ธรรมปฏิบัติ "วิชชาธรรมกาย"
เทียบกับข้อมูลใน "พระไตรปิฎก"
*****************
นิมิตดวงแก้ว คือ "อาโลกกสิณ" หมายถึงกสิณแสงสว่าง แต่แสงสว่างยากที่จะกำหนดหมายลงไปได้ จึงให้ใช้เป็นดวงแก้วใสแทน ซึ่งตรงนี้ความจริง ถ้าเราจะเอาความกันแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเคยฝึกนิมิตแสงสว่าง ดังจะยกมาให้พิจารณากันดังนี้
พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ หน้า ๒๗๖ (ขอกล่าวแต่โดยย่อ)
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ที่พักแรมทำด้วยอิฐในนาทิกคาม เสด็จไปเยี่ยมพระอนุรุทธะ พระนันทิยะ พระกิมพิละ ณ ป่าโคสิงคสาลวัน
ตรัสถามถึงการบรรลุคุณพิเศษ ก็กราบทูลถึงคุณพิเศษที่ได้เริ่มต้นแต่รูปฌาณ ๔ จนถึงอรูปฌาณ ๔ และคุณพิเศษที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีกข้อหนึ่ง คือ สัญญาเวทษิตนิโรธ (สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา)
ในส่วนที่เกี่ยวกับคุณพิเศษ กราบทูลว่า รู้สึกว่ามีแสงสว่างและเห็นรูป แต่ไม่นาน แสงสว่างนั้นและการเห็นรูปก็หายไป ไม่ได้บรรลุนิมิตนั้นอีก ตรัสตอบว่า ควรบรรลุนิมิตนั้น แล้วตรัสเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อก่อนตรัสรู้ว่า เคยทรงประสบภาวะเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ทรงสอบสวนถึงต้นเหตุ ซึ่งทรงแก้ทีละอย่างๆ เหตุเหล่านั้นคือ ความสงสัย การไม่ทำในใจ ความหดหู่ง่วงงุน ความหวาดสะดุ้ง ความตื่นเต้น ความย่อหย่อน ความเพียรตึงเกินไป ความเพียรหย่อนเกินไป ความอยาก ความกำหนดหมายต่างๆ การเพ่งรูปมากเกินไป (รวมเป็นความเศร้าหมองแห่งจิต ๑๑ อย่าง) ในที่สุด เมื่อทรงทราบว่าเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตก็ทรงละได้หมดทุกอย่าง
ตรัสเล่าต่อไปอีกว่า เมื่อทรงบำเพ็ญเพียรไป ก็ทรงรู้สึกว่ามีแสงสว่าง แต่ไม่ทรงเห็นรูปบ้าง ทรงเห็นรูปแต่ไม่ทรงรู้สึกว่ามีแสงสว่างบ้าง ตลอดคืนบ้างตลอดวันบ้าง ตลอดทั้งวันทั้งคืนบ้าง เมื่อทรงสอบสวนถึงเหตุปัจจัยก็ทรงคิดว่าในสมัยใดไม่สนใจรูปนิมิต (เครื่องหมายคือรูป) สนใจแต่โอภาสนิมิต (เครื่องหมายคือแสงสว่าง) ในสมัยนั้นก็รู้สึกว่ามีแสงสว่าง แต่ไม่เห็นรูป ในสมัยใดไม่สนใจโอภาสนิมิต สนใจแต่รูปนิมิต ในสมัยนั้นย่อมเห็นรูป แต่ไม่รู้สึกว่ามีแสงสว่าง
ต่อจากนั้นทรงแสดงถึงการที่ทรงรู้สึกว่ามีแสงสว่างน้อย เห็นรูปน้อย ทรงรู้สึกว่ามีแสงสว่างไม่มีประมาณ เห็นรูปไม่มีประมาณ เมื่อทรงสอบสวนถึงเหตุปัจจัยก็ทรงคิดว่า ในสมัยใดสมาธิน้อย ในสมัยนั้นจักษุก็น้อย ทำให้รู้สึกว่ามีแสงสว่างน้อย เห็นรูปน้อย ด้วยจักษุน้อย แต่ในสมัยใดสมาธิไม่มีประมาณ ในสมัยนั้นจักษุก็ไม่มีประมาณ ทำให้รู้สึกว่าแสงสว่างไม่มีประมาณ เห็นรูปไม่มีประมาณ ครั้นทรงทราบว่าได้ทรงละอุปกิเลสแห่งจิต (ทั้ง ๑๑) ได้แล้ว ก็ทรงคิดว่าได้เจริญสมาธิโดยส่วน ๓ แล้วในบัดนี้
หมายเหตุ สูตรนี้แสดงหลักวิชชาในการปฏิบัติจิตใจชั้นสูง น่าเลื่อมใสเป็นพิเศษในทางปฏิบัติที่แสดงว่า พระพุทธศาสนานั้นมิใช่เรื่องสำหรับพูดเท่านั้น แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทางปฏิบัติด้วย ที่ยกมาแสดงก็เพื่อให้ช่วยกันพิจารณาว่านิมิตแสงสว่างนี้ แม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงเคยฝึกผ่านมา และทรงยืนยันด้วยว่า ควรบรรลุนิมิตนั้น คือทำให้ยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่ความหมายว่าให้ยึดติดนิมิต ข้อนี้ควรพิจารณา
ฉะนั้น ในเรื่องของวิชชาธรรมกายที่ใช้อาโลกกสิณ คือ กสิณแสงสว่างเป็นนิมิตแล้วย่อรวมเป็นดวงแก้วซึ่งแทนแสงสว่างนี้ ดวงแก้วเป็นเพียงแค่สื่อให้เห็น "ดวงธรรม" ที่ประจำอยู่ศูนย์กลางกายของแต่ละคน ไม่ได้สอนให้ติดนิมิต ดวงแก้วเพียงเป็นทางผ่านให้เห็นดวงธรรมประจำกายของจริงเท่านั้น
ท่านจะฝึกแบบอานาปานสติ คือ การกำหนดลมหายใจเข้าออกก็ได้ เพราะที่สุดของลมหายใจเข้าและจุดเริ่มต้นของลมหายใจออกก็คือศูนย์กลางกาย ไม่ต้องนึกเป็นดวงแก้วก็ได้ ตามดูฐานที่ลมหายใจกระทบอย่างเดียว แต่เมื่อใดที่ลมหายใจเข้า-ออกยาวเท่ากัน ตรงที่สุดของลมหายใจเข้านั่นเอง ท่านจะเห็นดวงธรรม (ดวงปฐมมรรค) ตรงนั้น เห็นแล้วเอาใจนิ่งตรงนั้น ไม่ส่งใจมารับลมหายใจออกอีก ท่านก็จะเห็นดวงธรรม (ดวงปฐมมรรค) ชัดเจน ดวงธรรมเป็นสื่อให้เห็นกายในกาย และเห็นกายธรรมในที่สุด (กาย ๑๘ กายหลัก) โดยไม่ต้องฝึกนึกดวงแก้วเป็นนิมิตก็ได้
แต่การฝึกแบบนึกดวงแก้วใสเป็นนิมิตหรือเรียกอีกอย่างว่า อาโลกกสิณ คือ กสิณแสงสว่างนี้ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในสมถกัมมัฏฐาน ๔๐ วิธี ที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง ประเด็นอยู่ที่ว่าบางท่านคิดว่าทุกอย่างที่เห็นในการฝึกวิชชาธรรมกายเป็นเพียงนิมิต ไม่ใช่ของจริง ซึ่งต้องบอกว่า นิมิตที่ใช้ คือ ดวงแก้วนั้นเป็นเพียงสื่อ เป็นเพียงที่รวมของใจไม่ให้ซัดส่าย เพื่อรวมใจได้ง่าย เมื่อกำหนดนิมิตได้แล้ว นิมิตจะเปลี่ยนเป็นดวงธรรม (ดวงปฐมมรรค) เมื่อเปลี่ยนเป็นดวงปฐมมรรค คือ ดวงใสสว่างโชติมีรัศมีปรากฏขึ้นมาทันที ซึ่งการเปลี่ยนจากนิมิตเป็นดวงปฐมมรรคนี้เกิดขึ้นเร็วมาก จนใจเราจับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน นี่คือเห็นของจริงและละนิมิตได้แล้ว เมื่อเห็นได้ดังนี้ ท่านว่าให้เข้ากลางของกลางตรงกลางดวงใสจะมีจุดเล็กใสโตเท่าปลายเข็ม เอาใจนิ่งไว้ตรงกลางดวงใสเห็นจุดเล็กใส เอาใจนิ่งกลางจุดเล็กใส เมื่อใจนิ่งถูกส่วนเข้า จุดเล็กใสจะว่างออก เห็นกายในกายในว่างใสนั้น คือ เห็นกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) นั่งอยู่ในว่างใสนั้น เรานั่งอย่างไรกายฝันก็นั่งอย่างนั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนเราแต่งกายเหมือนเรา แต่กายนี้ใสเป็นแก้ว จากนั้นเดินใจตามฐาน ๗ ฐานของกายฝันนั้น (ตรงนี้มีขั้นตอนและรายละเอียด โปรดศึกษาจากตำราทางมรรคผล ๑๘ กาย) พอส่งใจมาถึงฐานที่ ๗ ของกายฝัน จะเห็นดวงธรรมเป็นดวงใสในท้องกายฝัน ส่งใจนิ่งกลางดวงธรรม เห็นจุดใสเท่าปลายเข็ม นิ่งกลางจุดใสเท่าปลายเข็ม แล้วเราก็ลำดับดวงธรรม ๖ ดวง ได้แก่ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ดวงปฐมมรรค) ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ และดวงวิมุตติญาณทัสสนะ รวม ๖ ดวง พอจุดใสเท่าปลายเข็มกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะว่างออก จะเห็นกายในกายอีกกาย คือ กายทิพย์หยาบ รูปร่างหน้าตาเหมือนเรา ใส่ชฎาเครื่องทรงเหมือนอย่างภาพวาดเทพยดาในจิตรกรรมไทย กายขาวใส จากนั้นเราก็เดินใจ ๗ ฐาน ของกายทิพย์หยาบ เห็นดวงธรรมในท้องกายทิพย์หยาบ ลำดับดวงธรรม ๖ ดวง แล้วเห็นกายทิพย์ละเอียด เดินวิชชาตามแนวนี้เรื่อยไปจนครบ ๑๘ กาย กายทั้ง ๑๘ กายนี้ เป็นกายในกายหรือเรียกว่า "กายละเอียด" กายทุกกายมีใจครอง
"ใจ" คือ "เห็น-จำ-คิด-รู้" เราสามารถพูดคุยสอบถามความรู้กับกายในกายของเราได้ทุกกาย เพราะตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) จนถึงกายธรรมพระอรหัตละเอียด มีศีลมีธรรม เชื่อถือได้ มีเพียงกายมนุษย์หยาบกายเดียวเท่านั้นที่เชื่อถือไม่ได้ และเมื่อพิจารณาดูจะรู้ว่า กายในกายเหล่านี้ไม่ใช่นิมิต เพราะทุกกายมีชีวิตจิตใจ สามารถพูดคุยปรึกษาด้วยได้ ไม่ใช่เป็นแค่รูปนิมิต ตรงนี้ควรพิจารณาให้ดี
เรื่องกายละเอียดนี้ถามว่า กายละเอียดของเรามีที่มาจากไหน กายละเอียดของเราได้แก่ กายฝัน กายทิพย์ กายรูปพรหม และกายอรูปพรหม ทั้งหยาบและละเอียด
โปรดดูหนังสือบาลีเล่ม "ปฐโม ภาโค" หน้า ๑๐ ยมกวคฺค วณฺณนา แห่ง ธมฺมปทฏฺฐกถา ปฐโม ภาโค เรื่องพระมหาปาละจักษุพิการ
มีเรื่องย่อว่า พระมหาปาละ ตั้งสัจจะปฏิบัติกิจจงกรม ๓ เดือน โดยไม่นอน ต่อมานัยน์ตาเกิดอาพาธ หมอคนหนึ่งนำยาหยอดตามาถวายให้หยอด การหยอดนั้นต้องนอน น้ำยาจึงจะเข้าตา เวลาผ่านไป วันหนึ่งหมอยามาพบพระมหาปาละ เห็นว่านัยน์ตายังไม่หาย หมอจึงถามว่าพระเดชพระคุณหยอดตาด้วยยาที่ถวายไว้หรือเปล่า พระมหาปาละก็นิ่ง ไม่ตอบ หมอถามอีกว่า นั่งหยอดหรือนอนหยอด พระมหาปาละก็นิ่ง แต่เกรงใจเจ้าของยา เพราะเขาถวายมาแล้ว เลยพูดไปว่า จะปรึกษาดูก่อน หมอถามว่าพระเดชพระคุณจะปรึกษาใครเล่า เพราะในที่นั้นไม่มีใครเลย พระมหาปาละตอบว่า จะปรึกษากับ "กรัชกาย" คัดมาเฉพาะบางตอนดังนี้
"...คจฺฉาวุโส, มนฺเตตวา ชานิสฺสามิ
(ผู้อาวุโส ข้าปรึกษาดูก่อน แล้วจึงจะรู้)
เถรสฺส จ ตตฺถ เนว ญาตี น สาโลหิตา
(ในที่นั้นไม่มีญาติสายโลหิตของพระเถระเลย)
เกน สทฺธึ มนฺเตยฺย ?
