ทุกสิ่งมันก็เป็นธรรมดา ที่มันไม่ธรรมดาเพราะไม่ทำให้เกิดปัญญารู้เห็นมัน
ขันธ์ ๕ ก็เป็นธรรมดาเมื่อรู้จักคำ สักแต่ว่า***กิเลสดับ***
▪ขันธ์ ๕ ยังไม่ดับ วิญญานมีอยู่
▪สัมผัสรู้ใน อายตนะ เวทนา ยังมีอยู่
▪๕๕๕***8แต่***สังขารดับ*** สิ้นปรุงแต่ง ก็สักแต่ว่า นั้นแล
▪สักแต่ว่ารูป สักแต่ว่ารส สักแต่ว่ากลิ่น สักแต่ว่าเสียง สักแต่ว่าผัสสะ สักแต่ว่าเวทนา
▪โซ่แห่งปฏิจจสมุป-บาท มันขาดด้วย"สักแต่ว่า" เพราะไม่ยึด เพราะวาง เพราะคาย เพราะสำรอก สิ้นแล้ว จึงเบิกบาน จึงตื่นรู้อริยะสัจ เห็นสิ่งต่างๆเป็นธรรมดา ไม่ตื่น ไม่ตระหนก คงที่ ในธรรมดา ในธรรมชาตินั้นแล
คารวตา ธรรม
ธรรมะปฏิบัติ
มันไม่ใช่เรื่องง่าย หรือยากหรอกนะ
มันเป็นเรื่องของการทำความรู้จัก สิ่งที่เรียกว่าตัวเอง
คือกายกับใจนี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอาไปครุ่นคิด
ให้วุ่นวาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสิ่งกระทบเข้ามาแล้ว
รู้สึกอย่างไร ให้เรียนรู้กระบวนการของความรู้สึกนั้น
คอยรู้เสมอๆ เมื่อรู้บ่อยๆเข้า ก็จะเห็นว่า ความรู้สึกต่างๆนั้น
เมื่อจะเกิดก็เพราะมีเหตุ ไปบังคับไม่ได้
เมื่อจะดับก็เพราะหมดเหตุเท่านั้นเอง บังคับไม่ได้
ให้รู้เห็นอย่างนี้ จนเกิดปัญญาที่จะตัดสินความรู้นั้น
ว่า มีเพียงสิ่งบางสิ่งเกิดและดับไปเท่านั้นเอง
ไม่มีตัวตนที่ถาวรเลย
..................
อย่าพยายาม...ไปปฏิเสธความรู้สึก
ที่เราให้ค่า ว่าไม่ควรแก่เรา
ด้วยการผลักดันออก
แต่ให้ตระหนักรู้ถึงความมีอยู่
และยอมรับตามที่มันเป็นแบบไม่แทรกแซง
เมื่อสามารถรู้ถึงความเป็นตัวทุกข์
ของสิ่งที่ถูกรู้สึกนั้น ตัณหาที่หล่อเลี้ยง
สภาวะนั้นไว้เป็นอันดับลงทันที...
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
" จบที่ใจ " ควรปล่อยวางใจ และมีสติอยู่กับตนเอง
*รู้*..ความรู้สึกตนเอง พอรู้แล้วก็ให้ทิ้ง (ไม่ว่าไม่ดีหรือดี)
ให้รู้สึกตัว มีสติ อย่าไปยึดถือสิ่งที่มากระทบใจ ปล่อยวาง
....................
เพราะคิดจึงยึด เพราะยึดจึงอยาก เพราะอยากจึงไม่จบภพชาติ
ความคิด...เป็นเสมือนต้นตอของชีวิต. ทุกชีวิตมิได้ มีความเป็นเอกภาพแห่งตัวเอง. จะต้องตกอยู่ใน อิทธิพลของ ความคิด
เมื่อความคิดถูกมรรคปัญญาควบคุม. สังขารตัวปรุงก็จะถูกขจัดไป. จะเหลือเพียงเนื้อแท้แห่งความผุดผ่องของความคิดฝ่ายสัมมาทิฐิล้วนๆ.
จงทำความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ ใช้สติเฝ้ามองดู ความคิด ทุกภาวะที่เกิด. นี่เป็นวิถีทางที่จะ ทําให้กระแสชีวิตของเราให้เรียวบางลงจาก การห่อหุ้มของ โมหะ โทสะ โลภะ อันเสมือนเปลือก และกะพี้ของชีวิต ก็จะเหลือแก่นอันบริสุทธิ์ล้วนๆ ของชีวิต...
