ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 15 เมษายน 2563
ตอนที่ 94 **เหตุที่ชีวิตไม่เที่ยงแท้ 3 ขั้น**
ในเช้าของวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2563
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อม ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามธรรมกับพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ลูกมีความรู้สึกอย่างนี้ว่า.. ในกายของเรา ในตัวของเรา ในความเป็นเรานี้ มีสภาวธรรมอยู่ 2 อย่าง คือ กรรมดี กับกรรมชั่ว
* เรานี้ ได้มีผลของกรรมดี ส่งผลให้เราจะต้องดำเนินไป สร้างบารมีไป ทำสิ่งที่ดีไป - ตามบารมีความดีส่งผล
* เรานี้ มีกรรมไม่ดี ที่ก็ส่งผลเช่นเดียวกัน..
เราก็ต้องเผชิญผ่านพ้น ชดใช้กรรม ชำระวิบากกรรม ในเหตุ ในสิ่งต่างๆ เช่นเดียวกัน
รู้สึกว่า.. ในกายของเรา ในความเป็นเรา เป็นตัวตนของเรานี้ -- มันมีสภาวธรรม 2 ประการเช่นนี้ ผลัดเปลี่ยนกันไปมา
บางครั้ง เราคิดว่า เราจะทำความดี ทั้งที่เราก็จะผิดพลาด โดยทำในสิ่งที่ไม่ค่อยดี -- แต่เราก็ทำความดีนั้นได้ ตามที่ตั้งใจ
บางครั้ง ก็รู้สึกว่า เราทำความดีไปมากแล้ว - แต่ก็ยังคงมีสิ่งที่ไม่ดีมากระทบ
...ทำให้เรานั้นเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน จะต้องเผชิญผ่านพ้นกับเคราะห์กรรม วิบากกรรมเหล่านั้นอีก..
ลูกก็เลยปรารถนาที่จะขอถึงพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้เข้าใจ อย่างละเอียด
เป็นธรรม 3 ขั้น ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ฟังแล้ว ก็น้อมไปพิจารณาตาม ให้รู้ให้เห็นตามธรรมเหล่านี้ แล้วลูกก็จะเข้าใจตามสภาวะความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง อย่างรู้ตื่น +
พระยาธรรมเอย.. ในโลก ในวัฏสงสารนี้ - ย่อมมีปะปนกันอยู่ 2 อย่าง คือ
ดี กับ ชั่ว
ดำ กับ ขาว
สุข กับ ทุกข์
ย่อมแบ่งเอาไว้เป็นคลื่นพลังงาน ทั้ง 2 ด้าน ไว้เช่นนี้
และสิ่งทั้ง 2 นี้ ก็ปะปนกันไป
-- มีทั้งดี / มีทั้งไม่ดี ปะปนกัน หมุนวนกัน อยู่ในวัฏสงสารนี้ --
เมื่อดวงจิตของเราเกิดขึ้นมาในวัฏสงสาร.. และไม่มีภูมิคุ้มกัน ภูมิต้านทานอะไร
... จิตของเราก็จะคลุกเข้ากับสิ่งทั้งสองนี้ด้วย เช่นเดียวกัน
กรรมดี - กรรมไม่ดี / สิ่งที่ดี - และไม่ดี
-- มันก็จะก่อเกิดขึ้นกับตัวเรา..
เมื่อดวงจิตของเรา คลุกเข้ากับกิเลสตัณหา..
/ กิเลสพาทำดี แบบลุ่มหลงไปในทางดี +
/ กิเลสพาทำชั่ว แลบลุ่มหลงไปในทางชั่ว +
จิต กิเลส กรรม ผสมผสานกันมา -- กลายเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา คือ ผลของสิ่งเหล่านั้น
มีดวงจิตก่อเกิดขึ้น มีกิเลส คือ ความหลง เป็นหัวหน้าครอบงำจิต
มีกรรมทั้งดี และไม่ดี - อยู่ในการกระทำของดวงจิตนั้น ที่ถูกครอบงำให้เป็นไป ให้ทำไป
จิต กิเลส กรรม ทั้งดีและไม่ดี - ส่งผลมาเป็นตัวเรา
นี่ละ พระยาธรรม.. มันก็เลยกลายมาเป็นเรา / เป็นตัวของเรา !
และการดำรงชีวิต มันก็เลยมีสุขบ้าง - ทุกข์บ้าง *
มีกรรมดีส่งผลบ้าง - มีกรรมชั่วส่งผลบ้าง *
บางคนทำความดีมาก - กรรมดีก็ส่งผลมาก
บางคนทำชั่วมาก - กรรมชั่วก็ส่งผลมาก
...หมุนวนกันไป เช่นนั้น
กลายเป็นตัวเรา เป็นของของเรา เป็นตัวตน เป็นชีวิต - เป็นเรื่องราวของคำว่า “เรา” ขึ้นมา
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อลูกนั้น ได้พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว..
ลูกจึงเห็นได้ว่า..
แท้ที่จริงแล้ว.. ดวงจิตของเรา ความเป็นเรานี้ มันมีอยู่ 2 ครึ่ง
กรรมดี ที่เราจะทำไป.. เราก็ทำไป
กรรมชั่ว ที่เราเคยทำมา.. ส่งผลมา มันก็ส่งผลไป
บางที เราทำดีมากแล้ว - แต่ยังเหลือสิ่งไม่ดีอยู่บ้าง
สิ่งไม่ดีอยู่บ้างนั้น.. เขาก็ส่งผล และก็ทำงานของเขาไป
ความดีที่เราทำได้มากแล้ว ฝึกฝนได้ดีแล้ว.. ก็ส่งผลไป -- ให้เราทำดีได้มากยิ่งๆขึ้นไป
... มันก็เป็นเช่นนี้ อย่างนี้ละลูก
เมื่อจิตของเรา มองเห็นตามสภาวะความเป็นจริง ของคำว่า ชีวิต
มันก็เห็นเพียงแค่ ผลกรรมดี- ส่งผลมา..
ให้เราได้นำเอาความดีเหล่านั้น.. ไปสร้างไปทำความดีต่อไป
ทำแล้ว.. ก็สร้างต่อไป ทำต่อไป..
-- มันก็กลายเป็นชีวิตที่ดีๆ เรื่องราวที่ดีๆของชีวิต
-- มันก็กลายเป็นความสุข ความเจริญ
-- กลายเป็นความสว่าง กลายเป็นความสงบไป
เมื่อเรายังมีผลกรรมที่ไม่ดีอยู่.. ซึ่งอาจจะเป็นกรรมแต่ก่อนโน้น ที่เราเคยผิดพลาดทำไป - ส่งผลมา
กรรมเหล่านั้นที่ไม่ดี ก็ส่งผลมาๆ..
-- ทำให้เราต้องได้รับผลกระทบ เช่น เจ็บป่วยบ้าง เป็นทุกข์บ้าง - ตามกรรมที่เราก่อ เราทำเอาไว้ ++
รวมถึงบางที ในปัจจุบันนี้ เราก็ยังคงทำดีไม่ได้มากเท่าไหร่
มันก็เลยมีผลของการกระทำที่ไม่ค่อยดี ที่ยังเป็นสิ่งบกพร่องของเรานั้น - ส่งผลมา
-- ทำให้เราทุกข์บ้าง ทำให้เราโดนกระทบบ้าง..
... เป็นเช่นนี้ อย่างนี้
พอมันเป็นเช่นนี้บ่อยๆเข้า - มันก็เลยกลายเป็นว่า.. ชีวิตของคนเรา
เดี๋ยวก็ดี - เดี๋ยวก็ไม่ดี
เดี๋ยวก็สุข - เดี๋ยวก็ทุกข์
ความดีก็ทำไป สิ่งไม่ดี - ก็ยังเผลอทำไป เช่นเดียวกัน
แล้วมันก็หล่อหลอม..
. กลายเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
. กลายเป็นชีวิต 1 ชีวิต
. กลายเป็นดวงจิต 1 ดวงจิต
. กลายเป็นเรื่องราวของคน 1 คนไป
... เป็นอย่างนั้นไป
แล้วมันก็เจริญเติบโต งอกงาม - ตามเหตุที่ทำ
ทำเหตุดีเยอะ - ก็เกิดเรื่องดีเยอะ
ทำเหตุชั่วเยอะ - ก็เกิดเรื่องชั่วเยอะ
ชีวิตก็เลย ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน
ระหองระแหงตามเหตุที่มันจะเป็นไปของมัน อย่างนั้นละ พระยาธรรม
รวมถึงคำว่า ชีวิต นะลูก - มันไม่ได้มีเพียงแค่กฎแห่งกรรมที่ส่งผลมา ตามเหตุที่เราทำ..
ในวัฏสงสารนี้ ยังคงมีสิ่งครอบงำ คือ กฎของความไม่เที่ยงแท้ อีก
ซึ่งกฎของความไม่เที่ยงแท้.. ก็เป็นตัวมาช่วยแปรสภาพกรรมเหล่านั้น - ให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
... ให้หมุนวนกันไปอยู่อย่างนั้นอีก
ชีวิต มันก็เลยเป็นแบบนี้ละ พระยาธรรม..
-- มันก็เลยดำเนินไปๆ..
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์
เดี๋ยวเหมือนว่าจะดี / เดี๋ยวก็เหมือนว่า จะไม่ดี
เดี๋ยวก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ความสุข ความทุกข์ ปะปนกันไป
นี่ละ คือ ชีวิต .. พระยาธรรม
เมื่อจิตของลูกฝึกฝนตน จนลูกเข้าใจแล้วว่า.. อ๋อ นี่หรือชีวิต !
... ลูกก็จะเข้าใจตามความเป็นจริง ทุกประการ
สิ่งใดที่ดีๆ ที่ลูกทำได้.. ลูกก็จะรู้เหตุว่า ที่ทำได้ ก็เพราะเราทำเหตุนี้มา
และก็เลือกที่จะเอาผลที่ได้รับในวันนี้ ไปทำเหตุดีต่อไปอีก..
... เป็นเช่นนั้น อย่างนั้น เป็นธรรมดา
ลูกนั้น ก็จะมองเห็นแค่ว่า.. ผลที่ไม่ดี ที่ส่งผลมาหาเรา
- ก็ด้วยว่าเรานี้ เคยทำเหตุที่ไม่ดีเอาไว้
- หรือด้วยว่า ปัจจุบันนี้ เราก็ยังมีสิ่งไม่ดีอยู่บ้าง ที่เราผิดพลาดทำไป
ลูกก็จะเห็นเพียงแค่ว่า.. มันเหมือนเกม เกมหนึ่ง ที่
เขี่ยลูกนี้ไป - ลูกนั้นก็จะดันกลับมา
เขี่ยลูกโน้นไป - ลูกนี้ก็จะดันกลับไป
จิตตั้งแล้ว โดนกิเลสครอบงำ
ทำกรรมดี และกรรมชั่วด้วยความลุ่มหลง -- ก็ดำเนิน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามวัฏสงสาร
... ดำรงชีวิตไป เช่นนั้น
นี่ละ คือชีวิต ลูกก็จะเห็นสัจธรรมที่แท้จริงเช่นนี้
เมื่อจิตของลูก เห็นสัจธรรมที่แท้จริงเช่นนี้แล้ว..
ลูกก็จะเพียรพยายามทำแต่สิ่งที่ดี
สิ่งที่ไม่ดี ก็จะเพียรพยายามที่จะละมัน
... แล้วก็จะฝึกฝนตนให้อยู่เหนือทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว
สักแต่ว่า ทำทุกอย่างไปตามเหตุ - ไม่ยึดติดในสิ่งใดเลย ++
มองเห็นสิ่งบกพร่อง ผิดพลาดที่เราเคยทำไป.. ก็ไม่เอามาเป็นปัญหาให้เราต้องทุกข์
มองเห็นสิ่งที่ดี ที่เราทำไป.. ก็ไม่เอามายึดติด ให้เราเป็นสุขในสุขสมมุติ / สุขอย่างลุ่มหลง
จิตก็จะรู้ตื่นว่า.. อันนี้ไม่ดี - ก็พยายามละไป
อันนั้นดี เรื่องนี้ดี - ก็พยายามทำให้มากขึ้นเรื่อยๆ
... ก็เป็นเพียงแค่นี้
แล้วก็ทำอยู่อย่างนี้ เช่นนี้ ค่อยๆทำไปๆ
จนในที่สุด.. ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะปรากฏชัดเจนแก่ลูก
จนลูกนั้น.. เป็นผู้อยู่เหนือโลก *
และจบคำว่าชีวิต จบคำว่า เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
... เพราะลูกได้ถอดถอนจิต ออกจากกิเลสแล้ว
ไม่มีกิเลส มาครอบงำจิตแล้ว
ไม่มีกรรม - จึงไม่มีผลของกรรม ส่งผลทั้งดี และไม่ดีละ
คำว่า “ชีวิต” จึงไม่มี จึงดับไป
-- ดวงจิตของลูก จึงหลุดลอยอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ลูกนั้น พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถอะ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจ ตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กรรมดี คือ สิ่งที่ 1 - ที่เราได้ทำไป และเป็นเหตุในทางที่ดี
กรรมชั่ว คือ สิ่งที่ 2 - ที่เราได้ทำไป และส่งผลในทางที่ไม่ดี
ข้อที่ 3 เรานี้ จะต้องอยู่เหนือกรรม จะได้ไม่ต้องไปติดกรรมใดกรรมหนึ่ง
ลุ่มหลงในกรรมใดกรรมหนึ่ง และทำให้ก่อเกิดอีก
จิตเรา จะทรงสภาวธรรมอยู่ อย่างผู้รู้ตื่น
... ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้ อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ทีนี้ เมื่อลูกฟังธรรมไป
ลูกก็คงเข้าใจ และพิจารณาตามได้แล้วสินะ ว่า..
สภาวธรรมที่ลูกเห็นนั้น มันก็เป็นเพียงแค่ ขั้นที่ 1 คือ
กรรมดี กรรมดีที่เราทำไป
กรรมดี ส่งผลดีมา
กรรมดี ที่เราต้องทำดีต่อไป..
และตราบใด ที่เรายังหลงยึดอยู่ในกรรมดีนั้น - กรรมดีนั้น ก็จะส่งผล
ทำให้เราเกิด ทำให้เราวนอยู่ในวัฏสงสารนี้
และทำให้เรา จะต้องมีเรา มีชีวิต มีตัวตน มีการดำเนินไปอยู่ดี !
นี่คือ สิ่งที่ 1- ที่ลูกมองเห็น
และหากว่าเรายกจิตของเรา อยู่เหนือกรรมดีนี้แล้ว..
ผลของการเกิด ก็จะดับไป
เพียงแต่ว่า ให้ลูกทั้งหลาย.. ยึดหลักการทำความดี ไว้เพื่อการทำความดี
... แต่ไม่ใช่ยึดไว้ เพื่อเป็นการยึดติดให้ได้เกิดอีก …
พระยาธรรมเอ๋ย.. อะไรที่เราทำไว้แล้ว -- อันนั้นก็ย่อมกลับมาเป็นของเรา
ไม่ว่า เราจะยึดติด หรือไม่ยึดติด.. มันก็เป็นเช่นนั้น
แต่มันแตกต่างกันตรงที่ว่า..
-- ถ้าเราไปยึดติดเอาไว้.. มันก็จะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกสมมุตินี้ ลูก +
แต่ถ้าเราไม่ยึดติดเอาไว้.. มันก็จะทำให้เรา สักแต่ว่าเห็นกรรมที่ทำไป ++
และอยู่เหนือกรรม -- เราก็จะดับการเกิดได้ ++
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เมื่อลูกได้ทำความดี
ผลของกรรมดี ย่อมส่งผลให้ลูกดำเนินไป เป็นไป ในทิศทางที่ดี +
และสามารถทำความดีได้ ตามที่ลูกตั้งใจ เป็นแน่แท้ !
และจงยึดหลักแห่งการทำความดี ..
เพื่อทำความดีให้มาก ให้ไม่มีพื้นที่เหลือแห่งความชั่วอีก
เพื่อให้จิตของลูก ได้อาศัยความดีเหล่านั้น เป็นแสงสว่างส่องทาง
-- ให้จิตรู้ตื่น ถึงซึ่งพระนิพพาน *
นี่คือ ขั้นที่ 1 หรือข้อที่ 1
ส่วนต่อไป ข้อที่ 2 ก็คือ กรรมชั่ว
เมื่อลูกได้รู้แล้วว่า ผลกรรมชั่ว มันส่งผลในสิ่งที่ไม่ดี
-- เราเคยทำไปแล้ว ก็ยอมรับ และชดใช้มันไป..
ปัจจุบัน ยังละเลิกบางอย่างที่ไม่ดี ไม่ได้ - ก็ค่อยๆฝึก ค่อยๆละ
และอย่าไปยึดติดว่า เราทำไม่ดีไว้ -- ทำให้จิตใจเศร้าหมอง
ปล่อยวางมันไป อย่ายึดติด
อย่าไปยึดติดกับมัน และอย่าไปทำในสิ่งที่ไม่ดี มากเพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่
พยายามลดน้อยลง ให้สิ่งที่ไม่ดี ให้มันหมดไปเรื่อยๆ.. ลูกเอ๋ย
และพยายามฝึกฝนตนเอง ให้ดีขึ้น..
- ไม่ยึดติดในความชั่ว
-- ไม่ยึดหลักในการทำความชั่ว
และจงพยายามฝึกฝนตน ให้อยู่เหนือการทำชั่วทั้งปวง ให้ได้ !
สิ่งใดที่ไม่ดี ที่ส่งผลมา มันก็คือ การกระทำของเราที่ผิดพลาด ทำไป
-- เราก็ยอมรับ แต่อย่าไปยึดติด !
ยอมรับไป - ชดใช้ไป - ดำเนินไป ลูกเอ๋ย..
และลด - ละ - เลิก ในสิ่งที่ไม่ดี
ให้เราอยู่เหนือกรรมชั่วด้วย
... จิตเราก็จะได้ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้อีก ++
พระยาธรรมเอย.. ต่อไป เราเข้าสู่ขั้นที่ 3 - ก็คือ การเพียรพยายามฝึกฝนตน ให้อยู่เหนือกรรม
คือ อยู่เหนือกรรม ทั้งดีทั้งชั่ว ไม่ยึดติดในสิ่งใด
รู้ตื่นว่า..
กรรมดี ควรยึดหลักไว้เพื่อดำเนินไป สร้างไป ทำไปตามเหตุที่ดี
-- แต่ไม่ควรยึดติด *
กรรมชั่ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรละ ลด เลิก
และควรที่จะยอมรับผลกระทบเข้ามา -- เพื่อชดใช้ให้หมดไป และไม่ควรยึดติดกับมัน
ขั้นที่ 3 ก็คือ ฝึกตนให้อยู่เหนือ ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว
อยู่อย่างผู้รู้ตื่น เข้าใจตามความเป็นจริง
และเพียรพยายามสร้างไป ทำไปนะลูก
ความรู้ตื่น.. จะก่อเกิดแก่ลูกได้ เป็นแน่แท้ ถ้าหากว่าจิตของลูก ทรงสภาวธรรมเช่นนี้..
- มองดูโลก
- มองดูชีวิต
- มองดูการเวียนว่ายตายเกิด
- มองดูสิ่งที่มันดำเนินไปๆ..
พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วหรือยังเล่า พระยาธรรม.. จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. ลูกเอ๋ย
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