(จะปรึกษากับใครเล่า ?)
กรชกาเยน ปน สทฺธึ มนฺเตนฺโต
(ปรึกษากับ "กรัชกาย" อยู่)..."
คำว่า "กรัชกาย" ได้แก่กายละเอียด เป็นกายในกาย เพราะกรัชกาย แปลว่า ธุลีในสรีระ
- ธุลี แปลว่า ละออง, ฝุ่น, ละเอียด
- สรีระ แปลว่า ร่างกาย
ไม่ทราบว่าพระมหาปาละปรึกษากายละเอียดกายไหน ทราบแต่ว่ากรัชกายบอกว่า จะเห็นแก่ศาสนาหรือเห็นแก่จักษุ เมื่อตั้งสัตย์ว่าจะไม่นอน ก็จงเห็นแก่ศาสนา ต่อมาพระมหาปาละจักษุพิการได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
*****************
- ที่มาของชื่อดวงธรรม -
ดวงธรรมมี ๖ ดวง มีชื่อเรียกดังนี้
๑.ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
๒.ดวงศีล
๓.ดวงสมาธิ
๔.ดวงปัญญา
๕.ดวงวิมุตติ
๖.ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
เทียบได้กับธรรมขันธ์ ๕ ในธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๒ คือ
๑.ศีลขันธ์
๒.สมาธิขันธ์
๓.ปัญญาขันธ์
๔.วิมุตติขันธ์
๕.วิมุตติญาณทัสสนะขันธ์
เรื่องชื่อของ "ดวงธรรม" ได้แสดงมาแล้ว ๕ ชื่อ ส่วนดวงธรรมดวงแรก เรียกว่า "ดวงปฐมมรรค" หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คำว่า "ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน" มาจากไหน คำนี้เป็นชื่ออยู่ในเรื่องสติปัฏฐาน ๔ โปรดทบทวนดู
- ที่มาของชื่อธรรมกาย -
๑.กายธรรมโคตรภูหยาบ
๒.กายธรรมโคตรภูละเอียด
๓.กายพระโสดาบันหยาบ
๔.กายพระโสดาบันละเอียด
๕.กายพระสกิทาคามีหยาบ
๖.กายพระสกิทาคามีละเอียด
๗.กายพระอนาคามีหยาบ
๘.กายพระอนาคามีละเอียด
๙.กายพระอรหัตหยาบ
๑๐.กายพระอรหัตละเอียด
เทียบได้กับมรรค ๔ ผล ๔ ในธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๒ คือ
๑.โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผล
๒.สกิทาคามิมรรค-สกิทาคามิผล
๓.อนาคามิมรรค-อนาคามิผล
๔.อรหัตตมรรค-อรหัตตผล
คำว่า "กายธรรมโคตรภู" นั้น เป็นธรรมกายเบื้องต้น ได้แก่ การยกสภาพจิตใจเข้าสู่ความเป็น "อริยะ" เป็นโคตรภูบุคคล หลวงพ่อสดอธิบายว่าใครทำได้เท่ากับ "บวชใน" คือบวชกายละเอียดด้วย ถ้าเป็นสตรีเท่ากับบวชใน แต่ถ้าเป็นบุรุษเท่ากับบวชนอกและบวชใน เป็นการบวช ๒ ชั้น (เป็นภิกษุอยู่แล้ว) กรณีนี้เองที่สตรีสามารถสร้างบารมีได้เท่าบุรุษ เพราะสตรีไม่สามารถบวชเป็นบรรพชิตได้ มีศีลได้อย่างมากแค่ศีล ๘ แต่ถ้าจะสร้างบารมีให้ทันชาย ก็ต้องทำ "ธรรมกาย" ให้เป็นเท่านั้น
ส่วนที่เกี่ยวกับชื่อของกายโลกิยะ ได้แก่ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ทั้งหยาบและละเอียด มาจากคำว่า "กรัชกาย" ตามที่กล่าวมาแล้ว และท่านจะพบในพระไตรปิฎกอีก เช่น เล่ม ๑๑ อัคคัญญสูตร ความว่า ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตร เป็นโอรสของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมสร้าง เป็นธรรมทายาท (ผู้รับมรดกธรรม) ทั้งนี้เพราะคำว่า ธัมมกาย (กายธรรม) พรหมกาย (กายอันประเสริฐ) และผู้เป็นธรรมภูต (อุบัติขึ้นโดยธรรม) ผู้เป็นพรหมภูต (อุบัติขึ้นด้วยธรรมอันประเสริฐ) นี้ เป็นชื่อของ "ตถาคต"
ตามที่อ้างอิงมานี้ ก็เพื่อจะแสดงว่า เรื่องของธรรมกายยิ่งค้นมากก็ยิ่งพบมาก แต่ที่อ้างมานั้นส่วนใหญ่อยู่ในหนังสือ "ธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๒" เป็นหนังสือของนักธรรมโท ทุกท่านสามารถหาอ่านได้ง่าย
*****************
การเจริญ "อานาปานสติ" อย่างถูกต้อง
"พระสารีบุตรเถระ" ได้อธิบายวิธีการเจริญ "อานาปานสติ" ไว้ว่า
"...ไม่พึงกำหนดใจตามลมหายใจเข้า-ออก เพราะจิตที่แกว่งไปมา จะเป็นไปเพื่อความปั่นป่วนและหวั่นไหวแห่งจิต แต่พึงมีสติกำหนดจิตอยู่ตรงที่ๆ ลมกระทบ..."
ดังปรากฏในมหาวรรค อานาปานกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค (๓๑/๓๖๙/๒๔๙) ว่า
"...เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด แห่งลมหายใจออก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหว และดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่าน ณ ภายใน
เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด แห่งลมหายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหว และดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่าน ณ ภายนอก..."
นอกจากนี้ พระสารีบุตรเถระยังได้เปรียบเทียบการเจริญอานาปานสติเหมือนกับการ "เลื่อยต้นไม้" คนเลื่อยไม้กำหนดสติไว้ที่ตำแหน่งที่กำลังเลื่อย ไม่ได้กำหนดสติไว้ที่ฟันเลื่อย ดังข้อความที่ปรากฏในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค (๓๑/๓๘๓-๓๘๔/๒๕๔) ว่า
"...นิมิต ลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เพราะไม่รู้ธรรม ๓ ประการ จึงไม่ได้ภาวนา
นิมิต ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เพราะรู้ธรรม ๓ ประการ จึงจะได้ภาวนา ฉะนี้แล
ธรรม ๓ ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เป็นธรรมไม่ปรากฏ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุผลวิเศษอย่างไร
เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้ บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุผลวิเศษ ความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ ลมอัสสาสปัสสาสะเหมือนฟันเลื่อย ภิกษุนั่งตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปากไม่ได้ใส่ใจถึงลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้า ลมอัสสาสปัสสาสะออกหรือเข้าจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยสามารถฟันเลื่อยอันถูกที่ต้นไม้ เขาไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ ฉะนั้น..."
และ "พระมหานามเถระ" ก็ได้อรรถาธิบายถึงเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด แห่งลมหายใจเข้า-ออก ไว้ว่า
"...ปลายจมูกหรือปากเป็นเบื้องต้นของลมหายใจเข้า หัวใจเป็นท่ามกลาง นาภี (สะดือ) เป็นที่สุด และนาภีเป็นเบื้องต้นของลมหายใจออก หัวใจเป็นท่ามกลาง ปลายจมูกหรือปากเป็นที่สุด เมื่อใช้สติไปตามลมหายใจเข้า-ออก จิตย่อมถึงความฟุ้งซ่าน เป็นอันตรายแก่สมาธิ..."
ดังปรากฏในคัมภีร์สัทธัมมปกาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ภาค ๒ หน้า ๘๓ ว่า
บทว่า "อสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ"
ความว่า "...เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของลมหายใจเข้า คือปลายจมูกหรือนิมิตปาก เป็นเบื้องต้นของลมเข้าในภายใน หัวใจเป็นท่ามกลาง มีนาภีเป็นที่สุด เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดแห่งลมหายใจเข้านั้น จิตถึงความฟุ้งซ่านในภายใน โดยไปตามความต่างกันแห่งที่ตั้ง จิตถึงความฟุ้งซ่านในภายในนั้น เป็นอันตรายแก่สมาธิ เพราะไม่ดำรงอยู่ในอารมณ์เดียว..."
บทว่า "ปสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ"
ความว่า "...เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของลมหายใจออก คือสะดือ เป็นเบื้องต้นของลมออกไปในภายนอก หัวใจเป็นท่ามกลาง ปลายจมูก นิมิตปาก หรืออากาศภายนอก เป็นที่สุด..."
ดังนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจึงได้สอนให้รวม "ใจ" คือ "เห็น-จำ-คิด-รู้" ไปรวมหยุดนิ่งที่ "ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗" ซึ่งเป็นที่ตั้งของใจ เป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม เป็นที่จิตเปลี่ยนวาระ และเป็นที่ตั้งของกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ณ ภายในต่อๆ ไปจนสุดละเอียด
ถ้าท่านหายใจเข้าออก ท่านจะพบว่าลมหายใจเข้าไปจนสุดตรงศูนย์กลางกายตรงระดับสะดือพอดี และก็ตั้งต้นหายใจออกตรงนั้นเป็น “ต้นทางลม” และก็เป็น “ปลายทางลมหายใจเข้าออก" ตรงศูนย์กลางกายตรงระดับสะดือพอดี
"ใจหยุด" ก็ต้องไปหยุดตรงนั้น เขาเรียกว่า "กลางพระนาภี"
พระพุทธเจ้าทรงสอน "อานาปานสติ" เมื่อลมหยุดก็ไปหยุดกลางพระนาภี ถึงให้กำหนดใจกี่ฐานๆ ก็แล้วแต่
สำหรับผู้ทำอานาปานสติ มักกำหนดที่ตั้งสติลมหายใจผ่านเข้าออก คือ ทางปากช่องจมูกหรือปลายจมูก ๑ ที่ลำคอ ๑ และที่กลางพระนาภี ๑ นี่อย่างน้อย ๓ ฐาน เขามักจะกำหนดกันดังนี้สำหรับผู้ปฏิบัติแบบ "อานาปานสติ"
และการกำหนดอานาปานสติ ๓ ฐาน เป็นอย่างน้อย กำหนดอะไรยังไง ? ก็กำหนดสติรู้ลมหายใจเข้าออกกระทบอย่างน้อย ๓ ฐาน นี่สำหรับผู้ปฏิบัติทั่วไป แต่เมื่อลมละเอียดเข้าไปๆๆ แล้ว โดยธรรมชาติลมหายใจมันจะสั้นเข้าๆๆ ละเอียดเข้า ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสอนว่าลมหายใจเข้าออกพึงมีสติรู้ ลมหยาบ ลมละเอียด ลมหายใจยาว ลมหายใจสั้น พึงรู้ มีสติรู้ จนถึงลมหยุด
หยุดที่ไหน ? ก็หยุดที่ “กลางพระนาภี”
หยุดกลางพระนาภี ก็คือ "ศูนย์กลางกาย" นั่นเอง ตรงที่สุดลมหายใจเข้าออกหรือที่ตั้งต้น หรือจะเรียกว่าต้นทางลม หรือปลายทางลมก็แล้วแต่จะเรียก หากจริงๆ แล้วอยู่ตรงกลางกายตรงระดับสะดือพอดีที่หลวงพ่อสดท่านเรียกว่า "ศูนย์กลางกายฐานที่ ๖"
แต่ว่าถ้าว่าเอาใจไปจรดตรงนั้น จะไม่เห็นธรรมในธรรม กายในกาย จิตในจิต "ได้ชัด" เพราะเหมือนอะไร ? ก็เหมือนเอาตาแนบกับกระจก ไม่เห็นเงาหรือภาพข้างในฉันใดก็ฉันนั้น
หลวงพ่อสดก็เลยให้ขยับ “เห็น-จำ-คิด-รู้” คือ "ใจ" ให้สูงขึ้นมาเหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ เหมือนเราขยับสายตาเราห่างจากกระจก เราก็จะเห็นเงาได้ชัดเจนขึ้นนั่นเอง
ประกอบกับ "ดวงธรรม" ที่ทำให้เป็นกายและใจ มีธรรมชาติหรืออาการเกิดดับ ตามระดับจิตหรือภูมิของจิต คือ เมื่อจิตสะอาดยิ่งขึ้นจากกิเลส จิตดวงเดิมก็ตกศูนย์ จากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ลงไปสู่ศูนย์กลางฐานที่ ๖ ธรรมในธรรมที่ใสบริสุทธิ์ ซึ่งมีจิต หรือ "จิตในจิต" ซ้อนกันอยู่ที่ใสบริสุทธิ์กว่า ก็ลอยเด่นขึ้นมาที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วก็ทำหน้าที่ของตนไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสัตว์จะเกิด จะดับ จะหลับ จะตื่น จิตดวงเดิมจะตกศูนย์ จิตดวงใหม่ลอยเด่นขึ้นมาตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพื่อทำหน้าที่ต่อไป
ตรงนี้ "นักปริยัติ" บางท่านก็เข้าใจว่าจิตเกิดดับ แต่เกิดดับอย่างไรไม่รู้เพราะไม่เคยเห็น และยังมีบางท่านที่ละเอียดเข้าไปกว่านั้นอีกบอกว่าจิตเดิมแท้ๆ ไม่ได้เกิดดับ ที่เกิดดับนั่นมันเฉพาะอาการของจิตที่มีกิเลสของจรมาผสม หรือว่ามีบุญเข้ามาชำระกิเลสนั้น จิตก็เปลี่ยนวาระ เป็นอาการของจิต คือถูกทั้งนั้น แต่ว่าอาการของจิตที่เกิดดับตรงนั้น มันมาปรากฏตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
หลวงพ่อสดก็เลยกำหนดที่เหมาะๆ สำหรับที่ควรเอาใจไปหยุด ไปจรด ไปนิ่งตรง ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม
*****************
ธรรมกาย - อาโลกกสิณ - กสิณแสงสว่าง
การกำหนดให้ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้วกลมใส ใจอยู่ในกลางของกลางตรงจุดเล็กใส กลางดวงกลมใสนั้น ก็เอาหลักมาจากการเพ่งกสิณแสงสว่าง ที่ชื่อว่า "อาโลกกสิณ"
ซึ่งโดยธรรมชาติ เมื่อผู้ปฏิบัติภาวนาธรรมเพ่งกสิณแสงสว่าง ที่ชื่อว่าอาโลกกสิณนั้น จนใจสงบระงับเป็นสมาธิแน่วแน่มั่นคงพอประมาณ ได้ "อุคคหนิมิต" แล้ว จะเห็นเป็นดวงใส แต่ว่าอยู่ไม่ได้นาน ถ้าอยู่ได้นานก็ถึง "ปฏิภาคนิมิต" นี่เป็นผลของการเพ่งกสิณแสงสว่างในระดับกลาง
คือ เมื่อเพ่งกสิณแสงสว่างแล้ว คือมองให้เห็นแสงสว่างแล้วหลับตา นึกให้เห็นด้วยใจ เมื่อใจหยุดนิ่งพอประมาณ เกิดอุคคหนิมิตเห็นเป็นดวงใสบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้นาน นี่เป็นผลของการเจริญอาโลกกสิณในระดับกลาง ซึ่งจะเป็นไปในระดับสูงคือปฏิภาคนิมิต ซึ่งจะเป็นสมาธิที่แนบแน่นถึงขั้นอุปจารสมาธิ อันเป็นเบื้องต้นของปฐมฌาน
หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงได้เอาผลในระดับกลางของการเพ่งกสิณ คือ ระดับอุคคหนิมิตนี้ เอามาใช้เป็นเบื้องต้นของการเจริญภาวนาธรรม
โดยให้ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้วกลมใส ใจอยู่ในกลางของกลางจุดเล็กใส กลางดวงแก้วกลมใส ตรงศูนย์กลางกายเหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือเอาไว้ให้มั่น
อันนี้เป็นอุบายวิธี ที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติภาวนาธรรม สามารถรวมใจหยุดเป็นจุดเดียวกันได้เร็ว
เพราะเป็นการรวมความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ซึ่งธรรมชาติที่แท้จริงแล้วเป็นดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้ ที่ขยายส่วนหยาบออกมาจากธาตุละเอียดของ "นามขันธ์ ๔" คือ ธาตุละเอียดของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันตั้งอยู่ในกลางธาตุละเอียดของรูปขันธ์ ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งรวมเรียกว่า "ใจ" ให้รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน
โปรดเข้าใจว่า เห็นอยู่ที่ไหนด้วยใจ "ใจก็อยู่ที่นั่น"
เพราะฉะนั้น นี่เป็นอุบายวิธีที่สำคัญที่สุด ที่ได้ผลดีที่สุด โดยตรึกนึกให้เห็นดวงแก้วกลมใส ใจจะมารวมอยู่ที่ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ในดวงแก้วกลมใส แล้วศูนย์กลางของดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้ ก็จะมารวมหยุดเป็นจุดเดียวกันตรงกลางดวงแก้วกลมใสนั้น คือ ตรงศูนย์กลางดวงแก้ว
หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงให้ใช้หลักนี้เป็นหลักที่หนึ่ง
เมื่อใจรวมหยุดเป็นจุดเดียวกันแล้ว ผลที่สำคัญเกิดขึ้น คือ ปรากฏ "ดวงธรรม" ที่ทำให้เป็นกาย ใสสว่างปรากฏขึ้นตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม เมื่อปรากฏอย่างนี้แล้ว ใจอันประกอบด้วยดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้ ก็รวมหยุดเป็นจุดเดียวกันตรงนั้นได้
เมื่อธาตุธรรม "เห็น-จำ-คิด-รู้" รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ธาตุละเอียดของขันธ์ ๕, อายตนะ ๑๒, ธาตุ ๑๘ ก็รวมหยุดเป็นจุดเดียวกันตรงนั้นเหมือนกัน ก่อให้เกิดพลังและผลดีที่สำคัญที่สุด คือ ทิพพจักษุ ทิพพโสต เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ ที่ตรงนั้น อันเป็นผลให้ใช้สำหรับพิจารณาสภาวธรรมที่ละเอียดๆ ให้เห็นตามที่เป็นจริงได้
นี่เป็นผลดีของการให้ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้วกลมใส ใจอยู่ในกลางของกลางตรงจุดเล็กใส กลางดวงแก้วกลมใส ซึ่งเป็นปฏิภาคนิมิต
การเพ่งอาโลกกสิณ หรือกสิณแสงสว่างนี้ เป็นกสิณกลาง ที่ว่าเมื่อใครเพ่งกสิณอะไรแล้ว จะต้องเห็นเป็นดวงใสสว่างด้วยกันทั้งหมด
ถ้าว่าหยุดในหยุดกลางของหยุด ให้ละเอียดเข้าไปถึงปฏิภาคนิมิต แต่ปฏิภาคนิมิตนั้นมารวมหยุดถูกกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม อันเป็นที่ตั้งของธรรมในธรรม ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย ซึ่งเบื้องต้นของธรรมในธรรม ซึ่งวัตถุประสงค์ของการเจริญภาวนาให้มีสติพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มาซ้อนตรงกัน
เพราะฉะนั้น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายซึ่งตั้งอยู่ตรงนั้น มีใจรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน คือ "เห็น-จำ-คิด-รู้" อยู่ตรงนั้น ประกอบกับใจหยุดเพราะปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นตรงนั้นด้วย ซ้อนกันถึง ๓ อย่าง เห็นใสเด่นสว่างขึ้นมาเป็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย
เมื่อใจหยุดในหยุดกลางของหยุดกลางดวงธรรมนั้น ปฏิภาคนิมิตก็หมดหน้าที่ เพราะใจรวมหยุดเป็นจุดเดียวกันตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม แล้วใจที่รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ก็ทำหน้าที่พิจารณาเห็นธรรมในธรรม เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต และเวทนาในเวทนา สืบต่อไปได้
นี่เป็นผลดี ของการเจริญภาวนาโดยการเพ่งกสิณแสงสว่าง ซึ่งเอาดวงแก้วมาเป็นที่ตั้ง คือเอามาเพ่ง เอามาให้จดจำ ให้นึกให้เห็นด้วยใจ เป็นอุบายวิธีรวมใจให้หยุดเป็นจุดเดียวกันได้โดยง่าย
จึงเหมาะแก่จริตอัธยาศัยของคนหลายจริตอัธยาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มักโกรธพยาบาท หรือผู้ที่มักมีความยินดีพอใจในกามคุณทั้ง ๕ มีรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกาย เป็นต้น และผู้ที่มักฟุ้งซ่านไปในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น สามารถที่จะรวมใจให้หยุดนิ่ง และปราศจากกิเลสนิวรณ์ทั้งหลายนี้เสียได้โดยง่าย
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้เลือกใช้ "วิธีที่ดีที่สุด" มาผสมกัน โดยกล่าวรวมย่อๆ ได้ดังนี้
๑.ให้มองดู "ดวงแก้ว" ให้จำได้ แล้วนึกให้เห็นดวงแก้วด้วย "ใจ" เพื่อให้ใจซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน มารวมอยูที่ความนึกเห็นดวงแก้ว
การนึกเห็นดวงแก้วนั้น มีลักษณะเป็นการเพ่งกสิณแสงสว่าง ชื่อว่า "อาโลกกสิณ" เป็นหนึ่งในสมถะภูมิ ๔๐
๒.ให้กำหนดบริกรรมภาวนา ท่องในใจว่า "สัมมาอะระหัง"
คำว่า "สัมมา" นั้นย่อมาจาก สัมมาสัมพุทโธ แปลว่า พระผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ หมายเอา "พระปัญญาคุณ" ของพระพุทธเจ้า
ส่วนคำว่า "อะระหัง" นั้น แปลว่า พระผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรมทั้งปวง หมายเอา "พระวิสุทธิคุณ" ของพระพุทธเจ้า
เมื่อท่องในใจ หรือกำหนดบริกรรมภาวนาว่า "สัมมาอะระหัง" ตรงกลางของกลางจุดเล็กใสศูนย์กลางดวงใสแล้ว พึงให้น้อมพระพุทธคุณในข้อพระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า มาสู่ใจเราเป็น "พุทธานุสสติ" หนึ่งในสมถะภูมิ ๔๐
๓.ให้เอาใจไปรวมหยุดนิ่งตรง "ศูนย์กลางกาย" เหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ ตรงนั้นอยู่สูงกว่าต้นทางลมหรือที่สุดลมหายใจเข้าออก เป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งให้สามารถปฏิบัติภาวนาเข้าถึงรู้เห็น กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม เป็นทั้ง ณ ภายนอก และ ณ ภายในได้
และ ณ ที่นั้น เนื่องด้วยอยู่สูงกว่าระดับที่สุดหรือปลายทางลม หรือที่ตั้งต้นลมหายใจเข้าออก ประมาณ ๒ นิ้วมือ เมื่อผู้ปฎิบัติภาวนามีสติสัมปชัญญะ รู้ลมหายใจเข้าออกกระทบ หรือผ่านดวงแก้วตรงนั้น ก็เป็น "อานาปานสติ" อีกโสดหนึ่ง
ในขั้น "สมถภาวนา" จึงมีอุบายวิธี ๓ วิธีคือ
- อาโลกกสิณ
- พุทธานุสสติ
- อานาปานสติ
ซึ่งมีอยู่พร้อมในการปฏิบัติภาวนาเบื้องต้นตามแบบ "วิชชาธรรมกาย" ที่หลวงพ่อสดสอน โดยเป็นธรรมปฏิบัติที่มีอานุภาพสูง ให้เกิด "วิชชา" อันเป็นธรรมเครื่องกำจัด "อวิชชา" มูลรากฝ่ายเกิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะเมื่อรวมอุบายวิธีทั้ง ๓ นี้เข้าด้วยกันแล้ว จะมีผลให้เกิด "ทิพยจักขุ" กับ "ทิพยโสต" เป็นพื้นฐานให้เจริญวิชชา คือความสามารถพิเศษ หรือ "อภิญญา" ได้เป็นอย่างดี ตามรอยบาทพระพุทธองค์
การเจริญภาวนาตามแนว "วิชชาธรรมกาย" นี้ มีลักษณะเป็นแบบที่ใช้ “เจโตสมาธิ” เป็นบาท คือ สมาธิที่ประดับด้วย “อภิญญา” หรือ “วิชชาสาม” ถ้าบรรลุ "มรรคผล" โดยวิธีนี้ เรียกว่าหลุดพ้นโดย “เจโตวิมุตติ”
ซึ่งในระหว่างที่ปฏิบัติ แต่ยังไม่ถึงขั้นบรรลุ "มรรคผล" ก็จะยังได้ความสามารถในทาง "สมาธิ" ยังประโยชน์ทั้ง "ทางโลก" และ "ทางธรรม" ให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติเป็นอันมาก
นอกจากนี้ผู้ประสงค์จะเจริญภาวนาแบบ “ไตรลักษณ์” ก็จะสามารถเจริญได้โดยสะดวก เพราะการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายนี้ มี “สติปัฏฐาน ๔” อยู่ในตัวพร้อมเสร็จ สามารถที่จะยกเอา
- กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน
- เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน
- จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน
- ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน
หรือกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ทั้ง "ภายใน" และ "ภายนอก" ขึ้นมาพิจารณาได้เสมอ
เป็นทางให้ได้บรรลุมรรคผลทางปัญญา เป็นผลพลอยได้อีกด้วย
จึงมิต้องวิตกกังวลว่า การเจริญภาวนาตามแนว "วิชชาธรรมกาย" นี้ จะเป็นแค่ขั้น “สมถะ” โดยไม่มี “วิปัสสนา” แต่อย่างใด
*****************
"...เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้..."
โอวาทพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ธรรมกายคือ "พุทธะ" โดยแท้
*****************
พุทธภาษิตว่า "...คมฺภีโรจายํ ธมฺโม ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย..."
แปลว่า "...ธรรมนี้เป็นสภาพลึก เห็นได้ยาก ตรัสรู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต คิดเดาด้วยเหตุผลธรรมดาไม่ได้ (หยั่งไม่ได้ด้วยตรรกะ) เป็นธรรมละเอียด เป็นวิสัยที่บัณฑิตเท่านั้นที่จะถึงรู้ได้..."
"ธรรมกาย" คือ กายแห่งการตรัสรู้ธรรม เป็นกายในกายที่สุดละเอียดของสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม เป็นกายโลกุตตระ (คือพ้นโลก) พ้นจากกายในกายอันเป็นโลกิยะ
ธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้วนี้เอง คือ "พระนิพพานธาตุ" อันเป็นอมตธรรม ที่ทรงสภาวะนิพพานของพระอนุพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วธรรมกายนี้ ยังเป็นกายที่ประมวลความบริสุทธิ์ ๓ ประการเข้าไว้ด้วยกัน คือ
๑.กายและหัวใจ เป็นเนื้อหนังที่แท้จริง รวบยอดกลั่นออกมาจากพระวินัยปิฎก เป็น ปฐมมรรค (พระวินัยกลั่นออกมาเป็นกายและหัวใจ)
๒.ดวงจิต เป็นเนื้อหนังที่แท้จริง รวบยอดกลั่นออกมาจากพระสุตตันตปิฎก เป็น มรรคจิต (พระสูตรกลั่นออกมาเป็นดวงจิต)
๓.ดวงปัญญา เป็นเนื้อหนังที่แท้จริง รวบยอดกลั่นออกมาจากพระอภิธรรมหรือพระปรมัตถปิฎก เป็นมรรคปัญญา (พระอภิธรรมกลั่นออกมาเป็นดวงปัญญา)
แม้พระพุทธศาสนาจะเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นเวลาเกือบพันปีแล้ว และแม้ในปัจจุบันประเทศไทยจะได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก เพราะประชาชนเกือบทั้งประเทศเป็นพุทธศาสนิกชน ผู้ให้การทำนุบำรุง ตลอดจนปฏิบัติศาสนธรรม แต่ดูเหมือนว่าพุทธศาสนิกชนชาวไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับคำสอนอันเป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนเกี่ยวกับเรื่อง “ธรรมกาย” ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีปรากฏหลักฐานทั้งในพระไตรปิฎก และคัมภีร์สำคัญๆ ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทของเราหลายแห่ง กล่าวคือ ในพระไตรปิฎก ๔ แห่ง ในอรรถกถา ๒๘ แห่ง ในฎีกา ๗ แห่ง ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ๒ แห่ง ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกา ๓ แห่ง ในคัมภีร์มิลินทปัญหา ๑ แห่ง ในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ๑ แห่ง ในหนังสือพระสมถวิปัสสนาแบบโบราณ ๑ แห่ง
นอกจากนี้ยังพบที่หลักศิลาจารึก ที่พบในประเทศไทยอีก ๓ แห่ง แต่ยังมีบางท่านคิดว่า “ธรรมกาย” เป็นลัทธิใหม่ ดังนั้นเราจึงควรมาศึกษาทำความเข้าใจเรื่อง “ธรรมกาย” กันให้ถูกต้องจากเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่หาได้ในปัจจุบัน
มักจะมีผู้ตั้งคำถามเสมอว่า “ธรรมกาย” คืออะไร ? หลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้ทุ่มเทชีวิตศึกษาพระพุทธศาสนา ทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติอย่างอุกฤษฎ์ จนกระทั่งเข้าถึง “ธรรมกาย” ภายในตัวเมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๖๐ ณ อุโบสถวัดโบสถ์บน บางคูเวียง จังหวัดนนทบุรี หลังจากที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุได้ ๑๒ ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ธรรมกาย” ไว้ในพระธรรมเทศนาของท่านว่า
“...ธรรมกาย คือ กายภายในของพระพุทธเจ้า...” (จากมรดกธรรม หน้า ๔๑)
หลวงพ่อสดให้คำจำกัดความเช่นนี้จากประสบการณ์การปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมกายภายในด้วยตนเอง ส่วนหลักฐานที่แสดงว่า ธรรมกาย คือกายภายในของพระพุทธเจ้านั้น มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาหลายแห่ง ดังนี้
๑.ในคัมภีร์ มงฺคลตฺถทีปนี (ปฐโม ภาโค) ข้อ ๘๘ หน้า ๙๕ มีข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระวักกลิ พระมหาสาวกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของพราหมณ์ชาวพระนครสาวัตถี เรียนจบไตรเพทตามลัทธิพราหมณ์ เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ด้วยความอยากเห็นรูปโฉมของพระบรมศาสดา ครั้นบวชแล้วก็คอยติดตามดูพระองค์ตลอดเวลา จนไม่เป็นอันเจริญภาวนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรอเวลาให้อินทรีย์ของเธอแก่กล้า ครั้นแล้วก็ตรัสเตือนเธอว่า
"...กินฺเต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฎเน โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ โย มํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ ธมฺมํ หิ วกฺกลิ ปสฺสนฺโต มํ ปสฺสติ มํ ปสฺสนฺโต ธมฺมํ ปสฺสติ..."
แปลว่า "...วักกลิจะมีประโยชน์อะไรที่ได้เห็นกายเปื่อยเน่านี้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม..."
หลวงพ่อวัดปากน้ำให้ความเห็นว่า แท้ที่จริงแล้วพระดำรัสนี้หมายความว่า
"...ผู้ใดเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็น ธรรมกาย ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นเรา คือตถาคตนั่นเอง หรือพูดให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นคือ ผู้ใดเห็น ธรรมกาย ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า...” (จากมรดกธรรมหน้า ๔๑)
เหตุที่ให้ความหมายเช่นนี้ ก็เพราะขณะนั้นพระวักกลิก็อยู่ใกล้ๆ กับพระพุทธองค์ พระวักกลิก็มีดวงตาเป็นปกติ ไม่ใช่ผู้มีดวงตาพิการ ย่อมจะสามารถมองเห็นกายของพระพุทธองค์ได้ถนัดชัดเจน แต่การที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนั้นย่อมมีนัยลึกซึ้งอยู่ จึงมีความหมายได้ว่า กายที่แลเห็นได้ด้วยตาธรรมดานั้น เป็นแค่เพียงเปลือกนอกของพระสิทธัตถะที่ออกบวช ซึ่งมิได้อยู่ในความหมายของคำว่า “เรา” ยิ่งกว่านั้นยังตรัสว่าเป็นกายที่เปื่อยเน่าด้วย นั่นคือกายพระสิทธัตถะที่ออกบวชเป็นกายที่เปื่อยเน่า จึงเป็นเพียงกายภายนอกและสันนิษฐานได้ว่า “เรา” นี้หมายถึงกายภายใน ซึ่งไม่ใช่กายที่เปื่อยเน่าได้ ดังนั้นกายภายในจะคืออะไรได้อีก นอกเสียจาก “ธรรมกาย” นั่นเอง จะเห็นกายนี้ได้อย่างไร หลวงพ่อวัดปากน้ำตอบว่าไม่ยาก ถ้าได้บำเพ็ญภาวนาโดยวางใจได้ถูกส่วนแล้ว ท่านจะเห็นได้ด้วยตนเองคือ เห็นด้วย “ธรรมจักษุ” หรือพูดง่ายๆ ว่า ตาธรรมกาย มิใช่ตาธรรมดา นั่นคือท่านต้องเจริญภาวนาจนบรรลุ ธรรมกาย ในตนเอง กลายเป็นผู้มี “ธรรมจักษุ” เสียก่อน และด้วยธรรมจักษุนี้ก็จะเห็น ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
๒.ในคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย อิติวุตฺตก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๗๒ หน้า ๓๐๑ กล่าวว่า
"...โยชนสเต เจปิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ วิหเรยฺย โส จ โหติ อนภิชฌาลุ กา เมสุ น ติพฺพสาราโค อพยาปนฺนจิตฺโต อปฺปทุฏฺฐมนสงฺกปฺโป อุปฏฺฐตสติ สมฺปชาโน สมาหิโต เอกคฺคจิตฺโต สํวุตินฺทฺริโย อถ โข โส สนฺติเกว มยฺหํ อหญฺจ ตสฺสฯ ตํ กิสฺส เหตุ ธมฺมํ หิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ ปสฺสติ ธมฺมํ ปสฺสนฺโต มํ ปสฺสตี ติฯ..."
