อันว่านิพพานแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน ขอให้โยมพิจารณาตามในสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเราสำรวมความสงบด้วยกาย วาจา ใจตั้งมั่นดีแล้ว..ก็กำหนดสมาธิ กำหนดรู้ลมหายใจอานาปานสติเข้า-ออก จนรู้ว่าลมนั้นสงบแล้ว สงบที่ใดในกายก็วางลมนั้น ณ ที่แห่งนั้น
เมื่อเราวางแล้วเห็นว่าสงบดีแล้ว สิ่งอื่นใดทั้งหลาย..ไม่ว่าจะเป็นเสียงอันใดก็ขอให้รู้ได้ยินแล้วก็วางเฉย นั่นก็เรียกว่าเราต้องดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ คือไม่สนใจ คือวางอุเบกขาให้มันเกิดขึ้น นั้นก็เรียกว่าอันดับแรกเราต้องวิตกในอารมณ์ก่อน คือวิตกอารมณ์ก็คือลมหายใจของเรานี้แล เมื่อเราวิตกแล้วกำหนดลมเข้าออก ล้างลมเสียออกจากปอดแล้ว..
เมื่อลมมันสงบนิ่งในขณะนี้ ก็เอาความสงบนิ่งของลมนั่นแลดูอยู่ที่กาย การดูอยู่ที่กายดูอย่างไร ดูที่กาย..คือดูความรู้สึกของกายของใจเรานี้ เมื่อมันสงบแล้วให้เราวางเฉยในความสงบนั้น ให้นิ่งสงบ จิตนั้นไม่ส่งออกไปภายนอก หยุดความคิดปรุงแต่งในอดีต หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าคืออนาคต รู้เฉพาะในปัจจุบันของจิต กำหนดจิตอยู่ในกาย
เมื่อรู้กายแล้ว ก็รู้ว่าเราอาศัยกายอยู่ แต่ว่าการจะไปนิพพาน การดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ล้วนแล้วทำให้เกิดเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย ดังนั้นลองพิจารณาดูง่ายๆ ตั้งแต่เราเกิดมาถึงปัจจุบันนี้มีอะไรเป็นเรื่องเป็นสุข เป็นเรื่องเป็นราวมีแก่นสารหรือไม่ ความทุกข์อะไรที่บีบคั้นเรา ความน่าละอายสิ่งใดที่ทำให้เรานั้นขาดจากความเป็นมนุษย์ ขาดจากศีลจากธรรม
ให้ระลึกรู้ว่าสิ่งที่เราทำมาอะไรนั้นมันมีแก่นสารหรือไม่ พิจารณาดูซิว่าเราเสวยสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เราผ่านมาพิจารณาแล้วไม่มีสาระแก่นสารอันใดเลย อย่างนี้แล้วเราก็จะละออกจากกาย..
การละออกจากกายก็คือการดับรูป การดับรูปคืออะไร ก็เรียกว่าเมื่อจิตเราเพ่งรู้อยู่ในกายในความสงบ ก็เห็นความสงบนั้นอารมณ์นั้นเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ก็กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์นั้น ให้เท่าทันในอารมณ์นั้นแล้ววางเฉย เรียกว่าวางเฉยอยู่ในกาย เรียกว่าไม่ต้องสนใจกาย..แต่รู้อยู่ในกาย
เมื่อรู้อยู่ในกายแล้วก็ทำความรู้นั้นให้แจ้งด้วยปัญญา เอาปัญญานั้นไปพิจารณาอะไร พิจารณาความเสื่อมของสังขาร ความตายที่จะเกิดขึ้น ความไม่แน่นอน สิ่งทั้งหลายนั้นเป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตาคือความว่าง เมื่อจิตที่ว่างจากความคิดนี้แลเค้าเรียกว่านิพพานชั่วขณะ
แต่ว่าจิตที่เราจะว่างจากความคิดมันเป็นอย่างไร มันต้องว่างจากอารมณ์ที่เราไปยึดมั่นถือมั่นของกาย ของสังขาร การจะถอนอุปาทานจากขันธ์นี้เราต้องเพ่งโทษในกายเสียก่อน เห็นว่ากายนี้เป็นที่รังของโรค อัตภาพนี้มันมีสุขน้อยมีทุกข์มาก ไม่ช้าไม่นานกายสังขารนี้ก็ต้องแตกสลายไป เพราะว่ามันประกอบขึ้นมาด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ จิตวิญญาณธาตุ
เมื่อมันมีแต่ธาตุ มันมีแต่เกิดขึ้นมาปรุงแต่ง อย่างนี้..เมื่อถึงฆาตถึงเวลากายสังขารจะต้องแตกดับออกไปแยกออกจากกัน ก็หามีประโยชน์อันใดไม่ เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็แสดงว่ากายสังขารนี้มันไม่ใช่ของเรา สิ่งไหนที่เราบังคับบัญชามันไม่ได้..สิ่งนั้นไม่ควรยึด เพราะเมื่อยึดแล้วมันก็จะเป็นทุกข์
เมื่อกายสังขารมันไม่ใช่ของเรา แต่ทำไมเรียกว่าเป็นเรา ที่ว่าเรียกเป็นเรา เป็นกู เป็นมึง เพราะเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ตอนนี้เราไม่อยากเป็นมัน เราไม่อยากเป็นเรา แต่เราต้องอยากรู้เรา..ว่าสิ่งที่เราอาศัยอยู่นี้แท้ที่จริงแล้วมันคืออะไร เมื่อเราเห็นตามความเป็นจริงได้ว่ากายสังขารนี้เป็นเพียงกายชั่วคราวที่เราได้มาอาศัยจุติ ได้สร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมี
ดังนั้นเราจะเอากายสังขารนี้ได้ใช้ประโยชน์เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่ากายสังขารนี้มันมีแต่ทุกข์ มีความตายรออยู่เบื้องหน้า ก็ให้เพ่งโทษในกายจนถึงที่สุด ของที่สุดของอารมณ์เป็นอย่างไร..อารมณ์เหล่าใดที่เราเจริญแล้วระลึกแล้วนั้นทำให้เราเกิดการสละ เกิดการปลงสังเวชเสียได้อย่างนี้ ด้วยการถอดถอนจากอุปาทานแห่งขันธ์ของจิตที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ได้ นั่นแล..ไม่นานนิโรธมันก็บังเกิด
นิโรธก็คือการเห็นอารมณ์เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เห็นสภาวะความไม่เที่ยงของอารมณ์ของจิต อย่างนี้แล้วก็เรียกว่านิโรธมันก็บังเกิด ผลจากเห็นอย่างนี้ของจิตที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป เห็นสภาวะความไม่เที่ยงอยู่บ่อยๆ ก็เรียกว่ามรรคมันก็บังเกิด เมื่อมันเป็นอย่างนี้แม้จิตเราเองก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น..
ก็เมื่อเหลือแต่จิตแล้วตอนนี้ ถ้าหากว่ากายมันดับไปเมื่อพิจารณาไปแล้ว ก็เอาอารมณ์ของจิตนั้นแล ที่มันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปนั้นแลมาพิจารณา จนว่าอารมณ์ทั้งหลายนั้นมันดับไปไม่เหลือ ไม่นานสมาธิมันก็บังเกิด เมื่อสมาธิบังเกิด ฌานมันก็บังเกิด วิปัสสนาญาณมันก็บังเกิด เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นก็เพราะว่าอวิชชาแห่งความไม่รู้
เมื่อเราไปพิจารณากำหนดรู้ในกายเสียได้ว่า กายนี้ที่แท้จริงแล้วมันเป็นของชั่วคราว อัตภาพนี้มันมีแต่ทุกข์ที่ว่าอาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นโทษภัยในกายสังขารนี้ว่าไม่ช้าไม่นานกายสังขารนี้ก็ต้องดับสลายไป เหมือนกับทุกๆคน ไม่ว่าจะเกิดมามากน้องเพียงใดก็ต้องตายหมดเท่านั้น อย่างนี้แล้วชื่อว่าความเป็นจริงได้เกิดขึ้น ได้ประจักษ์ขึ้นกับในจิต
เมื่อเห็นอย่างนี้ได้ เราก็จะวางกายนี้คือไม่สนกาย ไม่ยึดกาย แต่จะอาศัยกายนี้ประคองจิต จนว่าจิตนั้นมันรู้แจ้งแล้ว จิตมันสงบแล้ว ก็จะวางธาตุขันธ์นี้ไว้ตามฐานะของมันอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเรากำหนดอยู่ในกาย นี้แล..จิตคือความรู้สึกไปกำหนดอยู่ในกาย จิตนั้นกับกายได้แยกกันอยู่แล้ว เพราะว่าจิตนั้นได้กำหนดรู้ว่านี่คือกาย..แต่ไม่ได้ยึดกาย
แม้อารมณ์จะเกิดขึ้นในนเวทนาของกาย ก็สักแต่ว่าเป็นเวทนาเป็นความรู้สึก เราก็วาง..นี้แลเค้าเรียกว่าอุเบกขามันก็บังเกิด เมื่อจิตมันถอนอุปาทานแห่งขันธ์ก็เรียกว่ายกจิตขึ้นมา เมื่อจิตมันมีกำลังก็ยกจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผาก ในขณะนี้ถ้าเมื่อเรายกขึ้นมาได้ ก็จะเห็นว่าร่างกายก็ดี ความรู้สึกก็ดีมีความเสียววาบเสียวซ่านไปทั่วทั้งส่วนสรรพางค์กายนี้แล
ก็ให้เราประคองจิตวางจิต คือวางเฉยของจิตนี้ เพ่งรู้อยู่แต่ที่กลางหน้าผาก ทำความรู้สึกให้มันสงบนิ่ง ประคองจิตไว้ ถ้าเมื่อประคองแล้วมันยังไม่นิ่งก็ให้กลับมากำหนดลมเข้าไปใหม่ แล้วก็วางจิตที่มันสงบนี้อยู่ในกาย เมื่อสงบจิตมันตั้งมั่น..ก็ยกขึ้นไปใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ เรียกว่ามีวิตกอยู่ในกาย วิตกในอารมณ์ วิจารละอารมณ์ดับแล้ว เมื่ออารมณ์มันสงบก็ยกขึ้นไปใหม่ ทำอยู่อย่างนี้
เมื่อผู้ใดเรายกขึ้นไปได้ สำรวมจิตไว้ที่กลางหน้าผากได้ ขอให้ประคองจิตอยู่อย่างนี้ให้นิ่ง เพราะโดยธรรมชาติของจิต ของทวารของจิต..ตัวปัญญาตัวญาณมันจะเกิดตัวรู้ทางนี้ ถ้าจิตที่ตั้งมั่นสงบนิ่งมากมันจะระงับทุกอย่าง แม้ความหนาวเหน็บความหนาวเย็นสิ่งใด เสียงอันใดก็ตาม จิตมันจะมีความละเอียดมากขึ้น..มากขึ้น..มากขึ้น
เมื่อจิตมีความละเอียดมากขึ้นมากขึ้น แม้เสียงอันใดก็ตามที่เราได้ยินมันก็จะเบาบางลง จนเสียงนั้นดับไป นิ่งไป สงบไป ทีนี้แล้วจิตมันก็จะมีแต่ความสงบ อาศัยสมาธินี้แล อาศัยฌานที่เราจดจ่อเพ่งรู้อยู่เป็นอารมณ์เป็นเอกัคคตา จิตและลมหายใจเป็นหนึ่งแล้ว..ก็เรียกว่าจิตมันสงบระงับ
คำว่าระงับก็คือนิโรธมันบังเกิด เห็นอารมณ์เหล่าใดเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปมันก็วาง เห็นจิตอะไรที่มันเข้าไปกระทบผัสสะ..ก็รู้แล้วก็วางอยู่อย่างนี้ รู้แล้ววาง เห็นแล้ววาง ผัสสะมากระทบก็วาง..นี้แลเรียกว่าจิตไม่เข้าไปยึดไม่ไปปรุงแต่ง จิตที่ไม่เข้าไปยึดไม่ไปปรุงแต่งนี้แล เค้าเรียกว่าว่างจากความคิด ว่างจากอุปาทานแห่งขันธ์ ว่างจากชรา ว่างจากมรณาอย่างนี้..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต