พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ 193 อุปสมานุสติ แบบที่ 2 เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ 15 ตุลาคม 2560
......................................
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 30 แบบที่ 2* คือ การตั้งอารมณ์ไว้กับอารมณ์ของพระนิพพาน.. เพื่อเข้าสู่ฌานสมาธิ
เราจะทรงอารมณ์แบบไหนล่ะเจ้าคะ ? จะได้เป็นอารมณ์แห่งพระนิพพาน
เราจะได้รับถึงคลื่นพลังตรงนั้น.. แล้วเข้าสู่ฌานสมาธิได้ หน่ะเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. เรื่องของพระนิพพานนั้น มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
เป็นเรื่องที่ต้องใช้จิต ใช้ใจ ที่..
ปราศจาก ความยึดติดในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ปราศจาก อัตตา และตัวตน
ปราศจาก ทุกสิ่งและทุกอย่าง ที่จะเป็นเหตุกีดขวาง ตัดรอน
.. ไม่ให้จิตของตนเข้าไปสัมผัส ในอารมณ์แห่งนิพพานนั้น…
ถ้าเกิดว่าเรา มัวแต่คิดว่า.. “นิพพานต้องดับสูญ” หรือไม่ก็ “นิพพานไม่ดับสูญ”
มัวแต่คิดตามความรู้ ความเข้าใจ ตามสิ่งที่เราเคยศึกษาเรียนรู้มา
ใจของเรา จิตของเรา.. จะไม่มีทางเข้าถึง ความรู้สึกของพระนิพพานได้เลยลูก
นิพพานนั้น จะว่าดับสูญ - ก็ไม่ใช่
จะว่ามีอยู่อย่างนั้น - ก็ไม่ใช่
* เป็นสิ่งที่ละเอียด ยิ่งนัก *
พระยาธรรมเอย.. เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลูก ก่อนที่จะเข้าถึงอารมณ์นิพพาน
ลองทำความรู้สึกตามนี้ดู.. ทำตามไปเรื่อยๆ โดยที่
ไม่ต้องลังเล สงสัย
ไม่ต้องติดรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง
แค่น้อมจิตตามไปเรื่อยๆก็พอ
แล้วลูกทั้งหลาย.. ก็จะเข้าไปสัมผัสกับอารมณ์ของพระนิพพานได้ ลูก
หลับตาลง ปรับกายของตนให้สบาย ไม่ต้องนึกต้องคิดอะไร
ปล่อยใจให้ เบาๆ ว่างๆ
ปล่อยจิตปล่อยใจของตนนั้น.. ให้น้อมแต่พลังที่เย็น อากาศที่โล่ง ว่าง จากภายนอก
เข้าไปสู่จิต สู่ใจภายใน
ทำกาย ทำใจของตน ให้ว่างๆ โล่งๆ
แล้วเรา ก็มานึก มาคิดทบทวน ถึงกายหยาบดังนี้ว่า..
กายนี้ เป็นของที่ไม่มีอยู่จริง
เป็นสิ่งสมมุติ ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมันก็จะดับไป เมื่อถึงเวลาของมัน
ฉะนั้น เราจะไม่ยึดติด ไม่สนใจ กับกายนี้
กายนี้ ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตามกรรมที่เราได้ทำเอาไว้
และเราก็จะต้องตามมันมา เพื่อที่จะต้องเป็นไปตามกรรม ที่เราก่อเอาไว้
และกรรมที่ทำนั้น ก็ไม่ได้ทำขึ้นมา เพื่อตัวของเรา หรือไม่ใช่เราที่ทำ
แต่เป็นกิเลสตัณหา คือ “ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ ”
สิ่งเหล่านี้ครอบงำ สั่งให้เราทำ
ทำกรรม ตามความหลง
ทำกรรม ตามความโลภ และความโกรธ
ทำกรรม ตามเชื้อแห่งกิเลส
เรากระทำสิ่งใดไปแล้ว เราก็ต้องตามไปชดใช้ หรือว่าเป็นไป
รับผลดี และไม่ดี ตามที่เราได้ทำ
ร่างกายของเรานี้ ก็คือ ผลของการกระทำ ส่งผลมา
และถ้าเกิดว่าเรายังยึดตัวยึดตนของเราอยู่ ณ ตอนนี้
และเราก็ยังคงทำกรรมชั่ว
- ตามความหลงในตน
- ความรักในตน / รักในผู้อื่น
ลุ่มหลงมัวเมาไปกับ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
หลงในตน หลงในสิ่งของ
หลงในผู้อื่น หลงในเสียง คำชื่นชม สรรเสริญต่างๆ ลาภยศต่างๆ
หลงในสิ่งต่างๆทั้งหลาย.. ที่มีอยู่
เราก็ต้องวิ่งวุ่น และก็เป็นไปตามความหลงนั้น ไม่จบสิ้น
เมื่อมีความหลง ความรักก็มี ความโลภ และความโกรธ ก็มี
เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ ตัวตนของเรา ก็เลยต้องมีอยู่ร่ำไป ไม่จบไม่สิ้น
นี่หละ คือ เรา
นี่หละ คือ กายหยาบนี้ ที่เรา..
