ความหลุดพ้น..ปล่อยวางแม้กระทั่งสิ่งที่ถูก...
”อย่าปล่อยวาง”...โดย...”ความยึดมั่นถือมั่น”
อย่ายึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ยอม เรื่องที่มันยอม
ถ้ามันไม่ยอม มันตั้งตัวขึ้นมาเป็นก้อน เป็นตัวอุปาทาน
นักบวชนักพรตเราโดยมากก็ชอบเป็นอย่างนั้น
เห็นว่าเราถูกแล้ว ก็เห็นว่าเราไม่ผิด
แต่ ความเป็นจริง ความผิด มันฝังอยู่ในความถูก
แต่เราไม่รู้จักนี่ ทิฐิมานะ
ทิฐิคือความเห็น มานะคือความยึดไว้ถือไว้
ถ้าเรายึดในสิ่งที่ถูก ก็เรียกว่ามันผิด ถือถูกนั่นแหละ
ยึดมั่นถือมั่นในความถูก ไม่เป็นการปล่อยวาง
เมื่อปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว....”วางทันที”...
วางตัวปัญญานั้นอีกทีเข้าสู่ความว่าง
อยู่กับความว่าง (จิตหนึ่ง)
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี'''
จงทำจิตให้“ว่าง”จาก“ความยึดถือ”
“ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา และ ไม่ควรยึดมั่น นี้เป็นหลักที่ตายตัวแล้วในพระพุทธศาสนา (ส่วน)ศีล สมาธิ ปัญญา หรือที่เรียกว่าไตรสิกขานี้ เป็นเพียงยานพาหนะ มีไว้อาศัยเดินทาง ไม่ใช่สำหรับยึดถือหรือหาบหามเอาไว้ด้วยความหวงแหน.
จงทำจิตให้ว่างจากความยึดถืออย่างเดียวเถิด หน้าที่ทั้งปวงก็จะหมดลงทันที ไม่ต้องมีใครเป็น(ตัวตน)ผู้ลุถึงนิพพาน นอกไปจาก..“จิตซึ่งหมดความยึดถือว่าตัวมันเองเป็นตัวตน” อย่างเด็ดขาดแล้ว.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวเป็นหลักไว้ว่า “การลุถึงนิพพานมีได้โดยไม่ต้องมีตัวใคร(ตัวตน)เป็นผู้บรรลุ. การเดินทางไปจนถึงที่สุดทุกข์ก็มีได้แล้ว โดยไม่ต้องมีตัว(ตัวตน)ผู้เดิน” ซึ่งเป็นคำที่ฟังยากๆอยู่สักหน่อย แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีๆก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า มีแต่ “จิต” ซึ่งบัดนี้หมดความสำคัญผิดยึดถือตัวเองว่าเป็น“ตัวตน”นั่นเอง, ที่เคยเป็นตัวประธานยืนโรงอยู่ตลอดเวลา.
เราจงมีความกล้าพอ “ที่จะปรารถนาความมีจิตชนิดนี้” ด้วยการถอนตัวเรา(ความยึดถือว่าเป็นตัวตนเรา)ออกเสีย ให้ยังคงเหลือแต่จิตทำนองนั้นล้วนๆเถิด”
#หมายเหตุ : คำในวงเล็บผู้โพสต์ได้เพิ่มเติมเข้าไปเอง เพื่อให้สามารถเข้าใจข้อความได้ง่ายขึ้น เพราะผู้ที่ไม่ได้อ่านหรือฟังเนื้อหาทั้งหมด อาจทำความเข้าใจในข้อความที่ยกมาบางส่วนนี้ได้ยาก
ที่มา : ปาฐกถาธรรม หัวข้อเรื่อง “ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๑ ณ “พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย”
"ความตาย" จุดรวมของความกลัว
ความตายก่อความกลัวใหญ่หลวงแก่คนธรรมดาสามัญ เป็นจุดรวมของความกลัวทุกชนิด เช่น กลัวสัตว์ร้าย กลัวผี กลัวโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวเท่านั้น คนเราก็แทบจะไม่กลัวอะไรเลย และจะเป็นอยู่ด้วยจิตใจที่แสนจะสงบเย็น
เพราะฉะนั้น การทำให้ความตายกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย จึงย่อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ถ้าใครทำได้ถึงที่สุด ก็จะทำให้ชีวิตนี้มีแต่กำไร ไม่มีทางขาดทุนเลย
ผู้ที่รู้สึกว่า"ความตายไม่มี"นั้น นับว่าเป็นคนมีบุญอย่างสูงสุดแล้ว เราจะทำอย่างไรความตายจึงจะไม่มี หรือมีค่าเท่ากับไม่มีสำหรับเรา
"สุญญตา" ความว่างจาก"ตัวตน"
สิ่งที่สามาถทำจิตให้ไม่กลัวความตายเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่อง สัจจธรรม หรือ "ปรมัตถธรรม" โดยตรง และถึงขั้นที่สุดด้วย ฉะนั้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ "สัมมาทิฏฐิ" ชั้นที่เป็น"โลกุตตรปัญญา" ที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ " สุญญตา "( ความว่าง )ได้อย่างชัดแจ้ง
การเห็นอนัตตาของกายและใจ จะทำให้เห็นความ"ไม่มีตัวตนที่ถาวร" มีแต่"นามธรรม"(จิตใจ) อันเป็นธรรมชาติคู่กับ"รูปธรรม"(ร่างกาย) ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงเหมือนกัน
ชีวิตจึงเป็นเพียงกระแสของธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไหลเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย.
การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของ"ว่างจากตัวตน"โดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็นความ"ไม่มีการเกิด"ของอะไรๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี
การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเรา หรือตัวตนของใครเลย มีแต่ " สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป "
จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป
ฉะนั้น "ความตายจึงไม่มี" สำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย"
| ก า ร ฝึ กใ จ |
" หลวงปู่ชา "
○
( ๑๔ )
.... ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน ถ้าจะหนีก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่ ถ้าเราต้องการความสงบก็ให้สงบด้วยความฉลาด ด้วยปัญญาเท่านั้นก็พอ
เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ นั่นก็เป็นสัมมาปฏิปทาแล้ว กิเลสก็สักแต่ว่ากิเลส ใจก็สักแต่ว่าใจ เมื่อใดที่เราทิ้งได้ ปล่อยวางได้แยกได้เมื่อนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่า เป็นเพียงอย่างนี้อย่างนั้นสำหรับเราเท่านั้นเอง เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระตลอดเวลา
พระพุทธองค์ตรัสว่า...
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายท่านอย่ายึดมั่นในธรรม" ธรรมะคืออะไร คือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะความรักความเกลียดก็เป็นธรรมะ ความสุขความทุกข์ก็เป็นธรรมะความชอบความไม่ชอบก็เป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็เป็นธรรมะ....
~~~~~~~~~~
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ถาม: การแยกจิตผู้คิด กับจิตผู้รู้ออกจากกันทำยังไงคะ เวลานั้นยังคงเป็นจิตดวงเดียวกันหรือเปล่าคะ
เรื่อง "จิตคิด" กับ "จิตรู้"ที่จริงถ้าเราแยกนามธรรมได้ชำนาญ เราจะไม่กล่าวถึง "จิตคิด" กับ "จิตรู้"เพราะจิตนั้น มันมีคุณสมบัติหลายอย่าง ตั้งแต่ รู้สึก จำ คิด รับรู้ และเสพอารมณ์หากเราแยกนามได้ชำนาญ เราจะพบว่า คุณสมบัติแต่ละอย่างของจิตนั้นก็คือนามขันธ์ แต่ละตัวนั่นเองคือความรู้สึกสุข ทุกข์ ก็คือเวทนา ไม่ใช่จิตความจำก็คือสัญญา ไม่ใช่จิตความคิดนึกปรุงแต่งก็คือสังขาร ไม่ใช่จิตความรับรู้ก็คือวิญญาณ ไม่ใช่จิตเอาเข้าจริง สิ่งที่เราเรียกว่าจิต ก็ไม่ใช่จิตแต่เพราะเราไม่รู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ขันธ์แต่ละขันธ์เขาทำหน้าที่ของเขา จึงไปยึดเอานามธรรมว่าเป็นจิตเรา แล้วให้มันร่วมมือกันทำงานจนหลอกเราได้ เช่น
-พอรู้ว่ามีความสุข ก็ยึดเอาว่า จิตสุข หรือเราสุข ไม่ได้เห็นว่าความสุข ก็เป็นสิ่งภายนอก เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา
-พอมีความจำได้หมายรู้ ก็ยึดว่าเราจำได้หมายรู้ ไม่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา
-พอมีความคิดนึกปรุงแต่ง ทั้งที่เป็นอกุศล กุศล และเป็นกลางก็ว่าจิตเราดี จิตเราชั่ว จิตเราเป็นกลาง ไม่เห็นว่าความคิดนึกปรุงแต่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา
-พอมีความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ว่าจิตเรารับรู้ ไม่เห็นว่าความรับรู้เป็นสภาพธรรมที่เป็นอิสระ อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาของเรา
จิตนั้นอาศัย "จิตตสังขาร" คือเวทนา สัญญา และสังขาร จึงรู้สึกว่าเป็นจิต ขอเพียงปล่อยวางนามขันธ์เสียให้หมด ไม่เห็นว่าเป็นเราธรรมชาติรับรู้ล้วนๆ ก็จะปรากฏขึ้นและธรรมชาติอันนั้น จะไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่า เป็นตัวเรา หรือจิตเราอย่าไปสำคัญว่า นี่คือจิตรู้ จิตคิด จิตจำ จิตเห็นสิ่งเหล่านั้น เป็นการประกอบกันขึ้นของนามขันธ์เท่านั้นเองครับรักษาสติ สัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใส ต่อเนื่องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง รูป และนาม เขาจะทำหน้าที่ของเขาไปตามเหตุปัจจัย ให้ดูต่อหน้าต่อตาทีเดียว
ถาม: ธรรมชาติรับรู้คืออะไรคะ ไม่ใช่จิตแล้วเป็นอะไร
ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ก็คือจิตนั่นแหละครับ เพียงแต่ เมื่อจิตไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความคิดนึกปรุงแต่ง (สังขารขันธ์)จิตจะไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า มันคือจิต ที่มันคิดว่า อันนี้คือจิต และเป็นเรา ก็เพราะสังขารหรือความคิดนึกปรุงแต่งนั่นเองท่านจึงสอนว่า "สังขารทั้งหลาย สงบเสียได้ เป็นสุข"คือจิตที่พ้นจากความปรุงแต่งนั้น มันเป็นสุข เป็นอิสระโดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์ภายนอกเลย
ถาม: การรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง หมายถึง เรารู้สิ่งที่กำลังเกิดตอนนั้นว่า เกิดจากเหตุปัจจัยอะไร แล้วไม่เข้าไปยึดมั่นหมายมั่น ใช่รึเปล่า
เราเพียงรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจรู้อย่างเดียวก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องไปใช้ความคิดว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้เกิดจากอะไรเพราะขณะที่หลงคิดนั้น เราไม่ได้รับรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นแล้ว แต่หลงไปในโลกของความคิดเสียแล้ว ก่อนที่เราจะรู้สภาพธรรม หรืออารมณ์ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้นั้น จิตจะต้องมีสัมมาสมาธิเสียก่อนคือ จิตจะต้องตั้งมั่นไม่วอกแวก รู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏด้วยความเป็นกลาง และไม่มีความยินดียินร้ายต่ออารมณ์นั้น จิตจึงจะเห็นสภาพที่แท้จริงของอารมณ์หรือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงได้แต่ ถ้าระหว่างที่รู้อารมณ์อยู่นั้น จิตเกิดความยินดียินร้ายขึ้นแล้วเกิดแรงผลักดันให้เข้าไปยึดถือ หรือให้มีพฤติกรรมต่างๆ ก็ให้รู้ทันจิตใจตนเองที่กำลังถูกผลักดันด้วยกระแสตัณหา ไม่ใช่ไปกดข่มไม่ให้จิตยินดียินร้ายนะครับ
ถาม: เคยฝึกให้สมองตัวเองว่างโดยการคิดว่า ตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ฉะนั้น พอลองมองดูจิต ผมก็เลยไปมองดูว่า ตอนนี้คิดอะไรอยู่ ไม่ทราบถูกหรือเปล่าแล้วก็กลายเป็นว่า หาอะไรไม่เจอครับ ทั้งความคิด ทั้งอารมณ์ ขณะนั้นไม่ทราบว่า ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไรครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งผมจะรู้ได้ยังไงว่า ตัวรู้ผมอยู่ตรงไหนครับแล้วตัวรู้มันออกอาการยังไงบ้างครับ ผมแยกไม่ออกครับ ระหว่างความคิด กับตัวรู้ครับ
เรื่องตัวรู้นั้น มันไม่มีตัว มีตน หรือมีจุด มีดวง อะไรหรอกครับเอาเข้าจริงในการปฏิบัตินั้น ก็มีแต่เรื่อง จิต กับ อารมณ์"จิต" เป็นผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึกส่วน "อารมณ์" เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ (สิ่งที่รู้ได้ทางใจ) เวลาที่คุณเกิด "ความสงสัย"ถ้ามีสติระลึกรู้เข้าไปที่ความรู้สึกสงสัยนั้น (ไม่ใช่รู้ "เรื่อง" ที่สงสัย นะครับ แต่รู้ที่ "ความรู้สึก" สงสัย) จะเห็นชัดว่า ความสงสัยเป็นสิ่งที่ถูกรู้ในร่างกายและจิตใจเรานั้น มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นผู้ไปรู้ความสงสัยนั้นเข้า อันนี้แหละครับที่สมมุติเรียกไปก่อนว่าผู้รู้เอาเข้าจริง ผู้รู้ ก็คือจิตที่ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ อุเบกขา เอกัคตาหรือจิตที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธินั่นเอง คือเป็นจิตที่เป็นผู้รู้ ที่มีความเป็นกลางและตั้งมั่น ไม่หลง"ไหล" ไปตามอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า (ผมจงใจใช้คำว่า หลง"ไหล" ไม่ได้ใช้คำว่า หลงใหล) ในขั้นแรก อย่าพยายามไปค้นหาจิตผู้รู้ เพราะหาอย่างไรก็หาไม่พบ เนื่องจากจิตกำลังหลงอยู่กับอาการเที่ยวค้นหาผู้รู้ แต่ให้พยายามรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏไปก่อนเช่น สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย เห็นชัดว่าความสงสัยไม่เที่ยง คือมีระดับความรุนแรงของความสงสัย ที่ไม่คงที่เดี๋ยวก็สงสัยมาก เดี๋ยวก็สงสัยน้อย เดี๋ยวก็ดับหายไปจิตก็จะว่างๆ อยู่ ต่อมาความคิดเกิดขึ้นอันนี้อย่าไปเพ่งใส่ความคิดนะครับ มันจะดับไปเฉยๆ ควรปล่อยให้จิตมันคิดของมันไปเมื่อจิตทำงานอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็จะเห็นกิเลสตัณหาต่างๆ เกิดขึ้นอีกหรืออาจเกิดเวทนา เช่น รู้สึกเป็นสุขสบาย หรืออึดอัดขัดข้องใจก็ให้รู้สภาวธรรมทั้งปวงที่ปรากฏขึ้นนั้น ในลักษณะเดียวกับที่รู้ความสงสัยนั่นเองคือให้รู้มัน ในฐานะที่มันถูกรู้ แล้วมีผู้รู้เป็นคนดูอยู่ต่างหากหัดทำอย่างนี้ไม่นาน ก็จะเข้าใจได้ว่า อะไรคือจิต (ผู้รู้) อะไรคืออารมณ์ (ที่ถูกรู้) และเห็นสิ่งที่ถูกรู้ แสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลารวมทั้งเห็นด้วยว่า เมื่อใดจิตเกิดความยินดียินร้ายต่ออารมณ์จิตเข้าไปยึดอารมณ์ จิตจะเกิดทุกข์พอรู้ทันอย่างนั้น จิตจะกลับมาตั้งมั่น เป็นกลาง และรู้อารมณ์ต่อไปอีกจิตเพียง "รู้สักว่ารู้" จะเห็นอารมณ์เกิดดับไปเรื่อยๆ โดยจิตเป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซงอารมณ์ก็ให้เพียรปฏิบัติไปมากๆ ครับ
ถาม: ในพาหิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่ได้กล่าวถึง การบรรลุอรหัตตผลของท่านพาหิยะ เมื่อได้อ่านครั้งแรกผมก็มีความรู้สึกว่า "เป็นไปได้" แต่ผมไม่รู้ว่า "เป็นไปได้อย่างไร"เพียงคำว่า "สักแต่ว่าๆ " ไม่น่าจะทำให้คนๆ หนึ่ง สามารถบรรลุอรหัตตผลได้เลย ไม่มีเหตุผลกลใดเลย ที่จะทำให้เราคิดออกว่า จะเป็นไปได้ด้วยเหตุผลกลใดผมไม่สงสัยในความเป็นไปได้ แต่ผมสงสัยว่า "เป็นไปได้อย่างไร"
ถ้าสติปัญญาทำงานทันผัสสะจริงๆจึงจะ "สักแต่ว่า" ได้ครับคือ จิตไม่ปรุงแต่งต่อไป รู้แล้ววางอยู่แค่นั้นเลย หรือแม้ว่า จิตจะปรุงแต่งต่อไปอีกถ้าจิตไม่หลงยึดถือไปตามความปรุงแต่งนั้น อันนี้ก็ยังถือว่า "สักแต่ว่า" ได้เหมือนกัน เมื่อวานซืน ยืมลูกคุณหมอท่านหนึ่งมาเป็นอุปกรณ์ทางการศึกษาคือชี้ให้ดูว่า สิ่งที่เห็นเป็นเด็กนั้น ที่จริงคือสีที่ตัดกันเท่านั้นแล้วตาก็ไม่รู้หรอกว่า นี่สีอะไร รวมกันแล้วเป็นรูปอะไรอาศัยสัญญา จึงรู้ว่า นี้เป็นรูปที่บัญญัติเรียกว่าอะไรเมื่อจิตรู้ว่า นี้คือลูกแล้วสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งก็ทำงานต่อ มีความรักเกิดขึ้นปกติจิตของเราทำงานเร็วมากในทางทฤษฎี ถ้าตาเห็นสีแล้วหยุดอยู่เพียงนั้น ก็เรียกว่า สักแต่ว่าเห็นแต่ในความเป็นจริง ช่วงต่อระหว่างที่ตาเห็นสี กับสัญญาแปลความหมายนั้นสั้นมากพอเห็นปุ๊บ ก็สรุปว่านี้คือ ลูกเรา เสียแล้วแล้วสังขารก็ทำงานต่ออย่างรวดเร็วปรุงเป็นความรักใคร่หวงแหนห่วงใยขึ้นมาแล้ว
นักปฏิบัติที่ยึดตำรามากเกินไป ที่บอกว่าทำสติรู้ สี อย่างเดียวนั้นเอาเข้าจริงจึงเป็นการหลอกตัวเอง เพราะพอเกิดผัสสะทางตาแล้ว วับเดียวก็เกิดผัสสะทางใจตามมาแล้วถ้าเมื่ออารมณ์ทางใจเกิดขึ้น แล้วทำเป็นไม่รับรู้เพราะ "อยาก" รู้สีอย่างเดียว เพื่อให้เป็นปัจจุบันและต่อเนื่อง มันจึงไม่ใช่ปัจจุบัน เพราะ ปัจจุบันมันย้ายไปเป็นอารมณ์ทางใจเสียแล้ว เมื่ออารมณ์ทางใจปรากฏเด่นชัด ก็ควรรู้มัน ไม่ใช่ปฏิเสธมัน เพราะจะเอาแต่รู้อารมณ์ทางตาอย่างเดียว แต่การรู้อารมณ์ทางใจนั้น ก็ให้ "สักแต่ว่ารู้"คือรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่หลงปล่อยให้เกิดตัณหาผลักดันจิต ให้ทะยานเข้าไปยึดอารมณ์แบบไม่รู้ทัน รวมความแล้ว สักแต่ว่า ก็ต้องอาศัย สติ รู้อารมณ์ตามที่มันเป็นตามที่คุณถามไว้นั่นเอง แม้ตอนแรกจะรู้อารมณ์ทางตา ขณะต่อมารู้อารมณ์ทางใจก็สามารถ สักแต่ว่ารู้ ได้ทั้งนั้น ทั้งที่ตาและที่ใจหากไม่สักแต่ว่ารู้ อะไรจะเกิดขึ้น?สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือปฏิจจสมุปบาทจาก ผัสสะ เวทนาตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ จนถึงทุกข์ นั่นเองหากสักแต่ว่ารู้ แม้มันจะก้าวกระโดดจากการรู้สีด้วยตา ไปรู้ธรรมารมณ์ทางใจก็ตาม จิตที่ไม่หลงยินดีไปกับธรรมารมณ์ ก็จะไม่ปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์ขึ้นมา คำว่า "สักแต่ว่า" จึงเป็นสิ่งที่จะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาทให้ขาดตอนลงไม่เกิดตัณหา อุปาทาน ขึ้นหรือแม้เกิดตัณหา ก็ไม่ หลง "ไหล" ตามตัณหาไปจนเป็นอุปาทานท่านพระพาหิยะ ฟังธรรมแค่ สักแต่ว่า สักแต่ว่า เพียง ๑-๒ คำท่านเข้าใจ และตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทขาด และท่านก็เข้าใจปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจจ์ตลอดสายคือ "รู้" ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่เกิดขึ้นได้อย่างไรอวิชชา ความ "ไม่รู้" ก็ขาดออกจากจิตของท่านในขณะนั้น
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช