พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 21 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 237 **ระลึกรู้เท่าทันในสิ่งที่ทำ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงผู้ปัญญาธรรมในแบบต่อไป น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมตัวอย่าง ของผู้มีปัญญาธรรมให้ลูกได้ฟัง และศึกษาเป็นแบบอย่าง เป็นแนวคิดในการปฏิบัติ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟัง พิจารณาตาม..
ลูกเอ๋ย.. ทำจิตของลูกนั้นให้นิ่งเสียก่อน จะได้มีสมาธิ
มีสติพิจารณาตามได้.. อย่างถูกต้อง
พระยาธรรมเอย.. ปล่อยจิตปล่อยใจให้ว่างๆ
คลายอารมณ์ความคิด ความกังวล ปล่อยวางทุกอย่าง
อย่าเป็นห่วง อย่ากังวลสิ่งใดๆเลย..
หายใจเข้า ลึกๆ.. ผ่อนคลายจิตใจของลูกนั้น ให้พร้อมที่จะฟังธรรม
การที่จะฟังธรรมเข้าใจนั้น.. เราต้องเอาจิตของเราใจของเรา เข้าไปสัมผัส เข้าไปพิจารณา ตามเสียงธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ไปตามสิ่งที่ได้กล่าวได้พูดมาในธรรม
…เราจึงจะสามารถ เข้าไปสัมผัสกับธรรมเรื่องนั้นๆได้อย่างละเอียดอ่อน
เพราะธรรมะ.. เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก *
ถ้าจิตใจของตนยังไม่ว่าง ยังมีแต่ความเร้า มีแต่ความว้าวุ่น
มีแต่ความกังวล มีความยึดถือในตัวในตน ว่าตนดีแล้ว รู้แล้ว เข้าใจแล้ว..
.. จะไม่สามารถ ที่จะเข้าใจ เข้าถึงธรรมที่ละเอียดได้เลย ++
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น ลูกควรที่จะฝึกฝนจิตของลูกนั้น ให้นิ่งเสียก่อน ก่อนที่จะฟังธรรม
แล้วก็น้อมจิตน้อมใจตามธรรมนั้น
ธรรมะ 1 หัวข้อ หรือ หนึ่งข้อคิดที่แสดงไป มันอาจจะซ่อนด้วยธรรมะอีกเป็นร้อย เป็นพัน ที่อยู่ในหัวข้อเดียวนั้น..
.. เพราะมันสามารถที่นำพาให้ปัญญาแห่งธรรม แตกฉาน เจาะลึกเข้าไป ออกดอกออกผล แตกกิ่ง ก้าน ใบ.. ออกไปเป็นร้อยเป็นพันตอน
ตัวของบุคคลผู้ตั้งใจฟังและพิจารณาดีแล้วนั่นละ จะสามารถมองเห็นธรรมที่มันแตกกิ่งก้านใบ ขยายออกไป อยู่ในตัวของบุคคลผู้นั้นเอง ++
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่เขามีปัญญาธรรม เขาก็จะทำอย่างที่ได้กล่าวมานี้ละ
คือเขาจะตั้งใจทำ มีสติระลึกรู้อยู่ในสิ่งที่เขาทำ
เช่น การรักษาศีล*
เขาจะมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า.. เขากำลังอยู่ในศีลระดับใด เขาได้สมาทานศีลอะไรเอาไว้แล้ว
และเขาก็จะเอาจิตใจ เอาความตั้งใจตั้งมั่นของเขานั้น เข้าไปศึกษาเรียนรู้กับคำว่า *ศีล* อย่างละเอียดอ่อน- ด้วยตัวของเขาเอง
เขาย่อมรู้ดีว่า.. การรักษาศีลในระดับต่างๆนั้น
/ รักษาเพื่ออะไร ?
/ ศีลในแต่ละข้อที่ต้องรักษา.. มันเกิดประโยชน์อะไร ?
และการรักษาศีล - ต้องรักษาด้วยกาย วาจา และใจ และต้องรักษายังไงให้เป็นการรักษาศีล อย่างถูกต้องตามหลักธรรม คือ การอยู่บนทางสายกลาง
ไม่ตึงเครียดในศีล จนตนรู้สึกว่า แบกโลกทั้งโลกเอาไว้
เอาศีลนั้นมาครอบตนเอาไว้.. จนไม่สามารถเดินต่อได้
เขาย่อมรู้ และเข้าใจดีว่า.. เขาจะรักษาแบบไหน ให้เป็นการรักษาศีลอย่างพอดี อยู่บนทางสายกลาง โดยไม่หย่อนเกินไป..จนทำให้เขานั้น เกิดการบกพร่อง / มีรูรั่วในการรักษาศีล
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญา เขาจะตั้งใจ พิจารณาระลึกตามสิ่งที่เขาจะทำ ในทุกเรื่องทุกอย่าง เช่น การรักษาศีล ที่หยิบยกตัวอย่างมา
เขาจะเอาจิตใจ ความตั้งใจตั้งมั่นของเขานั่นละ - ศึกษาให้ลึกเข้าไป ในเรื่องของการรักษาศีล
อย่างเรื่องฟังธรรม ก็เช่นเดียวกัน !
บุคคลผู้มีปัญญา.. เขาจะตั้งใจฟัง ตั้งใจพิจารณา
เอาจิตเอาใจของเขานั้น เข้าไปสัมผัส กับเสียงธรรม กับธรรมเรื่องนั้น กับธรรมหัวข้อนั้น
- สัมผัสให้ลึก ด้วยจิตด้วยใจ ++
เขาจะ..
ไม่เอาทิฐิ เอาอัตตาตัวตน
ไม่ยึดในตัวในตน
ไม่ยึดในความเป็นผู้มีศีล มากกว่า -น้อยกว่า
ไม่ยึดในความรู้แล้ว
ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น..
เขาจะปล่อยจิตปล่อยใจให้ว่างๆ แล้วก็พิจารณาตามไป อย่างไร้ตัวตน
เขาจะแค่แสวงหา สิ่งที่มันถูกต้อง และซ่อนอยู่ในเสียงธรรม
และแสวงหาสิ่ง ที่มันแตกกิ่งก้านไป - ที่มันซ้อนอยู่ในธรรม
คือ ธรรมที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่ในธรรม
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. คือ “ผู้มีปัญญาธรรม”
และบุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว.. ไม่ว่าเขานั้น จะทำสมาธิ..
เขาก็ย่อมรู้ดีว่า เขาจะต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ก่อน
และตั้งใจมั่นในสิ่งที่จะทำ คือ การฝึกสมาธิ
ไม่ว่าจะเป็นเวลาสั้น หรือนาน ก็ตาม..
-- หากเขาได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว.. เขาย่อมมีสติรู้ตามในสิ่งที่ทำ ++
การฝึกฝนปัญญา ก็เช่นเดียวกัน.. เขาย่อมมีสติ ระลึกตามตัวปัญญาที่เขามี
ฝึกแล้วฝึกอีก.. ให้เขานั้นรู้แจ้ง เข้าใจในสรรพสิ่ง
ฝึกฝนตน.. จนเป็นผู้ที่ไม่มีในสิ่งใดปกปิด ปิดบังตน หลอกลวงตนได้อีกต่อไป
.. จนกว่าจิตของเขานั้น จะสว่างรุ่งเรือง...
พระยาธรรมเอ๋ย.. สรุปในธรรมที่ได้กล่าวมานั้น ก็คือ
การมีปัญญารู้เท่าทัน ในสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่
ไม่เอาเรื่องอื่นเข้ามาเจือปน / เข้ามาทำให้สับสนวุ่นวาย
นั่นคือ “ผู้มีปัญญาธรรม”
และผู้ปัญญาธรรม - เขาก็ทำกันเช่นนี้ อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ลูกเอ๋ย .. เขาฝึกฝนตนเช่นนี้ ไปเรื่อยๆ จนเขานั้น.. มีศีลที่บริสุทธิ์ อยู่บนทางสายกลางอยู่เสมอ - ไม่มีบกพร่อง
จนเขานั้น มีธรรมอยู่ในใจอยู่เสมอ -ไม่มีจางหายไป
ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอิริยาบถ ทุกการกระทำ - เขามีธรรมอยู่ในจิตในใจ อยู่ในตนเสมอ
เขามีสมาธิตั้งมั่นอยู่ในใจอยู่เสมอ.. ไม่ให้สิ่งอื่นใดเข้ามารบกวน
และเขาก็มีปัญญา รู้แจ้งในเหตุที่เกิด - ที่ดับ
สิ่งที่กระทบผ่านหู ผ่านตา กระทบเข้ามา
หรือสิ่งที่มันเกิดอยู่ภายใน / เกิดอยู่ภายนอก.. อยู่เสมอ
เขาจะรู้เท่าทันสิ่งที่ทำ / ในทุกสิ่งที่เขาจะทำ
และเขาก็จะฝึก จนทรงอารมณ์อยู่บนการกระทำทุกสิ่ง
- ที่ครอบด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา -
เขาจะมี 4 ย่างก้าวนี้ - ทรงอารมณ์อยู่ในจิตของเขาอยู่เสมอ
4 อย่างนี้ ที่ทรงอยู่ในอารมณ์ - จะเกื้อหนุน เกื้อกูล
จะค้ำหนุนจิตของเขา - ไม่ให้ปนเปื้อนกับกิเลสตัณหาอีก
- เขาจะสามารถพบกับความพ้นทุกข์ได้ เช่นนี้ อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ตัวอย่าง ของผู้มีปัญญาในตอนนี้ ก็คือ ผู้มีปัญญา..
- รู้เท่าทัน ในสิ่งที่ทำ
- มีสติอยู่กับ สิ่งที่ทำ
- เอาจิตเอาใจของตน เข้าไปสัมผัส เรียนรู้ ในสิ่งที่ทำ อย่างละเอียดอ่อน
- และฝึกฝนตน จนจิตของตนทรงอารมณ์อยู่บน *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
- และสามารถอาศัย 4 อย่างนี้.. เข้าสู่ความหลุดพ้น จนได้ในที่สุด ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. เรียกว่า “เป็นผู้มีปัญญาธรรม”
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พิจารณาตาม
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าเราจะทำสมาธิ - แต่ยังมีเรื่องนั้น เรื่องนี้ วุ่นวายมา
เราจะทำอะไรสักสิ่งหนึ่ง ก็จะมีเรื่องวุ่นวายเข้ามารบกวนเราได้
แปลว่า เรายังมีปัญญาธรรมที่ไม่เข้มแข็ง มีนิดเดียว มีไม่มาก
เราต้องฝึกฝน จนกว่า..ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาเจือปน
การเรียนรู้ในสิ่งนั้นๆ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้แจ้ง เข้าใจ อย่างไม่มีสิ่งใดมาบดบัง
และเราก็อาศัยความรู้แจ้งนั้น ฝึกไปเรื่อยๆ
- เราจึงเป็นผู้มีปัญญาได้.. อย่างนั้นใช่มั้ยเจ้าคะ ?
- - -
พระพุทธองค์ :: ถูกต้องแล้วละ พระยาธรรม.. ปัญญาธรรมนั้นมีหลายระดับ
แต่ผู้ที่ได้กล่าวหยิบยกมาเป็นตัวอย่างนี้ คือ ผู้ที่มีปัญญาธรรม จนสามารถนำพาตน ให้หลุดพ้นได้
และผู้ที่เป็นเช่นนั้นละ จึงเรียกว่า “ผู้มีปัญญาธรรมแล้ว อย่างแท้จริง” ++
ฉะนั้น.. ก็ดีแล้ว ที่รู้นิดรู้หน่อย รู้ตั้งใจทำความดี แล้วก็รู้ฝึกฝน
แต่นั่นคือ.. ความรู้ที่ยังไม่เที่ยงแท้ !
จึงยังไม่ถือว่า เป็นผู้มีปัญญาธรรมอย่างแท้จริง
จึงยังถือว่า เป็นผู้ฝึกฝนปัญญาอยู่ - แต่ยังไม่ใช่ “ผู้มีปัญญาธรรม”
* ผู้มีปัญญาธรรมอย่างแท้จริง - ต้องไม่มีสิ่งใดหลอกได้ ล่อได้ ลวงได้ ..ให้ลุ่มหลงจมอยู่กับสิ่งนั้น อีกต่อไป *
เปรียบเสมือน ผู้มีความฉลาด - ย่อมไม่ถูกใครหลอกเอาได้ง่ายๆ หรือไม่ถูกใครหลอกอีกต่อไปเลย..
ไม่มีกิเลสตัวไหน เรื่องอะไรมาบดบัง หลอกให้จิตดวงนั้นเวียนวน ตกเป็นทาสของเขาอีก
อย่างนั้นละ จึงเรียกว่า “เป็นผู้มีปัญญาธรรม”
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ
... ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