" ผู้ปฏิบัติเพื่อ...ความเห็นภัย
ต้องเป็นผู้มีสติระลึกรู้อยู่...กับใจตลอดเวลา
ไม่พลั้งเผลอได้...เป็นการดี
ความไม่พลั้งเผลอ นั่นแล
คือ...ทำนบเครื่องป้องกันกิเลสต่าง ๆ
ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้มีโอกาสเกิดขึ้นได้
ที่มีอยู่...
ซึ่งยังแก้ไม่หมด ก็ไม่กำเริบลำพอง."
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
..................
ความจริงโลกเป็นอารมณ์ของจิต ในเมื่อจิตรู้ความเป็นจริงของโลกแล้วด้วยสมาธิ จะลอยเด่นอยู่เหนือโลก แล้วอาศัยโลก(สมมุติ)เป็นบันได ไปสู่จุดที่อยู่เหนือโลก(วิมุตติ)
"ทุกสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับจิตนั้น
ก็สักแต่ว่าเป็นความรู้สึกเท่านั้นเอง
เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมา ก็ตั้งอยู่
ตั้งอยู่ ก็ดับไป ก็เป็นไปเท่านั้น
ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น อันใดอันหนึ่ง
ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อาตมา จะ
ให้บทภาวนา สั้น ๆ ย่อ ๆ ให้ทุกคน
ภาวนาว่า.. #มันก็แค่นั้นแหละ
ย่าไปคิดว่า...การรู้แจ้งในธรรม
จะเกิดเฉพาะตอนนั่งหลับตานิ่งๆ หรือเดินช้าๆ
มันสามารถเกิดได้ในทุกอิริยาบถ ที่มีสติสัมปชัญญะอยู่
มันสามารถเกิดได้แม้ในขณะที่มีอารมณ์ที่รู้หยาบๆ
ไม่ใช่จำเป็นต้องรู้อารมณ์ละเอียดๆ เสมอไป
เพราะที่สำคัญนั้น อยู่ที่จิตรู้เห็นจริงในความป็นไป
ของสภาวธรรม มีความเป็นกลางถึงที่สุด
หยาบก็เป็นเพียงบางสิ่ง ละเอียดก็เป็นเพียงบางสิ่ง
ที่เกิดและดับไป เห็นเพียงเท่านี้ กระบวนการแห่งการรู้แจ้งย่อมเกิดตามมาอีกไม่นานเลยทีเดียว เพราะงั้น
ให้ใส่ใจในการเจริญสติรู้สึกตัวเอาไว้นะ
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
การ "ถอนตัว" ออกจาก "สมมติ" เพื่อให้จิตหลุดพ้น ไม่ "หลงในอาการ" ด้วย "สมถะ" และ "วิปัสสนา"
"สมถะ" ให้แยก "กายกับจิต" กาย เป็นที่อยู่ที่อาศัยของจิต ทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ ให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต แล้วเอา จิต ให้รู้จัก ลม ภาวนา พุทโธ พุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมด อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้น ให้ปล่อย ให้เป็น "อันเดียว" รวมจิตลงที่ "อันเดียว" มันไม่ ส่งจิต ไปทางอื่นแล้ว มัน จะรวม อยู่ที่นั่น เมื่อพบเช่นนี้ เราก็มี "อันเดียว" เท่านั้น เหลือแต่ "ความรู้" หรือ "ผู้รู้" อันเดียว ให้รวมจิตเข้ามาเป็น "หนึ่ง" หรือ "จิตหนึ่ง" นี้คือธุระหน้าที่ของเรา
"วิปัสสนา" เมื่อ "จิตหนึ่ง" เกิดแล้ว (จากสมถะ) กำหนดเอา "จิตหนึ่ง" มาเดิน "วิปัสสนาปัญญา" พิจารณาใน "ปัจจุบันธรรม" ให้ยึดหลัก " ทุกข์มันไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในใจหรอก มันเกิดเมื่อมันรู้เดี๋ยวนี้ กิเลสไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในใจเราเหมือนกัน มันเกิดเดี๋ยวนี้ เกิดในปัจจุบันธรรม"
ใน "ปัจจุบันธรรม" จะมี ผู้รู้, จิต, และ, อารมณ์ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่
"ผู้รู้"... เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสัมมาทิฐิ ผู้รู้ ออกมาจาก จิต ผู้รู้ กับ จิต เป็นตัวเดียวกัน
"จิต".... เป็นผู้ทำงานทั่วถึงทุกทิศ ทั้งภายในภายนอก เป็นผู้นึกคิด เป็นผู้ปรุงแต่ง
"อารมณ์".... อารมณ์เกิดมาทาง ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
** เมื่ออารมณ์มากระทบอายตนะ มันก็มาถึงจิตทันที **
เมื่อ "ผู้รู้" เห็นเช่นนี้ เกิดแล้วมันก็ดับ ดับแล้วมันก็เกิด มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
เมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน จิตก็จะปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ
สุข - ทุกข์ มันก็มีแต่การเกิด - ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันเพราะมันไม่มีอะไร
อันนี้เป็น "อารมณ์" อันนี้มันเป็น "จิต" เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ ตามเป็น จริงแล้ว
"จิต" นั้นเลยเป็น "เสรี" (จิตหนึ่ง)
.
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
กำหนดจุดให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก
ท่านผู้ใดจะกำหนดอารมณ์อะไรได้ ไม่ขัด
ข้อง ตามที่ตัวชำนาญหรือคล่องตัว เคย
ภาวนาพุทโธก็พุทโธไป กำหนดลมหายใจ
ออกเข้าก็กำหนดไป สัมมาอะระหัง ยุบหนอพองหนอก็กำหนดไป หรืออารมณ์อื่นๆ ที่
ท่านถนัดใจก็ว่ากันไป ไม่ขัดข้อง
#เพราะธรรมชาติของจิต ถ้ามีอารมณ์สิ่งรู้
แล้วเรามีสติควบคุมรู้อยู่ในจุดที่จิตมีสิ่งรู้ ได้ชื่อว่าการปฏิบัติสมาธิ และไม่จำเป็นจะต้อง
ไปบังคับจิตให้หยุดนิ่ง เพียงแต่หาอารมณ์
มาป้อนให้จิตของเรานึกบริกรรมภาวนาหรือพิจารณาอยู่เท่านั้น แต่หากท่านผู้ใดจิตของตนสามารถหาอารมณ์มาป้อนให้ตัวเองได้
คือมีความคิดปรุงแต่งขึ้นมาเอง ให้กำหนด
ทำสติรู้อยู่ที่ความคิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ไม่ต้องไปฝืนกฎธรรมชาติ
#ธรรมชาติของจิตย่อมมีความคิด เพราะ
ความคิดเป็นอาหารของจิต ธรรมชาติของ
จิตย่อมบริหารตนเอง ความคิดเป็นการ
บริหารจิต ผู้ปฏิบัติธรรมจะเอาดีกับความ
คิดกับการบริหารจิต กับอาการที่จิตบริโภคอาหาร ต้องปฏิบัติตนให้มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิตที่มีความคิดหรือจิตว่าง
นี่เคล็ดลับสำคัญของการปฏิบัติธรรมอยู่กัน
ที่ตรงนี้.. "
" ถ้าเราไม่รู้จัก...อนิจจัง
อยากจะบังคับให้ได้ตามใจ ของเรา ทุกข์...ก็เกิด
เพราะ มันไปขวางธรรมะ ไม่รู้เท่าธรรมะ
เหมือนกันกับเรา ไปยืนกลางถนนหลวง ไปขวางทางรถ
เห็นรถเขามาก็ว่าแต่รถเขาว่า...
มาใกล้ตัวเองอยู่อย่างนั้น เห็นคนมาก็ว่าคนมาใกล้
เรา ไม่เห็นว่าตัวเอง ไปยืนอยู่กลางถนนหลวง
ไปว่าแต่...คน แต่...รถ
ทางที่ดี เราควรออกจากทางถนนมา ก็จะสบาย ฉันใด
***มีผู้รู้...อนิจจัง(อยู่ในใจ) แล้ว***
มัน ก็เลยสบาย ทุกขัง มันก็เกิดไม่ได้
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ธรรมชาตินี้เป็นของ...ว่าง
ว่าง...จากของเรา ว่าง...จากเขา
ว่าง...จากสัตว์ ว่าง...จากบุคคล
แต่...เป็นของสมมุติว่า...เรา ว่า...เขาเฉย ๆ
เป็นสมมุติ เท่านั้นเอง
ถ้าเรามารู้เรื่องทั้งหลาย เหล่านี้
ตามเป็นจริงแล้ว คือ...รู้อริยสัจนี่แหละ
บุญจะเกิด แม้แต่ฆราวาสอยู่ตามบ้านตามเรือน
ได้รู้ ได้เห็นอย่างนี้แล้ว...
ชื่อว่า ขัดความเศร้าหมองออก
ชื่อว่า ขัดเกลากิเลส
ชื่อว่า ขัดเกลาความคิดเห็นผิดนั้นออก
ชื่อว่า ขูดทุจริตนั้น ออกจากใจ ของเรา
ใจเรา...จะมีความรู้สึกสบาย สงบ ระงับ
จาก.....ความไม่ยึดมั่น ทั้งหลาย
นี่แหละ บุญอันเลิศ คือ บุญอันประเสริฐ
นี่คือ บุญชั้นยอด ที่พระศาสดา ของเรา
สั่งสอนว่า...
จิต นี่แหละเป็นผู้สงบ จิต นี่แหละเป็นผู้ระงับ
เมื่อมารู้เท่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว
ก็เลยปล่อย...ทำไม ? ถึงปล่อยมัน
ปล่อย...เพราะมันแต่ง ไม่ได้
ไม่ใช่ สิ่งที่จะแต่งได้ แปลงได้
ถ้าเรา ไปบังคับมัน ไปเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนมันไม่ได้ ก็เลยเป็น...ทุกข์
ถ้ารู้ว่า...แต่ง ไม่ได้ ปรุง ไม่ได้ ก็ให้รู้จัก...ปล่อย...มันซะ
ก็อย่างที่เราไปบังคับให้เป็ด เป็นไก่ มัน เป็นไม่ได้ เราก็...วางซะ
เป็ด ก็ให้เป็น เป็ด...ไก่ ก็ให้เป็น ไก่...วัว ก็ให้เป็น วัว
ควาย ก็ให้เป็น ควาย...หมู ก็ให้เป็น หมู
หมา ก็ให้เป็น หมาซะ ให้เป็น คนละอย่างไปซะ
เป็นไปตามเรื่อง ของมัน."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
หลวงพ่อสมบูรณ์
ผู้รู้ก็เห็นความรู้สึกอันนี้จึงเขียนภาพนี้ขึ้นมา พอเห็นความรู้สึกจึงเห็นว่าเป็นธรรมชาติ หรือเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา
ส่วนมากคนเรา เป็น “ เรารู้สึก ” เลยเข้าใจว่า ตัวความรู้สึกนี่เป็นตัวเรา เรารู้สึกยินดี เรารู้สึกยินร้าย เรารู้สึกเป็นทุกข์เป็นสุข นี่เราก็มาหลง หลงความรู้สึกอันนี้ เราไม่รู้จักความรู้สึกอันนี้ มันจะซับซ้อนหน่อยความรู้สึกตัวนี้
ธรรมดามันจะเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเรารู้สึกจะถูกปรุงแต่งเลย ตัวรู้สึก(ตัวใหญ่)นี่ก็หมายถึง มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มี กาย มีใจ เวลากระทบสัมผัสต่างๆมันเพียง รู้เท่านั้นเอง
รู้แล้วก็จะไม่มี ไม่มียินดียินร้าย สงบไม่สงบ พอใจไม่พอใจ มันจะไม่มี
ถ้าเป็นเรารู้สึก มันจะมีทันทีเลย เกิดโลภะ โทสะ โมหะ โมหะแปลว่าไม่รู้ความจริง
ไม่รู้ความจริงว่าตัวนี้น่ะ มันเป็นธรรมชาติ เป็นความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ต้องให้เห็นอย่างนี้ว่า ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเพียง “ความรู้สึก” สักว่าเป็นความรู้สึก
ถ้าเป็นเรารู้สึกมันจะปรุงแต่งเลย ตรงกับหลวงพ่อเทียนต่างกันที่คำพูด ท่านบอกว่าให้ดูความคิด
อันนี้เข้าไปอยู่ในความคิด ก็เข้าไปอยู่ในความรู้สึกนั่นเอง
สิ่งที่เราหรือจิตมันสะสม มาชั่วนาตาปีไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
มันหมักดองนอนเป็นตะกรองอยู่ก้นจิต นี่แหละที่เรียกว่า อนุสัย สิ่งที่พุทธเจ้าให้ชำระก็คือสิ่งนี้แหละ ที่พาให้เราทุกข์ ให้เราห่างไกลจากความเป็นอิสระ
ผู้ใดใครชำระสะสาง หลีกเลี่ยงเพื่อสะสมมันอีก เฝ้าระวังมันไม่ให้มันมาก่อมาสร้าง ให้จิตต้องอยู่ในการบังคับของมัน ต้องพยายามหัดฝืนหัดแก้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็ตกเป็นทาสมันอยู่ล่ำไป ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่ติดอยู่ในสังสารวัฏฏหรอกนะ.
จิตยึดจิต มิได้หลงกาย...
เมื่อทําลายจิตลง
ยังเหลือสิ่งใดที่ยึดเอาไว้ได้อีก
รัก โลภ โกรธ หลง ล้วนของชั่วคราว
ไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว
ทําลายจิต ไม่ใช่ประหารจิต
เหลือแต่รู้ ไม่เผลอใจไหลไป
จิตย่อมไม่ออกไปยึดกับสิ่งใดๆ
เมื่อนั้นย่อมไม่สืบต่อภพต่อชาติต่อไป
Trader Hunter พบธรรม
คำว่า จิตสงบ..
จิตสงบนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร.มันต้องมี.มีความ
สงบครอบอยู่ ท่านกล่าวถึงองค์ของความสงบ
ขั้นแรกว่า..หนึ่งมีวิตก ยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้น
มา แล้วก็มีวิจาร คือพิจารณาตามอารมณ์ที่เกิด
ขึ้นมา.
ต่อไปก็จะมี ปิติ คือความยินดีในสิ่งที่เราวิตกไป
นั้น ในสิ่งที่เราวิจารไปนั้น จะเกิดปิติคือความยิน
ดีซาบซึ้งอยู่โดยเฉพาะของมัน.
แล้วก็มี สุข สุขอยู่ไหน สุขอยู่ในการวิตก สุขอยู่
ในการวิจาร สุขอยู่กับความอิ่มใจ สุขอยู่กับอา
รมณ์เหล่านั้นแหละ แต่ว่ามันสุขอยู่ในความสงบ
วิตกก็วิตกอยู่ในความสงบ วิจารก็วิจารอยู่ในความ
สงบ ความอิ่มใจก็อยู่ในความสงบ สุขก็อยู่ในความ
สงบ ทั้งสี่อย่างนี้เป็นอารมณ์อันเดียว.
อย่างที่ห้า คือ เอกัคตา ห้าอย่างแต่เป็นอันเดียว
กัน คือทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ แต่มีลักษณะอยู่
ในขอบเขตอันเดียวกัน คือเมื่อจิตสงบ วิตกก็มี
วิจารก็มี ปิติก็มี สุขก็มี เอกัคตาก็มี ทั้งหมดนี้เป็น
อารมณ์เดียวกัน.
คำที่ว่า อารมณ์เดียวกันนั้น ทำไมจึงมีหลายอย่าง
หมายความว่ามันจะมีหลายอาการก็ช่างมัน เพราะ
อาการทั้งหลายเหล่านั้นจะมารวมอยู่ในความสงบ
อันเดียวกัน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่รำคาญ.
เหมือนกับว่า มีคน ๕ คน แต่ลักษณะของคนทั้ง
.๕ คนนั้นมีอาการอันเดียวกัน คือจะมีอารมณ์
ทั้ง ๕ อารมณ์ เมื่ออารมณ์อันนั้นอยู่ในลักษณะ
นี้ ท่านเรียกว่า "องค์" องค์ของความสงบ.
ท่านไม่ได้เรียกว่าอารมณ์ ท่านเรียกว่า วิตก
วิจาร ปิติ สุข เอกัคตารมณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่า
นี้ไม่เป็นอารมณ์ตามธรรมดา ท่านจึงจัดว่าเป็น
องค์ของความสงบ.
มีอาการอยู่ ๕ อย่าง คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข
เอกัคตา ไม่มีรำคาญ วิตกอยู่ก็ไม่รำคาญ
วิจารอยู่ก็ไม่รำคาญ มีปิติอยู่ก็ไม่รำคาญ
มีความสุขก็ไม่รำคาญ จิตจึงเป็นอารมณ์เดียว
อยู่ในสิ่งทั้ง ๕ นี้ จับรวมกันอยู่ เรื่องจิตสงบ
ขั้นแรกจึงเป็นอย่างนี้..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
“ความทุกข์” หรือ “ความสุข”
มันเป็นเพียง“ความรู้สึก”เท่านั้นเอง
ถ้าได้เห็นว่ามันเป็นเพียงความรู้สึก
เราก็ไม่ยินดีในความสุข และ
ไม่เกลียดกลัวในเรื่องของความทุกข์”
พุทธทาสภิกขุ
หมายเหตุ / ( ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ )
คำว่า "เป็นเพียง“ความรู้สึก”เท่านั้น" หมายถึง เป็นเพียงแค่"เวทนา"เท่านั้นเอง ดังนั้น ไม่ว่า..ความรู้สึกสุข(สุขเวทนา) หรือ ความรู้สึกทุกข์(ทุกขเวทนา) ก็ล้วนแต่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีเกิดขึ้น-ย่อมมีดับ มีความสิ้นไป เสื่อมไป และดับไปเป็นธรรมดา ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสแก่ อัคคิเวสสนะ(ทีฆนขปริพพาชก) ณ ถ้ำสูกรขาตา ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ (ซึ่งหลังจากนั้นต่อมาต่อมาทีฆนขะก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์)ไว้ดังนี้....
"เวทนา ๓ ประการนี้ คือ
๑. สุขเวทนา ( ความรู้สึกสุข )
๒. ทุกขเวทนา ( ความรู้สึกไม่สุข )
๓. อทุกขมสุขเวทนา ( ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ )
เมื่อใดบุคคลใดได้เสวยสุขเวทนา เมื่อนั้นเขาไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น
เมื่อใดบุคคลใดได้เสวยทุกขเวทนา เมื่อนั้นเขาไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น
เมื่อใดบุคคลใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา เมื่อนั้นเขาย่อมไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ได้เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น
สุขเวทนาไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป และดับไปเป็นธรรมดา
แม้ทุกขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป และดับไปเป็นธรรมดา
แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป และดับไปเป็นธรรมดา
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายสุขเวทนา ทุกขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป"
.
ทีฆนขสูตร มัชฌิมนิกาย
พระไตรปิฎกภาษาไทย
ม. ม. ๑๓/๒๐๕/๒๔๓
-------------------------------------
“หากต้องการจะมีชีวิตอย่างเกษมแล้ว ก็ต้องอาศัยความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้สมบูรณ์, มันจะต่อต้านกันได้กับอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่มากระทบ ไม่ให้ไปหลงรักหรือหลงเกลียด.
เรื่องวุ่นวายมีอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คือ ไปหลงรักอย่างหนึ่ง, ไปหลงเกลียดอย่างหนึ่ง, ซึ่งเป็นเหตุให้หัวเราะและต้องร้องไห้ ถ้าใครมองเห็นว่า หัวเราะก็กระหืดกระหอบ มันเหนื่อยเหมือนกัน; ร้องไห้นี้มันก็กระหืดกระหอบเหมือนกัน; สู้อยู่เฉยๆดีกว่า อย่าต้องหัวเราะ อย่าต้องร้องไห้ นี่แหละมันเป็นความเกษม.
เราอย่าได้ตกไปเป็นทาสของอารมณ์ จนไปหัวเราะหรือร้องไห้ตามที่อารมณ์มายั่ว; เราเป็นอิสระแก่ตัว หยุดอยู่ หรือเกษมอยู่อย่างนี้ดีกว่า. นี่คือ การที่เราใช้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเครื่องมือกำกับชีวิตเป็นประจำวัน สามารถเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นมายา, เป็น illusion เหมือนอย่างที่ “ตัวกู-ของกู” ก็เป็น illusion เพราะว่า “ตัวกู-ของกู” มันเกิดมาจากอารมณ์. “ตัวกู-ของกู”เป็นมายา อารมณ์ทั้งหลายก็เป็นมายา เห็นได้ด้วยหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ความทุกข์ก็ไม่เกิด.
เราจะตัดลัดมองไปดูสิ่งที่เป็น “สุขเวทนา” คือ ความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ที่เป็นสุขนั้น เรียกว่า “สุขเวทนา” ตัวสุขเวทนานั้นเป็นมายา เพราะว่ามันเป็นเหมือนลูกคลื่นที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆ ไม่ใช่ตัวจริงอะไร. ที่พูดดังนี้ก็เพราะว่า ในบรรดาสิ่งทั้งปวงในโลกทั้งหมดทุกโลก ไม่ว่าโลกไหน มันมีค่าอยู่ก็ตรงที่ให้เกิดสุขเวทนา.
คิดดูให้ดีว่า ท่านศึกษาเล่าเรียนทำไม? ท่านประกอบอาชีพ หน้าที่การงานทำไม? ท่านสะสมทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง พวกพ้องบริวารทำไม? มันก็เพื่อสุขเวทนาอย่างเดียว. เพราะฉะนั้น แปลว่า อะไรๆมันก็มารวมจุดอยู่ที่สุขเวทนาหมด. ฉะนั้น ถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้ จัดการกับเรื่องนี้ให้ถูกต้องเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น; ทุกเรื่องมันถูกหมด เพราะฉะนั้น จึงต้องดูสุขเวทนาให้ถูกต้อง ตามที่เป็นจริงว่า มันก็เป็น “มายา” ชนิดหนึ่ง.
เราจะต้องจัดการให้สมกันกับที่มันเป็นมายา; ไม่ใช่ว่า จะต้องไปตั้งข้อรังเกียจ เกลียดชังมัน อย่างนั้นมันยิ่งบ้าบอที่สุด; ถ้าเข้าไปหลงรัก หลงเป็นทาสมัน ก็เป็นเรื่องบ้าบอที่สุด. แต่ว่าไปจัดการกับมันอย่างไรให้ถูกต้อง นั้นแหละเป็นธรรมะ เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ และไม่ต้องเป็นโรคทางวิญญาณ.
มันก็ต้องทำโดยวิธีที่พิจารณาให้เห็นว่า “สุขเวทนา”นี้ ที่แท้ก็คือ “มายา” เป็นเหมือนลูกคลื่นลูกหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะน้ำถูกลมพัด.หมายความว่า เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส ฯ เข้ามา แล้วความโง่ คือ อวิชชา โมหะ ออกรับ กระทบกันแล้วเป็นคลื่นกล่าวคือสุขเวทนาขึ้นมา, เดี๋ยวมันก็แตกกระจายไป. ถ้ามองเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่เป็นทาสของสุขเวทนา เราสามารถจะควบคุม จะจัด จะทำกับมันได้ในวิธีที่ไม่เป็นทุกข์ ตัวเองก็ไม่เป็นทุกข์ ครอบครัวก็ไม่เป็นทุกข์ เพื่อนบ้านก็ไม่เป็นทุกข์ คนทั้งโลกก็ไม่พลอยเป็นทุกข์ เพราะมีเราเป็นมูลเหตุ. ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ โลกนี้ก็มีสันติภาพถาวร คือเป็นความสุขที่แท้จริงและถาวร. นี่คือ อานิสงส์ของการหายโรคโดยวิธีต่างๆกัน : ไม่เป็นโรค “ตัวกู” ไม่เป็นโรค “ของกู”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : คำบรรยายชุด “แก่นพุทธศาสน์” ปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ ครั้งที่ ๑ หัวข้อเรื่อง “ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา” ณ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๔
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
Trader Hunter พบธรรม
" เรามาคิดเอาเองว่า...
จิต เป็นสุข
จิต เป็นทุกข์
แต่...ความเป็นจริง
จิต ไม่ได้สร้างสุข สร้างทุกข์
อารมณ์ มาหลอกลวงต่างหาก มันจึง"หลงอารมณ์"
ฉะนั้น...
เรา จึงต้องมาฝึกจิต ให้ฉลาดขึ้น
ให้รู้จัก...อารมณ์
ไม่ให้เป็นไปตาม...อารมณ์
จิต...ก็สงบ
เรื่องแค่นี้เอง ที่เราต้องมาทำกรรมฐานกันยุ่งยาก
ทุกวันนี้."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ปล่อยวาง อยู่...กับธรรมชาติ
มันเกิดเราก็ รู้ มันดับเราก็ รู้...มันสุขเราก็ รู้ มันทุกข์เราก็ รู้
รู้แล้วไม่ใช่ว่า...เราจะเป็นเจ้าของสุขนะ
หรือเมื่อทุกข์ขึ้นมา เราก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์ เหมือนกัน
เมื่อ...ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์
มันก็มีแต่การเกิด - ดับ อยู่...เท่านั้น
ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ของมันอย่างนั้นแหละ
เพราะ...มันไม่มี อะไร."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" อาตมามันถูกกับ พุทโธ
ตั้งใจเอาไว้ ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง
กำหนดเอา...สติรักษาใจเอาไว้
เอาพุทโธ ไม่ให้เผลอ...สติ...ให้พุทโธ...ตั้งอยู่กลางใจนี้
อาตมานิสัยถูกกับ...พุทโธ
บริกรรมอัฐิ กระดูก บางครั้งมันก็ถูก
ถูก มันจะปรากฏเห็นกระดูกหมดทั้ง สกนก์กาย
พระพุทธเจ้าต้องการให้...
จิต มันเห็น...จิต มันไม่เห็น...ให้บริกรรม ให้มันเห็น
ต้องให้ มันเบื่อหน่าย...ให้มันเห็นว่า มิใช่ตนสิ่งเหล่านี้
ธาตุทั้ง ๑๘ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ ทั้งนั้น
อายตนะ ก็ดี ตกอยู่ในไตรลักษณ์หมด ทั้งนั้น
เรามาสำคัญ ว่าหู ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจ เป็นของเรา
เป็นเหตุ ให้ยึดมั่นถือมั่น...นั่ง ก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว
ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น...สมาธิ ก็ต้องออก
ท่านให้สู้...กับมัน
ไม่ต้องหลบมัน เรา...จะสู้กับข้าศึกก็ต้อง
อย่างนั้นแหละ ต้องมีขันติ ความอดความทน
ทนสู้...กับความเจ็บปวด ทุกขเวทนา
ดู...มันจิต มัน ถูกอันใดอันหนึ่ง เมื่อเราสกัดกั้น
ไม่ให้มันเเส่ส่าย ไปกับอารมณ์ภายนอก มีรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เป็นต้น เรียกว่า กามคุณ ๕
ไม่ให้จดจ่อ กับสิ่งเหล่านี้แล้ว
มัน จะอยู่กับที่ มันจะวางอารมณ์
ไม่มี อารมณ์มาคลุกคลี กับดวงจิตแล้ว
จิต...ตั้งมั่น เรียกว่า...จิตว่าง ไม่มี อะไรมาพลุกพล่าน
เหมือนกับน้ำที่อยู่ในขัน หรืออยู่ที่ใดก็ตาม
เมื่อ ไม่กระเพื่อมแล้ว มันก็...นิ่ง ก็เหมือนสิ่งทั้งปวง ที่อยู่ก้นขัน ต้อง...เห็น
เห็นอันนี้ เห็นแล้วเราต้องสละ...ปล่อยวาง
มันจะเห็น โลภะ โทสะ ราคะ ก็ละถอน สิ่งเหล่านี้ออก
ปล่อยจิต... ว่าง แล้วจิต...สบาย
เพราะจิตเป็นหนึ่ง ไม่ขุ่นมัว
เพราะ...ไม่มีอารมณ์มาฉาบทาจิตดวงนี้แล้ว
ดวงจิตใส ดวงจิตขาว
จิตก็...เย็น มีแต่ความสบาย มีความสุข
รู้เท่า สังขาร
รู้เท่า สิ่งทั้งปวง
รู้เท่า ความเป็นจริงแล้ว
เกิดอันใด อันหนึ่งก็ดี หรือไม่ครบรอบ ก็ดี
เมื่อ...พิจารณาแล้ว
จิตเรา จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง
ถึงมรณะ.. .จะมาถึงก็ตาม
ทุกขเวทนา ความเจ็บปวดมาถึงก็ตาม
ก็ไม่หวั่นไหวต่อ...สิ่งเหล่านั้น."
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
" ความเกลียด เราก็ไม่รู้สึกตัวว่า เป็นกิเลส
ความโกรธ เราก็ไม่รู้สึกตัวว่า เป็นกิเลส
ความรัก ความชัง เราก็ไม่รู้สึกตัวว่า เป็นแผนของกิเลส ที่บังคับให้แสดงออกมา
ถ้าเรา...รู้...ทันทุกระยะที่มันแสดงตัว ไม่นาน กิเลสต้องหมอบราบไปไม่พ้นมือ นักจิตตภาวนา แน่นอน."
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
" ตัณหา...มัน เกิดมาจากไหน ต้องค้นหาเหตุมัน
เหตุ มันเกิดจากอายตนะภายใน และอายตนะภายนอกมาสัมผัสกัน
ตา เห็นรูป หู ได้ยินเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น
ลิ้มรส กาย ถูกต้องสัมผัส ใจ รู้ธรรมารมณ์
พระพุทธเจ้า จึงทรงสอนให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖
คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ให้เพียรสำรวม เพียรละ ไม่ให้ เกิดความยินดี ยินร้าย
ทำจิตให้เป็นกลาง วางเฉยต่อ...อารมณ์
นี่เรียกว่า...การดับตัณหา."
(หลงงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
" เราอย่าไปคาดมรรคผลนิพพาน
ว่า...อยู่สถานที่นั่น ที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องเกาสถาน
ที่ไม่คัน ตะครุบเงาหาตัวจริง ไม่ได้
ตัวจริงมีอยู่ กับสัจธรรม
สัจธรรม กับมรรคผลนิพพานเป็นของเกี่ยว
เนื่องกันอยู่ แยกจากกันไม่ได้
และ ไม่มีสิ่งใดที่จะมีอำนาจวาสนามากั้นกลาง
มรรคผลนิพพาน ของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ด้วยมัชฌิมาปฏิปทานี้ ได้เลย
สิ่งที่เป็นมารกั้นกลางมรรคผลนิพพาน
ก็คือ กิเลสตัณหาอาสวะ ซึ่งเกิดขึ้นจาก...ใจ
เป็นเครื่องทำลายใจนี้ เท่านั้น ไม่มี อย่างอื่น
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ท่านบอกให้พึงกำหนดรู้...
คือ...ทุกข์นั้น เป็นเครื่องเตือนสติ พูดง่าย ๆ
ว่าให้พึงกำหนดรู้...ทุกข์ เป็นเครื่องเตือนให้
สติปัญญา พิจารณาคลี่คลาย
การคลี่คลายนั้น ได้แก่...ปัญญา
ความคิดความปรุงแต่งต่าง ๆ
ซึ่งเป็นส่วนสมุทัย เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เกิดชึ้นเพราะ...ความรักชอบสิ่งใด
ความเกลียด ความโกรธกับสิ่งใด
เพราะ...ธรรมดาของจิต
โกรธ ก็เป็นอารมณ์
เกลียด ก็เป็นอารมณ์
รัก ก็เป็นอารมณ์
ชัง ก็เป็นอารมณ์
ซึ่งเป็นเรื่องของสมุทัย ทั้งนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องอาศัยสติปัญญา
เป็นผู้ที่จะต้องใคร่ครวญจดจ่อ ดู...เหตุดูผล
แห่งความรัก ความชัง ความเกลียด ความโกรธ อันเป็นสาเหตุมา จาก...สมุทัย
แก้กันด้วยสติปัญญา นี่เกี่ยวเนื่องกันอยู่อย่างนี้
สมุทัย พึงละ เรา จะเอาอะไรมาละ...สมุทัย
ปหาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว ท่านว่า...พึงละสมุทัย
ถ้าไม่ละด้วย...มรรค
จะละด้วยอะไร ? มันเกี่ยวเนื่องกัน อย่างนี้."
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
ไม่ใช่นิ่ง...เพื่อนิ่ง
แต่นิ่งเพื่อให้รู้เท่าทัน สิ่งทั้งหลายที่ไม่นิ่ง
#ชยสาโรภิกขุ #สมาธิ #สติ
นี่แหละคือความจำเป็นที่ต้องมีมรรคองค์ที่ ๘ -สัมมาสมาธิ
(จิตตั้งมั้นชอบ) จิตต้องตั้งมั่น ถึงจะมองเห็นกิริยาหรืออาการของจิตชัด ว่ามันไม่เที่ยง(เกิด-ดับ) บังคับบัญชาไม่ได้ ก็จะเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
Everything is temporary so then why take anything more?
“ทุกอย่างก็ชั่วคราว แล้วจะเอาอะไรอีกหรือ”
ชีวิตคน ไม่ต่างอะไรจากความฝัน
ไม่มีอะไรจีรัง ไม่มีอะไรยั่งยืน
หากใครรู้และยอมรับความจริงนี้ได้
กาลเวลาย่อมไม่มีผลต่อคนผู้นั้นอีกต่อไป
จวงจื้อ
ใช้เหตุผลจะไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
รู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็ไม่เที่ยง เห็นความรู้สึกต่างๆที่เกิดก็ไม่เที่ยง กายก็ไม่เที่ยง จิตใจก็ไม่เที่ยง อย่าปรุงแต่งจิต
อย่าใช้เหตุผล จะเห็นความรู้สึกตัว เห็นความไม่เที่ยงของรูปนาม รู้สึกถึงความไม่เที่ยง นี้หล่ะเห็นไตรลักษณ์ เจริญปัญญา