พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ฝั่งที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง............พบความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้
.
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า...
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ฝั่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง............เข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน
การเจริญสติปัฏฐาน4
คือการพัฒนาสติ ปลุกสภาวะรู้ขึ้นมา
ซึ่งเป็นทางสายเดียวที่จะพาพวกเราทุกคน
ก้าวพ้นจากฝั่งวัฏสงสาร
ปฏิบัติระยะยาว
อันนี้ก็เริ่มที่ 'รู้สักแต่รู้' หนะแหละ ผู้มีบารมีมาก แจ่มแจ้งนิพพานทันที ผู้มีบารมียังไม่มากพอ ก็ต้องฝึกจิตในสติ รู้สักแต่รู้ ได้ยินสักแต่ได้ยิน ฯลฯ จนกว่าจะเกิดเป็น โลกุตตรสติธรรม ให้ผลทันที สิ้น อยาก สิ้น ยึด สิ้น กรรม ภพหลง โลกหลง ตนหลง (ในขันธ์ห้า)
แค่นี้ก็พอ "รู้" เป็นวิญญาณธรรมดา "รู้สักแต่รู้" เป็นวิญญาณสติ ทรงไว้ซึ่งพุทธธรรมเหนือโลก วิญญาณสติ เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็น จิตสติ ปรากฏขึ้น (เป็น โลกุตตรจิต ถึงโลกุตตรธรรม คือ พุทธสติ) เป็นจิตสมบูรณ์ ไม่มีบกพร่อง ไม่เดือดร้อนขาดเหลือ(perfect)
ย่อมเข้าถึง ธรรมสมบูรณ์ สัจธรรม อมต นิพพาน) เป็นจิตธาตุ (จิตเดิมแท้) ไม่ใช่สังขาร โลกภพตนหลง เป็นจิตวิสังขาร (ถึง วิสังขารสัจธรรม อมต นิพพาน) หยั่งหลงสู่ วิสังขารธรรม (วิสังขารคตังจิตตัง)
จิตตถาคต (บริสุทธิ์) หยั่งหลงสู่วิสังขารธรรม (ไม่มีหลงเสียแล้ว) ในตอนนี้ ถ้า วิราคะจิต ขั้นโลกุตตรจิตเกิดถึง โลกุตตรธรรม คือ วิราคะธรรม (พระนิพพาน) ได้ ถ้าเป็นจิตคลายกำหนัดในกาม เกิดขึ้น สังโยชน์ เครื่องผูกจิตละได้ยาก ก็ขาดไปเด็ดขาด (ไม่ใช่ชั่วคราว เช่น เข้าฌานสมาธิ)
ทั้งสังโยชน์ที่มาด้วยกัน คือ โทสะ ปฏิฆะ ขัดเคืองใจ พยาบาท ก็ถูกตัดขาดจากจิตพร้อมกันเด็ดขาด รวมทั้งวิหิงสา ความคิดเบียดเบียนสัตวโลก กามภพดับไปจากจิต ถ้าจิตวิราคะในรูปฌานอรูปฌาน เกิดต่อไป สังโยชน์เบื้องสูง คือ รูปราคะ อรูปราคะ ก็ถูกต้องออกไปเด็ดขาด
พร้อมสังโยชน์ที่เหลือ มีมานะ เป็นต้น เป็นอัน ภพสาม กาม, รูป, อรูดับ หรือ ลูกตุ้มนาฬิกา (pendulum) ที่แกว่งไปสุดทางหนึ่ง (คือ กาม) แล้วก็แกว่งกลับไปจนสุดอีกทางหนึ่ง คือ สมาธิ แกว่งไปมาไม่รู้จักสิ้นสุด (หรือโคจรของจิตอวิชชา) เป็นอันหยุดนิ่ง
ตอนนี้สิ้นวัฏฏสงสาร ตัวทุกข์แท้ หรือ อุปาทานขันธ์ห้า อริยสัจทุกข์ ไม่ใช่แบบความคิดปุถุชน เสียโน่น เสียนี่ แต่เป็นทุกข์เพราะโง่ เพราะหลงตน ego concept สักกายทิฏฐิ ยึดขันธ์ห้าเป็นต้น
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
เริ่มจากจิตของผู้ที่ยังไม่รับการฝึกสติ
ก็จะไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
เกิดความชอบ ความชัง ความทุกข์
ความกังวลความเร่าร้อน ทุกข์กาย ทุกข์ใจต่างๆ
เกิดตัวตน เกิดภพ เกิดชาติ ในทุกๆขณะจิต
แต่เมื่อมารู้จักการเจริญสติ รู้สึกกาย รู้สึกใจ
ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อสภาวะรู้ เริ่มตื่นขึ้น
ในขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น
กระแสของจิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
ก็จะถูกตัดลงไป ถูกละลงไป
อุปาทาน ความยึดมั่น
ตัณหา ความยึดติด
ก็จะถูกละออกไป ณ ขณะนั้นๆ ที่สภาวะรู้ ตื่นขึ้นมา
.
ใหม่ๆ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา เดี๋ยวจิตมันก็ไหล
ไปกับอารมณ์ต่างๆ
นึกคิดปรุงแต่ง เพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ต่างๆ
เมื่อผู้ปฏิบัติหมั่นเจริญสติระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น ตื่นได้บ่อยขึ้น
ต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ
.
ณ ขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น จิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
ก็จะถูกละลงไป ธรรมชาติของจิตในชั้นของ
กามาวาจร ก็จะเกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดทางตา เกิดการเห็น
เกิดทางหู เกิดการได้ยิน
เกิดทางจมูก เกิดการได้กลิ่น
เกิดทั้งลิ้น เกิดการลิ้มรส
เกิดทางกาย เกิดสัมผัสทางกายขึ้นมา
เกิดผัสสะ เกิดเวทนา
เกิดความชอบ ความชัง ความติดใจ ความไม่พอใจ
.
ในขณะที่มีสติ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา
กระแสของจิตเมื่อเกิดตามอายตนะต่างๆ
ก็จะถูกละลงไป
ไม่เกิดความชอบ ไม่เกิดความชัง
เหลือแค่รู้ แค่รู้สึก ณ ขณะนั้นๆขึ้นมา
เมื่อผู้ปฏิบัติเพียรเจริญสติ ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น มีกำลังขึ้น
เมื่อสภาวะรู้มีความตั้งมั่น
มีกำลังพอ จิตก็จะถูกละออกไป ไม่ส่งออกไปในอารมณ์ต่างๆ
เกิดที่อายตนะใจอย่างเดียว
ก็จะเข้าสู่สภาวะของชั้นสมาธิรูปาวาจร
สติมั่นคง จิตตั้งมั่น
.
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกละลงไป
เหลือแค่เกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
.
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
ก็จะเกิดสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกทวนกระแส
ออกมาเรื่อยๆ
จากปกติที่จิตไหลไปกับอารมณ์
เกิดตัณหาอุปาทาน ตัณหาอุปาทานก็ถูกละออกไป
จากจิตที่เกิดตามอายตนะ
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
อายตนะทั้ง 5 ก็ถูกละลงไป เกิดที่ใจอย่างเดียว
ในสภาวะของสัมมาสมาธิ ชั้นรูปาวจร
เมื่อผู้ปฏิบัติพัฒนากำลังสติไปเรื่อยๆ
สภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
จิตซึ่งเกิดจากอวิชชา ซึ่งบดบังสภาวะรู้อยู่
ก็จะเริ่มเกิดการหลุดออก แยกออกจากกัน
.
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังพอ เมื่อจิตกับสภาวะรู้
ถูกแยกออกจากกัน
สิ่งที่บดบังสภาวะรู้อยู่ถูกละออกไป
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
รูปนามขันธ์ 5 ก็จะเกิดการแตกดับตามความเป็นจริง
เห็นจิตเกิดดับตามความเป็นจริง
เข้าสู่วิปัสสนาญาณเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
เมื่อเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เนืองเนือง
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
จากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่
ก็จะคืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ
เมื่อสภาวะรู้มีความละเอียดถึงขีดสุด
ย่อมเห็นปฐมเหตุ
ที่ทำให้อวิชชาเกิดขึ้น เป็นอนุภาคอิสระเคลื่อนที่
ท่ามกลางความว่างแห่งสภาวะร
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง สลัดคืนจากทุกสิ่ง
คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
เป็นผู้มีปกติเห็นทั้งสองฝั่ง
ฝั่งวัฏสงสาร
ธรรมชาติที่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ฝั่งพระนิพพาน
ธรรมชาติที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง
ภายในนิ่งว่างสงบ สภาวธรรมเกิดดับอยู่ภายนอก
เมื่ออยู่กับสภาวะรู้ ก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ
ภายนอกจะวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม
ภายใน นิ่ง ว่าง สงบอยู่ ไร้อัตตาตัวตน