ตอนที่ ๙๔ การนั่งสมาธิ
พระยาธรรมรับคำสอนจากพุทธองค์ วันที่ 15 มิถุนายน 2559
ตอนที่ 94 **การนั่งสมาธิ**
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ก็จะถึงเวลาที่เราทั้งหลาย จะได้น้อมจิตเข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกัน
ให้ทุกคนเตรียมใจให้สบาย เตรียมใจให้สงบ ยกจิตของตนขึ้นเข้าเฝ้า ฟังธรรมจากขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเงียบ ความสงบ พร้อมๆกัน...
+ +
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทูลถามต่อพระพุทธองค์ ดังนี้ว่า…
" ถ้าเรามีความปรารถนาที่จะมีสมาธิ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้นิ่ง เข้าสู่ฌานสมาธิที่ลึก.. เราจะต้องทำแบบไหน ทำยังไง เราจะได้ประสบความสำเร็จกับการนั่งสมาธิ น่ะเจ้าค่ะ ?"
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งสำเร็จ -- เราต้องตั้งใจก่อนลูก
ก่อนที่เราจะนั่งสมาธิ ให้เราระลึกรู้ และบอกกับตนเองว่า ตอนนี้เรากำลังจะนั่งสมาธิ
*สมาธิ* นั้น ก็คือ การรวมจิตของเราให้หยุดอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง ให้พักผ่อน ไม่ให้จิตนั้นฟุ้งซ่าน วุ่นวาย
// คือ การทำให้จิตอยู่นิ่งๆ
เมื่อเราบอกตนเองเช่นนี้แล้ว เราก็รู้แล้วว่า.. ต่อจากนี้ไป หน้าที่ของเราที่จะต้องทำ คืออะไร
เราก็รู้แล้วว่า คือ การทำจิตให้สงบไงลูก
เมื่อเรารู้เช่นนั้น เราก็ปล่อยทุกอย่างที่มันผ่านเข้ามา ที่มันผ่านไป
ปล่อยให้มันผ่านไป ปล่อยจิตปล่อยใจ ปล่อยทุกสิ่ง ปล่อยทุกอย่าง แล้วเอาจิตของเราไปตั้งมั่นอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่น ถ้าเรานึกถึงใบไม้ สีเขียว เราก็จงนึกถึงแต่ใบไม้สีเขียวนั้น.. ห้ามไปนึกถึงสิ่งอื่น - แล้วก็เอาจิตหยุดอยู่แค่ใบไม้สีเขียว..ใบไม้สีเขียว กำหนดจิตไว้อย่างนั้น ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
-- จิตของเราก็จะทรงสมาธิอยู่.. แค่ที่ใบไม้สีเขียว โดยไม่ฟุ้ง /ไม่ยุ่งกับสิ่งอื่นใด
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเรามีสมาธิที่นิ่ง นาน - เราก็จะตั้งมั่นอยู่กับใบไม้สีเขียวนั้น
นิ่งอยู่ได้นาน จะไม่วอกแวกไปทางอื่น จะไม่นึกถึงสิ่งอื่นเลย…
แต่ถ้าเรามีจิตที่ยังไม่ตั้งมั่น เราก็จะนึกถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้
แต่เราก็จงรู้ว่า หน้าที่ของเราก็คือ ..ท่องว่าใบไม้สีเขียว
หรือว่าดูใบไม้สีเขียว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เรายกขึ้นมา ที่เรานี้จะกำหนดให้จิตของเราแนบนิ่ง กับสิ่งๆนั้น...
... แล้วเราก็สามารถกำหนดเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุเจดีย์สีทอง สีขาว สีใส สีเขียว
... หรือว่าจะเป็นลูกแก้ว จะเป็นอะไรก็ตาม.. ขอเพียงแค่ให้เรากำหนดจิตไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง - ให้จิตเรานั้นนิ่งอยู่ตรงนั้นก็พอ ++
หากเรายังไม่สามารถกำหนดจิตของเราให้นิ่งอยู่ในสิ่งนั้นได้ แปลว่าเรานั้นยังไม่สงบ / แปลว่าเรานั้นยังไม่สามารถทำจิตให้นิ่งๆได้ ..
ก็จงหมั่นฝึกบ่อยๆ หมั่นทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ++ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง รวมถึงการที่เรา อาจจะยังยึดติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่.. เราก็เลยชอบเอาเรื่องนั้น เรื่องนี้มารบกวนเรา
ก่อนที่เราจะนั่งสมาธิ ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ให้ปัญญาสั่งเราเสียก่อน ให้อย่าทำนอกเหนือหน้าที่ ณ ตอนนั้น ที่เรากำลังจะทำ --
ลูกเอ๋ย.. ให้นึกเสียว่า ตอนนี้เราจะทำสมาธิ เราจะตั้งใจทำ เป็นเรื่องของจิตไม่เกี่ยวกับกาย
ตอนนี้กายนี้ จอดแน่นิ่งแล้ว สมมุติว่าตายซะก็ได้.. เพราะเราจะไม่แวะ ไม่ข้องไม่เกี่ยวกับกาย
ฉะนั้น.. สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับร่างกายนี้ ก็จะไม่เกี่ยวกับเรา.. เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่เราจะต้องฝึกจิต -- ให้บอกตนเองอย่างนี้
.. เมื่อมีภาพในอดีต เราก็ดันมันออกไปด้วยปัญญาของเรา ว่าตอนนี้ไม่มีเราแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเรา
ภาพเหล่านั้น ไม่น้อมเข้ามา.. ทีนี้ก็จะหายไป
.. เมื่อมีภาพในอนาคต หรือในเรื่องอะไรก็ตาม ภาพอะไรก็ช่าง - เราไม่สนใจมัน ไม่น้อมเอามาใส่เราแล้ว เพราะตอนนี้หน้าที่ของเรา คือ เราต้องกำหนดจิต ให้ตั้งมั่นในสิ่งที่เราจะเอาจิตของเราให้ตั้งมั่นในมัน
ไม่ว่าจะเป็นรูปใบไม้ จะเป็นลูกแก้ว จะเป็นพระธาตุเจดีย์ จะเป็นองค์พระ เป็นแสงสว่าง เป็นพลังเย็น เป็นลม เป็นอากาศ.. เป็นอะไรก็ช่าง ที่เรากำหนดจิตจิตตั้งมั่นไว้
** เรามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ.. เฝ้าเอาจิตดวงนี้เอาไว้ ไม่ให้ออกนอกกรอบลูกแก้ว ที่เราตั้งมั่นเอาไว้
-- เฝ้าจิตดวงนี้เอาไว้ ไม่ให้ออกนอกกรอบของสิ่งของ ที่เราสมมุติจะเอาจิตตั้งมั่นไว้ตรงนั้น.. ก็พอ --
ฉะนั้น.. เรายังไม่รับอะไรทั้งหมดทั้งสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นจิตปรุงแต่ง เป็นมารเผชิญ เป็นเรื่องที่ผุดขึ้นมาเพื่อขัดขวางความสงบ หรือจะเป็นภาพในโลกทิพย์ ที่เรามองเห็น-- จะเป็นอะไรก็ตาม เรายังไม่เอาอะไรทั้งนั้น.. เพราะเราต้องการ "ความสงบ"
เมื่อเราฝึกอย่างนี้ สั่งตนเองอย่างนี้ แล้วทำจิตใจให้เข้มแข็งอย่างนี้ ..ลูกเอ๋ย
ฝึกไปเรื่อยๆ.. เอาให้จริง เอาให้จัง เอาให้ได้
กายนี้จะขยับหน่อยไม่เป็นไร จิตนั้นห้ามขยับ จิตนั้นให้นิ่งอยู่กับสิ่งนั้น
วันแรก อาจจะทำได้ 3 วินาที
วันต่อไป หรือครั้งต่อไป.. อาจขึ้นมาเป็น 1 นาที, 5 นาที, 10 นาที.. ก็ปล่อยให้มันเป็นไป
ค่อยๆ ฝึกไป ฝึกอย่างตั้งใจ ฝึกด้วยความพยายาม.. แต่อย่าใช้ *ตัณหา* คือ "ความอยากในการฝึก" ++
ต้องฝึกแบบกลางๆ
-- รู้ว่าเราต้องไปที่นั่น -- แต่เราก็จงไปตามความพอดี อย่าเร่ง อย่าช้า - ไปแต่พอกลางๆ --
ลูกเอ๋ย.. เมื่อทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ลูกก็จะสามารถเข้าถึงสมาธิได้
เพราะ*สมาธิ* ก็คือ "ทำจิตให้สงบ" - รวมทุกอย่างมาเป็นจุดเดียวกัน ++
เมื่อเรารวมเป็นสมาธิได้แล้ว จิตเราไม่คิด ไม่ปรุงแต่งอะไรแล้ว เราไม่เอาภาพอะไร หรือเรื่องอะไรมาทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว …
// เกิดความว่างเปล่าในจิตของเรา
// เกิดความไร้ตัวตนในตัวของเรา
// เกิดสภาวธรรมที่สว่างไสวในจิต หรือในที่เราตั้งมั่น
โดยที่เราปราศจากความปรุงแต่ง ปราศจาก …
- ความห่วง- ความพะวง
- ความอยากรู้อยากเห็น - ความไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น
ปราศจากทุกอย่าง คือ ตั้งมั่นแค่นิ่งเฉยๆ จิตที่นิ่งจะนำพาให้เราทะลุเข้าไป ในมิติของสมาธิ
ถ้าเกิดว่าเราจะรู้อะไรในนั้น -- ก็จะรู้แบบผู้รู้อย่างแท้จริง -- เพราะ..
- รู้จากสิ่งที่ว่างเว้นจากความปรุงแต่ง การมีตัวตน
- รู้จากสิ่งที่ว่างเว้น จากเชื้อของกิเลสตัณหา
สิ่งที่เกิดขึ้นมาและให้เรารู้นั้น - รู้ด้วยสภาวธรรม ขององค์พระอรหันต์
... ปราศจากทุกสิ่งทุกอย่าง
-- จึงจะเป็นความรู้ที่รู้อย่างแท้จริง และถูกต้องอย่างแท้จริง --
เมื่อนั้น เราก็จะเข้าใจสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ตามความเป็นจริง เพราะว่าเรา
/ ไม่ได้ไปรู้ด้วยตัวของเรา
/ ไม่ได้ไปรู้ด้วยกิเลสและตัณหา
แต่เรารู้- รู้ด้วยความบริสุทธิ์ของจิตดวงนั้น ที่ตั้งมั่น จนจิตดวงนั้นสามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
และพลังแห่งความบริสุทธิ์นั้น - จึงนำพาให้เราไปเจอกับความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่
จึงทำให้เรานี้เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง..
เพราะความรู้ใน ณ ตอนนั้น มันไม่ใช่ความรู้ของเรา // มันไม่ใช่ความรู้ของใคร
... แต่มันคือความจริงที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังชีวิตของเรา - ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ
ลูกเอ๋ย.. เมื่อเราไปเจอสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราก็จะเป็นผู้มีสมาธิ และเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้เข้าถึงสมาธิที่ ที่สูงสุดแล้วอย่างแท้จริง.. ลูกเอ๋ย
จงค่อยๆฝึก..
- จากการตั้งใจ
- จากการละวางตัวตน / ละวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกาย ++
ค่อยๆฝึกฝน นำจิตของตนไปสงบ อยู่ในจุดใดจุดหนึ่งที่เรานี้ถนัดเลือก
.. ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ จะเป็นอะไรก็ตาม ที่เราเลือก
เมื่อตั้งมั่นที่นั่น จนความเป็นเรา.. ไม่มี จนแนบนิ่งแล้ว -- พลังนั้นก็จะพาเราไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง พิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาบอกแก่พวกเรา
อย่างนั้นแหละลูก.. เราจึงจะเข้าใจกับทุกอย่าง..อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอ๋ย.. ลูกจงจำไว้เช่นนี้เถิดลูก..
สมาธิ / ความรู้ในสมาธิ ที่ "ยังมีเรา"อยู่ -- ย่อมไม่กระจ่างแจ้ง ย่อมอาจยังไม่เห็นความเป็นจริง…
แต่สมาธิ ที่ปราศจากความยึดติด / ปราศจากตัวตน / ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา - ซึ่งเป็นสิ่งที่ว่างเว้นจากทุกสิ่งทุกอย่างอย่างแท้จริง เป็นคลื่นพลังของความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง...
**คลื่นพลังเหล่านั้น - ก็จึงจะบอกความจริงกับเราได้…
- เพราะเขาคือ ความถูกต้อง
- เพราะเขาคือ คนที่ไม่ใช่คน ไม่ใช่ใคร..
- เขาคือ สิ่งที่บริสุทธิ์
++ เขาจึงจะเปิดเผยสภาวธรรมของความถูกต้อง ที่บริสุทธิ์ ให้เรารู้ ++
จงประพฤติ ปฏิบัติ กระทำเช่นนี้เถิด ลูกเอ๋ย..
-- แล้วสมาธิอันสูงสุด ปัญญาอันสูงสุด.. ก็จะเข้าถึงลูก - ลูกก็จะเข้าถึงมัน --
สาธุ เจ้าค่ะ
- + -
พุทธโอวาทกึ่งพุทธกาล วันที่ 6 กันยายน 2559
ตอนที่ 59 **การฝึกยกจิต**
+ +
ข้าพเจ้า (พระยาธรรมิกราช) หลับตาลง ภาวนา น้อมพลังพุทธบารมีจากพระพุทธองค์ท่าน ลงมาสู่ศูนย์กลางกาย
พลังพุทธบารมี สีฟ้าใส.. สว่าง - ส่งพลังลงมาที่ศูนย์กลางกาย - ข้าพเจ้าจึงได้รับพลังสีฟ้าใสเย็นเหล่านั้นไปเรื่อยๆ หายใจเข้า หายใจออก อยู่กับแสงพลังสว่างที่ได้รับมานั้น…
ในเช้าของวันนี้ ให้ทุกๆท่าน ผู้ที่ได้รับฟังเสียงธรรมนี้ - น้อมจิตน้อมใจทำตามทุกๆคนนะจ๊ะ-- จะได้พาทุกๆคน ไปนั่งอยู่ต่อหน้าองค์พระพุทธเจ้า ฟังธรรมพร้อมกันทุกๆคน
หลับตาลงแล้ว ตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไป ภาวนาไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..
รับพลังเย็นๆลงมาไว้ที่ศูนย์กลางกายของทุกคน จนเกิดแสงสว่าง.. สว่างไสว เกิดขึ้นในตัวของเราทุกคน
เมื่อกายของเราสว่างแล้ว ก็เห็นกายภายในของเรา -ที่ซ้อนอยู่ในเราอีกทีหนึ่ง..
หนูเห็นตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ นั่งซ้อนอยู่ในกาย
-- ทุกคนก็ลองมองดูกายของทุกๆคน นะจ๊ะ..
จนไม่มีความรู้สึก เหมือนลอยอยู่ในกลางอากาศ ลอยอยู่ในที่ที่มีพลังอุ้มชูเราเอาไว้ เราก็มีแสงสว่างระยิบระยับเล็กๆ ลอยรอบๆตัวของเรา คล้ายกับว่า เราไปอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง ที่สวยงาม / ที่เบาสบาย
และแล้ว.. ก็เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านองค์ขนาดใหญ่มาก.. ใหญ่พอที่จะให้ตัวของเรา /โลกสมมุติที่เราอยู่ เป็นโลกเล็กๆ - เป็นตัวเล็กๆ.. ที่อยู่ในกายของพระองค์ท่าน
พระองค์ท่านองค์ใหญ่ สว่าง.. มือของพระองค์ท่านก็ใหญ่มาก --เราอยู่ในศูนย์กลางกายของพระองค์ท่าน เราก็รับพลังไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเรานั้นเงียบสงบกันทุกคนแล้ว..
พระพุทธองค์ท่านจึงได้เมตตาสอนสั่งธรรม กับเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า...
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. วันนี้ ลูกทั้งหลายได้น้อมจิต น้อมกาย น้อมใจ ขึ้นมาในสถานที่ที่โยกจิตออกจากโลกสมมุติ
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้นฝึกฝนการโยกจิต- ออกจากกาย / ออกจากโลกสมมุติเหล่านั้นมา.. จะเกิดประโยชน์อะไรกับเราบ้าง ?
ลูกจงฟัง และจำเอาไว้เช่นนี้เถิด..
ลูกเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกนรก หรือว่าจะเป็นในที่ไหนๆ ก็ตาม..
ทุกที่ในจักรวาล วัฏสงสารนั้น แท้ที่จริงแล้ว -- สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่มีอยู่จริง
เพียงแต่เมื่อเรายึดติด เมื่อเราไม่ยอมออกจากที่นั่นมา - เราก็เลยไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า
++ แท้ที่จริงแล้ว..เราก็ยังมีที่อื่นๆ ที่เรายังต้องไปอีก
> เราก็เลยคิดว่า นั่นคือ ตัวตนของเรา คือ ชีวิตของเรา -- ก็เลยเกิดการยึดติด ++
ลูกเอ๋ย.. หากว่าเราฝึกรับพลังพุทธบารมี เช่นนี้อยู่บ่อยๆ..
เมื่อรับพลังจนเต็มแล้ว เราก็โยกจิตออกจากกาย เพื่อไปสู่ดินแดน ความสงบสุข
-- ก็จะทำให้เรารู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว...
// เราที่ซ้อนอยู่ในเรานั้น มีอยู่จริง
// โลกที่ซ้อนอยู่ในโลกนั้น มีอยู่จริง
// การเวียนว่ายตายเกิดนั้น มีอยู่จริง
// วัฏสงสาร จักรวาลต่างๆ มีอยู่จริง
เมื่อเรารู้แล้ว ว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง เราก็จะเข้าใจการเวียนวน การเดินทางของดวงจิต.. ที่มันไม่รู้จักสิ้นสุดเสียที..
เมื่อเราเห็น และเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน -- เราก็จะ..
- เข้าใจความทุกข์
- เข้าใจความยึดติด
- เข้าใจความลุ่มหลงต่างๆทั้งหลาย
เรานี้ก็จะค่อยๆผ่อนกาย ผ่อนจิตของเรา
- กายก็จะผ่อนออกจากจิต โดยไม่ยึดติดอะไรมันแล้ว
- จิตก็จะผ่อนออกจากกาย โดยที่ไม่ยึดติดมันแล้ว
- จิตก็จะค่อยๆถอยออกมาๆ
... อย่างวันนี้ไงลูก ที่ลูกทั้งหลายเดินทางด้วยพลังพุทธบารมี มาจนถึงในที่แห่งนี้ > ก็เพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ++
ลูกเอ๋ย.. จงหมั่นโยกจิตของตน ให้ไปอยู่ในดินแดนความสงบสุข ด้วยพลังพุทธบารมี เช่นนี้อยู่บ่อยๆ เถิดลูก
เพราะมันคือการฝึกฝน ให้ตนนี้รู้ตามความเป็นจริงว่า มีอะไรที่ซ่อนอยู่ชีวิต ชีวิตของตนซ่อนอะไรอยู่ และยังช่วยถอดถอนความลุ่มหลงยึดติดในตน ได้อีกด้วย…
พระยาธรรมเอย.. วันนี้ก็พากันมา จนถึงที่นี่แล้ว - ก็จงทำความเข้าใจ ดังที่กล่าวมานั้นเถิด ..
พิจารณาตามเถิด ลูกเอ๋ย.. แล้วลูกทั้งหลายก็จะเห็น เข้าใจ - ตามความเป็นจริง
สิ่งที่กล่าวมานี้ คือ ความจริง.. ลูกเอ๋ย
จงหายใจลึกๆ รับพลังพุทธบารมี ต่อไปเรื่อยๆ
ค่อยๆใช้พลังเหล่านั้น พิจารณาให้รู้ ให้เห็น ตามความเป็นจริงเถิด
++
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่เมตตาเจ้าค่ะ
แล้วที่นี้ พวกเราทุกคน ก็ให้ตั้งใจรับพลังพุทธบารมี แสงสว่างไสว เข้ามาไว้ในศูนย์กลางกายของเราต่อไปเรื่อยๆ นะจ๊ะ
**สัมมา สัมพุทธะ ปัจฉิมา สัมพุทธะ**
... รับพลังไปเรื่อยๆ จนเห็นแสงสีขาว เกิดขึ้น ลอยเบาสบาย
พระพุทธเจ้าเจ้าขา.. แล้วถ้าเกิดคนที่เขาทำไม่ได้ล่ะเจ้าคะ เพราะอะไร ?
ขอพระองค์ได้โปรดเมตตาอธิบายด้วยเถิดเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอย.. คนที่ยังทำไม่ได้ ก็แปลว่า..
// ยังมีเชื้อกิเลส และตัณหา - ปกคลุมจิตไว้หนาอยู่
// ยังมีวิบากกรรมเก่า - คอยกีดขวางอยู่
// มีความลังเลสงสัย ห่วงหน้าพะวงหลัง - คอยกีดขวางอยู่
ฉะนั้น.. ให้ฝึกตนให้มาก ปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่าง
วางทุกอย่างที่จะทำให้ตนนั้น ไปไม่ถึงความสงบสุข..
อย่ามัวแต่คิดเลย ลูกเอ๋ย..
คิดเรื่องในอดีต เรื่องในอนาคต ไม่เกิดประโยชน์อะไร !
เรื่องของปัจจุบัน ก็ควรจะวางเสีย
อย่าลังเลสงสัยอะไรเลย...
... ทำจิตใจให้ว่างๆ - แล้วก็จะได้รับพลังเช่นเดียวกัน
หากยังทำไม่ได้อีก -- ก็ให้จงหมั่นรักษาศีล
รักษาศีล 5 - ให้บริสุทธิ์ // ศีล 8 -ให้บริสุทธิ์
... คือ ศีลในระดับต่างๆที่ตนตั้งจิตอธิษฐานจะรักษานั้น - จงทำให้บริสุทธิ์
หมั่นทำความดี ชำระล้างกิเลสตัณหา
ตั้งใจเอาไว้ ว่าจะต้องน้อมรับพลังพุทธบารมีให้ได้ ++
... เดี๋ยวก็ทำได้ ลูก..
++
พระยาธรรม :: แล้วคนที่ไม่ตั้งใจทำ หรือไม่มีความศรัทธาที่จะทำ..
แต่ตนกลับไปว่าคนที่เขาทำได้ ว่าเขานั้น.. คิดไปเอง โอ้อวดบ้าง ล่ะเจ้าคะ
-- คนเหล่านี้ เขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง.. แล้วควรกระทำเช่นนั้นหรือไม่เจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็ซ่อนอยู่ด้วยกัน "ดี กับไม่ดี" ก็ปะปนกันทั้งนั้น
เป็นธรรมดาลูก ที่บางคนอาจจะไม่เข้าใจสภาวธรรม ด้วยเหตุผลของเขาที่มีอยู่ คือ...
กิเลสยังหนา // ตัณหายังหนัก // ทิฐิยังมาก
> ก็เลยปิดกั้นเขา ทำให้มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้
> ก็เลยกลายเป็นพวกของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่คิดว่าไม่จริง
... ปรามาสต่อการฝึกฝน / ปรามาสต่อการทำความดีของบุคคลผู้อื่น
ไม่เป็นไรหรอกลูก เราก็ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ อย่าไปคล้อยตามเขาเหล่านั้น ก็แล้วกัน ++
เราทำดีของเราแหละ ก็ดีแล้ว
> ส่วนบุคคลเหล่านั้น เขาจะทำกรรมอันใดไว้ -- กรรมอันนั้นก็จะส่งผลกลับคืนไปที่ตัวของเขา…
พระยาธรรมเอย.. วันนี้ ก็พากันมานั่งภาวนาในที่นี้ -- เพื่อน้อมรับพลังพุทธบารมี
เบาตัวกันแล้วหรือยังลูก
ได้รับความสุข ความสบายกันแล้วหรือยัง ?
+ +
พระยาธรรม :: เจ้าค่ะ วันนี้ลูกก็ได้รับพลังความเบาสบายแล้ว เจ้าค่ะ
... สภาวธรรม ความเบาสบายในที่นี้ คล้ายคลึงกันกับพระนิพพานหรือเปล่าเจ้าคะ ?
- ไร้อดีต
- ไร้อนาคต
- ไม่มีปัจจุบัน
- ไม่มีความยึดติด ลุ่มหลง
- ไม่มีความทุกข์ใดๆ...
... แบบนี้คล้ายกับสภาวธรรมในพระนิพพาน หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ความสุขเช่นนี้แหละลูก ที่เรียกว่า "ความสุขที่แท้จริง" -- ความสุขที่ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา ความห่วงหน้าพะวงหลัง ปราศจากทิฐิอัตตาตัวตน ปราศจากอดีต และอนาคต -- ไม่มีอะไรอีกต่อไป..
นี่แหละลูก คือ "สภาวธรรมความสุข ใน*ดินแดนนิพพาน*"
บุคคล เมื่อถึงนิพพานแล้ว ดวงจิตดวงนั้น ก็จะถึงซึ่งความสุขเช่นนี้ อยู่ตลอดไป..
+ +
พระยาธรรม :: แล้วถ้าเกิดว่าเรามาในที่นี้ เราเจอความสุขแบบนี้ เรากลับไป ก็เจอความทุกข์อีก -- เราจะมาอยู่ที่นี่ตลอดได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ดวงจิตที่จะสามารถมีสภาวธรรมเช่นนี้ ตลอดไปได้ -- ต้องเป็นดวงจิตที่ดับกิเลสตัณหาลงจากตนเองได้เสียแล้ว ++
ลูกเอ๋ย.. ไม่ใช่การหลบมาอยู่ที่นี่ลูก !
แต่เป็นการฝึกฝนจนตนนั้นมีสภาวธรรมเช่นนี้.. อยู่ในทุกที่ ทุกแห่งหน
นิพพาน จะอยู่กับตน อยู่ในใจตน อยู่ในดวงจิตของตน
> สิ่งนั้นต่างหากลูก คือสิ่งที่ควรฝึกฝน - และจะได้รับความสุขที่แท้จริง ++
การมาที่นี่ ก็เพื่อฝึกฝนตนเท่านั้น.. ลูก
จงฝึกต่อไปเรื่อยๆ จนเป็นเช่นนี้ อยู่ในทุกที่ ทุกสถานการณ์เถิด..
-- แล้วลูกจึงจะพบนิพพานตลอดไป // จึงจะเป็นสุขอย่างนี้ ..ตลอดไป --
+ +
พระยาธรรม :: จะมีหลายคนมั้ยเจ้าคะ ที่จะสามารถทำได้ ?
พระยาธรรมเอย.. บุคคลมากมายในโลก ที่ได้สร้างสั่งสมบารมี ไว้ "รอรอบ"
ฉะนั้น.. ก็จะมีคนหลายคนเลยทีเดียว..ที่จะทำได้ ++
-- เพียงแต่เขาเหล่านั้น จะค่อยๆรู้เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ -- และจะมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง --
++
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่เมตตา เจ้าค่ะ
แล้วลูกจะขอพลังจากพระพุทธองค์ ให้ส่งพลังพุทธบารมี ไปในทุกที่ ทุกแห่งหน
ที่มีใครได้ยินได้ฟังเสียงธรรมนี้แล้ว และปรารถนาได้รับ*พลังพุทธบารมี*
... ลูกขอให้เขาเหล่านั้น ได้รับพลังนี้ด้วย นะเจ้าคะ
จงเป็นเช่นนั้นเถิด พระยาธรรมเอ๋ย..
ขอเพียงให้ตั้งใจ
- ตั้งใจ - แบบไม่ได้ใช้ความอยาก
- ตั้งใจ - แบบไม่ได้ยึดติด
… ปล่อยวาง ทั้งความตั้งใจนั้นด้วย ++
-- วางทุกสิ่งและวางทุกอย่าง ก็จะได้รับพลังเหล่านี้ --
สาธุ เจ้าค่ะ
ตอนที่ ๙ จะทำจิตให้มีสมาธิขั้นสูงได้อย่างไร