มีคำแปลปรากฏอยู่ใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สังฆาฏิสูตร ข้อ ๒๗๒ หน้า ๕๘๑ ว่า
“...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุนั้นอยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์ แต่เธอไม่มีอภิชฌาคือความละโมบ ไม่มีความกำหนัดอันแรงกล้าในกามทั้งหลาย ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติมั่น มีสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์โดยแท้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า อยู่ใกล้ชิดเราทีเดียว และเราก็อยู่ใกล้ชิดภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะภิกษุนั้นย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมชื่อว่าเห็นเรา...”
จากข้อความที่ยกมานี้มีประเด็นสำคัญที่อธิบายได้ดังนี้คือ
(๑) ภิกษุที่มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียวนั้น คือภิกษุที่เจริญวิปัสสนาภาวนาจนสามารถบรรลุวิปัสสนาญาณได้เป็นอย่างน้อย (๒) ภิกษุที่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงเช่นนั้นได้ ก็เพราะไม่โลภ ไม่ติดในกาม ไม่พยาบาท โดยสรุปก็คือ ละนิวรณ์ได้แล้ว จึงมีสติตั้งมั่น สามารถทำความเพียรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป นั่นคือสามารถบรรลุ “ธรรมกาย” ในตนเองจึงมี “ธรรมจักษุ” และด้วยธรรมจักษุนี้เองจึงสามารถมองเห็น ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (๓) ภิกษุที่มี “ธรรมจักษุ” แม้จะอยู่ห่างไกลแสนไกลจากพระพุทธองค์ก็สามารถเห็นพระพุทธองค์ (เห็นเรา) ได้ จึงได้ชื่อว่า อยู่ใกล้พระพุทธองค์โดยแท้
ด้วยเหตุนี้ คำว่า “ธรรม” ใน “เห็นธรรม” จึงเป็นรูปธรรม มิใช่นามธรรมที่หมายถึงพระธรรมคำสั่งสอนอันปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกปัจจุบัน แต่จะต้องเป็นดวงธรรมที่ทำให้เป็น ธรรมกาย หรือเป็นธรรมขันธ์ที่สำเร็จด้วยการหักอาสวะกิเลสทั้งปวงจนสิ้น แล้วประกอบกันเป็นกายของพระพุทธองค์ นั่นคือ ธรรมกาย เป็นกายภายใน และจะสามารถเห็นได้เฉพาะผู้ที่มีธรรมจักษุ อันเกิดจากการเจริญวิปัสสนาภาวนาขั้นสูงเท่านั้น ข้อความในพระสูตรนี้จึงเป็นหลักฐานสนับสนุนคำจำกัดความที่หลวงพ่อวัดปากน้ำให้ไว้เป็นอย่างดี
๓.ในคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย อุทาน ปรมตฺถโชติกา มงฺคลสุตฺตวณฺณนา ฉบับมหาจุฬาฯ หน้า ๙๕ กล่าวว่า
"...ภคฺคราโค ภคฺคโทโส ภคฺคโมโห อนาสโว ภคฺคาสฺส ปาปกา ธมฺมา ภควา เตน วุจฺจตีติ. ภาคฺยวตาย จสฺส สตปุญฺญลกฺขณธรสฺส รูปกายสมฺปตฺติ ทีปิตา โห ติ, ภคฺคโทสตายปิ ธมฺมกายสมฺปตติ. ตถา โลกิยสริกฺขกานํ พหุมตภาโว, คหฏฺฐปพฺพชิเตหิ อภิคมนียตา, อภิคตานญฺจ เนสํ กายจิตฺตทุกฺขาปนยเน ปฏิพลภาโว, ตถา อามิสทานธมฺมทาเนหิ อุปการิตา, โลกิยโลกุตฺตรสุเขหิ จ สํโยชนสมตฺถตา ทีปิตา โหติ..."
(ข้อความคล้ายคลึงกับ วิสุทฺธิมคฺคปกรณ พุทฺธานุสฺสติกถา ฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม ๑ หน้า ๒๓๐) มีคำแปลปรากฏใน ขุทฺทกนิกาย ขุทฺทกปาฐะ อรรถกถามงคลสูตร เล่ม ๓๙ หน้า ๑๔๙ ว่า
"...ทรงหักราคะ หักโทสะ หักโมหะ ไม่มีอาสวะ ทรงหักบาปธรรมได้แล้ว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า ภควา ก็แล ความถึงพร้อมแห่งพระรูปกายของพระองค์ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระบุญลักษณะนับร้อย เป็นอันท่านแสดงด้วยความที่ทรงมีภาคยะคือบุญ ความถึงพร้อมแห่ง พระธรรมกาย เป็นอันท่านแสดงด้วยความที่ทรงหักโทสะได้แล้ว..."
(ข้อความคล้ายคลึงกับ ขุ. มหา. อรรถกถา ติสสเมตเตยยสุตตนิทเทส เล่ม ๖๕ หน้า ๗๐๑) จากข้อความที่ว่า
"...ความถึงพร้อมแห่ง พระธรรมกาย เป็นอันท่านแสดงด้วยความที่ทรงหักโทสะ (เป็นต้น) ได้แล้ว..."
ย่อมชี้ให้เห็นว่า พระธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นปรากฏขึ้น ก็เพราะทรงกำจัดอาสวะกิเลสในพระองค์ได้แล้วโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงเป็นกายที่เกิดใหม่ เป็นกายที่เป็นธรรมขันธ์ มิใช่กายที่เป็นเบญจขันธ์ ซึ่งเป็นเปลือกนอกของตถาคต ถ้าเช่นนั้น ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์นี้ก็ย่อมจะซ้อนอยู่ภายในกายที่เป็นเบญจขันธ์อีกทีหนึ่ง ดังที่หลวงพ่อวัดปากน้ำได้อธิบายไว้
๔.ในคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย อิติวุตฺตกะ อรรถกถา ปรมตฺถทีปนี อคฺคปฺปสาทสุตฺตวณฺณนา ฉบับมหาจุฬาฯ หน้า ๓๒๐-๓๒๑ มีข้อความตอนหนึ่งซึ่งกล่าวถึง ธรรมกาย ว่า
"...ปุริมสฺมึ จ อตฺเถ อคฺคสทฺเทน พุทฺธาทิรตนตฺตยํ วุจฺจติ เตสุ ภควา ตาว อสทิสฏฺเฐน คุณวิสิฏฺเฐน อสมสมฏฺเฐน จ อคฺโค. โส หิ มหาภินีหารํ ทสฺนฺนํ ปารมีนํ ปวิจยญฺจ อาทึ กตฺวา เตหิ โพธิสมฺภารคุเณหิ เจว พุทฺธคุเณหิ จ เสสชเนหิ อสทิโสติ อสทิสฏฺเฐน อคฺโค. เย จสฺส คุณา มหากรุณาทโย, เต เสสสตฺตานํ คุเณหิ วิสิฏฺฐาติ คุณวิสฏฺฐฏฺเฐนปิ สพฺพสตฺตุตฺตมตาย อคฺโค. เย ปน ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา สพฺพสตฺเตหิ อสมา. เตหิ สทฺธึ อยเมว รูปกายคุเณหิ เจว ธมฺมกายคุเณหิ จ อสมสมฏฺเฐนปิ อคฺโค..."
มีคำแปลปรากฏอยู่ใน ขุทฺทกนิกาย อิติวุตฺตกะ อรรถกถา ปสาทสูตร เล่ม ๔๕ หน้า ๕๕๙ ว่า
"...อนึ่งในความหมายอย่างก่อนพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นไว้ด้วย "อคฺค" ศัพท์ ในสัตว์โลกเหล่านั้น พระผู้มีพระมีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐก่อน โดยหมายความว่าไม่มีผู้เปรียบโดยความหมายว่าเป็นผู้วิเศษด้วยคุณความดี และโดยความหมายว่าไม่มีผู้เสมอเหมือน จริงอยู่พระองค์ชื่อว่าเป็นผู้ล้ำเลิศ โดยความหมายว่าไม่มีผู้เปรียบเพราะทรงทำอภินิหารมามาก และการสั่งสมบารมี ๑๐ ประการมาเป็นเบื้องต้น จึงไม่เป็นเช่นกับคนทั้งหลายที่เหลือ เพราะพระคุณคือพระโพธิสมภารเหล่านั้น และเพราะพุทธคุณทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นผู้ล้ำเลิศ เพราะเป็นผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ แม้โดยความหมายว่า เป็นผู้วิเศษด้วยคุณความดี เพราะพระองค์มีพระคุณพระมหากรุณาธิคุณ เป็นต้น ที่วิเศษกว่าคุณทั้งหลายของสรรพสัตว์ที่เหลือ ชื่อว่าเป็นผู้ล้ำเลิศ แม้โดยความหมายว่า ไม่มีผู้เสมอเหมือน เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้เอง เป็นผู้เสมอโดยพระคุณทางรูปกาย และพระคุณทาง ธรรมกาย กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน ผู้ไม่เสมอเหมือนกับสรรพสัตว์..."
จากข้อความที่ยกมานี้ จะเห็นได้ว่า (๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระคุณที่สำคัญอยู่ ๒ ทางคือ พระคุณทางรูปกาย และพระคุณทาง ธรรมกาย (๒) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเสริฐกว่าผู้อื่นทั้งปวง เพราะไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบกับพระองค์ได้ในด้านคุณความดี ความกรุณา การสั่งสมบารมีการทำอภินิหารมาก พระโพธิสมภาร และพระพุทธคุณทั้งหลาย (๓) พระคุณทางรูปกาย และพระคุณทางธรรมกาย ของพระพุทธองค์นั้น เสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตกาล ในข้อนี้ย่อมสรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนมี ธรรมกาย และ ธรรมกาย เป็นคนละสิ่งกับรูปกาย
มีคำถามต่อไปว่า
๑.ธรรมกาย เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
๒.บุคคลจะสามารถเห็น ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ?
จากข้อความที่ว่า
"...การสั่งสมบารมี ๑๐ ประการมาเป็นเบื้องต้น จึงไม่เป็นเช่นกับคนทั้งหลายที่เหลือ เพราะพระคุณคือพระโพธิสมภารเหล่านั้น (บุญบารมีเหล่านั้น) และเพราะพุทธคุณทั้งหลาย (พระคุณ ๙ ประการของพระพุทธเจ้า) ชื่อว่าเป็นผู้ล้ำเลิศ..."