Trader Hunter พบธรรม
“การเห็นแจ้ง” หรือ “การรู้แจ้ง” หรือ “การเห็นธรรม” จะต้องขนาดไหน? อย่างไร?
.
“ การคำนึงคำนวณตามหลักแห่งเหตุผลนั้น ไม่ใช่ “การเห็นแจ้ง” อย่างที่เรียกว่า “เห็นธรรม” การคำนวณตามเหตุผลนั้นต้องอาศัยอยู่กับเหตุผล เมื่อเหตุผลเปลี่ยนแปลง เพราะความไม่เที่ยง เป็นต้น สิ่งนั้นก็พลอยเลือนไปด้วย เลือนไปตามเหตุผล หรือโยกเยกไปตามอำนาจแห่งเหตุผล
.
“การเห็นธรรม” จึงไม่อาจจะเห็นได้ด้วยการคำนวณตามเหตุผล แต่ต้องเห็นแจ้งด้วยความรู้สึกในใจแท้จริง คือ เห็นด้วยใจจริงๆ
ขอยกตัวอย่าง เช่น บุคคลที่พิจารณาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำความเจ็บปวดให้แก่ตนผู้เข้าไปหลงรักอย่างสาสมกันแล้ว ดังนี้ เป็นต้น นี้เห็นได้ว่า เป็นการเห็นที่ไม่ต้องอาศัยเหตุผล แต่อาศัยการที่ได้กระทบกันจริงๆ และได้เกิดผลเป็นความรู้สึกแก่จิตใจขึ้นมาจริงๆ จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความสลดสังเวช ขึ้นมาจริงๆ อย่างนี้จึงเรียกว่า “เห็นธรรม” หรือ “เห็นแจ้ง”
การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายถึงการเห็นโดยวิธีนี้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ไตรลักษณ์” เมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๙ ณ ห้องบรรยายของเนติบัณฑิตยสภา
------------------------------
.
ความรู้ ความเข้าใจ “ความรู้แจ้ง” หรือ “ความเห็นแจ้ง” ในธรรม หมายถึงอย่างไร?
“ สิ่งที่เรียกว่า “ความรู้” “ความเข้าใจ” และ “ความเห็นแจ้ง” ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นของอย่างเดียวกัน
อย่างแรก อาศัยการได้ยินได้ฟังก็พอแล้ว อาศัยความจำได้เป็นส่วนใหญ่
ส่วนอย่างที่ ๒ ต้องอาศัยการทบทวนด้วยเหตุผล หรือการใช้เหตุผลขจัดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้หมดเสียก่อน
ส่วนอย่างหลังนั้น หมายถึงความรู้สึกอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดมาจากการที่ได้ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาแล้วจริงๆ มีความรู้แจ้งในสิ่งเหล่านี้ด้วยใจของตนเอง ซึ่งยิ่งไปกว่าลำพังความรู้ หรือเพียงแต่ความเข้าใจไปตามเหตุผล อย่างที่กล่าวแล้วนั้น.
.
เมื่อผู้ศึกษาได้ทราบถึงความตื้นลึกของการจำแนกธรรม ว่ามีอยู่เป็นชั้นๆ ดังนี้แล้ว ก็ควรพยายามอย่างยิ่งที่จะให้การศึกษาของตนดำเนินไปจนถึงขั้นสุดท้าย โดยการ “เพ่งพิจารณาอรรถะแห่งธรรมะ” นั้นๆให้ลึกเข้าไป จนเกินระดับแห่ง “ความรู้” และ “ความเข้าใจ” คือให้ถึงระดับแห่ง “ความเห็นแจ้ง” ให้จนได้.
.
ความสำเร็จประโยชน์อันแท้จริงของธรรมะนั้น ย่อมขึ้นอยู่ในขั้นที่มีการเห็นแจ้งเท่านั้น ส่วนที่เราจะได้รับๆกันอยู่นั้น เป็นเพียงความรู้ ความเข้าใจ เท่านั้น จึงสำเร็จประโยชน์แต่เพียงในแง่ของ"ปริยัติ" คือ ได้แต่ พูดๆ สอนๆ ฟังๆ ทุ่มเถียง วิพากษ์วิจารณ์ กันไปตามเรื่อง อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น”
.
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง “ว่าด้วยการจำแนกธรรม สำหรับศึกษาและปฏิบัติ”
เมื่อ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๐
--------------------------------
.
“นักปฏิบัติควรจะสังเกตให้ดีๆ ว่า “ความรู้” มีอยู่ต่างกันเป็น ๓ ชั้น(ระดับ) คือ...
๑. รู้ตามที่ได้ยินได้ฟัง (เรียกว่ารู้อย่าง..ปริยัติ)
๒. รู้อย่างเจนจัดด้วยใจ จากการปฏิบัติ
๓. ครั้นต่อมา เห็นผลเกิดขึ้นจากการที่ละกิเลสได้สำเร็จ จึงรู้จักความมีขึ้นแห่งกิเลสและความสิ้นไปแห่งกิเลสจากใจตนเองล้วนๆ (รู้อย่าง..ปฏิเวธ) เป็นความรู้แจ้งแทงตลอด
“วิชชา” หรือ การรู้ “อริยสัจ” มุ่งหมายอย่างนี้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “วิธีปฏิบัติธรรมทางลัด” บทที่ ๖ หัวข้อ “วิธีลดอัตตา”
----------------------------
.
“ สันทิฏฐิโก ” เห็นได้ด้วยตนเอง
.....พุทธทาสภิกขุ...
“ สันทิฏฐิโก ” มีความหมายว่า “อันบุคคลเห็นได้ด้วยตนเอง” เป็นคุณบทของพระธรรม ถ้าไม่มีความเป็นสันทิฏฐิโก พระธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น...
.
เรามาทำความเข้าใจเรื่อง "สันทิฏฐิโก" กันให้ถึงที่สุด สันทิฏฐิโก แม้ว่าจะแปลว่า "เห็นได้ด้วยตนเอง" คำว่า “เห็น” ในที่นี้ มันใช้แทนคำพูดอื่นๆ เช่นคำว่า “รู้สึก” ธรรมที่รู้สึกอยู่กับใจนั่นแหละ เรียกว่าเห็น หรือเห็นเอง รู้สึกอยู่เอง ก็เรียกว่า "เห็นเอง"
.
เพราะว่าธรรมะในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เห็นด้วยตา หรือดูด้วยตาธรรมดา แต่ดูด้วยตาธรรมะ ธรรมจักษุ ดู เห็น นั่นคือ "รู้สึกด้วยใจ" ปัญญาจักษุ ธรรมจักษุ ญาณทัสสนะ อะไรนี้ มันดู แล้วก็เห็น แล้วก็รู้สึก
.
ฉะนั้น คำว่า "สันทิฏฐิโก" คือ " รู้สึก-อย่างแท้จริง-อย่างเต็มที่ " ราวกับว่า เราเห็นด้วยตา พอใครพูด หรือออกชื่อสิ่งนั้น ก็รู้จักได้ดี เหมือนกับเราพูดว่า "เกลือ" คนที่ไม่เคยเห็นเกลือ มันก็ไม่มีทางที่จะนึกไปได้ว่า เกลือเป็นอย่างไร? นี้ดีแต่ว่าทุกคนเคยเห็นเกลือ เคยกินเกลือ พอพูดว่าเกลือ ก็รู้ว่าเกลือเป็นอย่างไร แต่ถ้าไปพูดกับคนที่ไม่เคยเห็นเกลือ เขาก็ฟังไม่ถูกว่าเกลือนั้นคืออะไร ทีนี้ คนที่เคยกินเกลือแล้ว รู้จักเกลือดี พอพูดว่าเกลือ ก็รู้จักเกลือมากกว่าพวกที่"เพียงแต่เคยเห็น - แต่ไม่เคยกินเกลือ"
.
ธรรมะนี้ก็เหมือนกัน ที่จะพูดว่าเป็น มรรค ผล นิพพาน หรือเป็นอะไรที่ล้วนแต่จะดับทุกข์ได้นั้น ก็ไม่เป็นที่เข้าใจ เพราะไม่เคยแม้แต่เห็น อย่าพูดถึงว่าจะได้เคยชิมรส นี่ขอให้เอาตัวอย่างนี้ ไปจับดู เป็นเครื่องเทียบเคียงว่า คำว่า "เห็นเอง" มันมีความหมายอย่างไร...
.
ทีนี้ จะพูดฝ่ายตรงกันข้าม ที่มันเป็นอันตราย เช่น "เสือ" สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นเสือ เราจะพูดว่า "เสือ" เขาก็ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร เพราะไม่รู้ว่าอะไร แต่ถ้าเราพูดกับคนที่เคยเห็นเสือ ก็พอจะนึกออกและรู้สึกกลัว แต่ถ้าเราพูดกับคนที่ "เคยถูกเสือกัดมาก่อนแล้ว" ล่ะก็ ยิ่งดีมาก เขาจะรู้จักความหมายของคำว่าเสือถึงที่สุดได้...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง " สันทิฏฐิโก " เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๒๔
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
********" ไม่ไปนรก..ดับตรงไหน "*******
>> … มีคำถามจากพระอาจารย์เพชร ท่านถามว่า เราจะดับเวทนายังไง เพื่อไม่ให้ไปนรก
<< พระอาจารย์ : ข้าบอกว่า การไปนรกนี่ เวทนาไม่เกี่ยวกัน
เวทนานี่ ไม่ใช่ตัวหนทางที่จะไปนรก
คือท่านบวชมาแล้ว ท่านมีจิตสำนึกที่ดีมาก
ท่านบวชเพื่อหนีนรกโดยเฉพาะ...
ไม่เหมือนพวกแก ที่ชอบเฉียดนรกเป็นว่าเล่น
การที่มีใจละอายชั่วกลัวบาปนี่ เป็นหนทางปิดอบายภูมิเลยทีเดียว..
ข้าได้บอกท่านไปว่า…
เวทนานั้นเป็นอาการ เป็นผลจากการปรุงแต่งเสร็จแล้ว
ตัวที่เป็นตัวการจะนำไปสู่นรกนั้น คือตัณหา
ตัณหานี่... มันอาศัยเวทนานั้นแหละ
ตัณหานี่... มันเป็นความถูกใจ ไม่ถูกใจ
ถูกใจนี่ มันเป็นกาม ท่านกล่าวตามบาลีว่า กามสุขัลลิกานุโยค
ไอ้ส่วนที่ไม่ถูกใจนี่ มันเป็นกามเหมือนกัน
แต่เป็นกามด้านทุกข์คือไม่ถูกใจ เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
นี่..อาการเหล่านี้มันเป็นหัวใจธรรมดาของชาวบ้านทั้งหลาย ที่มีที่เป็น
▪ถูกใจนี่.. เป็นกิเลส
▪ไม่ถูกใจ.. ก็เป็นกิเลส
▪เฉยๆ .. นี่ก็เป็นกิเลส
รวมความแล้วทั้งถูกใจ ไม่ถูกใจ และเฉยๆ มันเป็นตัณหาที่เกิดจากใจไม่รู้จบนี่แหละ
ทีนี้..เมื่อตัณหามันเกิดขึ้นแล้ว เราจะทำอย่างไร เพราะยังไงมันก็ต้องเกิดเป็นธรรมดาของมัน
ตรงนี้นี่แหละ ที่สำคัญล่ะ
หากมันไหลไปตามกระแสถูกใจหรือไม่ถูกใจ หรือเฉยๆ
ไอ้สามตัวนี่ มันเป็น.. สมุทัย
สมุทัย.. ก็คือหนทางที่ดำเนินไปสู่ทุกข์
ทุกข์ในที่นี้ก็คือ การที่จะต้องเผชิญวิบากที่ก่อขึ้นมาเวียนวนในวัฏฏะ ไม่มีที่สิ้นสุด
นี่..คือทุกข์ที่มีเหตุมาจากหนทางเดินแห่งสมุทัย
นั่นก็คือการก่อเหตุ ที่เกิดตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบจากใจดวงนี้นั่นเอง
เรียกว่า..เป็นผู้พ่ายต่อกระแสตัณหา ไร้กำลังปัญญาที่จะต่อต้านกระแส
ดุจถาดที่ไหลล่องลอยไปตามกระแสน้ำที่ไหลลงมาถาโถม
ที่สุด.. ก็จะต้องจมลงไปในกระแส
นี่..เรียกว่า เมื่อตัณหามันผุดขึ้นมาจากใจแล้ว พ่ายต่อกระแส
ผลก็คือ... สมุทัย
สมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ที่จมไปในกระแส พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตัณหาที่ดำเนินไหลมาทางก่อ
นี่..หนทางที่ครบและดำเนินไปในแนวทางเช่นนี้ มันมีหนทางที่แยกไปสู่นรกแอบแฝงอยู่เสมอ
ส่วนวิธีที่จะหนีให้พ้นหนทางแห่งนรก
นั่นก็คือ.. การตรึก ตรอง พิจารณา มีสติยับยั้งกระแสเหล่านี้ด้วยปัญญา ที่ตรงตามความเป็นจริง ตามเหตุและปัจจัยที่ใจดวงนี้ได้ผัสสะ
ตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบนี่ มันอาศัย.. เวทนา
เวทนาเกิด ความถูกใจ ไม่ถูกใจ เฉยๆ ที่เป็นตัณหาก็เกิด
เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราเลือกได้ ที่จะดับหรือก่อในตัณหาทั้งหลายนั้น
▪หากก่อ ก็เป็น.. สมุทัย ผลก็คือ.. ทุกข์
▪หากดับ เรียกว่า.. มรรค ผลก็คือ.. นิโรธะ
นิโรธะนี่แปลว่า ดับหรือสงบ
มรรคนี่ก็แปลว่า.. หนทางเดิน เหมือนสมุทัย แต่เป็นหนทางเดินที่ดำเนินมาทางดับ
สมุทัยนี่.. เป็นหนทางเดินที่ดำเนินมาทางก่อ
นี่..ผลแห่งทางเดินนี่ มันมีผลไม่เสมอและเหมือนกัน
มรรคนี่เป็นหนทางเดินด้วยปัญญาญาณ ที่มีเหตุปัจจัยอาศัยสติและสัมปชัญญะ
พิจารณาสิ่งที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมา ว่าการแสดงออกหรือกะทำนั้น มันควรหรือไม่ควร
เรานั้นห้ามตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจนี่ไม่ได้
แต่เราห้ามใจเราไม่ให้มันแสดงออกมาหรือกระทำต่อสิ่งที่เป็นตัณหานั้นได้
หากเรามีสติพิจารณาเห็นว่า มันไม่ควรไปตามเหตุปัจจัย
เราก็พึง... ระงับเสีย
สิ่งนี้เรียกว่า... มรรค
เป็นหนทางดำเนินไปสู่ความสงบ พ้นเสียจากหนทางแห่งทุกข์ มีใจอันเป็นกุศลประคองหนทางอยู่
แต่หากไร้สติปัญญาระงับ ใจมีแต่ไหลไปในกระแสที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบนี้
แสดงออกไป กระทำออกไป โดยขาดสติตรึกตรองในกระแสที่ผุดขึ้นมานี้
เช่นนี้เป็นการก่อ เรียกว่า.. สมุทัย
ผลก็คือ.. ทุกข์
และนี่เป็นหนทางที่เวียนวนไปในวัฏฏะ ที่มีนรกซ่อนทางเดินอยู่ทุกซอกมุมที่เราดำเนินใจในทางที่ผิดพลาด
นี่..เป็นธรรมที่เรียกว่า "อริยสัจ"
ธรรมเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในคืนเดือนเพ็ญที่จะถึงนี้
เราชาวพุทธ.. เรียนรู้หนทางแห่งอริยสัจกันถูกหรือเปล่า..??
อริยสัจนี้เป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านได้ค้นพบหนทางเดิน
เรียกว่า เป็นหนทางที่เราสามารถเลือกเดินได้ว่าจะดำเนินไปในหนทางใด
▪หากเลือกที่จะก่อ ก็เป็น.. สมุทัย
▪หากเลือกที่จะดับ ก็เป็น.. มรรค
ทั้งมรรคและสมุทัย
ต่างเป็นผลของตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จักจบจากใจดวงนี้ทั้งคู่
มันอยู่ที่เราอันเป็นเจ้าของ รู้จักมันหรือไม่
หากไม่รู้จัก ..
แน่นอน..เราก็ย่อมดำเนินไปทางสมุทัย
หากได้เรียนรู้และรู้จัก ..
ใจยังเสือกเลือกที่จะเดินไปทางสมุทัยอีก นี่ก็ช่วยไม่ได้
ธรรมทั้งหลายผู้รู้ต่างเป็นผู้ชี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่ชี้แล้วผู้รับต้องดำเนินการตาม
เรา..เป็นผู้เลือกที่จะก่อหรือดับ
เรา..เป็นเจ้าของในโจทย์ที่เรา ต้องเผชิญกับมัน
เรา..เป็นผู้เสวยผลนั้น
เรา..โง่หรือฉลาด เราเป็นผู้สร้างเหตุขึ้นมาทั้งนั้น
เช้านี้ สวัสดีกับธรรมเบาๆ ที่หลวงพ่อท่านได้ถามมา..!!
พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ณ พุทธอุทยานเกาะกลางน้ำบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี