มรณานุสติ การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จะตัดอารมณ์ความฟุ้งซ่าน
ด้วยการคิดคำนึงถึง ว่าสิ่งทั้งหลายในโลก ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ มีขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด
เมื่อมีเกิดย่อมมีการตายเป็นธรรมดา ให้สมมุติว่า เราได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ปล่อยวางความยึดถือ จากสิ่งทั้งหลาย จิตจะเข้าสู่ฌานได้ เมื่อนึกถึงความตายเป็นอารมณ์
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 21 กันยายน 2560
ตอนที่ 183 **มรณานุสติ แบบที่ ๑**
+ +
ในเช้าของวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 27 ในแบบที่ 1*
คือ การพิจารณาถึงความตาย - เป็นอารมณ์ เพื่อเข้าสู่ฌานสมาธิ น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้นจะระลึกนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ในแบบที่ 1* ให้ลองพิจารณาธรรมเช่นนี้ดู ก็แล้วกัน
ลูกเอ๋ย.. จงนั่งขัดสมาธิ ทำจิตทำใจให้สงบ ว่าง ให้ลูกนั้นได้มีความสงบ เกิดขึ้น ไม่นึกถึงสิ่งใดๆ
- กายก็ตั้งเอาไว้ ไม่วุ่นวายกับมันเลย / จิตก็ตั้งมั่นไว้ ไม่วุ่นวายกับมัน
- กายก็ให้มันว่าง / จิตก็ให้มันว่าง
เมื่อว่างแล้ว.. ก็ลองค่อยๆพิจารณาตามเช่นนี้ดู
เกิดเป็นใคร จะใหญ่ หรือว่าเล็ก
จะอยู่ในระดับสังคมที่สูง หรือว่าต่ำ
มนุษย์นั้น.. ถูกธรรมชาติสร้างขึ้นมาให้อายุขัยนั้น อยู่ไม่เกิน 100 ปี
ต่อให้จะอยู่ถึง 100 ปี ร่างกายนั้น.. ก็ใช้งานอะไรไม่ได้แล้ว
อยู่ไป - ก็เปล่าประโยชน์
อยู่ไป - ก็แค่รอความตาย
สิ่งนี้คือ ธรรมชาติของมนุษย์ - ทุกคนเกิดมาแล้ว ต้องตายในสักวันหนึ่ง ++
และแต่ละคน ก็จะต้องตาย เมื่อถึงเวลาของตนนั้นแล้ว..
บางคน เกิดมา ตายตั้งแต่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน
บางคน ไม่กี่เดือน ก็ตาย
บางคน ก็ตายเมื่อ 2-3 ขวบ
บางคน ก็ตายตอนที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาว
บางคน ก็ตายกลางคน
บางคน ก็แก่แล้วค่อยตาย
นี่คือธรรมชาติ ที่ได้สร้างเอาไว้ให้กับมนุษย์ด้วย
* มนุษย์นั้นเกิดมาไม่เกิน 100 ปี ก็ตาย คือ กฎข้อที่ 1* ที่ถูกคุมเอาไว้
* มนุษย์นั้นเกิดแล้ว -ต้องตาย คือ กฎข้อที่ 2* ที่คุมเอาไว้
* ตายเมื่อไรก็ได้
* ไม่มีข้อจำกัดในอายุว่า.. ถ้ายังไม่โต จะไม่ตาย / ถ้ายังไม่แก่ ยังไม่ตาย
คือ พร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ นั่นก็คือ กฎอีกข้อหนึ่ง ที่คุมเอาไว้
เมื่อมันมีกฎทั้ง 4 ข้อนี้ ที่คุมมนุษย์ทั้งหลายเอาไว้
แล้วเราจะยึดติด ลุ่มหลงในกายนี้ จะลืมความตายไปได้อย่างไรเล่า !
รวมถึงการตายนั้น ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ
นอกเหนือจากเกิดขึ้นได้ในทุกวัยแล้ว มันก็ยังเกิดขึ้นได้ ในทุกรูปแบบ
อาจจะนอนตาย ป่วยเป็นโรคต่างๆตาย หรือว่าเกิดอุบัติเหตุตาย ล้มตาย
มีเยอะแยะมากมาย ในสาเหตุที่จะทำให้ตายได้
ฉะนั้น.. มันแสดงถึง ความที่มันไม่ได้มีอะไรแข็งแรง แข็งแกร่ง
ที่มันจะปกป้องความตายของเราได้เลย..
เมื่อมนุษย์นั้น มีกฎต่างๆเหล่านี้คุมเอาไว้ ไม่มีใครฝืนได้ หนีมันพ้นไปได้
- ไม่มีใครห้ามความตายได้ ++
เราทุกคนเกิดมาแล้ว.. ก็ต้องอยู่ใต้อำนาจแห่งกฎเหล่านี้
คนที่เขารักเรามากเท่าไร เช่น พ่อแม่ของเรา
ถ้ามันถึงเวลาที่เราต้องตายจากไป เขาก็ยื้อชีวิตเราเอาไว้ไม่ได้
เขาก็ไม่สามารถเอาความรักของเขา - มาห้ามความตายของเราได้
คนที่เรารักมากเท่าไร เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องตาย - เราก็ไม่สามารถเอาความรักของเราไปห้ามเขา ไม่ให้ตาย หรือว่า ร้องขอชีวิต แลกเปลี่ยนชีวิต ให้เขานั้นไม่ต้องตาย ไม่ได้เลย..
คนรวย - ก็เอาความรวยมาห้ามความตายได้
คนจน - ก็ไม่สามารถเอาความจนมาอ้าง และหยุดความตาย นั้นได้เลย
ถ้าหากว่าต้องตายแล้วจริงๆ ในบุคคลคนนั้น
ทุกคนเกิดมา ก็เหมือนกัน คือ มีพ่อแม่คือผู้ให้กำเนิด
เกิดมาแล้ว ต้องเติบโต เป็นไปตามเหตุปัจจัยของชีวิตตน
ดีก็ตาย - ไม่ดีก็ตาย +
รวยก็ตาย - จนก็ตาย +
“ความตาย” มันคู่อยู่กับ “การเกิด” เป็นธรรมดา
ชีวิตคนเรา มันก็เลยไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป
มันพร้อมที่จะจบลงเมื่อไร ก็ได้ !
ลูกเอ๋ย.. เมื่อพิจารณาความตายในมุมกว้างเช่นนี้แล้ว..
ก็ลองกลับมาพิจารณาถึงความตาย ในตัวของเราลูก
นั่งให้สงบ น้อมพลังที่เย็น เข้ามาสู่จิตและกายของตน.. แล้วพิจารณาตามนี้ว่า
ร่างกายของเรานี้ ที่มันยังคงเรียกว่าเรา เรียกว่าชีวิตเรา ที่มันยังขยับเขยื้อนได้..
เพราะว่า ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่อยู่ในร่างกายของเรา - มันยังสมบูรณ์อยู่
ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่ง ที่ธาตุใดธาตุหนึ่งแปรปรวน.. เราก็กลายเป็นคนเจ็บ คนป่วย
เรานั้น ก็จะต้องตายไป เป็นแน่แท้
ธาตุไฟไม่ปรกติ.. ก็ป่วยลามไปถึงธาตุน้ำ ธาตุลม
คือ ธาตุใดธาตุหนึ่งที่มันไม่ปรกติ.. ก็จะพาให้ตัวของเราเจ็บป่วย กระทบไปสู่ธาตุอื่นๆด้วย +
ฉะนั้น.. ร่างกายของเรานี้ ก็ไม่ได้แข็งแรง แข็งแกร่งอะไรเลย
เพียงแค่หยุดหายใจเมื่อไร ก็คือ ความตาย
กายของเรานี้ - ไม่ได้มีอะไรปกป้องให้มันแข็งแรง แข็งแกร่ง ต้านทานต่อความตายได้เลย
ฉะนั้น.. เราอย่ามัวแต่ยึดติด และลุ่มหลงอยู่กับร่างกายนี้เลย
เราจะพิจารณาถึงความตาย เป็นอารมณ์
เกิดมาแล้ว.. ก็ต้องตายเป็นของคู่กัน
สิ่งทั้งหลายในโลก.. ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เมื่อกายของเรา - ตัวของเรา.. ก็จะต้องเสื่อมสลายไป
ไม่ว่าจะรวย จะจน / จะขี้เหร่ หรือว่าสวยงาม
จะเป็นแบบไหน ยังไง.. เขาก็ต้องเป็นไปตามเหตุของเขา
แล้วเราจะหลงในกาย หลงในลาภยศ สรรเสริญ เงินทอง ต่างๆ
หลงในความดีของตน
อิจฉาในสิ่งที่ดีของผู้อื่น
... สิ่งเหล่านี้ เราจะทำไปเพื่ออะไรเล่า !
เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องตาย เราก็สักแต่ว่าอยู่ / สักแต่ว่าทำ
ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ ตามเหตุและปัจจัย จะดีกว่า..
ไม่เบียดเบียนใคร
ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ ก็คือ การเกิดมา แบบไม่เบียดเบียนตนให้เป็นทุกข์
ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เป็นทุกข์
- นั่นละ น่าจะดีที่สุด *
เพราะว่าเราเกิดมาแล้ว ถ้าเกิดว่ามัวแต่ไปลุ่มหลง กับลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งของข้าวของ
หลงในตัวในตน.. ก็คงมัวแต่ดิ้นรน เร่าร้อน ขวนขวาย ให้ได้สิ่งนั้น สิ่งนี้มา..
ทำให้ตัวของเรานี้รุ่มร้อน เร่าร้อน อยู่ไม่เป็นสุข
-- สิ่งเหล่านี้ มันคือความจริง ที่ตัวของเราควรจะรู้เอาไว้ ++
เรานั่งไป พิจารณาไป ไม่ต้องยึดถือในกายนี้แล้ว.. เพราะเขาอาจตายเมื่อไหร่ก็ได้ !
- ตัดตัวตนของเรา ทิ้งไป -
ความคิดฟุ้งซ่านใดๆที่มันพุ่งเข้ามา
เมื่อชีวิตก็ไม่เที่ยงแท้ ปัญหาต่างๆ ข่าวดีหรือข่าวร้าย
สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็ไม่เที่ยงแท้
-- เมื่อชีวิตเราไม่มีอยู่จริง.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็คงไม่มีอยู่จริงเหมือนกัน --
เราจะทำจิตทำใจของเรา ให้สงบ เบาสบาย ..ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวกับสิ่งใดทั้งสิ้น
เห็นแต่ความว่างเปล่า เห็นแต่ความไม่มี
*ความตาย ก็คือ การดับ*
ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดแล้ว..ก็ต้องดับ ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้
โลกใบนี้ จึงเป็นโลกสมมุติขึ้นมา - สมมุติว่ามี / สมมุติว่าไม่มี
ฉะนั้น.. วันนี้ เราจะยกจิตของเราให้อยู่เหนือสมมุติเหล่านั้น
มีกายนี้ - ก็เหมือนไม่มี
มีการเกิด หรือการตาย - ก็เหมือนไม่มี.. ไม่สนใจกับมัน !
เรานั้น ทำตัวของเราให้สงบ / ให้เป็นสุข
ไม่ต้องยึดติดอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น
หายใจเข้าว่าง - หายใจออกว่าง
ทุกอย่างว่างเปล่า..
แล้วเราก็นั่งสมาธิ อยู่กับความว่างนั้นไป..
เมื่อเกิดแล้วต้องตาย แปลว่า “ไม่มี”
100 ปีนั้น มันไม่ยาวนาน
เมื่อคน ก็ต้องตาย
ชื่อเสียง ลาภยศต่าง ก็ต้องตาย
ทรัพย์สิน ข้าวของ สิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ก็ต้องตาย
ก็ไม่มี ไม่ต่างอะไรจากเด็กที่นั่งเล่น ก่อกองทราย หรือว่าดินเหนียวขึ้นมา
ให้เป็นรูปร่าง รูปลักษณ์ต่างๆ
แล้วก็ทุบทำลาย.. กลับคืนสู่ความไม่มี ของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ลูก
ฉะนั้น.. สิ่งทั้งหลายไม่มี.. ว่างเปล่า
ข้างในว่าง - ข้างนอกก็ว่าง
ความสุขไม่มี - ความทุกข์ไม่มี
ตัวเราไม่มี - สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา ก็ไม่มี
เกิดแล้ว ก็ต้องตาย
สิ่งทั้งหลาย จึงเป็นแค่สมมุติขึ้นมา.. อย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านั้นเลย..
เมื่อเราพิจารณา.. นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จนเรา..
/ เห็นสิ่งทั้งหลายดับไป ทีละอย่างๆ
/ เห็นความไม่เที่ยงแท้ ของกาย
/ เห็นการตาย ที่มันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
/ เห็นความจริงที่เรามันหนีไม่พ้น คือ เกิดแล้ว - ต้องตาย
เมื่อเรานั้นต้องตาย ถอดถอนความลุ่มหลง จากการยึดในตัวตน
สิ่งต่างๆทั้งหลาย ที่เราจะเอามาวุ่นวายนั้น ก็ไม่มี..
จบไปแล้ว - ดับไปแล้ว
*ว่าง..ข้างในว่าง ข้างนอกก็ว่าง.. ไม่มีอะไรสักสิ่งสักอย่าง *
เราก็ภาวนาเช่นนี้ อย่างนี้ไป..
รับพลังที่เย็น สัมผัสถึงความว่างเปล่า.. อยู่กับความว่าง
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
คนเราเมื่อไม่หลงในตัว สิ่งอื่นใดเล่า เราจะไปลุ่มหลงได้อีก
เมื่อความหลงไม่มี.. ความรัก ความโลภ และความโกรธ - ก็ไม่มี
เมื่อเชื้อเหล่านี้ได้สลัดออกจากเราแล้ว จิตนั้นย่อมสงบ
ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วุ่นวาย
... เราย่อมเข้าสู่สมาธิได้ ..
การพิจารณาถึงความตาย - ก็เพื่อดับความหลง
ในตัวตนของตน
ในตัวตนของสิ่งของข้าวของ..
.. ก็เพื่อให้เรานั้น ดับความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
เมื่อเราสามารถดับสิ่งเหล่านี้หมด จิตเราปราศจากกิเลส ตัณหา..
เราย่อมพบพระนิพพาน - หลุดพ้นจากอำนาจ ของการถูกควบคุมให้เวียนว่ายตายเกิด ++
เราย่อมพบ *ความสุขที่แท้จริง*
เมื่อเราถึงจุดตรงนี้แล้ว.. จิตของเราสว่างไสว
เห็นโลกที่กว้างออกไป อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไร้ความยึดติดในตัวตนใดๆ
เจอกับความสุขที่บริสุทธิ์ และสุขอย่างแท้จริง ถาวร
ที่มันไม่มีวันดับจากความสุขนี้อีก *
ฝึกบ่อยๆ ฝึกเข้าสัมผัสกับอารมณ์ตรงนี้บ่อยๆ.. แล้วลูกนั้น
ก็จะเห็นแจ้งในคำว่า ชีวิต
ก็จะดับความหลงในชีวิตได้
และลูกก็จะพบความจริง ที่สุดแสนจะสุข และสว่าง - ในดินแดนพระนิพพาน **
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ละลูก ในแบบที่ 1* ของการพิจารณาความตาย
ให้ระลึกนึกถึง..
* สิ่งที่มันคุมทุกคนเอาไว้ -ไม่อาจมีใครฝืนมันได้
* ความเป็นจริงของชีวิต
-- แล้วลูกก็จะพ้นทุกข์ได้ ลูก..
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง และปฏิบัติตาม
ลูกเข้าใจ และเห็นแจ้ง - ตามที่พระพุทธองค์ทรงนำทางชี้ทางแล้ว เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกขอกราบลาไปทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมก่อน นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะขึ้นเข้าเฝ้าทูลถามในข้อธรรมต่อไป.. พระพุทธเจ้าค่ะ
สาธุ