พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 21 เมษายน 2561
ตอนที่ 321 **การสำเร็จของพระอนาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
พระอนาคามีนั้น มีการบรรลุถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ ที่ใช้ช่วงเวลามาก- น้อยต่างกัน ที่มากน้อยต่างกันนั้น เป็นเพราะอะไรหรือเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาอธิบายธรรมนี้ ให้ลูกได้เข้าใจอย่างละเอียด ด้วยเจ้าค่ะ
ลูกพอจะทราบว่า เป็นเพราะผลของกรรมที่ทำมา ทั้งดี และชั่ว แต่ลูกก็มีความปรารถนาที่จะเข้าใจอย่างละเอียด น่ะเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดวงจิตทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
ทุกคนนั้น
มีเหตุที่มา
มีเหตุที่เป็น
มีเหตุที่จะต้องดำเนินไป ตามเหตุนั้น แตกต่างกัน
- ก็เป็นเพราะว่า แต่ละดวงจิตนั้น.. โดนกิเลสและตัณหานั้น ครอบงำแตกต่างกันไป ++
บางคน มีความโกรธมาก เลยสร้างกรรมแบบโกรธมาก
บางคน มีความโลภมาก เลยสร้างกรรมในรูปแบบ ของความโลภมาก
บางคน มีความหลงมาก เลยสร้างกรรมในแบบหลงมาก
บางคน มีความรักมาก เลยสร้างกรรมในรูปแบบของความรักเอาไว้มาก
แต่ละดวงจิต ถูกเชื้อแห่งกิเลสแต่ละตัว ครอบงำ มากน้อยต่างกัน
คือ โดดเด่นไปในทางใดทางหนึ่ง / เชื้อใดเชื้อหนึ่ง - มากกว่าเชื้อตัวอื่น +
ทีนี้ การสร้างกรรม.. ก็เลยสร้างกรรม - ตามเชื้อกิเลสแห่งตน *
ตัวไหนมากกว่า ก็ทำกรรมในรูปแบบนั้น.. มากกว่า
สั่งสมกรรมไม่ดีเอาไว้.. ทำให้ตนนั้น ต้องเป็นไปตามเหตุของกรรมที่ตนนั้นได้สร้าง ได้ทำเอาไว้
และกรรมดี ก็เหมือนกัน..
ความดีมีตั้งหลายรูปแบบ ให้แต่ละคนเลือกที่จะทำความดี
บางคน ทำทาน แต่ทานนั้นก็มีหลายอย่าง..
บางคน ทานเพื่อที่จะทำในเรื่องของสร้างปัญญาให้ตน เช่น
สอนผู้อื่นให้ฉลาด สร้างหนังสือ สื่อธรรมะ
สร้างหนังสือที่จะทำให้คนอื่นฉลาด เผยแผ่ธรรม
บางคน ทำทาน ให้ในสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งของ
บางคน ก็ทำด้วยปัจจัยทรัพย์
บางคน ก็ทานด้วยการมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น ทั้งสิ่งของข้าวของ
.. การช่วยเหลือด้วยน้ำพักน้ำแรง การช่วยเหลือด้วยอภัยทาน อย่างนี้ เป็นต้น
ความดี น่ะลูก มีหลายรูปแบบ มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ให้แต่ละดวงจิต เลือกทำ - ตามความสะดวกของแต่ละคน
บางคน ก็ชอบรักษาศีล ไปปฏิบัติ ถือศีล 8
บางคน ชอบสวดมนต์
บางคน ชอบทำสมาธิ
บางคน ชอบทำทาน
บางคน ชอบสั่งสมความเพียร ความอดทน สั่งสมความเมตตา
มีความดีมากมาย ลูก ที่จะให้ดวงจิตทั้งหลาย.. เลือกเอา ว่าจะทำความดีแบบไหน
และความดีแต่ละตัว.. ก็เลยเป็นเหตุให้ตนนั้น เป็นไปตามกรรมดีที่ทำนั้น
และมีผลความดีที่ตนนั้นทำ - กลับมาค้ำหนุนตน
-- เลยมีผลกรรมดี ที่แตกต่างกัน !
บางคน ฉลาดมาก แต่มีทรัพย์น้อย
บางคน มีทรัพย์น้อย ฉลาดน้อย
บางคน มีทรัพย์มาก แต่มีปัญญาน้อย
บางคน มีเพื่อนฝูง บริวารมากมาย.. แต่ว่าไม่มีปัจจัยค้ำหนุน คือ ปัจจัยสี่
เป็นอย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
มันเป็นไปตามเหตุที่ตนได้สร้าง ได้ทำเอาไว้
บางคน ก็ทำความดีทั้งหมด โดยสมบูรณ์
- เลยมีความดีค้ำหนุนทั้งหมด โดยสมบูรณ์ -
เช่นเดียวกันกับการทำความชั่ว
บางคน ก็ทำความชั่ว - ตามกิเลสทั้ง 4 ตัว โดยสมบูรณ์
- ก็เลยมีผลของกรรม ส่งผลมาโดยสมบูรณ์ -
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ ความละเอียด แห่งผลของกรรมดี และกรรมชั่ว
ของดวงจิตแต่ละดวง.. ที่สั่งสม และทำมา
บางคน ไม่ได้ทำชั่วมา.. แต่ความดีก็สั่งสมไว้น้อย
เมื่อคิดจะทำดี ก็ต้องสร้างความดีมากเพิ่มขึ้น - ให้มากพอที่จะชำระกิเลส ที่มีอยู่ในตน
บางคน ทำความดีมาก.. แต่ก็มีกรรมวิบาก / สิ่งไม่ดี- ที่ตนเคยทำเอาไว้ มากเหมือนกัน
จึงต้องทำความดี ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก.. เพื่อข้ามพ้นอุปสรรค คือ กรรมที่กีดขวางตน และกิเลสตัณหาแห่งตน
บางคน ทำความดีน้อย ทำบาปไว้มาก
เมื่อถึงเวลา ที่จะเอาดีให้ได้อย่างแท้จริง..
- จึงต้องทำความดีมากมายหลายเท่า ถ้าเทียบกับกรรมชั่วและกิเลสตัณหาที่มีอยู่
.. ต้องชำระให้มันหมด ให้มันสะอาด ++
* กิเลสตัณหา กรรมวิบากแห่งตน.. ที่เลอะที่เปื้อนมา - ต้องล้างให้สะอาด *
พระยาธรรมเอ๋ย.. กรรมดี และกรรมชั่ว ของแต่ละคน มาแตกต่างกัน.. ก็เพราะเหตุแห่งกิเลสตัณหา ที่ครอบงำจิตใจแต่ละดวง มาก-น้อย ตัวไหนโดดเด่นกว่ากัน..
กรรมดีที่ส่งผลมาช่วย - ก็ขึ้นกับการที่ดวงจิตทั้งหลาย.. ได้เลือกทำ ตามสะดวกแห่งตน ว่า..จะทำความดีแบบไหน - ได้มากได้น้อย
ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้.. มีผลต่อการที่เราจะไปสู่พระนิพพาน เป็นอย่างมาก *
บางคน - ไปได้ไว เพราะว่าเขาเลอะน้อย
บางคน - ไปได้ช้า เพราะว่าเขาเลอะมาก
เขานั้นปนเปื้อนไปด้วยกรรมวิบาก กิเลส และตัณหา แต่กำลังที่จะชำระล้างยังมีน้อย จึงต้องใช้เวลานาน.. นานกว่าบุคคลผู้อื่น
บางคน มีกรรมวิบากน้อย มีแต่กิเลส ที่ยังครอบอยู่ และความดีก็ทำไว้มากแล้ว จึงสามารถที่จะชำระจิตให้สะอาด ได้อย่างว่องไว -โดยที่ใช้เวลาน้อยกว่าคนอื่น..
มันก็เป็นเช่นนี้ละ พระยาธรรม..
/ ความละเอียดอ่อนของเรื่องกฎแห่งกรรม
/ ความละเอียดอ่อนของเรื่องกิเลสตัณหา
ของกรรมดี และกรรมชั่ว
ตนนั่นแล จะเป็นผู้รู้ ด้วยตัวของตนเอง พระยาธรรมเอย.. ว่าตนนั้น เหลือมาก เหลือน้อย ต้องชำระแบบไหน ใช้เวลามากหน่อย ก็ไม่เป็นไร ถ้าถึงซึ่งความเป็นพระอนาคามีแล้ว..
-- ย่อมถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นแน่แท้ **
ถ้าหากว่า ไม่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์.. เมื่อมีกายหยาบอยู่
เพราะกิเลส และวิบากกรรม ยังไม่สิ้น
โดยสะอาดพอที่จะถึงพระนิพพาน เป็นองค์พระอรหันต์ในกายหยาบ ก็ย่อมสามารถ ที่จะไปบำเพ็ญอยู่ในที่ที่เหมาะสม แล้วก็บำเพ็ญต่อไปเรื่อยๆ.. จนกว่า กิเลสตัณหาในตน จะหมดสิ้นไป
-- แล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บนโลกทิพย์ ++
ถ้าหากว่า ใครที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนตนนั้นชำระล้างกิเลสหมด ในขณะที่อยู่ในกายหยาบ ก็สามารถที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ เมื่อนั้น - ที่ดับกิเลสจนหมดสิ้น
แม้จะครองกายหยาบอยู่ก็ตาม !
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอนาคามี สามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่โลกมนุษย์ และบนโลกทิพย์
-- เป็นการไม่กลับมาเกิดอีก เป็นแน่แท้ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. ความแตกต่าง ในระยะเวลาของการชำระกิเลสตัณหา กรรมวิบาก ใช้ช่วงเวลาที่จะบรรลุธรรมนั้น - แตกต่างกัน เช่นดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น..
คือ ผลของกรรมดี และกรรมชั่ว
คือ กิเลสตัณหา ที่ครอบงำตนอยู่
คือ ความดี ที่ตนขวนขวายทำ
และสามารถบรรลุได้ ทั้งบนโลกมนุษย์ และที่โลกทิพย์ ในกายหยาบ หรือกายทิพย์
ยังไงก็ถือว่า.. ถึงซึ่งพระนิพพาน **
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยัง..
ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า ?
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ข้อสงสัยไม่มี พระพุทธเจ้าค่ะ
แต่ลูกจะขอทบทวนดู ในธรรมที่ได้ฟังมา ว่าจะเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า น่ะเจ้าค่ะ
ที่ฟังมา ลูกก็พอจะเข้าใจว่า *พระอนาคามี* ที่ใช้เวลามากน้อยต่างกัน ในการบรรลุเป็นพระอรหันต์
เหตุก็มาจาก.. ผลของกรรมดี และกรรมชั่ว
ซึ่งกรรมดี และกรรมชั่วนั้น.. ก็มีผลมาจากกิเลสตัวใด สั่งให้ทำกรรมสิ่งใด ได้โดดเด่นมากกว่ากัน
คือ ทำตามกิเลสแห่ง “ความหลง ความโลภ ความโกรธ และความรัก”
หรือว่า ตามเหตุที่ตนจะมีพละกำลัง ความสามารถที่จะสร้างกรรมดี ในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็น
ศีล ทาน ภาวนา
หรือว่า เมตตา อุเบกขา ขันติ หรือความเพียร
เราสามารถที่จะเลือก ที่จะทำความดีใดก็ได้ ตามความสามารถ ความปรารถนาแห่งตัวของเราเอง
ฉะนั้น.. จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผลกรรมดี และกรรมชั่ว แตกต่างกัน
เมื่อครั้งที่เรา จะขัดเกลากิเลสตัณหาอย่างแท้จริง มันเลยสำคัญสำหรับเรา
กรรมเหลือมาก กิเลสเหลือมาก - ต้องใช้เวลามาก
กรรมเหลือน้อย กิเลสเหลือน้อย - ก็ใช้เวลาน้อย
กรรมเหลือน้อย แต่ว่า ถ้าปัญญาหรือว่า ความดีที่สั่งสมมาน้อย - ก็ต้องใช้เวลามาก
มันก็เลยเป็นเหตุ ที่แตกต่างกัน.. เพราะมาจากผลของกรรมเหล่านี้
แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย
เพราะแท้ที่จริงแล้ว.. ตัวของเราจะดับการเกิด เพียงแต่ของเรา
เราจะไม่สามารถ ดับการเกิดของคนอื่น
หรือคนอื่น ก็ไม่สามารถดับการเกิดแห่งเรา
.. ทุกคนต้อง ปฏิบัติเอง !
เมื่อถึงเรา ปฏิบัติจนถึงจุดการเป็นพระอนาคามีแล้ว เราย่อมรู้ด้วยตัวเราเองว่า.. เราต้องขัดเกลาตรงไหนบ้าง ?
แล้วก็ขัดเกลาไปเรื่อยๆ.. จนสะอาด บริสุทธิ์ บรรลุเป็นองค์พระอรหันต์
และการบรรลุเป็นองค์พระอรหันต์นั้น.. ก็สามารถบรรลุได้ ทั้งตอนที่มีกายหยาบอยู่
และตอนที่ดับจากกายหยาบ - ขึ้นสู่การเป็นกายทิพย์ อยู่บนโลกทิพย์
.. ก็สามารถขัดเกลา จนเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ทั้งนั้น !
- จะไม่ได้กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้..
ถึงซึ่งพระนิพพานเป็นแน่นอน *
เพียงแต่ว่าถึงในกายหยาบ หรือถึงบนโลกทิพย์ ในกายทิพย์เท่านั้น +
*พระอนาคามี คือ ผู้ไม่กลับมาเกิดอีก*
ลูกพอจะเข้าใจ เช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ
ลูกนั้น เข้าใจถูกต้องแล้วหรือเปล่า เจ้าคะ ?
- - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ก็พอใช้ได้อยู่ พอเข้าใจอยู่บ้าง
แต่การที่จะเข้าถึงอย่างแท้จริง.. ก็ต้องปฏิบัติตนให้ถึงนะลูก - จึงจะเข้าใจอย่างแท้จริง ++
เอาละนะ พระยาธรรม.. วันนี้ ก็กลับไปทำหน้าที่แห่งตนเสียก่อนเถิดลูก
แล้วไว้ ได้โอกาสหน้า ค่อยมาสนทนาธรรมกันใหม่...
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาลูก
และทุกๆดวงจิต ผู้กำลังแสวงหาทางอยู่ เจ้าค่ะ..
สาธุ