ถ้าเราจะทำความสงบ เราก็ต้องเพียรพยายาม ในทุกๆสถานการณ์
ที่จะทำให้จิตสงบ พยายามวางเฉยกับสิ่งกระทบทั้งหลาย
คอยมารู้อยู่ที่จิต หรือที่กาย หรือที่ว่างๆภายใน อย่างต่อเนื่อง
แต่ถ้าเป็นการเรียนความจริงของทุกๆสิ่ง เราไม่ทำอะไร ไม่หลบ ไม่หลง ไม่รักษา ไม่จมแช่ ไม่ประคอง แต่เพียงแค่รู้ รู้มันทุกๆอาการ เห็นความเกิดขึ้น เสื่อมไป ไม่ว่าอาการนั้นจะน่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ
ก็จะรู้ รู้แต่เพียงอย่างเดียว รู้ด้วยใจเป็นกลาง กลางนี้ไม่ใช่เฉย
แต่กลางเพราะรู้เท่าชอบ ไม่ชอบ จึงเรียกว่ากลาง
รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็รู้ นี่กลางอย่างนี้นะ แล้วความจริงก็แสดงความตัวออกมาเอง ขอให้อดทนนะ อดทนที่จะรู้ ไม่คอยคิดปรุงนะ
สิ่งสำคัญที่จะต้องมีในการรู้ธรรม
คือการมีจิตตั้งมั่น จะเห็นว่า แม้มีผู้ปฏิบัติมากมาย
แต่ผู้เห็นแจ้งจริงมีน้อยกว่าน้อย เพียงเพราะขาดจิตที่ตั้งมั่น
เป็นเพราะส่วนมากไปติดข้องอยู่กับความสงบ
และความเพลินในอารมณ์ต่างๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมเห็นตามจริง"
กระบวนการมีเพียงเท่านี้ สิ่งที่เป็นเหตุ
แห่งการให้จิตตั้งมั่น คือ สติและสัมปชัญญะ ที่ถูกต้อง
อธิบายง่ายๆเลยคือ รู้สึกระลึกได้ถึงกาย ใจ
แต่ไม่ไหลเข้าไปเป็น
"เมื่อเห็นตามจริง ย่อมเบื่อหน่าย
คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น"
นี่เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ต้องเป็นไป
ให้สร้างเหตุไว้นะคือการมีสติรู้สึกตัว
ในทุกๆช่วงของชีวิต ให้ทุกช่วงของชีวิต
คือขณะแห่งการภาวนา สู่ความรู้แจ้ง....
ความชอบ ไม่ชอบเกิดขึ้นที่จิต
เมื่อรู้ทันทั้งชอบและไม่ชอบ
จิตจึงเป็นกลาง
จิตเป็นกลางนี้แหละคือจิตที่รู้จริงๆ
เมื่อเป็นกลางแล้วจึงสามารถที่จะ
รู้ตามเป็นจริงได้ คือทุกสิ่งนั้นล้วนเกิดดับ
เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เกิดดับ
จิตจึงไม่เข้าไปมั่นหมาย
จึงว่างจากการเข้าไปจับถือไว้
เมื่อจิตรู้ไปจนเกิดความคลายออก
จิตจะถอนความหมายรู้ในทุกสิ่ง
ทวนกลับเข้าหาตัวจิตเองคือธาตุรู้
กระบวนการมรรคผลก็เกิดตรงนี้เอง
อดทนที่จะเรียนรู้นะ...สำหรับชีวิต
เรียนรู้ที่จะอดทนนะ...สำหรับชีวิต
ชีวิตมันบัดซบ...ไม่มีอะไรได้อย่างใจหรอกนะ
เรียนรู้ให้เห็นความจริง
ด้วยใจที่อดทนและเป็นกลาง
กลางจากชอบชัง ใจก็จะไม่ดิ้นรนไป
กับสิ่งที่บังคับไม่ได้จึงเกิดความพอ
ความสมดุลย์แห่งชีวิต
เป็นความพอดีสมควรตามมรรคา
เมื่อเห็น รับสัมผัส สิ่งใด
ก็เพียงรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
เห็นในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน
เมื่อนั้นจึงละความปรุงแต่งที่เกิดขึ้น
เพราะการเห็น การสัมผัส นั้นได้
เพราะที่ขณะปัจจุบันนั้น
ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่ได้เลย
แม้แต่ความเป็นตัวตน.....
ทุกๆ สิ่ง ทั้งภายนอกภายในจิตใจ
หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด
อยู่ที่ว่าเราจะรู้แล้วยอมรับความจริง
ด้วยใจเป็นกลางได้ไหม
คนทั่วไป ทุกข์ ....
เพราะยอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้....
เพราะความอยากจะให้สิ่งที่ตนยึดถือไว้
คงอยู่ถาวร หรือ ไม่อยากให้บางสิ่งคงอยู่
เพียงรู้ว่า...ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรืออารมณ์ใดๆ
ล้วนเป็นตัวทุกข์แท้ เมื่ิอนั้นเองที่กระแส
แห่งการดึงดูด หรือผลักดันเป็นอันดับลง
เกิดการปล่อยออกตามธรรมชาติ
สู่ธรรมชาติเดิมๆของทุกๆสิ่งเอง
เมื่อมีความสุข ความทุกข์เกิดขึ้น
แล้วใจเกิดหวั่นไหว ในสุข ทุกข์นั้น
เราทำได้เพียงรู้เท่าทันความหวั่นไหวนั้น
ให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้จริงๆ
ไม่ใช่ไปกดข่มใจ ไม่ให้มันหวั่นไหว
การกดข่มใจไว้ก็คือการหลีกหนีความจริง ไม่กล้าเผชิญหน้า
ไม่ใช่หนทางหรือปฏิปทาของนักวิปัสสนาภาวนา....
ต้องเห็นลงไปในทุกข์ ในกิเลสที่เกิดขึ้นจริงๆ
ที่สามารถรับรู้ได้จริงๆ อย่ามัวเอามาคิดว่ามันชื่ออะไร
หรือเป็นอย่างไร เพียงแค่รู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจริง
สิ่งนั้นนำทุกข์มาให้จริง
การที่เรามัวเอาไปคิดไปเทียบกับตำรา
จะทำให้เราพลาดจากการรู้ตามเป็นจริง
ว่ามันเป็นอย่างไร มีอาการอย่างไร
มันคงอยู่ และดับไปอย่างไร
การ รู้ นั้น ต่างจาก การคิดว่าเข้าใจว่า รู้
การรู้นั้น ไม่มีความสำคัญในการ รู้
หรือ ความสำคัญในการปล่อยวาง รู้ ก็ไม่มี
การรู้นั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่สั่งสมปฏิบัติมา
จึงไปตระหนักถึงธาตุรู้ที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่า
มาจากการปรุงแต่งการรู้ขึ้นมา อันนี้ต้องนำไปสังเกตเอา
จะอธิบายเป็นฉากๆ ก็จะไปนำทางให้จิตปรุงแต่งคาดเดาไปเสีย
จิตที่ฝึกไว้ให้คุ้นเคยกับความรู้สึกตัว
สามารถตั้งมั่นได้เป็นอัตโนมัติ
เมื่อคราใกล้ตาย ควบคุมความรับรู้ทางกายไม่ได้แล้ว
จิตมันจะวางอาการทางกาย มารู้อยู่ภายในเอง
ถ้าฝึกมาดี จะเห็น กรรมนิมิต ผุดขึ้นมากมาย
ในช่วงเวลาไม่กี่ขณะจิต แต่จิตรู้นี้ไม่เข้าไปจับอีก
เมื่อวางในกรรมนิมิตนั้นแล้ว จิตจะสว่างเจิดจ้าขึ้นเต็มที่
ส่วนเป็นอย่างไรต่อ จะยึดเอาความสว่าง
หรือ วางความสว่าง ทิ้งความหมายรู้ทั้งมวล
ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราฝึกฝนมาเพื่อเอาหรือเพื่อทิ้ง
ไม่ต้องเป็นผู้รู้
แต่ให้มีผู้รู้ประจำใจ
ขอเพียงไม่หลงไม่ไหลไปก็พอ
ความคิดว่ารู้มักลากใจให้กลายเป็นอสุรกาย
คอยติคนนั้น คอยเตือนคนนี้ ด้วยทิฏฐิและมานะ
เมื่อมีคนเชื่อถือ ยิ่งสำคัญตัวเหนียวแน่น
ไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องคิดเยอะหรอก
เพียงแค่รู้....รู้ใจก็พอนะ รู้แล้วไม่ไปเป็น
จิตที่เจริญสติสัมปชัญญะมาอย่างต่อเนื่อง
แม้เมื่อมีความฟุ้งซ่านก่อตัวขึ้น
ซึ่งมาจากการที่รับผัสสะต่างๆ มากมาย
แต่จิตนั้นก็ไม่ไปทำอะไรกับความฟุ้งนั้นๆ
เพียงแค่รู้สึกว่ามีความฟุ้งเกิดขึ้นอยู่...เพียงเท่านั้น
ความฟุ้งซึ่งขาดกระแสของตัณหาหล่อเลี้ยง
ย่อมดับลงอ่อนกำลังลง จนหายไปในที่สุด
ถ้าเกิดว่ามีเราไปกระทำอะไรซักอย่าง
เช่นว่า ชอบหรือชัง ในความฟุ้งนั้น
เหมือนกับเราคอยเติมเชื้อให้มันอยู่เรื่อย
ย่อมไม่อาจที่จะดับลงตามธรรมชาติได้เลย....
