ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 6 มีนาคม 2563
ตอนที่ 66 **แสงสว่างแห่งชีวิต 3 ขั้น**
+ +
ในเย็นของวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2563 ณ บ้านไทยเจริญ แดนเกิดพระยาธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามธรรมกับพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาที่จะเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ถึงเรื่องของ “แสงสว่างแห่งชีวิต 3 ขั้น” พระพุทธเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมเรื่อง แสงสว่างแห่งชีวิต ให้ลูกได้ฟัง พิจารณาตามในแต่ละสิ่งแต่ละอย่างด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ลูกเอ๋ย.. ชีวิตที่มีแต่เวรกรรม ที่ก่อที่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ส่งผลมา -- ย่อมเป็นชีวิตที่มืดมน มืดมิด มืดบอด หาแสงสว่างในชีวิตไม่เจอ
... นี่ก็เป็นหนึ่งสาเหตุหลัก ของสิ่งที่ทำให้ชีวิตนั้นหาแสงสว่างไม่เจอ.. ลูกเอ๋ย
และกิเลสตัณหา ที่ครอบงำจิตใจของคน - ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่ทำให้บุคคลทั้งหลาย.. มืดมิด มืดบอด หาทางออก ทางไปไม่เจอ
ทำให้ชีวิตขุ่นมัว เศร้าหมอง มืดบอด ไม่รู้จะไปทางไหนดี
ชีวิตมืดมน ขาดแสงสว่างแห่งชีวิต
... นี่ก็คือ อีกหนึ่งสาเหตุหลัก ของสิ่งที่ทำให้ชีวิตนั้นไม่เจอแสงสว่าง ลูก
เมื่อเราได้รู้ถึงเหตุ ที่ทำให้ชีวิตขุ่นมัว เศร้าหมอง มัวหมอง
ก็ย่อมแน่นอนละ พระยาธรรมเอย.. ว่า ถ้าหากว่าเราไม่ปรารถนาให้ชีวิตมืดมน.. เราก็ต้องเพียรพยายามฝึกฝน และทำให้จิตของเรานี้.. ออกจากสิ่งเหล่านี้ไป
เมื่อดวงจิตของเรา ห่างไกลจากกรรมวิบากที่ไม่ดี
ห่างไกลจากกิเลสตัณหา สิ่งที่ทำให้ลุ่มหลง พัวพันมัวเมา มืดมิดมืดบอดนั้น
-- ชีวิตของเรา.. ก็ย่อมจะเจอทางแห่งแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ++
พระยาธรรมเอย.. ทีนี้ ลูกก็จงตั้งใจฟังนะ ฟังและพิจารณาตาม เป็นขั้นเป็นตอนตามนี้ก็แล้วกัน
ลูกเอ๋ย.. บุคคลที่ได้สั่งสม และทำความดี จนความดีนั้นค้ำหนุน
ทำให้ชีวิตเป็นผู้ที่มีสติ มีปัญญา มีพื้นฐานของชีวิตที่ดี
เกิดในที่ที่ดี อยู่ในตระกูลที่มีศีล มีธรรม ที่เป็นคนดี
ในประเทศชาติที่ดี ในสังคมที่ดี มีผู้นำที่ดี เป็นต้น
-- ก็ย่อมที่จะเป็น แสงสว่างขั้นแรก ในชีวิต นะลูก --
เมื่อเราได้มีรากฐานที่ดีของชีวิต.. เราก็ย่อมมีแสงสว่าง แห่งชีวิตใน ขั้นที่ 1 – ด้วยการที่เรานั้น ได้ทำคุณงามความดีเอาไว้.. จนคุณงามความดี ผลบุญที่เราสร้างเราสั่งสม ทำมาเหล่านั้น - กลับมาค้ำหนุนดวงจิตของเรา ให้..
/ ได้เกิดในที่ที่ดี ในวงศ์ตระกูลที่มีศีลมีธรรม
/ ได้เกิดอยู่ในบ้านเมือง ที่ดี สงบร่มเย็น
/ มีความสุขความเจริญในชีวิต
/ มีรากฐานของชีวิตที่ดี
-- ก็ถือว่า เป็น แสงสว่างขั้นที่ 1 ของชีวิตแล้วละ.. พระยาธรรมเอย
และต่อไป เราก็จงต่อยอดการทำความดีนั้น - ด้วยการใช้สติปัญญา ใช้ความดีในปัจจุบันทำความดีต่อไป..
ให้คิดดี ทำดี พูดดี
ทำปัจจุบันให้ดียิ่งๆขึ้นกว่าเดิม
... หรือเรียกว่า ทำดีต่อยอดในสิ่งที่เราได้เคยทำมา เพื่อให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น…
แสงสว่างในขั้นที่ 2 – ก็ย่อมต้องก่อเกิดแก่เรา.. พระยาธรรมเอ๋ย
เพราะบุคคล เมื่อมีดีมาแล้ว และเอาความดีที่มีมาแล้วนั้น ต่อยอด ทำความดีต่อไป - ด้วยการมีสติปัญญา รู้ตื่นรู้แจ้ง เข้าใจในการดำรงชีวิต โดยไม่มีความลุ่มหลง ในสิ่งที่คิดว่าตนดีแล้ว
และก็ยังคงมีความเพียร เพื่อต่อยอดความดี คือ ดีมาแล้ว และทำดีในปัจจุบัน
รักษาความดีในปัจจุบันเอาไว้ได้
-- ย่อมถือว่า เป็นบุคคลผู้เจอแสงสว่างในชีวิต ในขั้นที่ 2.. พระยาธรรมเอย
และต่อไป บุคคลผู้ซึ่งสามารถให้แสงสว่างแก่ชีวิต หรือสิ่งที่จะให้แสงสว่างแก่ชีวิตได้ อีกขั้นหนึ่ง ก็คือ การฝึกฝนตน อบรมจิตของตน จนรู้ตื่น รู้แจ้ง เข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย อย่างรู้ตื่น
จิตนั้นยกเหนือระดับ..
/ สูงเหนือกว่ากรรมทั้งหลาย
/ สูงเหนือกว่ากิเลสตัณหาทั้งหลาย
/ สูงเหนือกว่าโลก วัฏสงสารนี้
จิตนิ่งสงบ รู้ตื่น สว่างไสวเจิดจ้า
ไม่มีสิ่งใดปิดบัง ทำให้มัวหมอง เศร้าหมอง ได้อีกต่อไป..
เช่นนี้ ก็จะเป็นบุคคลผู้ที่สามารถ เห็นแสงสว่าง หรือมีแสงสว่างใน ขั้นที่ 3..
ชีวิตย่อมมีทางให้ดำเนินไป
ชีวิตย่อมมีแต่ความรู้ตื่น รู้แจ้ง สว่างไสว
-- ไม่มีทางตัน ไม่มีสิ่งใดบดบัง ทำให้เผลอไป หลงไป –
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น สิ่งที่จะทำให้ดวงจิตทั้งหลาย พบกับแสงสว่างได้ ก็คือ
** การทำความดีเท่านั้น **
* ความดีเป็นสิ่งที่ จะเติมเต็มดวงจิตให้มีแสงสว่าง *
ให้ดวงจิตของเรานั้น มีเส้นทางที่จะรองรับ ค้ำหนุน ค้ำชู การเดินทางไปของจิต
- ด้วยกรรมที่ดี
- และทำดีด้วยศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
- ทำดีด้วยการฝึกฝน อบรมตนนั้น ให้รู้ตื่นขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้น.. แสงสว่างที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต ก็คือ..
- การเว้นจากการทำความชั่ว และต้องทำดี เพื่อละดี
- ถอดถอนกิเลสตัณหาทั้งหลาย
- ทรงอารมณ์อย่างผู้รู้ตื่น
-- จึงจะเป็นบุคคลผู้มีแสงสว่างในชีวิต ++
ลูกเอ๋ย.. ผู้มีแสงสว่างในชีวิตนั้น แบ่งออกมาได้โดยง่ายดาย ใน 2 แบบ
แบบที่ 1 - คือ ความมืดมิด มืดมน เศร้าหมอง คือความทุกข์ คือบาป
แบบที่ 2 - คือแสงสว่าง คือความสุข คือความดี คือบุญ
ฉะนั้น เมื่อเราปรารถนาให้ชีวิตของเรามีแสงสว่าง -- เราก็จะต้องทำดี เพื่อมีกรรมดีของเรา ค้ำหนุน
ให้เรามีรากฐานชีวิตที่ดีก่อน และก็จะยังคงทำดีในปัจจุบัน อย่างมีสติรู้ตื่น.. เพื่อให้ต่อไปก็ได้ดีด้วย
และก็จงทำความดีไปเรื่อยๆ.. จนความดีของเรานั้นสมบูรณ์ คือ จิตนั้นถึงที่สุดแห่งการทำความดี
คือ..
* การบรรลุเป็นองค์พระอรหันต์
* เป็นผู้หมดกิเลสตัณหา
* เป็นผู้อยู่เหนือกรรมทั้งหลาย
... จึงจะเป็นดวงจิตที่สว่างไสว ได้มากที่สุด ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่อง แสงสว่างแห่งชีวิต ให้ลูกได้ฟังและพิจารณาตาม
ลูกพอจะแบ่งแยกได้ว่า
ความมืดมิด คือ สิ่งไม่ดีทั้งหลาย คือการกระทำที่ไม่ดี คือกิเลสตัณหา
แสงสว่าง ก็คือ การทำความดี
การเติมความดีให้กับชีวิตของตน.. ก็จะสว่างขึ้นเรื่อยๆ
... และชีวิตก็ย่อมจะเป็นไปในทางที่ดี
ต่อไปนี้ ลูกจะนำธรรมนี้ไปเผยแผ่ เพื่อให้ทุกคนพิจารณาตาม
ใครปรารถนาให้ชีวิตนั้นมีแสงสว่าง – ก็จงทำความดี
ถ้าใครปรารถนาให้ชีวิตมืดมิด มืดบอด.. ก็สุดแล้วแต่ความปรารถนาของแต่ละคน พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกพอจะเข้าใจถึงแสงสว่างแห่งชีวิตแล้ว
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่ พระพุทธเจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม.. เข้าใจก็ดีแล้ว
แสงสว่างแห่งชีวิต เป็นสิ่งที่จำเป็นมากกับทุกคน กับทุกดวงจิต.. ลูกเอ๋ย
บางคนมีชีวิตที่ดี อยู่ในทางโลก – ที่มองว่าเต็มไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ วัตถุ สิ่งของข้าวของ ความสุขความสบาย
-- แต่เขายังมองไม่เห็น แสงสว่างแห่งชีวิตเลยลูก..
ฉะนั้น ดีแล้วละ เมื่อลูกได้ทำความเข้าใจถึงแสงสว่างแห่งชีวิต ในแต่ละขั้นแต่ละตอน
ลูกก็จงน้อมไปเผยแผ่ให้ทุกคนได้พบได้เห็นแสงสว่างแห่งชีวิต ด้วยการทำดี
อยู่เหนือการทำดี และละกิเลส
หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ไปจนได้
... จนถึงที่ที่สว่างไสว อย่างแท้จริง **
พระยาธรรมเอย.. การที่ดวงจิตทั้งหลาย จมและเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้
-- ก็เปรียบเสมือนการที่จะต้องมีกลางวัน และกลางคืน หมุนวนกันไป ..
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
สว่างบ้าง มืดบ้าง
เพราะสิ่งเหล่านั้น เป็นของไม่เที่ยงแท้ เป็นของต้องหมุนวนเปลี่ยนไป เป็นธรรมดา **
จิตเหล่านั้น จึงสุขบ้าง - ทุกข์บ้าง / สว่างบ้าง - มืดบ้าง ตามสิ่งสมมุติทั้งหลาย
แต่บุคคลผู้ที่ฝึกฝนจิต จนอยู่เหนือวัฏสงสารนั้น.. เขาจะไม่มีความมืดมิดอีกต่อไป
แสงสว่างอันสว่างไสว ย่อมจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา อย่างมั่นคงถาวร
ไม่เจอความมืดมิดอีกต่อไป
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย..
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา
วันนี้ ลูกต้องขอลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