พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ 194 อุปสมานุสติ แบบที่ 3 เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ 16 ตุลาคม 2560
......................................................
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 30 ในแบบที่ 3 หนะเจ้าค่ะ การตั้งอารมณ์ไว้กับอารมณ์ของพระนิพพาน.. เพื่อเข้าสู่ฌานสมาธิ ในแบบที่ 3 นั้น - เราจะต้องทำแบบไหน ยังไงล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอย.. ทำอย่างนี้ ทำตามเช่นนี้นะลูก ให้หลับตาลง หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย จิตและใจ
ผ่อนคลายกายของลูกนั้น ให้สบาย พร้อมที่จะทำสมาธิ หนะลูก
ปรับคลื่นของจิต ปรับคลื่นของกาย ของใจ
หายใจเข้าลึกๆ - ปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆ
สูดลมหายใจเข้า - ปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆ
ทำอยู่อย่างนี้ สักพักหนึ่ง ให้ลมหายใจเข้า ช่วยขจัดปัดเป่า
กวาดเอาความว้าวุ่น วุ่นวาย ที่คั่งค้างอยู่ในจิตใจ อยู่ในกาย อยู่ในความจริง
ปรับคลื่นวุ่นวายต่างๆ เหล่านั้น.. ด้วยลมหายใจเข้า ด้วยลมหายใจออก
นั่งตัวตรง วางมือทั้ง 2 ข้าง เอาไว้ที่หัวเข่า พร้อมที่จะทำสมาธิ
เมื่อจิตและใจ กายของลูกนั้นว่างแล้ว.. เริ่มเบา เริ่มว่าง
ลูกนั้น ก็ค่อยเอาความรู้สึก สัมผัสกับลมที่เย็น
เอาความรู้สึก สัมผัสกับอากาศที่ว่าง
เอาความรู้สึกของเรา น้อมรับพลังที่เย็น สบาย
หายใจเข้า พร้อมด้วยลมเย็นๆที่สบาย
หายใจออก.. เราก็ผ่อน ก็คลาย
แล้วค่อยๆ นึกคิด พิจารณาเช่นนี้ว่า.. ชีวิตของคนเรา มีอยู่ 2 หนทาง
หนทางที่ 1* คือ การเดินวน ตามสิ่งที่มีอยู่ในวัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
หนทางที่ 2* ก็คือ การหยุดเดิน หยุดเวียนว่ายตายเกิด หลุดพ้นจากวัฏฏะวังวน
จากการเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด
1. คือ เดินต่อไป ตามเหตุและปัจจัย ตามกฎแห่งกรรม ตามกิเลส และตัณหา
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. วนอยู่อย่างนั้น
2. คือ หยุดวน
มีอยู่ 2 หนทาง ที่ให้เราเลือกเดิน
ชีวิตของคนเรานั้น ก็มีอยู่เพียงเท่านี้หละ
ดวงจิตของเรา ก็อยู่ในวัฏฏะวังวน เวียนว่ายตายเกิด นับภพชาติไม่ถ้วนมาแล้ว..
บัดนี้ มีธรรมคำสอนสั่งขององค์พระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น ชี้ทางบอกทาง
และพระองค์ท่านก็นำทาง ไปสู่ทางแห่งการดับการเกิด
และพระองค์ท่านก็ทำจนสำเร็จแล้ว
ท่านหยุดวนแล้ว
ท่านเลือกที่จะออกไปในทางที่ 2*
แล้วตัวของเรานี้ เราจะเลือกที่จะเดินต่อ หรือว่า ออกจากที่นี่ ดี ?
พิจารณาหนทางที่ดวงจิตทั้งหลาย.. จะต้องเลือกเดิน
วนเวียน เวียนว่ายตายเกิด มาหลายแสนภพชาติ หรือว่านับชาติไม่ถ้วน
ตอนนี้ เราได้อะไร มีอะไร มีอะไรบ้างเล่า ที่อยู่กับเรา
เกิดมา ดิ้นรนขวนขวาย สร้างเนื้อสร้างตัว
มีสมบัติมากมาย ก็ตายไป
แล้วก็เกิดมาใหม่.. ก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ อยู่ร่ำไป
ไม่เห็นจะเอาทรัพย์สิน สมบัติใด ความเหน็ดเหนื่อยใด
สิ่งที่สร้างไว้แล้ว ทำไว้แล้วใด มาด้วยได้เลย
เราเกิดมา ในชาตินี้ ณ ตอนนี้.. ก็ยังดิ้นรนขวนขวาย ไม่รู้จบ
แปลว่า เราวนเวียนไป ก็ไม่ได้อะไร ไม่เกิดประโยชน์
ทุกข์แล้ว ทุกข์อีก ดิ้นรนแล้ว ดิ้นรนอีก.. ก็เปล่าประโยชน์
แล้วเราจะเดินไปในวัฏสงสาร ที่วนตามกรรม ไปเพื่ออะไรเล่า
วันนี้เรา.. เลือกที่จะทิ้งหนทาง แห่งการเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด..
ทิ้งมันไปเสียเถิดนะ
ปล่อยจิต ปล่อยให้ว่างๆ
น้อมนึกถึงแสงพลังสีขาว เย็น สบาย.. ที่ส่องสว่างไสว จากทางด้านบน
เย็นลงมาแตะ ที่ฝ่ามือซ้าย / เย็นลงมาแตะ ที่ฝ่ามือขวา
น้อมพลัง เบาสบาย ในจิต ในใจ ในกาย นี้
ทำจิตให้ตั้งมั่น เบาสบาย..
น้อมพลังพุทธบารมี นิ่งอยู่ตรงนั้น
แล้วค่อยๆพิจารณาตามนี้ว่า..
"เส้นทางแห่งความหลุดพ้น" ก็มีแค่ ละความหลง ละความโลภ ละความโกรธ ละความรัก
เราละ 4 อย่างนี้ ได้เมื่อไร เราก็พบนิพพาน หยุดเวียนว่ายตายเกิด
เรานั้น.. ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์
ถ้าเรายังมีหลง มีรัก มีโลภ และมีโกรธอยู่ ..
เราก็จะถูกครอบงำ ให้วนตาม สิ่งที่มันจะต้องเป็นไป ตาม *กฎแห่งกรรม*
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในวัฏสงสาร
แท้ที่จริง นิพพาน กับวัฏสงสาร ก็ต่างกันแค่..
มีความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
กับไม่มีความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ เท่านั้นเอง
แท้ที่จริงแล้ว.. มันต่างกันแค่นี้เอง
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว.. เราก็ทำจิตทำใจของเรา ให้เบา ให้ว่าง
ก็ในเมื่อหนทางแห่งพุทธเจ้า
หนทางแห่งพระนิพพาน คือ “การละ”
วันนี้ เราจะน้อมพลังพุทธบารมี
น้อมถึงคุณงามความดีขององค์พระพุทธเจ้า
น้อมถึงพลังความดีของ องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า พระธรรมคำสอนสั่ง
และองค์พระอริยเจ้า ทั้งหลาย..
เพื่อจะได้น้อมเอาพลังที่ดี สิ่งที่ดีเหล่านั้น น้อมมาเติมในจิตของเรา
เพื่อที่เรานี้ จะได้ลอกเอาความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ ทิ้งไป..
ทีนี้ เราก็นั่งทำสมาธิไปเรื่อยๆ
น้อมนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า.. ที่เป็นแก้วใส สว่างไสว อยู่ตรงหน้าของเรา
น้อมนึกถึงพลังพุทธบารมี จาก..
*องค์พระพุทธเจ้าหลายพระองค์
*องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า หลายพระองค์
* องค์พระอรหันต์เจ้า หลายพระองค์
- ในดินแดนพระนิพพาน -
จิตเราตั้งมั่น กับองค์พระพุทธรูปแก้วใส.. หลายพระองค์ ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
แล้วเราก็น้อมพลังเย็น สบาย
น้อมแสงสว่าง ที่สว่างไสว จากแดนทิพย์นิพพาน เข้ามาสว่างไสวในกายของเรา
น้อมพลังที่เย็นบริสุทธิ์ ลงมาคลุมกายของเรา..
จนตัวของเรานั้น รู้สึกว่า.. แยกกายภายใน ออกจากกายหยาบได้
กายภายในของตน เป็นดวงแก้วใส เป็นแก้วที่สว่างไสว
กายภายในของตน สวยงาม สว่างไสว
แยกออกจากกายไป คล้ายกับว่า จิต กายภายใน แยกออกไปอยู่ข้างนอก
แล้วมองกลับมาที่ร่างกายของเรา
ร่างกายนี้ เป็นของหนัก
เป็นของที่มีแต่ ความยึดถือ
เป็นสิ่งที่มีแต่ ความดิ้นรน ขวนขวาย
เป็นสิ่งเน่าเหม็น
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
เป็นสิ่งที่หล่อหลอม ก่อเกิดมาจากกรรม ที่มีกิเลสและตัณหา คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง
ความอยาก และความไม่อยาก เหล่านั้น.. สั่งให้ทำ ให้เป็นไปตามที่เขาสั่ง
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. ไม่ใช่ตัวใช่ตน ของเรา
แท้ที่จริงแล้ว.. เราสว่างไสว เช่นนี้
แท้ที่จริงแล้ว เราเป็นอิสระเช่นนี้ ปราศจากความทุกข์ เช่นนี้
แท้ที่จริงแล้ว เราไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ใดๆเลย
... เป็นสุข สว่างเช่นนี้…
ต่อจากนี้ไป เราจะละซึ่งความหลง
- ซึ่งมันเป็นเหตุ ให้มีตัวมีตน
- ซึ่งมันเป็นสิ่ง ที่ก่อให้เกิดเรา.. อยู่ร่ำไป
เราจะละอัตตา และตัวตน / ละความลุ่มหลงทิ้งไปเสีย
เราจะไม่หลงในตัวของเรา อีกต่อไปแล้ว
เมื่อไม่มีความหลงในตัวของเรา.. ตัวเราไม่มี
ความรัก ที่จะไปรักคนอื่น / ให้คนอื่นมารักเรา
กายของเราไม่มี.. กายของผู้อื่น - ก็ย่อมไม่มี !
เมื่อความรักไม่มี ความโลภ ที่จะไป..โลภ ให้ได้สิ่งนั้นมาประกอบตน ให้ดูดี
โลภ ให้มีคนเข้ามาสรรเสริญ มารัก มาใคร่เรา - ก็ไม่มี
เมื่อความโลภ ความลุ่มหลงในตัวตน ในข้าวของ สิ่งของ ในบุคคลผู้อื่น
ความโลภ ไม่มีแล้ว / ความโกรธ ก็ไม่มี
เพราะไม่มีสิ่งใด ขัดเคืองใจ
ช่างมันเถิดนะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้.. ก็ไม่ต่างจากเชื้อโรค ที่ทำให้จิตทั้งหลาย - ป่วย
ป่วยด้วยความทุกข์ร้อน ดิ้นรน ขวนขวาย
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
พลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่พอใจ
... ช่างมันเถิดนะ..
ต่อจากนี้ไป เราจะ..ดับกายนี้ทิ้งไปเสีย
ดับอัตตา ดับตัวตน
ดับความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปเสีย
ไม่หลงแล้ว.. ไม่ยึดแล้ว..
กายของเราเบาสบาย สว่างไสว ยิ่งนัก
อยู่ในที่ที่ว่าง โล่ง ที่ที่ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง
จิตเราเบาสบาย..
อยู่กับแสงพุทธบารมี
อยู่ในดินแดนแห่งความสุข ความบริสุทธิ์
อยู่กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อยู่กับองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์เจ้า
-- ในดินแดนทิพย์นิพพานที่สว่างไสว เย็นสบาย --
ตั้งจิตทรงอารมณ์ไว้เช่นนั้น แล้วก็น้อมพลังแสงสว่าง จากตรงนั้นไปเรื่อยๆ..
จนกายของเราสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนสว่างมาก
กายของเรา ที่เป็นแก้วใส สว่างมาก
จนกายนั้นแตกสลาย เป็นอากาศธาตุ เป็นอากาศที่มีแสงระยิบระยับ เล็กน้อย
สลายๆไป.. สู่ความไม่มี
ดับเข้าไปสู่ในฌาน
ทำเช่นนี้ อย่างนี้หละ.. พระยาธรรมเอย ก็จะสามารถทำให้ลูกนั้น.. เข้าสู่ฌานด้วยอารมณ์แห่งพระนิพพานได้ลูก
เช่นนี้ อย่างนี้ หละ ลูก..ความแตกต่างระหว่างพระนิพพาน กับโลกสมมุติใบนี้
มันแตกต่างเพียงแค่
มีรัก โลภ โกรธ หลง กับไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง
-- ต่างกันเท่านี้แหละลูก --
นิพพานก็เป็นเช่นนี้หละ.. ทีนี้ก็เข้าใจแล้วสินะ
ก็น้อมประพฤติ ปฏิบัติตาม
เมื่อทำได้แล้ว เข้าใจแล้ว.. ก็เผยแผ่ให้คนอื่นเขาได้รู้ ได้เข้าใจด้วยนะ.. พระยาธรรม
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง..
ลูกจะน้อมปฏิบัติตาม และเผยแผ่ตามพระประสงค์ขององค์พระพุทธเจ้า
เพื่อดวงจิตทั้งหลาย จะได้หลุดพ้น..เจ้าค่ะ
สาธุ