จากข้อความตรงนี้ น่าจะตอบคำถามแรกได้ว่า "ธรรมกาย" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นได้เพราะการสั่งสมบารมี ๑๐ ประการเป็นเบื้องต้น อันเป็นพื้นฐานสำหรับการบำเพ็ญอุปบารมี และปรมัตถบารมี ดังที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ส่วนคำถามที่สองนั้น น่าจะได้คำตอบจากคัมภีร์ต่อไป อย่างไรก็ตาม จากข้อความในพระสูตรที่ยกมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า ธรรมกาย ไม่ใช่รูปกาย ซึ่งเป็นเบญขันธ์ ที่เปื่อยเน่าได้ และไม่ใช่เป็นเพียงพระธรรมคำสั่งสอนอันปรากฏในพระไตรปิฎก แต่เป็นอีกกายหนึ่งซึ่งเป็นธรรมขันธ์ ไม่เน่าเปื่อย
๕.ในคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย อิติวุตฺตก อรรถกถาปรมตฺถทีปนี สงฺฆาฏิกณฺณสุตฺตวณฺณนา ฉบับมหาจุฬาฯ หน้า ๓๓๔ มีข้อความที่กล่าวถึง ธรรมกาย ว่า
"...โส อารกาว มยฺหํ, อหญฺจ ตสฺสาติ โส ภิกฺขุ มยา วุตฺตปฏิปทํ อปูเรนฺโต มม ทูเรเยว, อหญฺจ ตสฺส ทูเรเยว. เอเตน มํสจกฺขุนา ตถาคตทสฺสนํ รูปกายสโมธานญฺจ อการณํ, ญาณจกฺขุนาวทสฺสนํ ธมฺมกายสโมธานเมว จ ปมาณนฺติ ทสฺเสติ. เตเนวาห "ธมฺมํ หิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ น ปสฺสติ, ธมฺมํ อปสฺสนฺโต มํ น ปสฺสตี" ติ. ตตฺถ ธมฺโม นาม นววิโธ โลกุตฺตรธมฺโม,โส จ อภิชฺฌาทีหิ ทุสฺสิตจิตฺเตน น สกฺกา ปสฺสิตุํ, ตสฺมา ธมฺมสฺส อทสฺสนโต ธมฺมกายํ จ น ปสฺสตี" ติ ตถา หิ วตฺตุํ :- "กินฺเต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน, โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสติ. โย มํ ปสฺสติ, โส ธมฺมํ ปสฺสตี..."
ติ. (เชิงอรรถอ้าง สํ.ข.๑๗/๘๗/๙๖) “ธมฺมกาโย อิติปิ, พฺรหฺมกาโย อิติปิ” ติ จ อาทิ (เชิงอรรถอ้าง ที.ปา. ๑๑/๑๑๘/๗๒)
มีคำแปลปรากฏใน ขุทฺทกนิกาย อิติวุตฺตก อรรถกถาสังฆาฏิสูตร เล่ม ๔๕ หน้า ๕๘๓ ว่า
"...บทว่า โส อารกาว มยฺหํ อหญฺจ ตสฺส ความว่า ภิกษุนั้น เมื่อไม่บำเพ็ญปฏิปทาที่เราตถาคตกล่าวแล้วให้บริบูรณ์ ก็ชื่อว่า เป็นผู้อยู่ไกลเราตถาคตทีเดียว เราตถาคตก็ชื่อว่า อยู่ไกลเธอเหมือนกัน ด้วยคำนี้พระองค์ทรงแสดงว่า การเห็นพระตถาคตเจ้า ด้วยมังสจักษุก็ดี การอยู่รวมกันทางรูปกายก็ดี ไม่ใช่เหตุ (ของการอยู่ใกล้) แต่การเห็นด้วยญาณจักษุเท่านั้น และการรวมกันด้วย ธรรมกาย ต่างหาก เป็นประมาณ (ในเรื่องนี้) ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรมก็ไม่เห็นเราตถาคต ในคำว่า ธมฺมํ น ปสฺสติ นั้น มีอธิบายว่า โลกุตตรธรรม ๙ อย่าง ชื่อว่าธรรม ก็เธอไม่อาจจะเห็นโลกุตตรธรรมนั้นได้ ด้วยจิตที่ถูกอภิชฌาเป็นต้นประทุษร้าย เพราะไม่เห็นธรรมนั้น เธอจึงชื่อว่า ไม่เห็นธรรมกาย..."
สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
"...ดูก่อนวักกลิ เธอจะมีประโยชน์อะไร ด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้เธอได้เห็นแล้ว ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นก็เห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นก็เห็นธรรม ดังนี้ และว่าเราตถาคตเป็นธรรมภูต เราตถาคตเป็นพรหมภูตดังนี้ และว่าเป็น ธรรมกาย บ้าง เป็นพรหมกายบ้าง..." ดังนี้เป็นต้น
จากข้อความที่ยกมานี้มีประเด็นสำคัญว่า
(๑) มังสจักษุ หรือตาธรรมดาของภิกษุ สามารถมองเห็นได้ก็แต่เพียงรูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (๒) ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุจะสามารถเห็นได้ด้วยญาณจักษุเท่านั้น ถ้าไม่มีญาณจักษุ ก็ไม่สามารถมองเห็น (๓) ภิกษุที่มองเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงเฉพาะรูปกาย ไม่ชื่อว่าภิกษุนั้นอยู่ใกล้ตถาคตหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตถาคตเองก็ไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้ภิกษุนั้น (๔) ภิกษุที่มีญาณจักษุ สามารถมองเห็น ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะได้ชื่อว่าอยู่ใกล้พระองค์ และพระองค์ก็อยู่ใกล้ภิกษุนั้น เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า
"...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นเราตถาคต..."
ณ จุดนี้จึงสรุปได้ว่า คำว่า "ธรรม" ใน "ไม่เห็นธรรม" นั้นที่แท้จริงหมายถึง "ธรรมกาย" คือเมื่อไม่เห็น ธรรมกาย ก็ไม่เห็นเราตถาคต ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ธรรมกาย ไม่ใช่เป็นเพียงชื่อของตถาคตเท่านั้น แต่เป็นตัวตถาคตทีเดียว ซึ่งเป็นคนละส่วนกับรูปกาย ซึ่งเป็นเบญจขันธ์หรือเป็นเปลือกนอกของตถาคต ดังที่หลวงพ่อวัดปากน้ำได้กล่าวอธิบายไว้แล้ว ส่วนคำว่า "ญาณจักษุ" ก็คือ "ปัญญาจักษุ" หรือ "ธรรมจักษุ" หรือเรียกง่ายๆ ว่า "ตาธรรมกาย" นั่นเอง ผู้ที่จะมีญาณจักษุได้จะต้องเจริญวิปัสสนาภาวนาขั้นสูง จนบรรลุถึง ธรรมกาย ในตนเอง แล้วด้วยตาของ ธรรมกาย หรือญาณจักษุของตนเองนั้น ก็จะเห็น ธรรมกาย หรือตถาคต หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังที่ได้พรรณนาไว้ในข้อ ๒-อิติวุตฺตก ๒๕/๒๗๒ (๕) ผู้ที่มีญาณจักษุ คือผู้เข้าถึง ธรรมกาย ในตนเอง หรือเรียกว่าผู้ที่มี ธรรมกาย ย่อมเห็นธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๖.ในคัมภีร์ ขุทฺทกนิกาย สุตฺตนิปาต อรรถกถาปรมตฺถโชติ กา ธนิยสุตฺตวณฺณนา ฉบับมหาจุฬาฯ หน้า ๓๙ ปรากฏมีข้อความเกี่ยวกับธรรมกาย ว่า
"...อถ ธนิโย อเวจฺจปฺปสาทโยเคน ตถาคเต มูลชาตาย ปติฏฺฐตาย สทฺธาย ปญฺญจกฺขุนา ภควโต ธมฺมกายํ ทิสฺวา ธมฺมกายสญฺโจหิตหทโย จินฺเตสิ :- "พนฺธนานิ ฉินฺทึ, คพฺภเสยฺยา จ เม นตฺถี" ติ อวีจึ ปริยนฺตํ กตฺวา ยาว ภวคฺคา โก อญฺโญ เอวํ สีหนาทํ นทิสฺสติ อญฺญตฺร ภควตา, อาคโต นุ โข เม สตฺถาติ..."
(*** ข้ามข้อความบางส่วน ***)
"...ตตฺถ ยสฺมา ธนิโย สปุตฺตทาโร ภควโต อริยมคฺคปฏิเวเธน ธมฺมกายํ ทิสฺวา โลกุตฺตรจกฺขุนา, รูปกายํ ทิสฺวา โลกิยจกฺขุนา สทฺธาปฏิลาภํ ลภิ, ตสฺมา อาห "ลาภา วต โน อนปฺปกา, เย มยํ ภควนฺตํ อทฺทสามา..."
มีคำแปลที่ปรากฏใน ขุทฺทกนิกาย สตฺตนิปาต อรรถกถาธนิยสูตร เล่ม ๔๖ หน้า ๘๔ ว่า
"...ลำดับนั้น นายธนิยะ เห็นแล้วซึ่ง ธรรมกาย ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยปัญญาจักษุ ด้วยศรัทธา ซึ่งตั้งมั่นแล้ว อันเกิดขึ้นแล้วในพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูลด้วยความเลื่อมใสที่ไม่คลอนแคลน ผู้มีหทัยอัน ธรรมกาย ตักเตือนแล้ว คิดแล้วว่านับตั้งแต่อเวจีเป็นที่สุด จนถึงภวัครพรหม เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสีย คนอื่นใครเล่าจักบันลือสีหนาทที่มีกำลังเช่นนี้ได้ พระศาสดาของเราเสด็จมาแล้วหนอ ด้วยความดำริว่า เราตัดเครื่องผูกทั้งหลายได้แล้ว และการนอนในครรภ์ของเราไม่มี..."
(*** ข้ามข้อความบางส่วน ***)
"...เพราะเหตุที่นายธนิยะพร้อมกับบุตรและภรรยาได้เห็น ธรรมกาย ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยโลกุตตรจักษุ โดยการแทงตลอดอริยมรรค เห็นรูปกายของพระองค์ด้วยโลกิยจักษุ และกลับได้แล้วซึ่งสัทธาฉะนั้นเขาจึงกล่าวว่า เป็นลาภของข้าพระองค์ไม่น้อยหนอ ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า..."
จากข้อความที่ยกมานี้มีคำศัพท์ที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอยอยู่หลายคำดังนี้
๑.ปัญญาจักษุ คำนี้ประกอบด้วย "ปัญญา" และ "จักษุ" คำว่าปัญญามีความหมายหลายระดับ ความหมายระดับสูงหมายถึง "ความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็นตามเป็นจริง" หรือหมายถึง "ญาณ" คือปรีชาหยั่งรู้ เช่นญาณหยั่งรู้อริยสัจ ๔ เป็นต้น "จักษุ" แปลว่า ตา เมื่อคำสองคำรวมกันเป็น "ปัญญาจักษุ" กลายเป็นคำศัพท์เฉพาะในพระพุทธศาสนา หมายถึงพระปัญญาคุณอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุให้สามารถตรัสรู้อริยสัจธรรม หรือ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
๒.ภวัครพรหม หมายถึงพรหมชั้นสูงสุด หรือเนวสัญญานาสัญญายตนะ
๓.อริยมรรค หมายถึงญาณอันให้สำเร็จความเป็นพระอริยะมี ๔ อย่าง คือ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค
๔.โลกุตตรจักษุ คำนี้ประกอบด้วย “โลกุตตร” กับ “จักษุ “โลกุตตระ” แปลว่า “พ้นวิสัยของโลก” ดังนั้น “โลกุตตรจักษุ” จึงมิใช่ตาธรรมดาของคนเรา แต่เป็นตาที่สามารถมองเห็นกองสังขารตามความเป็นจริงทั้งหมด มีความหมายเช่นเดียวกับ “ปัญญาจักษุ” หรือ “ญาณจักษุ” หรือตาธรรมกายนั่นเอง
จากข้อความในพระสูตรนี้แสดงว่านายธนิยะพร้อมกับบุตรและภรรยา เป็นผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา จึงสามารถแทงตลอดอริยมรรค นั่นคือบรรลุอรหัตตมรรค (หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าบรรลุธรรมกายอรหัต) พวกเขาจึงได้เห็น ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยปัญญาจักษุ หรือโลกุตตรจักษุ ทั้งนี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่รูปกายเปลือกนอกของพระพุทธองค์ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาธรรมดา แต่เป็นกายภายใน หรือเป็นธรรมขันธ์ของพระพุทธองค์ที่บุคคลผู้บรรลุ ธรรมกาย มีปัญญาจักษุเท่านั้น จึงสามารถเห็นได้ จากข้อความที่ว่า
“...พระศาสดาของเราเสด็จมาแล้วหนอด้วยความดำริว่า เราตัดเครื่องผูกทั้งหลายได้แล้ว และการนอนในครรภ์ (สังสารวัฏ) ของเราไม่มี...”
ย่อมชี้ให้เห็นว่าพระพุทธองค์นั้นทรงทำกิเลสอาสวะทั้งปวงให้อันตรธานไปอย่างสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ จึงยังผลให้พระองค์เป็น ธรรมกาย โดยสมบูรณ์ จากหลักฐานที่ประมวลมาทั้งหมดนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า
(๑) ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนละอย่างกับรูปกาย ซึ่งเป็นเบญจขันธ์ของพระองค์ (๒) ธรรมกาย เป็นกายภายในของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นธรรมขันธ์สามารถเห็นได้โดยปัญญาจักษุ หรือโลกุตตรจักษุ หรือญาณจักษุ หรือตาธรรมกายเท่านั้น มังสจักษุหรือตาธรรมดา ไม่สามารถเห็นได้ (๓) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีคุณวิเศษล้ำเลิศกว่าสัตว์ทั้งปวง นับแต่อเวจีจนถึงภวัครพรหม ทรงสามารถบันลือสีหนาทได้เหนือกว่าผู้ใดในไตรภพ ทรงตัดขาดจากสังสารวัฏแล้วโดยสิ้นเชิง อีกทั้งทรงพระคุณสมบัติเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน ก็เพราะทรงมี “พระธรรมกาย”
ดังนั้น จึงสามารถสรุปความหมายของธรรมกายอย่างสั้นๆ และเข้าใจง่ายๆ ได้ว่า ธรรมกาย คือ กายแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า หรือธรรมกาย คือ กายรู้แจ้งเห็นแจ้งของบุคคล เป็นกายแห่ง "พุทธะ" ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยแท้
ชาวพุทธ "สรวาสติวาท" ดูจะเข้าใจความหมายของธรรมกายในทิศทางเดียวกันกับ "เถรวาท" เช่น "คัมภีร์มหาวิภาษา" และ "อภิธรรมโกศภาษย" ซึ่งกล่าวถึงการขอถึง "สรณะ" ในพระพุทธเจ้าว่า
"...การขอถึงสรณะใน "ธรรมที่เปลี่ยน" พระโพธิสัตว์ให้เป็นพระพุทธเจ้า คือ ธรรมกาย ไม่ใช่การขอถึงรูปกายของพระองค์เป็นสรณะ..."
(Vasubandhu, Poussin, and Pruden 1988:.722 n.129, 131)
และในขณะเดียวกันก็ระบุว่า
"...ธรรมกาย ได้แก่ กฺษยชฺญาน (ขยญาณ), อนุตฺปาทชฺญาน (อนุปฺปาทญาณ) และสมฺยคฺทฤษฺฏิ (สัมมาทิฏฐิ) รวมทั้งธรรมที่มาร่วมกับญาณเหล่านี้ ได้แก่ ขันธ์อันบริสุทธิ์ ๕ ประการ..."
ในบางแห่ง "คัมภีร์อภิธรรมโกศ" กล่าวว่า
"...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงเหมือนกัน โดยทรงเข้าถึงธรรมกายเดียวกัน..." (AbhK.VII.34)
ซึ่งคัมภีร์ "วฺยาขฺยา" ขยายความว่า
"...ธรรมกายในที่นี้หมายถึง กระแสที่ต่อเนื่องของธรรมที่ปราศจากกิเลส (อนาสฺรวธรฺม-สำตาน) หรือการผลัดเปลี่ยนเป็นชีวิตใหม่หรือตัวตนใหม่ (อาศฺรยปริวฤตฺติ) สำหรับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์...”
(Vasubandhu, Poussin, and Pruden 1988:.1200.n.196)
ข้อสรุปข้างต้นมีความชัดเจนว่า ธรรมกายในพระพุทธศาสนายุคดั้งเดิมนั้น มีความหมายสอดคล้องหรือตรงกันกับ “ธรรมกาย” ที่กล่าวไว้ในคำสอนวิชชาธรรมกาย ซึ่งชาวพุทธ "เถรวาท" และ "สรวาสติวาท" ยังคงรักษาความเข้าใจเดิมไว้ได้อย่างน้อยก็ถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ดังที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาบาลีและประมวลหัวใจพระอภิธรรมของสรวาสติวาท ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจแบบใหม่ ที่ตีความธรรมกายว่าเป็นพระธรรมวินัยดังที่ปรากฏให้เห็นใน "วชิรพุทธิฎีกา"ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘
จึงกล่าวยืนยันรับรองได้ว่า คำสอนในวิชชาธรรมกายโดยหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น เป็นคำสอนเก่าแก่ของพระพุทธศาสนามาแต่เดิม และยังมีการสืบทอดความเข้าใจต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน
หากชาวพุทธผู้ใดสามารถเข้าถึง "ธรรมกาย" ภายในตัวอันเป็นธรรมละเอียด ลึกซึ้ง ตรัสรู้ตามได้ยากนี้ได้ ชาวพุทธผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็น "พุทธะ" ในนามแห่ง "พระอนุพุทธเจ้า" อันเป็นชาวพุทธ (ผู้ตื่นแล้ว) ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา
*****************
"...พอถึงกายธรรมเท่านั้น รูปพระพุทธปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม บริสุทธิ์ ใสเป็นกระจกคันฉ่องเงาหน้า กายที่ ๙ ของตัวเอง มีทุกคน ชายก็มี หญิงก็มี เหมือนกันทุกคน แบบเดียวกัน ไปถึงกายนั่นนะ เป็นตัวอมตะ ทีเดียว อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ทีเดียว เห็นนิพพานได้ทีเดียว ไม่ใช่กายเดียวนะ กายธรรม กายธรรมละเอียด กายธรรมโสดา กายธรรมโสดาละเอียด กายธรรมสกิทาคา สกิทาคาละเอียด กายธรรมอนาคา อนาคาละเอียด กายธรรมอรหัต กายธรรมอรหัตละเอียด ไปนิพพานได้เหมือนกันทุกกาย นี่ไปนิพพานได้อย่างนี้ เช่นนั้นเรียกว่า อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาทเป็นหนทางไม่ตายนั่นแหละ กายธรรม นั่นแหละ ไม่ตาย ไปนิพพานได้ทีเดียว…"
โอวาทพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ "ปฐมมรรค"
ปาฐกถา เรื่อง "วิชชาธรรมกาย"
• ขยายความจากบทความ •
ที่มา : "พระธีรภทฺโท ฟื้นสุทธสินธุ์" (ขุนวรบาทบริหาร) นิติศาสตร์มหาบัณฑิต
๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ (คัดมาโดยย่อ)
*****************
สำหรับท่านที่ไม่เคยเห็น "ธรรมกาย" อาจนึกสงสัยว่าทำไมธรรมกายจึงเหมือนพระปฏิมากร ข้อนี้ก็โดยพระพุทธปฏิมากรเป็นการสร้างรูปเปรียบ "พระธรรมกาย" ของพระพุทธเจ้านั่นเอง เพราะพระรูปกายมนุษย์ของพระพุทธเจ้าตามมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็ดี พระอสีตะยานุพยัญชนะ ๘๐ ก็ดี ไม่ปรากฏว่ามีพระเกตุ อันจะเป็นเหตุให้เห็นผิดแผกแตกต่างจากพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ข้อนี้เลยกลายเป็นเหตุให้มีเรื่องขึ้นถึง ๔ เรื่อง คือ
๑.พระนันทพุทธอนุชา มีรูปร่างงามคล้ายพระพุทธเจ้า ท่านครองจีวรเท่าพระศาสดา มีผู้เข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นพระพุทธองค์ เป็นเหตุให้ต้องทรงบัญญัติห้ามพระภิกษุสงฆ์ไม่ให้ครองจีวรเท่าพระสุคต เพื่อกำหนดให้เห็นผิดแผกแตกต่างกัน
๒.คืนวันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรู เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ในหมู่ภิกษุสงฆ์ เลยไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระพุทธองค์ ต้องทรงถามหมอชีวกโกมารภัจจ์
๓.ปุกกุสาติพราหมณ์ บวชอุทิศต่อพระศาสดา มาพบพระพุทธเจ้าเข้าที่โรงช่างหม้อก็ไม่รู้จักพระพุทธองค์ หลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบรรพชิตสามัญ
๔.พระกัจจายเถระ มีรูปร่างงดงามทำให้มีผู้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจึงเนรมิตกายให้อ้วนเตี้ยเสียเลย
หลักฐานอีกข้อหนึ่งก็คือ พระพุทธปฏิมากรมี ๒ แบบ แบบหนึ่งไม่มีเกตุ เป็นการสร้างรูปเปรียบพระรูปกายมนุษย์ของพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธปฏิมากรของจีน ญี่ปุ่น พม่า และอินเดีย เป็นต้น
...การสร้างพระพุทธรูปต่างๆ เกิดขึ้นครั้งแรกที่แคว้นคันธาระ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ โดยพระเจ้ามิลินท์ ซึ่งเป็นการสร้างพระพุทธรูปเปรียบ "พระรูปกาย" ของพระพุทธเจ้า (มีศิลปะออกไปทางกรีก)...
อีกแบบหนึ่งมีพระเกตุ เป็นการสร้างรูปเปรียบพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธปฏิมากรของไทยเรา มี "พระพุทธชินราช" เป็นต้น แต่ที่ทำพระเกตุเป็นรัศมีกนกเปลวนั้นผิดไป เพราะช่างไม่เข้าใจจึงประดิษฐ์ให้สวยงาม แต่ถ้าเอาตามที่ถูกนั้น ต้องเป็น "เกตุดอกบัวตูม" ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในคาถาสวดมนต์มงคลจักรวาลใหญ่ “เกตุมาลานุภาเวน ด้วยอานุภาพแห่งพระเกตุมาลา” ซึ่งหมายความว่าเกตุดอกบัวตูมได้ แต่ไม่ได้หมายถึงเกตุกนกเปลวรัศมี ข้อนี้ขอให้ดูหนังสือปฏิมากรสงเคราะห์ หน้า ๒๔ ที่ว่าพระพุทธรูปสมัยลพบุรีที่มีเกตุเป็นดอกบัว ก็ขอให้ไปดูพระพุทธรูปหินหน้าศาลา หน้าเรือนจำในวังนารายณ์ จังหวัดลพบุรีดู เพราะเหมือนจะมีเกตุดอกบัวตูมอยู่หลายองค์
ต่อไปนี้มีปัญหาว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ดวงตาเห็น "ธรรมกาย" ซึ่งตามหลักฐานที่ได้ศึกษามาว่าพระพุทธเจ้าทรงได้ดวงตาเห็นธรรมกายเมื่อ "ตรัสรู้" นั้น ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ด้วยการทำ "สมาธิ" เพราะฉะนั้น วิธีที่จะได้ดวงตาเห็นธรรมกายจึงต้องอาศัยการทำสมาธิโดยมิต้องสงสัย
ในหนังสือ "พระปฐมสมโพธิ" และ "พุทธประวัติ" แทบทุกเล่ม มีข้อความสอดคล้องต้องกันว่า เมื่อพระศาสดายังอยู่ในพระครรภ์นั้น พระองค์ทรงนั่งสมาธิ ครั้นเมื่อพระชนม์ ๗ พรรษา พระบิดาพาไปในพิธีแรกนาขวัญ พระองค์ทรงกระทำนั่งสมาธิใต้ต้นหว้า ได้บรรลุผลอันหนึ่งซึ่งกระทำให้เกิดมหัศจรรย์ คือ เงาต้นหว้าปรากฏเป็นปริมณฑล ตรงอยู่ดุจเมื่อตะวันเที่ยง ไม่เบี่ยงคล้อยไปตามเวลาบ่าย
ต่อมา ภายหลังที่เสด็จออกบรรพชา พระองค์ได้ทรงศึกษาในสำนัก "อาฬารดาบส" และ "อุทกดาบส" จนสำเร็จ "รูปฌาน ๔" และ "อรูปฌาน ๔" ซึ่ง ณ ตรงนี้เองที่พระสิทธัตถะมหาบุรุษทรงเห็น "นรก-สวรรค์" ไปจนถึง "รูปพรหม-อรูปพรหม" แล้วว่า "มีอยู่จริง"
แต่ทว่าพระองค์ก็ยังไม่ทรงเห็นว่านี่เป็นวิธีที่จะทำให้บรรลุ "โมกขธรรม" อันเป็นญานรู้ถึงหนทางดับทุกข์ได้ (ทรงตามเห็นแล้วว่าแม้แต่ "อรูปพรหม" ก็ยังต้องจุติและเวียนว่ายตายเกิด) พระองค์จึงทรงคิดอ่านหาวิธีของพระองค์เอง โดยทรงกระทำทุกรกิริยาทรมานพระวรกายของพระองค์ ก็ยังไม่ทรงบรรลุมรรคผลอันใด แต่พระองค์ทรงรำลึกได้ถึงวิธีทำสมาธิเมื่อครั้งแรกนาขวัญว่า อาจเป็นทางบรรลุ "พระโพธิญาณ" จึงเลิกทรมานพระวรกายหันมากระทำสมาธิตามวิธีนั้นสืบไป แล้วก็ทรงได้ดวงตาเห็น "ธรรมกาย" (ธรรมกายอุบัติ) และได้บรรลุพระโพธิญาณ แต่พระอาจารย์ผู้รจนาพากันเรียกผลสมาธิครั้งแรกนาขวัญนี้ว่า "ปฐมฌาน" ซึ่งตามรูปการณ์ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะ
๑.ปฐมฌาน อยู่ในจำพวก "ฌาน ๘" ที่ทรงศึกษาจากสำนักฤาษีดาบส แล้วไม่ทรงเห็นว่าเป็นวิธีที่จะทำให้บรรลุโพธิญาณ จึงไม่ได้ใช้วิธีนั้น แต่ทรงหันมากระทำสมาธิตามวิธีครั้งแรกนาขวัญ ซึ่งวิธีสมาธิครั้งแรกนาขวัญนั้น ไม่ใช่ฌาน ๘ ของฤาษีดาบส เพราะฉะนั้น ผลสมาธิที่ทรงได้จึงไม่น่าจะเป็นปฐมฌาน
๒.ตามหลักฐานที่ได้กล่าวมา แสดงว่าพระองค์ทรงกระทำสมาธิตามวิธีครั้งแรกนาขวัญจนบรรลุ "ธรรมกาย" (ธรรมกายอุบัติ) และการที่จะได้ธรรมกายนั้น จะต้องผ่าน "ปฐมมรรค" เพราะฉะนั้น ผลสมาธิครั้งแรกนาขวัญนั้น น่าจะเป็น "ปฐมมรรค" เสียมากกว่า
๓.ขณะแรกนาขวัญนั้น พระองค์มีพระชนมายุ ๗ พรรษา เป็นที่สันนิษฐานว่าคงจะยังไม่ได้ศึกษาวิธีกระทำสมาธิอันใด ดังนั้น การทำสมาธิที่พระองค์ทรงกระทำไปนี้ ก็คงกระทำไปตามนิสัยที่สืบเนื่องมาแต่ครั้งทรงนั่งสมาธิในพระครรภ์ของพระมารดา ซึ่งตามธรรมดาเด็กในครรภ์นั้นใจมักหยุดนิ่งไม่ได้คิดอะไร พระองค์คงจะทำใจหยุดไปถูกศูนย์กลางของร่างกายเข้าจึงได้ "ดวงปฐมมรรค" ตามหลักที่กล่าวแล้วนั่นเอง
๔.การทำ "ปฐมฌาน" มีวิธีการพิสดารยุ่งยากกว่าการทำ "ปฐมมรรค" มาก ตามธรรมดาจะต้องได้รับการศึกษาจากครูบาอาจารย์เสียก่อนจึงจะกระทำได้ ไม่เหมือนการทำปฐมมรรคที่ตามหลักเพียงแค่ทำใจให้ไปหยุดถูกที่ถูกจุดตรงศูนย์กลางของร่างกาย ซึ่งเด็กบางคนก็อาจกระทำได้โดยนิสัยสืบเนื่องมาจากในครรภ์ มีตัวอย่างเช่น เด็กชายวรนิติ กำภูพงษ์ ก็สามารถทำสมาธิถึงธรรมกายโดยมิได้ศึกษาจากผู้ใด
วิธีทำกัมมัฏฐานในตำรามีตั้ง ๔๐ วิธี นอกตำราก็ยังมีอีกมากมาย แต่วิธีที่ได้ผลดีก็คือ วิธีของท่านพระครูสมณธรรมสมาทาน (ปัจจุบันเป็น "พระมงคลเทพมุนี") ซี่งเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดปากน้ำ" ประตูน้ำภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรีนี้ เพราะมีผู้ได้ธรรมกายไปตามวิธีของหลวงพ่อตั้งหลายพัน
ในฐานะที่เคยเป็นผู้พิพากษา ข้าพเจ้าทราบดีว่าในการที่จะให้ท่านเชื่อนั้น จะต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ อีกทั้งต้องมีเหตุผลประกอบให้สมเหตุสมผลด้วย ดังนั้น จึงขออ้างพยานบุคคลผู้สำเร็จธรรมกายมาให้ท่านฟังบ้าง
พยานคนแรก ขออ้าง เด็กชายวรนิติ กำภูพงษ์ บ้านอยู่ข้างวัดปากน้ำนี้ สำหรับเด็กคนนี้เป็นที่อัศจรรย์มาก พออายุ ๒ ขวบ ๘ เดือนกว่า ก็สามารถกระทำสมาธิถึงธรรมกายโดยมิได้ศึกษาจากใคร เวลานี้อายุได้ ๓ ขวบ ๘ เดือนกว่าๆ สามารถจะนั่งกระทำสมาธิหรือนอนทำก็ได้
พยานคนที่สอง คือ เด็กหญิงสวนี มหาภาส บุตรีท่านขุนสฤษดิ์โลหการ เด็กคนนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ อายุ ๑๑ ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนศึกษากุมารี จังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าคุณอมรฤทธิ์ธำรง เป็นเจ้าของและผู้จัดการ ท่านฝึกสอนให้ใช้เวลาเพียง ๕ นาที ก็สำเร็จธรรมกาย ต่อจากนั้นย้ายมาเรียนที่โรงเรียนราชินีบน โดยเหตุที่ละเลยไม่ได้ปฏิบัติเสียจึงลืมหายไปพักหนึ่งระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๗ ครั้น พ.ศ. ๒๔๘๘ คุณชีดัชนี วณิกเกียรติ บุตรีคุณพระสุธรรมวินิจฉัย ได้มาพบเข้า จัดการคุมต่อให้ใหม่จึงได้ธรรมกายดังเดิม ขณะนี้เรียนอยู่ชั้น ม.๕ โรงเรียนราชินีบน บางกระบือ จังหวัดพระนคร สำหรับเด็กคนนี้มีข้อแปลกก็คือเจ้าคุณอมรฤทธิ์ธำรงขณะนั้นท่านยังไม่ได้ ธรรมกาย แต่ลูกศิษย์ทำได้ในเวลาเพียง ๕ นาที นับว่าดีกว่าครู
พยานคนที่สาม คือ ท่านมหาวิมล ขนฺติโก ท่านผู้นี้เรียนปริยัติสำเร็จนักธรรมเอก และเปรียญ ๕ ประโยค แล้วได้ทราบข่าวหลวงพ่อจึงขอมาอยู่วัดปากน้ำ ขึ้นธรรมกับหลวงพ่อแล้วใช้ความเพียรอยู่เดือนหนึ่ง ก็สำเร็จธรรมกาย ขณะนี้จำพรรษาอยู่ในวัดปากน้ำ
พยานคนที่สี่ คือ ท่านพระภิกษุสุดใจ ศศิธร ท่านเคยบวชศึกษาในสำนักธรรมยุติ ๑๑ พรรษา แล้วสึกออกมาเปนกำนันเสีย ๑๔ ปี ภายหลังมีความเบื่อหน่ายจึงกลับบวชใหม่ได้ ๕ พรรษา ก็ยังหาของจริงไม่ได้ ได้ทราบข่าวหลวงพ่อจึงมาขอเรียน ท่านทำความเพียรโดยยอมปล่อยชีวิต ๓ คืน ก็สำเร็จธรรมกาย จำพรรษาที่วัดปากน้ำมาได้ ๑๗ ปีแล้ว
พยานคนที่ห้า คือ ท่านพระมหาธีระ คล้อสุวรรณ (เดิมชื่อเจียก) เมื่ออายุ ๑๔ ปี ได้ติดตามมากับโยมผู้หญิงซึ่งมารักษาโรคที่วัดปากน้ำ ถูกโยมให้นั่งธรรมราว ๒๐ กว่าวันก็สำเร็จธรรมกาย เลยบวชเณรแล้วบวชพระจำพรรษาที่วัดปากน้ำมาได้ ๑๐ ปีเศษแล้ว
เพียงแต่พระภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกา ในวัดปากน้ำที่สำเร็จธรรมกาย ก็มีจำนวนตั้งหลายสิบเสียแล้ว จะอ้างต่อไปเวลาก็ไม่พอ จึงขอยุติแต่เพียงเท่านี้...
*****************
"...คำว่า ใจ หมายถึง ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างรวมกัน เรียกว่า ใจ
เหมือน รูป ก็เป็นคำรวม ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ อย่างรวมเรียกว่า รูป
นามก็เหมือนกัน เป็นคำรวม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๔ อย่าง รวมเรียกว่า นาม
ใจก็เช่นเดียวกัน เห็น จำ คิดรู้ ๔ อย่าง เรียกว่า ใจ
เมื่อรู้จักใจชัดแล้ว ใจนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญในตัวเรา สิ่งอื่นๆ จะสำคัญยิ่งกว่าใจเป็นอันไม่มี
ตามบาลีได้กล่าวไว้ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ฯ ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐกว่า สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าใจชั่ว การทำก็ชั่ว การพูดก็ชั่ว การคิดก็ชั่ว
ถ้าใจดี การทำก็ดี การพูดก็ดี การคิดก็ดี แล้วแต่ใจ ดังนี้
การทำใจให้หยุดเป็นของทำได้ยากแก่บุคคลผู้เกียจคร้าน คนมีความเพียร ทำได้ไม่ยาก..."
โอวาทพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)