ต้องแบก
ต้องเหนื่อย
ต้องมีหน้าที่
ต้องดิ้นรนขวนขวาย
ต้องมีสิ่งที่ผูกพัน พัวพันกับกายนี้ เยอะแยะมากมาย
.. ให้เราต้องทุกข์ ต้องร้อน ต้องเป็นเช่นนี้ ..
** เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหละ...
และสิ่งที่กล่าวมานั้น รวมถึงร่างกายนี้ เขาก็คือ “ สิ่งที่มีอยู่ในวัฏสงสาร ”
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ ครอบงำ
ทำให้ต้องสร้างกรรม
แล้วก็เป็นไปตามกรรม ที่ตนสร้าง ตนก่อ
แล้วก็มาเป็นตัวของเรา
แล้วเรา ก็มาลุ่มหลงในตัวในตน แล้วก็สร้างกรรมต่อ
-- เป็นอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักจบสิ้น --
นี่หละ คือ โลกสมมุติ
นี่หละ คือ การเวียนว่ายตายเกิด
สิ่งเหล่านี้หละ คือ สิ่งที่เรียกว่า * วัฏสงสาร *
ส่วนพระนิพพานนั้น คือ..
ที่ ที่ไม่มีกิเลส
ที่ ที่ไม่มีตัณหา
คือที่ ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ และตาย
คือที่ ที่ไม่ต้องรัก ไม่ต้องหลง ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ
คือที่ ที่ไม่ต้องมี*กฎแห่งกรรม* / ไม่ต้องมี *กฎของความไม่เที่ยงแท้*
* พระนิพพาน เป็นที่ที่ปราศจากสิ่งเหล่านี้ *
เมื่อเราหลุดไปอยู่ในพระนิพพาน.. เราสามารถเข้าไปในที่นั้นได้
ตัวตนของเราไม่มี.. เพราะว่า เราไม่ลุ่มหลงแล้ว
เมื่อไม่หลงในตน / ก็ไม่หลงในผู้อื่น
เมื่อไม่มีความหลง ก็ไม่มีตัวตน
จิตของเรา ไม่มีตัวตน มีแต่*ความรู้สึกว่างๆ*
มีแต่*ความรู้สึกที่เหนือคำว่า มี หรือ ไม่มี*
จิตของเรา ไม่มีความรักแล้ว
ไม่ต้องเร่าร้อน กลัวเขาไม่รักเรา
น้อยใจ กลัวว่าเรานั้น จะไม่มีใครรัก
ต้องมาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อคนที่เรารัก
สิ่งเหล่านี้ ไม่มีในเราแล้ว
ภาระเหล่านี้ หมดไปแล้ว
จิตของเรา ว่างเว้นจากความทุกข์.. ความเร่าร้อนเหล่านี้
เมื่อเราไม่มีความรัก สายใยแห่งความผูกพัน ผูกมัด
บ่วงแห่งการครอบงำให้เรานั้น ต้องมี ต้องดิ้นรนต่อไป.. ก็หมดลง
ความโลภ นั้นก็ดับลงไป
- เราไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย
- ไม่ต้องทำอะไร.. เพื่ออะไร
จิตของเรา..
ปราศจาก จากการดิ้นรนขวนขวาย
ปราศจาก จากความโลภ - ที่ต้องขวนขวายให้ได้มา
จิตของเราว่าง..
ไม่มีความโลภใดๆ
ไม่มีความต้องการใดๆ
ไม่มีอะไรทั้งนั้น ที่จะเกาะติดอยู่กับจิตของเรา
ไม่มีความโกรธ - ความโกรธคนอื่น / คนอื่นโกรธเรา
- ไม่มีทั้งนั้น…
จิตนั้น ว่างเว้นจากความโกรธ
ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่รัก...
จิตว่างจากสิ่งเหล่านี้
- ใครเล่า จะเป็นหัวหน้าครอบงำจิตของเรา ได้อีก !
จิตของเรา ย่อมสว่าง ว่าง เบา สบาย
ไม่ต้องถูกกรรม ส่งผลให้เกิด
ไม่ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
ไม่ต้องเกิด แล้วต้องตาย
ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร
ไม่ต้องมีอะไรอีกต่อไปแล้ว.. ที่ต้องทำ
นี่หละ คือ พระนิพพาน
คือ ที่ที่นอกจากวัฏสงสาร อยู่นอกเหนือจากวัฏสงสาร
คือที่ ที่ไม่เกิด
คือที่ ที่ดวงจิตทั้งหลาย.. ไม่ต้องทุกข์
ลูกเอ๋ย.. เมื่อเราทำความเข้าใจเช่นนี้กันแล้ว
เรารู้แล้วว่า.. วัฏสงสาร
คือ ที่ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย / เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
คือ ที่ของกิเลสตัณหา
คือ การที่เราเป็นทาสของมัน
คือ การที่ต้องเป็นไปตามการกระทำของเรา
คือ ที่ที่เวียนว่ายตายเกิด.. ไม่จบสิ้น
เมื่อเรารู้เช่นนี้.. เราละทิ้งตัวตนของเรา
ทิ้งความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรักต่างๆ ทิ้งไป
กายนี้ ทิ้งไป
ทุกสิ่ง ทิ้งไป..
ให้เหลือแต่ความว่างเปล่า.. เพื่อเข้าสู่อารมณ์ของ
การไม่หลง ไม่มีตัวตน ตัวตนว่างเปล่า
การไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ
ตัวของเรา ว่างเปล่า..
จิตของเรา ก็ไปอยู่ในจุดที่ว่างๆ
ตอนนี้เราว่างแล้ว.. โล่ง โปร่ง เบา สบาย
เราได้พิจารณากาย
พิจารณาความเป็นจริง สิ่งที่มี
และดับสิ่งที่มี เข้าสู่ความไม่มีแล้ว
จิตของเรา ว่าง..
ว่างจาก อัตตาตัวตน
ว่างจากความรัก ความโลภ ความโกรธ และความลุ่มหลง
เหลือเพียงแค่ ความรู้สึก.. เย็นสบาย
โล่ง โปร่ง เบา สบาย
เราก็เอาความรู้สึกของเรา จับความเย็น ความสบายนั้น เอาไว้
เรายังคงอยู่กับความรู้สึกว่างๆ โล่งๆ เย็น และเบาสบายนั้นเอาไว้
จนเรานั้น เริ่มรู้สึกว่า กายที่เป็นกายหยาบ ได้ละทิ้งไป
เหลือเพียงแค่ กายแก้วใสๆ
ตัวของเรานั้น น้อมพลังของ * ดินแดนพระนิพพาน *
จนกายของเรา.. กลายเป็นกายแห่งพระนิพพาน
ซึ่งกายแห่งพระนิพพานนี้.. มีลักษณะเป็นแก้วใส
เป็นรูปลักษณ์ รูปร่างเหมือนคน
เดินได้ พูดได้
สามารถทำอะไรก็ได้.. ตามเหตุที่เราจะทำ
แต่การกระทำเหล่านั้น ปราศจากความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ตัวของเราสว่าง สวยงาม เบาลอย.. สบาย
เราก็เดินไปตามทางเท้า
อาจจะมีบ้าน มีเมือง เป็นแก้วสวยงาม แวววาวไปหมด
และที่นั่น สามารถปรากฏเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นมาในพริบตาได้
- แล้วก็สลายไปในพริบตาได้ -
ที่นั่น มี กับไม่มี เสมอเหมือนกัน
ไม่สุข และไม่ทุกข์
อยู่ตรงกลาง ระหว่าง ความมี กับ ความไม่มี
ไม่มีความรู้สึกเข้าไป สุข หรือทุกข์..ในสิ่งที่มีเหล่านั้นแล้ว
กายของเรานี้ ถ้าจะให้ปรากฏกายขึ้นมาเป็นแก้วสวยแวววาว ก็ปรากฏขึ้นมาได้
ถ้าเราจะอธิษฐาน ขอให้กายของเราสลายไป เป็นอากาศ เป็นธาตุ
สลายไป ไม่ต้องมี.. กายของเราก็จะสลาย ระยิบระยับแวววาว เหมือนอากาศธาตุ
แล้วก็หายไป..
หายไป ในความสงบ
หายไป ในที่ที่ไม่มี
ถ้าเกิดว่า เราตั้งใจที่จะรวมพลัง ให้ก่อเกิดเป็นรูปขึ้นมาว่า..
นี่คือ กายแก้วขององค์พระอรหันต์ องค์หนึ่ง องค์พระพุทธเจ้า องค์หนึ่ง
ที่นี่มีองค์พระอรหันต์ มากมาย
ก็สามารถปรากฏกายขึ้นมาได้.. เป็นแก้วใส
และที่นั่น.. ก็อยู่กันแบบ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ดิ้นรนขวนขวาย
ปราศจากทุกข์ทั้งปวง
อยู่ในอารมณ์ของการวางเฉย วางเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่าง
สักว่า เห็นเป็นธรรมดา
จิตก็จะมีพลัง ที่อยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง สิ่งที่มีทั้งหลาย..
ไม่มีอะไรทำให้จิตดวงนั้น เศร้าหมองได้อีกต่อไปแล้ว..
มี กับไม่มี เสมอเหมือนกัน
- มีขึ้นมาก็ได้ / ไม่มีก็ได้
และที่นั่น ก็สว่างไสว ไม่มีความมืดมิด ไม่มีคลื่นแห่งความทุกข์
ทุกอย่างเงียบสงบ
สุขสบาย ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง / เกิด แก่ เจ็บ ตาย
* จึงเป็นดินแดน ที่สงบสุข
* จึงเป็นดินแดน ที่ไม่ทุกข์
ถามว่า ดินแดนนั้นอยู่ไกลแค่ไหน ?
ดินแดนนั้น.. ไม่ได้อยู่ไกล
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรา จะเลือกมองมุมที่มี / หรือมุมที่ไม่มี
ใจของเราจะเลือกข้างไหน ?
ข้างแห่งวัฏสงสาร โลกสิ่งสมมุติทั้งหลาย หรือเลือกข้าง ที่ “ ไม่มี ”
เพราะสิ่งที่มี ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่.. ด้วยความไม่มี.. ลูกเอ๋ย
และสิ่งที่ไม่มี ก็ซ้อนอยู่ ซ่อนอยู่.. ในความมีนั้น
เพียงแต่ ถ้าเราหลงอยู่ ยึดติดอยู่ใน"ความมี"
เราก็เลยอยู่ในโลกแห่งความสมมุติว่า.. มีอยู่
แล้วก็เป็นไปตามนั้น ลูก
ถ้าเกิดว่า เราเลือกที่จะ ไม่มี
อยู่ในโลกแห่งความว่างเปล่า ว่างเว้นจาก"อัตตา ตัวตน"
เราก็เข้าสู่โลกแห่ง ความไม่มี..
ฉะนั้น.. มันก็ซ้อนอยู่ อยู่ใกล้ตัวเรา อยู่ในตัวของเรา
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกไปในทางใด เท่านั้นเอง
เป็นเช่นนี้ อย่างนี้หละ.. พระยาธรรม
ลองประพฤติ ปฏิบัติดู ลูก
ลองทำความเข้าใจถึง สิ่งที่มี ถึงจักรวาล วัฏสงสาร และทำความเข้าใจถึง สิ่งที่ไม่มี
“มี” คือ.. มีกิเลสและตัณหา - รัก โลภ โกรธ หลง
มี*กฎแห่งกรรม*
มีการเวียนว่ายตายเกิด
มีเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับไป
“ไม่มี” หรือว่า *นิพพาน* ก็คือ.. ที่ ที่ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง
ไม่มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ไม่มี * กฎแห่งกรรม *
ไม่มี เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป
-- แตกต่างกันเช่นนี้ละ --
ลองพิจารณา ทบทวนดูให้ดี
แล้ว ก็นำพาจิตของตน เข้าไปอยู่ในโลกแห่งความไม่มี
น้อมอารมณ์ตรงนั้น ทรงอารมณ์ฌานตรงนั้น
ก็ถือว่า “นึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์” แล้วหละลูก
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. ในแบบที่ 2
ลองนำไปปฏิบัติตามดูเถิดลูก
ความสุข ความเจริญ จะก่อเกิด แก่ดวงจิตของลูกนั้น
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง.. พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติ ปฏิบัติตาม.. เจ้าค่ะ
สาธุ