละ พระยาธรรม.. คือ ประโยชน์ขั้นที่ 1 หรือสิ่งที่ 1 ที่ลูกทั้งหลาย..ได้จากการฟังธรรมนั้น คือ
* กลายเป็นบุคคล ผู้วางความคิด ความเห็นของตนทิ้งไป
* กลายเป็นบุคคล ผู้รู้ตื่น รู้แจ้ง ตามความเป็นจริง - ตามคำชี้ทางบอกทางแห่งองค์พระศาสดา
* กลายเป็นจิตอันเป็นพุทธะ คือ รู้ตื่น ตามความเป็นจริง
... เช่นนี้ละ ลูก
และต่อไป ประโยชน์ขั้นที่ 2 จากการฟังธรรม ที่ลูกทั้งหลายนั้นได้รับ - ก็คือ การได้ผลจากการฟังธรรม อย่างแท้จริง
/ เมื่อเราฟังธรรม ที่ถูกต้อง
/ เมื่อเราฟังธรรม ที่เป็นธรรมแท้
/ เมื่อเราฟังธรรม ที่ชี้บอกให้เราเห็นตามความเป็นจริง
-- จิตของเรา ย่อมเกิดผล คือ การได้รับผลจากการฟังธรรม อย่างแท้จริง ++
การทำเหตุที่ดี ที่ถูกต้อง -- ผลที่ดี ที่ถูกต้อง.. ก็ย่อมจะก่อเกิดขึ้นมา แก่บุคคลผู้ทำ *
เมื่อเราทำเหตุ ด้วยการฟังธรรมที่ดี ที่ถูกต้อง -- ผลของมัน ก็ย่อมก่อเกิดแก่ดวงจิตของเรา..
คือ ดวงจิตของเรา ก็ย่อมจะเป็นไปในทิศทาง ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นแน่แท้
จิตดวงนั้น.. ก็จะทรงอารมณ์อย่างรู้ตื่น
คือ ผลที่เกิดจากการฟังธรรมที่ถูกต้อง ไม่หลงทาง ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
จิตดวงนั้น.. ย่อมได้รับผลที่ดีในการฟังธรรม
นี่คือ ประโยชน์ข้อที่ 2 - ที่ลูกทั้งหลายจะได้รับจากการฟังธรรม ที่เป็นธรรมแท้ *ธรรมจากองค์พระศาสดา* ซึ่งพระยาธรรมิกราช นำมาเผยแผ่
พระยาธรรมเอย.. และต่อไป ขั้นที่ 3 - ก็คือ
ลูกทั้งหลาย.. จะได้เข้าถึงการปฏิบัติอย่างแท้จริง อย่างถูกต้อง
เมื่อลูกฟังธรรมที่ถูกต้อง / เห็นตามความเป็นจริงที่ถูกต้อง ได้รับผลที่ถูกต้อง
-- ลูกก็ย่อมสามารถน้อมไปประพฤติปฏิบัติได้ อย่างถูกต้อง
และเมื่อปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง -- ผลแห่งการถูกต้อง ย่อมก่อเกิด *
++ จิตของลูก ก็..
จะกลายเป็นผู้รู้แจ้งอย่างแท้จริง
จะกลายเป็นพุทธะอย่างรู้ตื่น อย่างแท้จริงละ..++ พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น..
ฟัง ถูกต้อง
เห็น ถูกต้อง
ผล ถูกต้อง
ปฏิบัติ ถูกต้อง
ความถูกต้อง ก่อเกิดขึ้นแล้ว แก่ดวงจิตลูกทั้งหลาย-- ลูกก็ย่อมจะสามารถ
เป็นผู้มีปัญญา
เป็นผู้รู้ตื่น รู้แจ้งโลก
-- ประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงการบรรลุธรรมได้ อย่างแท้จริง ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ธรรม 3 ประการนี้ คือ สิ่งที่ได้ประโยชน์ จากการฟังธรรมจากองค์พระศาสดา
ซึ่งพระยาธรรมิกราช เป็นตัวแทนในการนำมาเผยแผ่
และประโยชน์อันสูงสุด - ก็จะก่อเกิดขึ้นกับดวงจิตทุกดวง ที่น้อมเข้ามาฟังธรรม
และฟัง จนสามารถได้รับประโยชน์ 3 ประการนี้ และก็จะแพร่ขยายออกไปเรื่อยๆ ..
* ธรรมที่ถูกต้อง ได้เกิดขึ้นแล้ว
* ธรรมที่ได้ผลจริง เกิดขึ้นแล้ว
-- การปฏิบัติ ที่ได้ผลจริง ก็ย่อมก่อเกิดขึ้น เช่นเดียวกัน..
-- และสิ่งที่ดีๆ ทั้งหลาย.. ก็จะก่อเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ++
พระยาธรรมเอย.. ดีแล้วละลูก สมบูรณ์ดีแล้ว
จงตั้งใจประกาศธรรมเหล่านี้ไป.. ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น เป็นแน่แท้
จงมุ่งหน้าเดินต่อไปเถิด.. พระยาธรรม
ผลที่ทำในวันนี้ ก็ก่อเกิดขึ้นได้มาก ผลที่ทำในวันต่อไป ก็จะมากยิ่งๆ
-- ผลวันต่อๆไป.. ก็จะเจริญเติบโตงอกงาม มากยิ่งๆขึ้นไปอีก ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. ก็ได้รับประโยชน์แล้ว 3 ประการนี้
และก็จงน้อมไปพิจารณาตรึกตรองดู ว่าแต่ละบุคคล - ตนนั้นได้ประโยชน์อันใดบ้าง จากการฟังธรรม
แล้วลูกทั้งหลาย.. จะได้คำตอบด้วยตัวของลูก อีกทีหนึ่ง
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ ว่า..
การฟังธรรมนั้น ย่อมจะเกิดประโยชน์ได้มากเลยทีเดียว
* เพราะเป็นธรรมที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง
* เพราะเป็นธรรมที่ทำให้บุคคลผู้ฟัง - ย่อมจะได้ผลอย่างแท้จริง และปฏิบัติถูกต้อง
เมื่อฟังถูกต้อง ได้ผลอย่างถูกต้องปฏิบัติอย่างถูกต้อง
-- ผลที่ดี ที่ถูกต้อง คือ การรู้ตื่น.. ย่อมจะก่อเกิด --
ลูกก็พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
และจากที่ลูกสังเกตมา คือ บุคคลผู้ที่เข้ามาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม -- ทุกคน ก็..
* มีสภาวจิตอันรู้ตื่น
* เข้าใจตามเหตุตามผล
* มีเหตุมีผล
* และสามารถปฏิบัติคืบหน้าได้ อย่างรวดเร็ว !
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวของลูก ก็เช่นเดียวกัน -- ลูกก็สามารถประพฤติปฏิบัติตามคำสอน การชี้ทาง อย่างรู้ตื่นของพระพุทธองค์
ตั้งแต่เริ่มแรก ที่ไม่รู้อะไรเลย.. จนบัดนี้ ลูกก็สามารถรู้ และเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างมากๆ
จนลูกก็เกือบจะเอาตัวรอดจากความทุกข์ได้แล้ว
... เหลือเพียงนิดหน่อย ที่ยังคงต้องฝึกฝนต่อไป..
แต่ก็ดีมากที่สุด พระพุทธเจ้าค่ะ ที่ลูก..
ได้ฟังธรรม ที่ถูกต้อง
ได้ผลลัพธ์ ที่ถูกต้อง
และปฏิบัติ อย่างถูกต้อง
เหลือเพียงแค่ การใช้เวลา และการพิจารณาละเอียดลึกขึ้นเรื่อยๆ เพื่อการฝึกฝนให้เกิดผลที่ถูกต้องอย่างแท้จริง คือ การรู้ตื่น เข้าใจในโลก บรรลุธรรม
... เช่นนี้ พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
< ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต >
พุทธบริษัทย่อมถวายความนอบน้อม สักการะ พระธรรมอัน ประเสริฐสุดของพระผู้มีพระภาค ตามความรู้ ความเข้าใจ ในพระธรรมวินัย แม้ผู้ใดเห็นพระวรกายของพระองค์ ได้ สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ หรือแม้ได้จับชายสังฆาฏิ ติดตามพระองค์ไป แต่ไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม ผู้นั้นก็หาได้เห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต
พระพุทธศาสนา คือ พระ ธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ขั้น
๑. ขั้นปริยัติ ศึกษาพระธรรมวินัย
๒. ขั้นปฏิบัติ เจริญธรรม เพื่อบรรลุธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์
๓. ขั้นปฏิเวธ รู้แจ้งธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์
พระพุทธดำรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต หมายถึง การเห็นธรรม รู้แจ้งธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือ โลกุตตรธรรม ๙ ขั้นปฏิเวธ (บรรลุเป็นพระอริยบุคคล)
การเห็นธรรมขั้นปฏิเวธ เป็นผลของการเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ การเจริญธรรม ขั้นปฏิบัติ ต้องอาศัยปริยัติ ด้วยเหตุนี้ปริยัติ คือ การศึกษาพระธรรมวินัย (พระธรรมและพระวินัย) จึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นทางนำไปสู่พระพุทธศาสนา ขั้นปฏิบัติ และ ขั้นปฏิเวธ เป็นลำดับไป
***
โลกุตตรธรรม ๙ คือ ธรรมอันเลิศ อยู่เหนือวิสัยของปุถุชน ภาวะพ้นจากโลกียะ ไม่เกี่ยวข้องกับกามตัณหา อวิชชา เรียกว่า นวโลกุตตรธรรม มี ๙ อย่าง ดังนี้
มรรค ๔ ญาณ คือ ปัญญา ความรู้ที่เป็นเหตุให้กำจัดสังโยชน์ได้อย่างเด็ดขาด ได้แก่ มรรค ๔
ผล ๔ ประโยชน์ ผลจากการกำจัดสังโยชน์ได้แล้ว ได้แก่ ผล ๔
นิพพาน ๑ ความปราศจากกิเลส ภาวะดับสนิทแห่งกิเลสและทุกข์ทั้งปวง ในที่นี้หมายถึง อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ดับกิเลสพร้อมทั้งเบญจขันธ์ (ชีวิต)
San Nirvana