ความทุกข์ภายในใจเป็นของแปลก
ยิ่งปฏิเสธมันเท่าไร
มันก็ยิ่งทุกข์มากและคงอยู่ได้นาน
แต่เมื่อรู้เห็นมัน แล้วรู้จักยอมที่จะรับมัน
ด้วยท่าทีที่ไม่ปฏิเสธ และดึงดูดเข้ามา
ความทุกข์นั้นกลับไม่สามารถตั้งอยู่ภายในใจเราได้เลย....
ใจนี้ไม่เคยรู้ความจริงของชีวิตมาก่อน
ต้องสอนต้องอบรมให้มาก
นำทางให้มันรู้ให้มันเห็นความจริง
ว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆ ที่มีอยู่ที่เป็นอยู่
มีแต่ทุกข์ล้วนๆ ที่ดับลงไป
เมื่อเห็นความจริง เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ย่อมวางความสำคัญมั่นหมายในกองทุกข์
ไปรู้แจ้งธรรมอันไม่เกิด ไม่ดับ ทันที....
ทุกข์นั้นเกิดที่ใจของเรา
เพราะมีเราในใจจึงมีทุกข์
ละเราออกจากใจเสีย
ก็เหลือเพียงธรรม.....
สิ่งใดที่เรารู้เท่าทัน
สิ่งนั้นไม่สามารถที่จะดึงใจของเรา
ไปทรมานให้เกิดทุกข์ขึ้นได้
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
การรู้ อยู่ที่รู้ หมายถึงว่าเมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นมา
จิตก็จะรู้กิเลส ไม่ไปเป็นกิเลส
คือมีอารมณ์เข้ามากระทบก็รู้อันนั้นแต่ไม่เข้าไปเป็น
แต่ไม่ใช่หมายความว่าให้ไปเพ่งอยู่ที่จิตรู้อย่างเดียว
อันนั้นจะไม่เห็นกิเลสเลย เมื่อไม่รู้กิเลสจะไปละกิเลสได้อย่างไร
การเพ่งอยู่ที่รู้เป็นการทำสมถะเท่านั้น จิตจะอยู่กับความว่างๆ
สิ่งภายนอกกระทบไม่ถึงใจ มีเจตนาคือตัวภวตัณหาคอยหล่อเลี้ยง
เพราะฉะนั้นใช้จิตใจปกติธรรมดานะในการเรียนรู้ทุกข์
สอนจิตให้รู้ว่าเมื่อเข้าไปจับไปถือแล้วนำทุกข์มาให้ทุกครั้ง
เรียนรู้ให้เห็นลงไปจริงๆ จนใจถอนตัวเองโดยไม่ต้องเจตนา
ทุกข์น่ะท่านให้รู้ ไม่ใช่ให้ไปละ ข่มหรือทำเป็นไม่รู้...
ความรู้สึกตัวแต่ละครั้งเป็นถอนใจ
ออกจากที่จมอยู่ในทุกข์
ที่บางครั้งเราไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์
เมื่อถอนใจออกมาเป็นเพียงผู้ดูได้แล้ว
ย่อมเห็นความจริงของสิ่งทั้งปวง
ว่ามันไม่เที่ยง ทนอยู่ในอาการเดิมไม่ได้
ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่จะบังคับได้จริง
เห็นเพียงชั่วขณะอยู่ที่ว่าจิตจะเก็บเกี่ยวความรู้นั้น
ได้มากน้อยเพียงไร ถ้ามันยังไม่พอก็ต้องเห็นเรื่อยๆ
ถ้ามันถึงจุดที่พอแล้ว เราจะรู้ได้ด้วยตัวเอง.....
ภายนอกร้อน ขอใจอย่าร้อนตาม
ภายนอกวุ่นวาย ขอใจอย่าวุ่นตาม
ทำสิ่งที่สมควรทำ แต่ให้ใจ
ลอยตัวอยู่เหนือเหตุการณ์
ด้วยสติ สัมปชัญญะ
ที่เจริญมาอย่างต่อเนื่อง
เป็นเพียงผู้สังเกต เป็นเพียงผู้ชม
นี่เรียกว่ารักษาใจไว้ในที่อันควร
แม้เรายังต้องอยู่ในโลก
แต่ใจเราไม่ต้องคลุกไปกับโลกก็ได้...
การปล่อยวางไม่ใช่หมายถึง
ไม่ต้องทำอะไรไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไร
สิ่งใดเป็นคุณงามความดี เป็นธรรม
จะยิ่งตั้งใจประพฤติเพราะไม่เห็นแก่ตัวแล้ว
สิ่งใดเป็นสิ่งเลวทราม อยุติธรรม
ขัดกับคุณธรรมดีงาม จะยิ่งขจัดให้หมดไป
เพราะปราศจากอคตินี่เป็นการปล่อยวาง
ในความเป็นตัวตน แต่ทำตามความถูกต้อง
ธรรมะคือความถูกต้อง ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้อง....
การที่เราจะละความพอใจในอารมณ์ต่างๆ ในขั้นแรกๆนั้น
ทำได้ด้วยการมีสติ สัมปชัญญะรู้เท่าทันในความพอใจ
ในอารมณ์นั้นๆความพอใจทำให้เกิดความเพลิน
หน่วงเหนี่ยวใจไว้กับสิ่งนั้น ทำให้มองไม่เห็นความจริง
ว่ามันไม่เที่ยง เหมือนสิ่งนั้นๆ จะคงอยู่ตลอดไป
เป็นเพราะเราเติมเชื้อคือความอยากให้มันตลอดนั่นเอง
เมื่อรู้ทันความพอใจแล้วใจจะเป็นกลางโดยทันที
ไม่ให้ค่า ไม่อคติ ไม่หวังให้อยู่นานหรือสั้น เหลือเพียงแค่....รู้
การรู้นี่แหละเป็นกลางแล้ว
ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่หน้า ไม่หลัง ไม่ใน ไม่นอก
เมื่อเกิดอาการอันใดก็แล้วแต่
เพียงแค่รู้ แบบไม่แทรกแซง รู้ซื่อๆตรงๆ
จิตจะดำเนินด้วยความเป็นกลางเอง
กลางจากชอบชัง กลางจากนอกใน
นอกก็รู้ ในก็รู้ ชอบก็รู้ ชังก็รู้ เฉยก็รู้
รู้ .... อันนี้กลางแล้ว ไม่ต้องไปทำให้กลางนะ....
รสชาติที่หวานชื่น
มักมีรสขมติดปลาย
สุขอันใดที่่เกิดขึ้น
มีทุกข์เจือปนอยู่เสมอ
ไม่เพลินในสุข ไม่ผลักไสทุกข์
ทางสายกลาง จะปรากฏชัดกับใจ......
อย่ามัวระทมทุกข์กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
สิ่งที่เป็นอดีตที่ทำให้ทุกข์
เพราะว่าไปตรึกไปนึกถึงเองโดยไม่มีสติ
รู้ให้ทันความคิด ความพอใจไม่พอใจ อยู่กับปัจจุบัน
ความสุขก็มีก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
แล้วไม่เพลินไปกับความสุขนั้น
เพราะมีสติอยู่ เมื่อมีทุกข์อย่าแก้ปัญหาผิดที่
โดยหวังว่าจะลืมความเจ็บปวดที่ผ่านมา
แต่ต้องเผชิญหน้าแล้วรับความจริงด้วยใจเป็นกลาง
ใจไม่กระเพื่อมรู้ว่าเมื่อมีเกิด ก็ต้องมีดับ
ใจเราจะปลอดโปร่งเองด้วยปัญญา.....
คนที่บอกว่าเบื่อโลก ต้องสังเกตุใจให้ดีว่า
เบื่อเพราะโทสะ คือ โลกนี้มันไม่ได้อย่างใจ
หรือเบื่อด้วยปัญญา เบื่อจากส่วนลึกของใจ
ว่าไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็น
ถ้าเบื่อเพราะไม่ได้อย่างใจ เมื่ออกมาอยู่ในที่สงบ
ก็จะไม่ได้อย่างใจอีก เพราะใจถูกตัณหาชักจูงไปตลอด
ถูกกิเลสมันลากไป โดยเห็นว่าสิ่งที่ตัวคิด
เหตุผลของตัวเองนั้นถูกต้องแล้ว เชื่อความคิดไปซะหมด.....
ธรรมต้องอาศัยอยู่กับโลก
ไม่มีโลก...ธรรมก็อยู่ไม่ได้
ผู้เห็นธรรม รู้ธรรมก็คือ
ผู้มารู้มาเห็นโลกตามความเป็นจริง
แล้วเบื่อหน่ายคลายจากโลกเอง
ถ้ารู้เท่า รู้เรื่อง มันเป็นธรรมทั้งหมด
ผู้ปฏิบัติจะเห็น...ความดีความชั่วของตน
ตรงนั้นแหละ เมื่อไม่มีโลกแล้ว
ธรรมก็ไม่ทราบว่าจะเอาไปตั้งไว้ตรงไหน
จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
โลกอันใดธรรมก็อันนั้น
จะเป็นโลกหรือเป็นธรรม
อยู่ที่ "ฝึกอบรม" ต่างหาก .....
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ตั้งใจรักษาจิตไว้เมื่ออยู่ในภาวะ
ที่อารมณ์มีความรุนแรงมาก
อย่าปล่อยให้ถูกอารมณ์ครอบงำใจ
หยุดรวมกำลังบ้าง บริกรรมพุทโธเร็วๆ ก็ได้
สูดลมลึกๆ แล้วกลั้นไว้ค่อยผ่อนออกก็ได้
ให้รู้จักกาลรู้จักภาวะของตนว่าควรอย่างไร
เมื่อใจมีกำลังพอแล้วก็ดำเนินในสิ่งที่ควรกระทำต่อไป....
จะไปมัวโกรธทำไม?
จะไปมัวเกลียดทำไม?
จะไปมัวอิฉาริษยาทำไม?
เกิดมาไม่เกินร้อยปีก็ต้องตายจาก
แล้วจะมัวแต่เก็บสิ่งที่คอยเผาใจไว้ทำไม
มันคุ้มหรือที่จะเก็บเอาไว้ เตือนตนเอง
รู้เท่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ตั้งจิตแผ่เมตตา
ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
เมื่อนั้นใจย่อมเบาสบาย...สงบเย็น
จะเลือกอย่างไร ให้ตัดสินใจเลือกเอง
ความกล้าที่แท้ คือความกล้าที่จะสละ
ความเป็นตัวตนแม้ว่าจะตนนั้น
จะมีความสำคัญเพียงใดยิ่งใหญ่เพียงไหน
หรือรู้อะไรที่มันลึกซึ้งเพียงใด
ก็กล้าที่จะสละเพื่อความจริงแท้
เพื่อความว่างจากตัวตนที่แท้จริง
เพื่อธรรมที่แท้จริง อันไม่อาจกำหนดหมายเอาได้...
ตั้งมั่นเป็นกลาง คือรู้เท่าทันความชอบ ไม่ชอบ
ในอารมณ์ต่างๆ เมื่อใจตั้งมั่นเป็นกลางแล้ว
จะเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นคือ
โทสะก็ไม่แน่ โมหะก็ไม่แน่ โลภะก็ไม่แน่
มีเกิดและมีดับเป็นธรรมดา
ตรงนี้แหละนะที่เป็นจุดสำคัญในการภาวนา
เพราะเวลาภาวนาดีๆ ก็อยากจะรักษาให้ดีตลอดกาล
เวลาไม่ดีก็อยากผลักไสออกไปหาไปทำให้มันดี
ไม่ยอมรับความจริงเมื่อไม่ยอมดูความจริง
แม้ความจริงจะแสดงอยู่ต่อหน้าก็ไม่เห็นนะ
ใจนี่ต่อให้สงบลึก ประณีตละเอียดแค่ไหน
ก็อย่าไปหลงเพลินนะ ให้รู้สึกตัว
ให้เห็น รู้ไปเลยว่าความสงบนั้นถูกรู้สึกอยู่่
ไม่ใช่เรา เป็นเพียงแค่อาการ
เป็นอาการที่เรียกว่าความสงบ
เหมือนกับอาการที่เรียกว่าความวุ่นวาย
สงบก็อยากจะตรึงดึงไว้
วุ่นวายก็อยากจะผลักออก
รู้เท่าแล้ว ไม่ดึงไม่ผลัก
จิตเป็นกลางตั้งมั่น
เพื่อรู้ตามจริง
ที่ว่าดูลม ดูกาย ดูจิตนั้น
ไม่ใช้หมายถึงว่าเอาตา หรือเอาความรู้สึก
หรือเอาจิตไปคอยดูคอยจ้องในสิ่งนั้นๆ
แต่เป็นเพียงแค่รู้สึก ถึงสิ่งที่เป็นที่มีอยู่จริงๆ
ในปัจจุบันเท่านั้นเอง เช่นว่าดูลม ก็คือ
รู้สึกถึงความที่ลมเข้าหรือออก ยาวสั้น
หยาบละเอียด แค่รู้สึกๆเท่านั้น
การดูจิต ก็คือการที่เราคอยรู้สึกถึง
อารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เป็นอาการของจิต
เพราะเมื่อรู้ทันอาการจิตไม่ไหลไปเป็นอาการ
ความรู้นั้นก็จะรู้อยู่ที่จิตเองโดยอัตโนมัติ
ที่ว่าดูคืออย่างนี้นะ คือรู้ รู้สึกๆนะ
คนที่ยังไม่เห็นตนเอง แต่คิดเอาว่าเห็นตนเอง
และปฏิบัติด้วยจิตว่างตลอดเวลานั้น
เป็นเรื่องโกหกและ โง่เขลาด้วย
เขาย่อมตกไปสู่ห้วงเหวอเวจีได้
เหมือนคนเมาไม่อาจแยกดีออกจากชั่วได้
ถ้าท่านใส่ใจที่จะฝึกฝนอบรมการปฏิบัติ
ให้เข้าใจตนเอง ท่านต้องเห็นตนเองเสียก่อน
แล้วท่านจึงจะทำลายความคิดปรุงแต่งให้สิ้นสุดได้
การบรรลุธรรมโดยไม่เห็นธรรมชาติของตนเองก่อน
ย่อมเป็นไปไม่ได้ .......
...................................
คำสอนเซ็น
ความสงบทางภายนอก
ก็อาจช่วย ให้ใจสงบได้บ้าง
สงบพอที่จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจ
แต่เมื่อฝึกฝนในการภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
ย่อมสามารถที่จะสงบได้ในทุกๆ สิ่งแวดล้อม
เพราะกิเลส และความทุกข์
ไม่เคยเลือกสถานที่ และเวลา
จิตใจจึงต้องพร้อมเสมอ คือพร้อมรู้
พร้อมที่จะรู้สึกตัวเท่าทันในทุกกาล
ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ไม่ใช่แค่เพียงมีความอดทนทางกายแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ต้องมีความอดทนทางใจด้วย อดทนต่อความปรุงแต่ง
อดทนในการที่จะเพียงรู้ ไม่เข้าไปเป็น
อดทนในการที่จะไม่รักษา รู้
จนถึงจุดที่จิตนี้มีความอดกลั้นอย่างยิ่งต่อความปรุงแต่ง
ไม่ให้ค่าความหมายไปทางชอบชัง ดึงหรือผลักออก
เมื่อนั้นหนทางแห่งมรรคาจะเปิดออกสู่ความเห็นแจ้งธรรม
การที่รู้สึกๆ นี้ คือการรู้สึกตัว
รู้สึกโดยที่จิตไม่หลงนี่เรียกว่ารู้สึกๆ
เมื่อรู้สึกก็ถอนตัวจากการเข้าไปเป็น
แม้เพียงชั่วขณะ แต่จิตใต้สำนึกเอง
ก็ได้สั่งสมข้อมูลแล้วว่าสิ่งที่รู้สึกและรู้สึกได้นั้น
ไม่ใช่เรา ของเรา เมื่อถึงจุดที่ปัญญาในการรู้เต็มรอบ
จิตมันจะสลัดทิ้งเยื่อใยเหล่านั้นออกไปเอง
โดยไม่มีเราไปทิ้งอะไร
การภาวนานั้นเราเคยบอกแล้วว่า
ต้องรู้จักผสานรวมวิถีภาวนาเข้าไปในวิถีชีวิต
เราไม่รู้ว่ากิเลสและความทุกข์จะมาถึงเมื่อไหร่
ถ้าเราเอาเวลามาใช้ภาวนาวันละชั่วโมง สองชั่วโมง
มันไม่เพียงพอกับสิ่งที่รับมาทั้งวันหรอกนะ
กิเลสมันเกิดที่ไหน ตอนไหน ก็ต้องรู้มันที่นั่นนะ
ความรู้ตัวที่เจริญอยู่เสมอๆนี่แหละภาวนานะ
ภาวนาคือชีวิต ชีวิตคือภาวนา
ออกจากโลกก็เหมือนอยู่ในโลก
อยู่ในโลกก็เหมือนออกจากโลก
วิถีจิตที่ตื่นรู้ไม่มีแบ่งแยกนอกใน
สิ่งทั้งปวงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
เป็นเพียงสิ่งใด สิ่งหนึ่ง...ไม่หมาย ไม่ให้ค่า
แต่ก็รู้เท่าทันสมมุติ ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
เข้าใจก็เข้าใจ...ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ
เพิกถอนใจออกมาจากโลกของความคิดเสียก่อน
แล้วความเข้าถึงใจจะปรากฏชัดกับใจเอง
ประตูสู่อมตะธรรมนั้น
เปิดอยู่เสมอในทุกๆกาล
หมั่นเจริญภาวนาให้ได้ในทุกกาล
ดำรงชีวิตด้วยสติสัมปชัญญะ
ประตูนั้นอาจมาถึงได้ทุกเมื่อ
อยู่ที่เราพร้อมจะก้าวเข้าไปหาหรือไม่
หรือปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปหายไป
ในห้วงแห่งกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง....
ความมืดเมื่อแสดงตัวแล้ว ถูกเห็นแล้ว
ในความเป็นสิ่งดำมืดย่อมต้องแพ้แสง
แสงที่รวมกันมากย่อมขจัดความมืดให้สิ้นไป
แต่ถ้าแสงน้อย ย่อมต้องถูกความมืดกลืนกิน
ตกอยู่ในความมืดไปอีกนาน กำลังของแสงจึงสำคัญนัก
แสงมาจากใจบริสุทธิ์ตั้งมั่น..มีแต่ความปราถนาดีแผ่ออกมา......
พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
มาอยู่กับความรู้สึกตัว
เมื่อต้องเดิน ให้รู้ว่ามีการเดิน ไม่ใช่ฉัน
เมื่อต้องกิน เพราะสมควรไม่ใช่อยาก
เมื่อต้องทำสิ่งใด หันมาพิจารณาด้วยสติ ปัญญา
เห็นสมควรกระทำ สมควรกับกาล สมควรกับเหตุ
ให้เดินหน้าไปพร้อมสติปัญญา รู้สึกตัวนะ....
ในความว่างยังไม่ว่างจริง
ไร้รูปไร้นามก็ยังไม่ไร้จริง
ทูลถามพระพุทธองค์
จะตัดกิเลสได้อย่างไร
อยู่ในโลกแต่ออกจากโลก
การน้อมไปหากิเลสคือความทุกข์
การตัดกิเลสก็เป็นความทุกข์
เมื่อฟังเข้าใจแล้ว
พึงลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
พระโพธิธรรม(ตั๊กม้อ)
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
เมื่อคนทุกคนมีสันติ สงบเย็น
ก็จะไม่มีคนชั่ว คนดี
คือ เสมอกันอยู่ด้วยธรรม
แต่ปัจจุบันนี้ในภายนอกนั้นเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้น เราต้องทำภายในใจเรานั้น
ให้มองในภายนอกว่าไม่มีคนชั่ว ดี
มีแต่ รูปธรรม นามธรรม
ที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น
คนถ้าเคารพธรรม ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร
แต่ถ้าคนเคารพ คน เคารพบูชาความเห็นของคน
ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีธรรม ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งเสมอ
เพราะคนนั้นมักให้ค่าเปรียบเทียบ ดีเลว เสมอ
แต่ธรรมเป็นสิ่งเดียวรวดเสมอๆกัน
ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องอะไรไปหมดหรอก
ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรลึกๆมากก็ได้
เพียงแค่รู้ว่ามีความรู้สึกอันใดเกิดขึ้นมาในใจก็พอ
ด้วยท่าทีที่เป็นกลางไม่ดัดแปลงสิ่งที่รู้สึก
ยอมรับด้วยใจที่ตื่นรู้ เท่านี้ก็พอ....
ธรรมจะแสดงตัวของมันให้เราได้รับรู้เข้าใจเอง
ว่าไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ในโลก
เป็นเพียงแค่ก้อนกรวดธรรมดาแต่มั่นคง
ไม่ต้องเป็นเพชรพลอยที่โดดเด่นก็ได้....
วิถีแห่งชีวิตนี้แหละ แบบธรรมดาๆนี้แหละ
คือชัยภูมิที่แท้จริง สำหรับผู้ภาวนา
กิเลสทั้งหลาย ก็มีทั้งจากภายในความปรุงของเราเอง
และที่มาจากภายนอก แต่ส่วนมากจะรับมาจากข้างนอกทั้งสิ้น
การจะละกิเลสก็ต้องรู้จักกิเลส
เห็นความไม่น่าเอาน่าเป็น เห็นความที่นำทุกข์มาให้
การที่จะรู้ซื่อตรงๆกับกิเลสนี้ ใจต้องถึง
มีความมุ่งมั่นต่อจุดหมาย ในหนทางที่เลือกเดิน
และมีเกราะป้องกันไว้ก่อนคือศีล๕
ไม่ละเมิดออกทางกาย วาจา เพียงรู้
กระบวนการอยู่ภายในด้วยความอดทน
กิเลสนี้มันทนการรู้ไม่ได้นาน มันต้องสลายดับไปแน่ๆ
ถ้ารู้ได้บ่อยๆ จิตใจก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น
สติปัญญาก็เพิ่มขึ้น อาจจะดีกว่าผู้ที่ภาวนาอยู่ในป่าเขา
ที่ไม่มีสิ่งกระทบอะไรเลยก็ได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น
เป็นเรื่องของสติ ของปัญญา ไม่ใช่เรื่องจมแช่อยู่กับความสงบ
ผู้มีจิตรู้ตั้งมั่นอยู่
ย่อมพ้นจากความกลัวทั้งหลาย
แม้แต่ความตาย
เพราะความกลัว
เกิดจากความไม่รู้
ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา
ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า
ความกลัวก็เพราะไม่รู้
จึงปรุงแต่งมากมาย
ทั้งอดีต อนาคต ผสมปนกันไป
จิตรู้ตั้งมั่นนั้นไม่ไปเป็นความปรุงแต่ง
ไม่ถูกความปรุงแต่งครอบงำ
จึงพ้นจากความกลัว
ารไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทั้งทางกาย วาจา ใจ
เป็นการที่เรารัษาศีล ๕ ได้เกือบครบทุกข้อแล้ว
เพิ่มอีกอันคือไม่ประมาท มีสติ อยู่เสมอ
เมื่อไม่ทำให้ผู้อื่นเร่าร้อน ใจเราก็ไม่เร่าร้อน
มีความเป็นปกติ ความเป็นปกติของใจนี่แหละ
คือใจเป็นศีลนะ....
เมื่อใจเป็นศีล ก็สามารถมีใจที่ตั้งมั่นได้ง่าย
เมื่อมีใจตั้งมั่น ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง
ของสิ่งที่สำคัญผิดว่าเราของเรา
เพื่อถอดถอนความยึดมั่นว่า
เราของเราออกจากใจ
การยอมรับสิ่งที่ปรากฏแก่จิตใจ
ทั้งที่นำทุกข์มาให้ ทั้งที่นำสุขมาให้นั้น
ต้องมีขันติ มีความอดทนอย่ายิ่งที่จิต
ที่จะไม่เข้าไปปรุงแต่งเพิ่มเติม
เป็นแต่เพียงรู้ และดู แบบไม่แทรกแซง
เห็นถึงความไม่จีรังในสภาวะธรรมทั้งหลาย
รู้เท่าทั้งความยินดี ยินร้าย แต่ไม่เข้าไปเป็น
เห็นแต่เพียงธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง
และไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้ เมื่อจิตสามารถยอมรับ
ได้อย่างจริงใจ ทั้ง สุข ทั้งทุกข์
ประตูสู่อมตะธรรมย่อมเปิดรอรับอยู่ในขณะนั้นนั่นเอง
ความเพียรเป็นสิ่งที่ต้องขวนขวายเอาเอง
ใครสอนเอาไม่ได้ ไม่มีใครบังคับ
อยู่ที่ว่าเห็นคุณในภาวนา
เห็นโทษในกิเลสหรือไม่
ภาวนาแล้วกิเลสสั้นลงก็เห็นผลก็จะตั้งใจมากขึ้น
ไม่เห็นผล ก็แสดงว่าผิดสิ่งใดซักอย่าง
ต้องตรวจสอบตัวเอง
ไม่งั้นจะบั่นทอนจิตใจในการภาวนา
ธรรมะพระศาสดาเรียบง่าย เห็นผลได้ในปัจจุบัน
เหมือนเปิดของคว่ำ ให้หงายขึ้นเท่านั้นเอง....
ธรรมะไม่ยากไม่ง่ายเพียงแค่เหมาะสมกับแต่ละคน
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงรู้จริตนิสัยของผู้ฟัง
ทรงแสดงธรรมให้ตรงกับจริตนิสัย ตรงกับความกล้าแห่งอินทรีย์
มาในสมัยนี้เราต้องสำรวจตัวเองว่ามีจริตนิสัยอย่างไร
โดยไม่มีอคติลำเอียง แล้วขวนขวายศึกษาเอาจากตำรา
หรือครูบาอาจารย์ ให้ตรงกับนิสัยเราไม่ใช่เอาตามชอบชังของเรา
แล้วจะมีความก้าวหน้าในธรรมเป็นลำดับ
ถ้าไม่รู้จักตัวเองไม่รู้จักทางของตัว
ภาวนาไปๆมาๆ ไม่ถึงไหน หมดกำลังใจเสียอีก
เรื่องนี้ ...สำคัญเหมือนกันนะ...
แต่ก่อนเมื่อเกือบ15ปีที่แล้ว
ตอนนั้นเพิ่งบวชใหม่
เพื่อนสหธรรมมิกชวนไปเที่ยวป่า
เราตอบว่า"ขอเที่ยวป่าในใจก่อน"
คือในใจเรายังวกวนอยู่ในป่าหาทางไปยังไม่ได้
ก็เลยคิดว่ายังไม่พร้อมจะไปไหน
ก็เที่ยวอยู่ในใจอยู่2ปี พอจะเห็นทางบ้างแล้ว
ก็เข้าป่าจริงๆ ก็ได้อะไรเยอะ รู้เห็นอะไรบ้าง
ตามที่เป็น ได้ทดสอบจิตใจหลายอย่าง
อยู่ใกล้ความตายดีไม่ค่อยประมาท
เผลอสติไม่ได้เลย ก็ได้ประโยชน์เยอะ
แต่คนภาวนาอยู่ป่ามักจะติดป่า
ไม่ค่อยออกมาข้างนอก
ใจที่ฝึกมาจริง ต้องอยู่ได้
ทั้งในป่า และในเมือง
ต้องเห็นเหมือนๆ กันเสมอกัน.....
เห็นความว่างในความสงบ
เห็นความว่างในความวุ่น
นี่เรียกว่าเสมอๆ กัน
ธรรมชาติของจิตต้องคิดนึก
เราไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่คล้อยตาม ไม่หักหาญ
เราเป็นเพียงแค่ผู้เห็น ไม่ใช่เป็นผู้เป็น
เมื่อไม่เพลินในความคิด ไม่ให้ค่าในความคิด
ความคิดนั้นย่อมดับไปตามธรรมชาติ
เพราะหมดเหตุสืบต่อ
เพราะฉะนั้นอย่าไปห้ามความคิด
รู้เท่าความยินดี ยินร้ายที่เกิดขึ้นเพราะความคิด
ใจจะเป็นกลางใจที่เป็นกลางนี้จะรู้ตั้งมั่น
เมื่อใจตั้งมั่นย่อมเห็นตามเป็นจริง
ตามเป็นจริงคือสิ่งทั้งหลาย
ทั้งฝ่ายรูปธรรม และนามธรรม
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไป บังคับไม่ได้
การที่ไม่สามารถรู้ตามเป็นจริง
ในรูปนาม กายใจ
ทำให้เกิดแรงทะยานของจิต
เพื่อเข้าไปเสพไปเอา
ในอารมณ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นสุข หรือทุกข์
การไม่ยอมรับตามเป็นจริง
ทำให้เกิดการดึงดูดเข้ามา(สุข)
และผลักออก(ทุกข์) ในความเป็นจริงคือ
มันบังคับไม่ได้ ไม่เที่ยงแปรปรวน
ทนอยู่ไม่ได้ทั้งสุขทุกข์ เมื่อเห็นจริง
ก็ไม่เข้าไปเป็นเองความอยากก็ดับลงที่นั้น....
การที่คอยรู้สึกที่กายเรื่อยๆ จะช่วยให้ใจ
รู้ในปัจจุบันได้มากขึ้นแต่อย่าไปจมแช่
หรือเพ่งใส่กาย(รวมทั้งลมหายใจด้วย)
เพราะจิตจะนิ่งไปหมด ความปรุงแต่งก็ถูกระงับไป
เพราะมาใส่ใจที่กายมากไปไม่เป็นธรรมชาติ
ที่ควรคือ รู้สึกได้เท่าที่รู้ ไม่จมแช่อยู่ทั้งนอกใน
ให้จิตได้ทำงานตามหน้าที่ของมันคือการนึกคิด
แล้วเราคอยรู้ คอยเห็นความนึกคิด
เพื่อจะได้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้
ของอารมณ์ในภายใน นี้จึงมีโอกาสก้าวหน้าในธรรม
เพราะเป็นการมองเห็นความจริง ไม่งั้นก็จะเป็นสงบ
และก็ฟุ้งซ่านสับไปมาเพราะขาดการเรียนรู้
ความจริงคือไตรลักษณ์....
อย่าให้สถานที่ และสถานการณ์
มามีอิทธิพลเหนือใจเรา
อยู่ที่ไหน มีเหตุอันใด
คอยตามรู้ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง
ทั้งภายนอก ภายใน ใจมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา
บังคับไม่ได้จริง ให้ยอมรับความจริงนี้
แล้วเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงนั้น
ในฐานะคนนอก อย่าไปบังคับใจให้นิ่ง
จะทำให้พลาดจากการเห็นความจริงของใจ....
แก่นแท้ๆ ของการภาวนา มีแค่รู้ เท่านั้นเอง
ถ้าเข้าใจรู้แล้ว ก็จะเข้าใจการภาวนาในลักษณะต่างๆ
ทั้งยังมองเห็นหรือเชื่อมโยงข้อธรรมต่างๆเข้าด้วยกันได้
เห็นว่าลักษณะใดเป็นรู้เพื่อความสงบ
ลักษณะใดเป็นรู้เพื่อเห็นตามเป็นจริง
การรู้ก็คือการที่เรารู้สึกๆ โดยที่ไม่หลงไปกับสิ่งที่ไปรู้
ทรงตัวตั้งมั่นอยู่ตามธรรมชาติ อยู่ต่างหากจากสิ่งที่ถูกรู้นั้น
พิจารณาให้ดี มนสิการให้แยบคาย ใช้การสังเกตเอานะ
ที่สุดแห่งสมาธิ ก็ถึงแค่อัปปนาสมาธิ
ที่สุดแห่งปัญญา ก็เห็นว่าไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตน
ในขั้นแรกก็เท่านี้เอง แต่อัปปนาในขณะกำลังเดิน
อยู่บนทางนั้นไม่ถึงก็ไม่เป็นไร
แค่พอใจตั้งมั่นเป็นขณะๆก็พอ
เมื่อขณะแห่งมรรคมันจะเกิด
จิตมันจะรวบเข้าไปตัดสินความรู้
ที่อัปปนาสมาธิเอง..แค่นี้ไม่มากมายอะไร
ทำความเห็นให้ตรงก่อนเท่านี้เอง
อย่าคิดว่าจะทำสมาธิไม่ได้
แค่รู้สึกตัวในแต่ละครั้ง
มันจะหลุดออกมาจากโลกของความคิด
เมื่อนั้นจิตจะตั้งมั่นชั่วขณะ เป็นขณิกสามธิ
เมื่อรู้สึกตัวบ่อยๆ ขณิกสมาธิเกิดได้บ่อยๆขึ้น
จนสามารถติดต่อกันเป็นสาย
จิตสามารถหน่วงเหนี่ยวเป็นเอกัคตาแล้ว
สมาธิที่แนบแน่น คืออัปปนาสมาธิ
จะเกิดขึ้นเองโดยปราศจากความจงใจ
เป็นการเกิดในขณะแห่งอริยมรรค .......
สมาธิ เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งหลายที่พิจาราณามา
เมื่อจิตวางอารมณ์ที่พิจาราณาแล้วเพราะเห็นจริง(วางเอง)
จิตจะรวบความรับรู้ หรือความรู้ มารู้อยู่ที่จิต(เป็นสมาธิ)
เป็นการย้อนทวน กระแสของตัณหาที่คอยส่งออก
มาประจักษ์กับจิตรู้เดิมๆ ซึ่งเป็นจิตที่มีคุณภาพเพียงพอ
ในการไปรู้แจ้งในธรรมอันยิ่ง....
ถ้านั่งสมาธิ แล้วอยากสงบ
มันก็ยากที่จะสงบ เพราะถูกความอยากชักนำอยู่
แต่ถ้าเพียงรู้ รู้สึก สิ่งที่ปรากฏชัด ที่ปัจจุบันเรื่อยๆ
ไม่คาดหวัง จะสงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง ก็เพียงแค่รู้
มันจะคิดก็คิดไป ก็เพียงรู้ๆ เรื่อยๆ ไม่ลืมกาย
ไม่ลืมความรู้สึกตัวเพียงไม่นานเลยจริงๆ
ความสงบก็จะปรากฏชัดกับใจในขณะนั้นนั่นเอง
เพียงเพราะไม่วิ่งตามความอยาก
เพียงเพราะไม่กระวนกระวาย
การภาวนานั้นโดยแก่นแท้แล้ว
มันไม่ได้มีว่าถูกจริตฉัน หรือถูกจริตใครๆหรอก
ถ้าในขั้นแห่งสมถะนั้นก็มีมากหลายนับไม่ถ้วน
ที่สามารถมาเป็นเครื่องรู้ของจิตเพื่อความสงบตั้งมั่นได้
แต่ในวิถีอันนำไปสู่ความรู้แจ้งแล้ว มีเพียงทางเดียว
คือรู้ รู้สิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าที่ปัจจุบัน จนจิตยอมรับว่า
สิ่งที่รู้หรือแม้แต่ตัวที่รู้นั้นล้วนตกอยู่ในกระแสแห่งไตรลักษณ์
เมื่อรู้เห็นดังนั้น ย่อมเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
จนสละคืนสิ่งทั้งหลายคืนสู่ธรรมชาติเดิมของมัน
ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงเลย
สิ่งที่ต้องพัฒนาที่ต้องเรียนรู้คือ
ต้องพัฒนาจากผู้ไม่มี เป็นผู้มีสติ
จากไม่มีความรู้สึกตัว เป็นผู้มีความรู้สึกตัว
จากผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น
จากไม่เป็นกลาง มาเป็นกลาง
จะทำอย่างไร?
คอยรู้กาย คอยรู้ใจ
รู้สึกจริงที่กาย กายเป็นอย่างไรก็รู้สึกอย่างนั้น
ใจเป็นอย่างไรก็รู้สึกอย่างนั้น รู้ๆในปัจจุบัน
ไม่ไหลไปในความคิด ในอดีต อนาคต
แล้วจิตใจที่หมั่นฝึกซ้อมนั้น
จะพัฒนาไปตามลำดับเอง
รู้จักสังเกต ในกายใจตนเองนี้สำคัญนะ
การทำความเพียรมิใช่เพียงแค่
เดินจงกรม หรือ นั่งสมาธิ ทั้งวันทั้งคืน
แต่เป็นการที่เราสามารถที่จะเจริญสติ(ปัฏฐาน)ได้
โดยสม่ำเสมอในทุกๆ อิริยาบถ ในทุกๆ กาลที่ตื่นอยู่
นี่ก็เป็นการปฏิบัติแบบอุกฤษ์เหมือนกัน
มิใช่ว่าต้องนั่งทน เดินทนแต่เพียงอย่างเดียว
ใจที่รักชอบในธรรมะ
กับใจที่อุทิศให้ธรรมนั้นต่างกันอยู่บ้าง
ใจที่รักชอบในธรรมะมักจะมีความเหนียวแน่นในความเห็น
ที่ตนเห็นว่าถูกต้อง เพราะพยายามสั่งสมความรู้ความเข้าใจ
ให้มากขึ้นเพราะความรักชอบเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม
สำหรับผู้อุทิศตัวให้กับธรรมนั้น จะยกธรรมขึ้นตั้ง
คือ ธรรมที่เป็นคุณธรรม สละทุกๆอย่างได้เพื่อธรรม
สละความสำคัญในความคิดเห็นของตน
สละตนออกไป เพื่อธรรมแท้จริง
ถ้าเราไม่เห็นแจ้ง เราจะยอมสยบต่อรูป ต่อนาม
ต่ออาการของรูป ต่ออาการของนาม
ทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจของความคิดปรุงแต่ง
ต่อเมื่อมีสติสัมปชัญญะ เราจึงหลุดพ้น
จากอำนาจความคิดปรุงแต่ง คล้ายกับว่าเราสามารถ
คิดโจทย์เลขได้ถูก ไม่มีอะไรที่ข้องติดเหมือนแต่ก่อน
การเรียนรู้เรื่องกายเรื่องใจ จึงเปรียบเหมือน
เราเรียนจบหลักสูตรชั้นประถมอย่างสมบูรณ์
แต่ก่อนเราเข้าไปเป็นกับอาการของรูปหรือกาย
เช่น เมื่อรู้สึกร้อนเราก็เป็นผู้ร้อน เมื่อรู้สึกหนาว
เราก็เป็นผู้หนาว เมื่อรู้สึกหิวเราก็เป็นผู้หิว
เมื่อรู้สึกเจ็บเราก็เป็นผู้เจ็บ เป็นต้น
เราเป็น "ผู้เป็น" ไปกับอาการเหล่านั้นทั้งหมด
เรียกว่า เราจำนนต่ออาการต่างๆ และปล่อยให้
สิ่งเหล่านั้นเป็นใหญ่ ต่อเมื่อมีสติสัมปชัญญะ
สิ่งเหล่านั้นเป็นใหญ่ไม่ได้อีก เพราะเราเห็นว่า
สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงอาการของรูป อาการของนาม
เช่น ความโกรธเป็นอาการ มันไม่เที่ยง
มันไม่มีตัวตนอะไร การเห็นเช่นนี้จึงเปรียบเหมือนกับ
เกิดตาวิเศษขึ้นมารับรู้เกี่ยวกับอาการของรูป
เกี่ยวกับ อาการของนาม
___________________________
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ.
ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง.
ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็น จริงอย่างไร.
ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป
ความเกิดและความดับแห่งเวทนา
ความ เกิดและความดับแห่งสัญญา
ความเกิดและความดับแห่งสังขาร
ความเกิดและความดับแห่ง วิญญาณ.
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
พุทธพจน์
การที่จะละความยึดถือในอารมณ์ต่างๆได้นั้น
จิตมันต้องมองเห็นรับรู้ได้ว่าอารมณ์เหล่านั้น
ไม่มีรสชาติ ไม่เอา น่าเป็น จืดๆ ชืดๆ
เพราะเห็นความจริง ว่าสุขก็เท่านั้น ทุกข์ก็เท่านั้น
ไม่รักษาไว้ ไม่ผลักไสออก ไม่มีเชื้อไปเสริม
ไม่มีเราไปแตะต้องคลุกเคล้าอยู่ด้วย
มันก็ดับไป ดับไป เกิดความเบื่อหน่าย
คลายออกเอง จนถึงจุดที่เห็นว่า
เป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น
ไม่หมายว่าเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นอะไร
ความไม่มีอุปาทาน
คือ ผู้ไม่ยึดว่า ตัว ตน เรา เขา
เป็นเพียงอาศัย
ได้แก่ผู้ถางทางยังจิตตน
เข้าสู่่แดนสงบสันติสุข
อันบริสุทธิ์ หลุดพ้น
ไม่มีทุกข์เจือปน....
__________________
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
ผู้ใดไม่มีกังวลว่า นี้ของเรา นี้ของผู้อื่น
ผู้นั้นเมื่อไม่ถือว่าเป็นของเรา
จึงไม่เศร้าโศกว่าของเราไม่มีดังนั้น...
~~~~~~~~~~~~~~~~
พุทธพจน์
การศึกษาธรรมะ มีคนถามเราว่า
ต้องศึกษาอะไรมากไหม
เราก็ว่า ถ้ามีโอกาสมีเวลา
ก็หาหนังสือมาอ่านมาศึกษา
พอให้เข้าใจในแนวทางก่อนก็ได้
แต่แนวทางนั้นต้องเป็นไปเพื่อความสละ
เพื่อความคลายออก จากความยึดถือ
ในร่างกาย ในจิตใจนี้ ลดละความถือตัวตนลง
แต่ถ้าไม่มีเวลาก็เรียนรู้ลงที่กายใจไปเลย
กายเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างไร ให้รู้สึกตัว
จิตใจอารมณ์ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงอย่างไร ให้คอยรู้สึกตัว
เท่านั้นเอง คอยรู้บ่อยๆ จะเข้าใจในธรรมไปตามลำดับ
ภิกษุนั้นเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมไม่กำหนัดในรูปที่น่ารัก
ย่อมไม่ขัดเคืองในรูปที่น่าชัง เป็นผู้มีสติในกายตั้งมั่น
และมีจิตหาประมาณมิได้อยู่ ย่อมทราบชัดเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับหมดแห่งอกุศลธรรม
อันลามกตามความเป็นจริง.
เธอละความยินดียินร้ายอย่างนี้แล้ว
เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ดี ก็ไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง
ไม่ติดใจเวทนานั้น เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน
ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลิน
ในเวทนาทั้งหลายก็ดับไป
เพราะความเพลิดเพลินดับ อุปาทานก็ดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพก็ดับ เพราะภพดับ ชาติก็ดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์โทมนัส
และอุปายาสของภิกษุนั้นก็ดับ ความดับแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนั้นย่อมมีได้ อย่างนี้.
______________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
มหาตัณหาสังขยสูตร
ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น
มีทั้งที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ
ถูกใจก็ทำให้ใจเผลอเพลินไปกับเรื่องนั้นๆ
ไม่ถูกใจก็ทำให้เกิดการผลักดันไม่ยอมรับ
รวมความก็คือความชอบ ไม่ชอบทั้งหลาย
ที่เกิดเพราะความคิดนั้น
ให้คอยรู้เท่าทัน เมื่อนั้นใจเป็นกลาง
ปราศจากฉันทาคติ และอคติ
แล้วจึงพิจารณาด้วยเหตุผล
ด้วยสติปัญญาให้รอบคอบ
ใจที่เป็นกลางจึงมองทุกๆสิ่งได้อย่างรอบด้าน
ธรรมะเป็นอาวุธสำคัญที่กิเลสหวั่นไหวเกรงกลัว
เพราะรู้ทันกลอุบายของมัน
ผู้ปฏิบัติจะมีความอิ่มแห่งธรรมเหมือนอิ่มอาหาร
จะเข้าใจกันเอง ไม่ต้องถาม เพราะธรรมเป็นของอิ่มพอ
แต่กิเลสมันไม่เคยมีความอิ่ม มันหิวกระหายอยู่เป็นนิจ
คนเราถ้ามีกิเลสเต็มตัวแล้ว
มันก็เหมือนหมูเราดีๆ นี่เอง
กินแล้วนอนๆ จนอ้วนพี
เขาก็นำไปขึ้นเขียงสับบั่นเท่านั้น
ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเขาจึงไม่เลี้ยงกิเลส
เขาทำลายกิเลสทั้งนั้น
พระอริยเจ้าทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมา
ท่านรู้ทันกิเลส
เมื่อกิเลสโผนมา ธรรมะโผนไป
กิเลสโหดร้าย ธรรมะโหดดี
อยากรบต้องออกแนวรบ
นักปฏิบัติคือนักรบ เป็นต้องเป็น
ตายต้องตาย จึงจะเอากิเลสอยู่
กิเลสมีเท่าไหร่ ธรรมต้องมีเท่านั้น”
__________________________
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
การแผ่เมตตาต้องแผ่เป็นอัปปมัญญา
ถ้ามีว่าคนนี้รัก ให้มากๆ คนไม่ชอบใจ ไม่ให้
แสดงถึงความมีอคติ ต้องให้เท่าเทียม
ไม่เจาะจง ให้หมด ใจจึงเป็นกลาง ให้หมดแหละ
แผ่เมตตาให้เต็มดวง พ่อแม่จะได้บุญน้อยลงไปไหม
ไม่หรอก เหมือนพระอาทิตย์ส่องโลก
มันก็สว่างไปหมดทั่วทุกมุมโลก
ทุกคนก็เห็นความสว่างเท่ากันหมด
_________________________
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
กิริยาของกิเลสมาก
ก็เจริญธรรมะให้มาก
ให้ธรรมะเหนือกว่ากิเลส
จึงข่มกิเลสได้
จิตไม่วิ่งไปตามกิเลส
เพราะรู้เท่าทัน
เห็นโทษเห็นภัยใหญ่ดังนั้น
จิตพระอริยเจ้าจึงไม่เดือดร้อน
ไปตามกิเลสทั้งปวง....
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
วินัยเพื่อประโยชน์แก่ความสำรวม
ความสำรวมเพื่อประโยชน์แก่ความไม่เดือดร้อน
ความไม่เดือดร้อนเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมทย์
ความปราโมทย์เพื่อประโยชน์แก่ความปีติ
ความปีติเพื่อประโยชน์แก่ปัสสัทธิ
ปัสสัทธิเพื่อประโยชน์แก่ความสุข
ความสุขเพื่อประโยชน์ แก่สมาธิ
สมาธิเพื่อประโยชน์แก่ความรู้เห็นตามเป็นจริง
ความรู้เห็นตามเป็นจริงเพื่อประโยชน์แก่ความเบื่อหน่าย
ความเบื่อหน่ายเพื่อประโยชน์แก่ความสำรอก
ความสำรอกเพื่อประโยชน์ แก่วิมุตติ
วิมุตติเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติญาณทัสสนะ
วิมุตติญาณทัสสนะเพื่อประโยชน์แก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้.
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ปริวาร
การปฏิบัติธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านี่
ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอา แต่ปฏิบัติเพื่อเสียสละ
เราปฏิบัติศีลไม่ใช่ว่าจะหอบศีลเอาไว้
ปฏิบัติสมาธิหอบสมาธิเอาไว้
เจริญปัญญาหอบปัญญาเอาไว้
ถ้าหากว่าเราปฏิบัติเพื่อเอา
อะไรก็เอา ๆ ๆ เอามา สะสมไว้ในใจนี่
ก็เกิดปัญหาขึ้นมา ประเดี๋ยวศีลคืออะไร
สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร
ประเดี๋ยวก็มิจฉาทิฎฐิคืออะไรสัมมาทิฏฐิคืออะไร
วุ่นวี่วุ่นวายไปหมด ฉะนั้น เรามาดูกัน
ที่กายที่ใจของเรานี่ให้มีปัญญา
แก้ปัญหาชีวิตประจำวัน
ที่กายที่ใจของเราให้ได้ไม่ดีหรือ.....
___________________________
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ
เตโชธาตุ และวาโยธาตุ
ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น
ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม
ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้
ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้
ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ
ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ
ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้.
เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้น
ย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
_________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
พึงพากันตั้งใจ สำรวมใจของตนให้แน่วแน่
อย่าปล่อยใจไปข้างนอก
ผู้ใดภาวนาส่งใจไปข้างนอกก็มีผลฯ คือ
๑.) ให้เกิดความรักความใคร่
ในอารมณ์ที่น่ารักน่าพอใจ
๒.) ให้เกิดความเกลียดชังคนนู้นคนนี้
ที่ตนได้เคยรังเกียจมาแต่ก่อน
๓.) ทำให้เกิดความกลัว
กลัวผี กลัวอะไรต่ออะไร
ที่เขาสมมติกันว่าผีมันดุ
ต่างๆ นานา ผีหลอกหมู่นี้นะ
ที่มันเกิดอาการดังกล่าวขึ้นมานี้
ล้วนแต่มัน "ส่งจิตออกนอก"
ไม่มีสติสำรวมจิตอยู่ภายใน
ถ้าหากว่าน้อมสติระลึกเข้าไป
หาความรู้สึก "อยู่ภายใน" นั้นแล้ว
ควบคุมจิต คือ ความรู้สึกอันนั้นได้
มันจะไม่เป็นอย่างว่านั้นเลย
มันจะไม่หลงรักหลงชัง
มันจะไม่หลงขลาดกลัวอะไรต่ออะไร
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นน่ะ
มันมีเหตุปัจจัยของตัวเองอยู่แล้ว
______________________
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
"จิต เหนือกายเหนือโลก"
.. จิตนี้ถึงแม้จะไม่มีตัวตนและถูกต้องไม่ได้
แต่จิตก็มีอิทธิพลเหนือกายและสิ่งทั้งหลายในโลก
สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้
ให้อยู่ใต้อิทธิพลของตนได้ แต่จิตนี้
ก็มิใช่โหดร้ายสามานย์จนไม่รู้จักดีรู้จักชั่วเสียเลย
เมื่อผู้มีความปรารถนาดี มาฝึกหัดอบรมจิตนี้
ให้เข้าถูกทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ดังแสดงมาแล้ว จิตนี้ยังจะเชื่องง่าย
ฉลาดเร็วมีปัญญาพาเอากาย
ที่ประพฤติเหลวไหลอยู่แล้วให้กลับดีได้
นอกจากนี้ยังสามารถจะชำระจิตของตน
ให้ผ่องใสสะอาดปราศจากมลทิน รู้แจ้งเห็นจริง
ในอรรถธรรมอันลึกซึ้งสุขุมได้ด้วยตนเองด้วย
พร้อมกันนั้นจะสามารถนำเอาโลกนี้อัน
อันธการปกปิดให้มืดตื้ออยู่แล้ว ให้สว่างแจ่มจ้าได้ด้วย
เพราะเนื้อแท้ของจิตแล้ว "เป็นของสว่างแจ่มใสมาแต่เดิม"
แต่เพราะอาศัยอารมณ์ของจิตที่แทรกซึมเข้ามาปกปิด
จึงได้ทำให้แสงสว่างของจิตนั้นมืดมิดไปชั่วขณะหนึ่ง
แล้วก็พลอยทำให้โลกนี้มืดมิดไปด้วย หากจิตนี้
เป็นของมืดมิดมาแต่กำเนิดแล้ว คงไม่มีคนใดใคร
จะสามารถชำระจิตนี้ให้ใสสะอาด
เกิดปัญญาแสงสว่างขึ้นมาได้
ฉะนั้น โลกนี้จะมืดหรือจะสว่าง
จะได้รับความสุขหรือความทุกข์ ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิต
ของแต่ละบุคคล บุคคลจึงควรฝึกหัดจิตของตน ๆ
ให้ดีเสียก่อนแล้วจึงฝึกหัดจิตของคนอื่น
โลกนี้จึงจะไม่มีความยุ่งต่อไป ..
________________________
มรรควิถี
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
บางคนภาวนาไปอยากเห็นภาพต่างๆ
เช่น นรก สวรรค์ เทวดา เป็นต้น
การที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรแปลก
ที่ว่าไม่แปลกก็เพราะว่าเมื่อเห็นแล้ว
กิเลสของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิม
บางคนแถมยังทำให้เกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้นอีกเสียด้วย
คือถือว่าตนเองเป็นผู้วิเศษที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้
เลยไม่ยอมกราบไหว้ใครทั้งนั้น จนกลายเป็นสัคคาวรณ์
มัคคาวรณ์ ปิดกั้นทางมรรค ทางผล ทางนิพพานไปโดยปริยาย
ความเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นความเห็นที่ผิด
จากหลักของศาสนาส่วนความเห็นที่ถูกนั้นคือ
การเห็นจิตตามความเป็นจริง เห็นกายตามความเป็นจริง
คือเห็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ของตนและของคนอื่น
สักแต่ว่าเป็นธาตุ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตนตัว เราเขา
และเห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถ้าเราสามารถเห็นได้แบบนี้แล้ว เรียกว่า
“เห็นกายตามความเป็นจริง”
____________________________
หลวงปู่คำดี ปภาโส
" .. ทำไมต้องภาวนากัน ภาวนาทำไมจึงต้องหลับตา
ทำไมจึงต้องนั่งขัดสมาธิ นี่แหละมันมีหลายเรื่อง
คำว่า "ภาวนา" นั้นไม่ใช่แต่ว่า จะนั่งสมาธิหลับตาเท่านั้น
จะอยู่ในท่าใดอริยาบถใดได้ทั้งนั้น "
"ภาวนาไม่ใช่การได้ เป็นการทิ้ง ทิ้งของไม่ดี
ชำระของไม่ดีที่มันติดที่ใจของเรา
แต่เราไม่ทราบ ถ้าไม่ค้นหาก็ไม่ทราบ
และไม่ทราบจะเอาไปทิ้งที่ไหนด้วย "
"เพราะเหตุนั้น จึงมาหัดภาวนา ให้มันเห็นของไม่ดี
ที่อยู่ในใจเรา แล้วทิ้งของอันไม่ดีนั้นเสีย นี่คือการภาวนา .. "
___________________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ปฏิบัติทางไม่สั้นไม่ยาว วางกังวล
เลิกเกี่ยวข้องขันธ์ห้าไปเลย เมื่อวางกังวลขันธ์ห้าได้
จิตทิ้งสังขาร เข้าถึงวิสังขาร พระนิพพาน
อย่างท่านอาจารย์มั่นว่า รู้จริง ทิ้งสังขาร
เกิด ดับ (ได้ยิน, ูรู้, ฟัง) (วิญญาณ) ไม่เหลียวไม่แล
ไม่แลไม่เหลียว (สักแต่) คราวนี้ ใจ (จิต) เป็นใหญ่ (จิตแท้)
ไม่หมายพึ่งสัญญา (ไม่มีสังขารหลง) ไม่มีหลงตนหลงภพ
หลงโลก รู้พ้นอยู่ต้นจิต ไม่คิดอ่าน
(ภิกษุณีอรหันต์องค์หนึ่งกล่าวว่า เราถอน ตัณหา ได้แล้ว )
จิตตั้งมั่นอยู่ภายใน เมื่อจิตถึง วิสังขาร ก็เป็น จิตวิสังขาร
(จิตพ้นอวิชชาปัจจยาสังขารา) หยั่งลงสู่ ธรรมวิสังขาร
นิพพานเหมือนน้ำใสไหลจากห้วยสู่ น้ำใสในมหาสมุทร
อันหาขอบเขตมิได้ ไม่ได้สูญหายไปไหน จะว่าหายโง่
หายจากโลกโง่ ภพโง่ ก็ได้ ไม่หายไปไหน อยู่ที่
อมตมหานิพพาน ก็ได้
_________________________
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
ธาตุรู้เป็นผู้อยู่กลางๆ ไม่มีอาการใดๆทั้งหมด
ฉะนั้น ธาตุรู้จึงไม่มีความรู้สึก ดีชั่วอะไร
ธาตุรู้นี้ ต้องมีสัญญา สังขาร อุปาทาน เข้าไปสัมปยุต
จึงจะเกิดอาการต่างๆ ขึ้นมาได้
เช่น สังขารปรุงแต่งดีชั่ว หยาบละเอียดต่างๆ
จึงเกิดขึ้นมา เมื่อสังขารปรุงแต่งแล้ว
ปัญญาเข้าไปตรึกตรองในสิ่งนั้นๆ
จึงถอดเอาความดี ความชั่ว ออกมาตั้งไว้
ให้ปรากฎเห็นชัดว่าอันนี้ดี อันนี้ชั่ว....
___________________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
การดับโลกสามนั้น พระบรมศาสดาของเรา
ก็ประทับนั่งอยู่ ณ ร่มไม้โพธิ์พฤกษ์แห่งเดียว
มิได้เหาะขึ้นไปใน กามโลก รูปโลก อรูปโลกเลย
คงดับอยู่ที่จิต ที่จิตนั้นเองเป็นโลกสาม
จึงสามารถทำลายกิริยาคือตัวสมมุติ หมดสิ้นจากจิต
ยังเหลือแต่ อกิริยา เป็นฐีติธรรม ฐีติจิต อันไม่รู้จักตาย ฉะนี้แล...
________________________________
นโมวิมุตตานัง นโมวิมุตติยา
ขอนอบน้อมแด่ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น
ขอนอบน้อมแด่ผู้ที่หลุดพ้นแล้ว
11 พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ เวลา ๒.๒๓ น.
วันมรณภาพ ดับขันธ์ทั้งมวล
ขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต
การทำสมาธิภาวนาของท่าน
คือการมีสติรอบคอบ
และการมีจิตเป็นปกติธรรมดา
ในการกระทำทุกอิริยาบถ...
_____________________
หลวงพ่อชา สุภัทฺโท
โลกุตตระไม่เกี่ยวกับการออกบวช
ปฏิบัติเคร่งครัดอยู่ในวัดหรือในป่า
แต่เป็นการดำรงจิตอยู่เหนืออิทธิพล
ของอารมณ์ทั้งหลาย ในสากลโลก
คำว่า "โลก" มีทั้งในภาษาวัตถุ (ภาษาคน)
และภาษาธรรม(ภาษาจิตวิญญาณ)
และโลกที่ตรัสว่าโลกคือทุกข์นั้น
เป็นโลกในภาษาธรรม
คือสิ่งที่ยึดถือแล้วเป็นทุกข์
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
พุทธทาสภิกขุ
ผู้มีจิตสงบ
มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตัว
มีสติเป็นผู้เพ่งพินิจ
ไม่เยื่อใยในกาม
ย่อมเห็นธรรมโดยชอบ...
___________________
พุทธภาษิต
“จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเรา
ที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี
ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนา
ในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่องและเสียไป
จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน
คือความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง
มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ
ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม
พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง
สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป
พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้
ตายแล้วจะเสียการให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า
เรามีความแก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน”
__________________________________
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
"เราจะดับทุกข์ได้ ไปดับที่ไหน
ทุกข์มันเกิดขึ้นมาจากเหตุ
เหตุคือจิตไปยึดถือ
ถ้าจิตไม่ยึดถือ
จิตก็ดับไป นั่นเอง"
______________________
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
"เรื่องของใจ ..มันพาให้วุ่น
คิดโน่นคิดนี่ ไปคิดไปติดกับคนนั้นคนนี้
มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ดูหัวใจตัวเอง
ถ้าดูหัวใจตัวเองแล้วจะไม่เป็นอย่างนั้น
นี่คิดดูสิ ดีก็อยู่ที่ปากเขา ชั่วก็อยู่ที่ปากเขา
เขาติฉินนินทาก็อยู่ที่ปากเขาโน่น
เราไม่เอามาเป็นอารมณ์ก็ไม่มีอะไร ๆ ล่ะ
คนที่มีธรรมเป็นอย่างนั้นนะ
มีแต่คนไม่มีธรรมนั่นล่ะ ที่วิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา
หากอบรมแล้ว จิตมันจะลงพรึ่บเลย
ได้กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
กราบครูบาอาจารย์เท่านั้น"
___________________________
หลวงปู่ลี กุสลธโล
"จิตปรุงกิเลส คิอ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ
กระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้เลว ให้เกิดวิบาก
แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
กิเลสปรุงจิต คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามา ทำให้จิต
เป็นไปตามอำนาจของมัน แล้วยึดว่ามีตัว มีตนอยู่
สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่รํ่าไป."
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ให้มีสติ ให้เห็นการเกิดดับของกายและใจ
แต่อย่าให้มันมาทำให้ใจวุ่นวาย
ให้ปล่อยวางมันไป
ความรักเกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป
มันมาจากไหน ก็ให้มันกลับไปที่นั่น
ความโลภเกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป ตามมันไป
ตามดูว่าอยู่ที่ไหนแล้วตามไปส่งมันให้ถึงที่
อย่าเก็บมันไว้สักอย่าง........
_________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท