อยู่ที่ไหนในโลก ในความรู้สึกเราก็อยู่ที่นี่
อยู่เวลาไหนในโลก ในความรู้สึกเราก็อยู่เดี๋ยวนี้
เดินทางไปไหน คอยตั้งสติที่ความรู้สึกว่า ‘ที่นี่’ ‘เดี๋ยวนี้’
จะไม่เหงา ไม่งง ไม่หลง
จะมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นที่พึ่ง
พระอาจารย์ชยสาโร
คนเหนือโลก.
“ความเห็นโลกถูกต้อง โดยประการทั้งปวง ว่า..“เป็นเพียงมายา”
ไม่มีโลกไหนที่น่าสนใจ หรือ น่ายึดมั่นถือมั่น
นี่เรียกว่า “เหนือโลก”
พุทธทาสภิกขุ
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" ไม่จำเป็น...ต้องนั่งภาวนานาน นับเป็นหลายชั่วโมง
บางคนคิดว่า...ยิ่งนั่ง...ภาวนา นานเท่าไหร่
ก็ยิ่ง จะเกิดปัญญามากเท่านั้น
ปัญญาที่แท้...เกิดจากการที่เรามีสติ ในทุกๆ อิริยาบท
การฝึกปฏิบัติของท่าน
ต้องเริ่มต้นขึ้นทันที ที่เราตื่นนอนตอนเช้า
และต้องปฏิบัติ...ให้ต่อเนื่องไป จนกระทั่งนอนหลับไป."
“การปฏิบัติธรรม” คืออะไร?
จุดมุ่งหมายของ “การปฏิบัติธรรม” นั้นเพื่ออะไร?
…. โดย พุทธทาสภิกขุ
.
…. “การปฏิบัติธรรม” มิใช่เป็นเพียงการแสดงแบบ หรือแสดงท่าทาง ด้วยกิริยาอาการภายนอก แท้จริงเป็น..การปฏิวัติดวงใจของผู้ปฏิบัตินั้นเอง ให้กลับกลายจากความเป็นแหล่งที่รับทุกข์ มาเป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยสุข, จากความเป็นทาส ไปสู่ความเป็นอิสระจากธรรมชาติฝ่ายต่ำของใจ ทุกๆประการ, ดวงจิตที่เคยถูกอวิชชาหุ้มห่อกลับกลายเป็นจิตที่ผ่องใส แหลมคมต่อการทำลายรากเหง้าของความทุกข์หรือสิ่งที่ตนไม่พึงประสงค์, รวมความว่า #เปลี่ยนดวงจิตที่เคยก่อสร้างทุกข์ ให้กลายเป็นก่อสร้างสุขเพื่อตัวเอง.
…. อาการกิริยาที่ฝึกฝนบำเพ็ญแต่ภายนอก เช่น ศีล ธุดงค์ สมาธิ นั้นๆ ก็คือการเริ่มลงมือปฏิวัติดวงจิตเป็นลำดับๆ จากหยาบไปหาละเอียดนั่นเอง.
…. อาการภายนอกเป็นเพียงเครื่องหมาย แต่ไม่เป็นเครื่องหมายที่แน่นอนเสมอไป เพราะถ้าผู้ใดปฏิบัติปฏิปทาเหล่านี้เป็นโลกาธิปไตยเพียงภายนอกให้โลกสรรเสริญแล้ว หาจัดเป็นการปฏิบัติธรรมได้ไม่ จัดเป็นการทำ “ปลอมปฏิบัติธรรม”
…. โดยนัยนี้จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติธรรมนั้น คือ การปฏิวัติดวงจิตแท้ๆ ปฏิวัติดวงจิตที่เคยทุกข์ให้เป็นสุข ปฏิวัติสุขที่ไม่แท้ ให้เป็นสุขที่แท้จริง จนกว่าจะลุถึงยอดสุข
…. กิริยาปฏิวัติในที่นี้ คือ การปลดเปลื้องชีวิตให้..#หลุดพ้นจากแอกอธิปไตยแห่งกิเลส_ปราบกิเลสให้หมดอิทธิพลให้เป็นอิสระแก่ตัวเองได้.
.
…. “กิเลส” นั้นได้แก่ ความรู้สึกตามสัญชาตญาณที่เป็นไปในฝ่ายต่ำ คือตามที่มันนึกใคร่อย่างไร และเป็นความรู้สึกของจิตที่ยังไม่ได้รับการศึกษาหรือขูดเกลาตามวิธีที่ถูกตรงตามหลักความจริง กิเลสเป็นของแฝงอยู่กับจิต และปรากฏตัวให้เห็น ต่อเมื่อมีสิ่งยั่วให้มันลุกโพลงหรือพล่านขึ้นเป็นคราวๆ แล้วก็หายตัวเงียบแฝงอยู่ ดุจเดียวกับตัวหนังสือลับที่เขียนด้วยหมึกลับ จะปรากฏให้เห็นต่อเมื่อแช่กระดาษลงในน้ำ แห้งแล้วก็หายเสีย ฉะนั้น. เพราะมันแฝงตัวอยู่ได้อย่างลี้ลับ อย่างที่ค้นไม่เห็นตัว แต่มันอาจโผล่ออกมาเมื่อไรก็ได้ในทุกกาล ทุกสถานที่ มันจึงเป็นเหมือนกับเป็น“สมบัติกายสิทธิ์”ของจิต ที่มีไว้สำหรับการแล่นท่องเที่ยวไปใน“ทะเลทุกข์”ด้วยกัน เหมือนคนกับเรือ ฉะนั้น. บางแห่งเราเรียกกิเลสนี้ว่า“กิเลสอย่างละเอียด” เพราะนอนในสันดาน และเรียกปรากฏการณ์ของกิเลสที่ปรากฏอยู่ในใจว่า“กิเลสอย่างกลาง” และที่ปรากฏออกมากระทั่ง ทางกาย วาจา ว่า“กิเลสอย่างหยาบ” และเราวางหลักต่อไปว่า ศีล เป็นคู่ปรับกับ กิเลสอย่างหยาบ, สมาธิ เป็นคู่ปรับกับ กิเลสอย่างกลาง, และ ปัญญา เป็นคู่ปรับกับ กิเลสอย่างละเอียด, และเรียกการบำเพ็ญธรรมที่เป็นคู่ปรับทั้ง ๓ อย่างนี้ว่า “การปฏิบัติธรรม”
.
…. “การปฏิบัติธรรม” คือการบำเพ็ญให้เต็มที่ในข้อปฏิบัติต่างๆ อันย่นลงแล้วเรียกว่า “ศีล สมาธิ ปัญญา”
.
…. ศีล คือ การชำระกายและวาจา ให้บริสุทธิ์ปราศจากโทษ เมื่อบริสุทธิ์แล้วเป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ,
…. สมาธิ คือ ความที่ใจผ่องใสตั้งมั่นเป็นจุดเดียว มีกำลังกล้าแข็งสำหรับการคิดปัญหาอันลี้ลับ
…. การตีปัญหาลี้ลับ ก็คือ การบำเพ็ญปัญญา นั่นเอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิปัสสนาภาวนา”
.
…. พระพุทธภาษิตเหลือที่เหลือจะประมาณได้ ที่สอนให้ภิกษุในพระศาสนานี้ เจริญศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิและปัญญาเป็นงานทางใจชั้นประณีตที่สุด เพื่อให้เร็วเข้า จึงทรงสอนให้ตัด“ปลิโพธ” เครื่องกังวลรบกวนต่างๆ แล้วหลีกออกบำเพ็ญในที่สงัด ดังที่ทรงระบุไว้ คือ โคนไม้ ป่า และ เรือนว่าง ได้แก่ ถ้ำ ซอกเขา ป่าช้า ลอมฟาง กลางแจ้ง ป่าชัฏ ทรงสอนให้ตั้งหน้าคิดให้เห็นแจ้งตลอดเป็นลำดับไป เริ่มตั้งแต่การพิจารณาร่างกายนี้ ค้นให้พบสภาวะธรรมดาตามที่เป็นจริงอย่างไร จนหายยึดมั่น สลัดเครื่องเศร้าหมองของดวงจิตออกให้สิ้นเชิง มีปรีชาญาณ ไม่ติดขัดในปัญหาอันเกี่ยวกับชีวิต โดยเฉพาะคือสุขและทุกข์ อีกสืบไป นี่คือ “การปฏิบัติธรรม” ซึ่งเป็นการทำลายรากเหง้าของความทุกข์ ได้แก่ อวิชชา”
.
พุทธทาสภิกขุ
#การปฏิบัติธรรม คือ การแยกจิตออกจากอารมณ์
การรู้ธรรม เห็นธรรม
ส่วนมากเรามักจะเข้าใจกันว่า การรู้ธรรมเห็นธรรมคือต้องเห็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นโครงกระดูกแล้วรู้ว่า เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราไปหมายเอาหมวดใหญ่ที่ท่านเขียนเอาไว้ในคัมภีร์การตีความหมายอย่างนั้นก็ไม่ผิด เป็นการถูกต้องกับการรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติที่จิตมันจะรู้เองด้วยพลังของสติสัมปชัญญะ
แต่เราจะไปรู้ในกฎเกณฑ์ที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับเท่านั้นไม่ได้ การรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง เป็นกระท่อนกระแท่น ไม่ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นเรื่องยืดยาว การรู้ธรรมเห็นธรรมขอกำหนดหมายอย่างนี้
๑) คือการรู้ว่าจิตของเราคืออะไร เห็นว่าจิตของเราคืออะไร เป็นเบื้องต้น
๒) เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์ก็รู้ว่าจิตสัมผัสรู้อารมณ์
๓) เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์แล้วมีอะไรเกิดขึ้น จิตของเรายินดีไหม จิตของเรายินร้ายไหม จิตของเราพอใจไหม หรือเกลียดในอารมณ์นั้น ในเมื่อรู้ว่ายินดีหรือยินร้ายเกลียดหรือชอบ ก็ดูต่อไปว่าความเกลียดและความชอบบังเกิดขึ้นภายในจิตเป็นอย่างไร ทำให้จิตร้อนหรือเย็น ทำให้จิตสุขหรือทุกข์
ถ้าหากว่าจิตรู้สึกสุขก็ผ่านไป แต่ถ้าจิตของเรารู้สึกทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นความร้อนภายในจิต เรารู้ความร้อนของจิตในเมื่อเรารู้ความร้อนของจิตแล้ว ความร้อนเป็นทุกข์ เราจะต้องถามหาเหตุว่าทุกข์นั้นเกิดมาจากอะไร
ในเมื่อจิตรู้ว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากอำนาจของโลภะ เกิดมาจากอำนาจของโทสะ เกิดมาจากอำนาจของโมหะ จิตมันก็จะยอมรับว่าไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอันว่าจิตรู้ธรรมเห็นธรรม คือเห็นทุกข์ในจิต เห็นสุขในจิต
เทศนาธรรม ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
ด้วยการมี ศีล สมาธิ และปัญญา
การบังคับกาย และวาจาให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า #ศีล
การบังคับ จิต เรียกว่า #สมาธิ และ
การใช้จิตมาคิด ค้นหาความจริง จนปรากฏแจ่มแจ้ง เรียกว่า #ปัญญา
#มนุษย์มีเรื่องราวต่างๆ เพราะอารมณ์
"มันก็เหมือนกันกับการเข้าไปในเมือง
บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ทางถนนหลายสาย
โดยมากแล้ว แนวทางการภาวนาก็แตกต่าง
กันเพียงรูปแบบเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเดินทาง
สายหนึ่งสายใด เดินช้าเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติ
อยู่เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น
ความไม่รู้ ทำให้ยิ่งทุกข์ ยิ่งเข้าใจผิด ยิ่งกังวล ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสับสน ความอิจฉา ความกลัว เป็นส่วนหนึ่งของความไม่รู้
มายาล่อหลอกในทิศตรงข้าม มันมีสองหน้า จงอยู่ตรงกลางเหมือนกับเช่นดาวเหนือ อย่าให้ร่างกายอดอยาก หรืออย่าสนองกิเลสของมัน จงแน่วแน่อยู่ตรงกลาง เมื่อเราตระหนักถึงความชั่วร้ายจากมายา ความกังวลทั้งหมด ก็จะหายไป
เราจะได้สัมผัสความรัก และการยอมรับ ความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้เหมือนกัน เมื่อมีความรู้สึกนี้ เราจะไม่รู้สึกเกลียดใครอีกเลย แม้แต่คนที่โหลดร้ายกับเรา เราก็จะไม่รู้สึกเกลียดเขา แต่ในทางตรงกันข้าม เราจะพยายามวิเคราะห์คนๆนั้น ในแง่ของทางโลก ที่ยังมีสิ่งให้ยึดติด
#รู้ทันจิต #สติมา #ปัญญาเกิด
จงรู้ทุกอย่างที่จิตรู้ แต่อย่าติดในรู้นั้น เมื่อประตูแห่งความรู้เปิดขึ้น ความกรุณาเท่านั้นที่จะอยู่กับเรา
จิตสะอาด ใจสว่าง มโนสงบ
#พุทธะ
ถ้าปัญญามาก่อน นั้นคือ ปัญญาอ่อน ขาดกำลัง
หรือเป็นสัญญา เป็นปัญญาทางโลกีย ์[โลก]
ทางสายเอกสายเดียวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา [มรรค]
ทางสายอื่นเป็นทางตัน
การเจริญสติจนมีกำลัง สมาธิก็จะเกิด พอสมาธิเกิด
#ปัญญาก็จะเกิดเอง #ไม่ใช่คิดเองว่ามีปัญญา
ปัญญาในวิปัสนา นั้นต้องมีสมาธิอบรมขึ้น
และสิ่งสำคัญ ต้องมีอุเบกขาเป็นวิหารธรรม[เครื่องอยู่]
ที่ว่าปัญญามาก่อนเป็นวิปัสนู นั้นเพราะจิตขาดสมาธิ
จึงเป็นความคิดปรุงแต่ง ด้วยเหตุผลทางโลก
จิตที่ขาดสมาธินั้นจิตย่อมมีนิวรธ์ เป็นเครื่องกั้นตัวปัญญาที่แท้จริง
เพราะว่า นิวรธ์ 5 นั้นเป็นข้าศึก ของสมาธินั้นเอง
ถ้าจิตเกิดสมาธิ นิวรธ์ก็ดับลง
ถ้ามีนิวรธ์ สมาธิย่อมดับเช่นกันนั้นเอง
แล้วจะไม่เรียกว่าปัญญาอ่อนแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร...
#พระสิ้นคิด
รักษาความสงบอย่างไร ให้อยู่ในใจนาน (ตอนที่ ๑)
ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) แนะวิธีรักษาความสงบให้อยู่ได้นาน มี ๓ ประการคือ
๑. กัน
๒. แก้
๓. พัฒนา
๑. กัน
๑.๑ มีสติทุกวินาที
สร้างความรู้ตัวทั่วพร้อม ทุกขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอน ทุกขณะที่เคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน สติที่กำกับใจอยู่เสมอ จะเป็นกำแพงอัตโนมัติ กันไม่ให้นิวรณ์เข้าครอบงำใจได้ ขณะเดียวกัน
สติจะเป็นตัวเปิดทางให้ธรรมะฝ่ายดี เข้าส่งเสริมที่นำจิต เกื้อหนุนจิตให้สงบนิ่งได้ยาวนาน
๑.๒ รู้เท่าทันอารมณ์
พลันที่รู้ว่านิวรณ์ข้อใดข้อหนึ่งครอบงำจิตใจ รีบกำหนดรู้ทันที การกำหนดรู้แต่ละครั้งมีพลังในตัวมันเอง มีปฏิหาริย์ในตัวมันเอง แม้เพียงกำหนดรู้แค่ครั้งเดียว ก็สามารถเผาผลาญนิวรณ์ให้วอดวายไปได้จำนวนมาก ยิ่งกำหนดรู้มากขึ้นถี่ขึ้น สติปัญญาจะคมกล้ามากยิ่งขึ้น จะกลายเป็นอาวุธพิเศษภายในจิต ตัดกระแสนิวรณ์แต่ละตัวที่เข้ามาสู่จิตให้กระจุยกระจาย ไปได้อย่างปฏิหาริย์
เมื่อผู้ป่วยที่รู้อาการของโรคได้เร็ว จะหาทางรักษาตัวเองได้เร็ว ไม่ปล่อยให้โรคร้ายลุกลามไป จนกระทั่งแก้ไขอะไรไม่ได้
๑.๓ สวนกระแสอารมณ์
บางครั้งนิวรณ์เข้ามาท่วมทับจิตใจอย่างรุนแรง โหมกระหน่ำจิตใจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนรู้สึกอึดอัดและมืดมนอย่างบอกไม่ถูก แม้พยายามกำหนดรู้หลายครั้ง แต่ก็ต้านกระแสนิวรณ์ที่แข็งกล้าไม่ได้
ยามเป็นเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติต้องรู้จักใช้กำลังจิตสวนกระแสนิวรณ์ ไม่ทำตามความรู้สึกที่นิวรณ์สั่ง ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอารมณ์ชนิดนั้นๆ เช่น
ข้อสำคัญที่สุด ก็คือ แนวทางภาวนาที่ดีและถูก
ต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว
ก็ต้องปล่อยวางแนวทางการภาวนาทุกรูปแบบด้วย
ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์
แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง
ท่านอาจจะอยากเดินทางเพื่อศึกษากับ
อาจารย์ท่านอื่น และลองปฏิบัติตามแนวทาง
อื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น
นี่เป็นความต้องการตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่า
แม้ได้ถามปัญหานับพันคำถามก็แล้ว และมี
ความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆ ก็แล้ว ก็ไม่อาจ
จะนำท่านเข้าถึงสัจธรรมได้
ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท่านจะรู้ว่า
เพียงแต่หยุดและสำรวจตรวจสอบดูจิต
ของท่านเองเท่านั้น ท่านก็จะรู้ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร
ไม่มีประโยชน์ที่จะแสวงหาออกไปนอกตัวเอง
" เมื่อ ความตายมาถึง
จงละทิ้ง...
ทรัพย์สินเงินทอง ที่มี
อย่า ยึดสิ่งใดไว้
แม้...เพียงเล็กเท่า(ปลาย)เข็ม
เมื่อ ความตายมาถึง
ผู้ปฏิบัติ
ระดับสูงสุด จะปิติ
ผู้ปฏิบัติ
ระดับกลาง จะไร้ความหวาดหวั่น
ผู้ปฏิบัติ
ระดับล่าง จะไม่เสียใจ
เมื่อจิต...
ถึงความประภัสสรทั้งวัน และคืน
จะไร้ภาวะกลางของการเปลี่ยนผ่าน
จากความเป็น สู่...ความตาย
ความตาย
จะเป็นเพียง...การทะลาย
ออกจาก...
กาย อันเป็นดุจกรงที่กักขัง."
__________________________________________
(ลามะ ดุดจอม รินโปเช)
...ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องฝึกสติสมาธิให้ตั้งมั่นในกายใจ ให้สตินั้นเท่าทันในขันธ์ทั้ง ๕
การจะเท่าทันขันธ์ทั้ง ๕ มันต้องแยกออกจากขันธ์ ๕
เมื่อใดสติสมาธิแยกออกจากขันธ์ ๕ เมื่อไหร่ มันจะเห็นซึ่งความเป็นกลาง มันจะพิจารณาขันธ์ ๕ นั้นได้ให้ตรงตามความเป็นจริง
ทีนี้ถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะสำคัญขันธ์ ๕ นั้นเป็นของเราเป็นตัวเรา ก็พูดง่าย ๆ มันเอาเราเข้าไปใส่ในขันธ์ ๕ เอาขันธ์ ๕ มันมาอยู่ในเรา
ธรรมชาติที่รู้เห็นนั้น ก็จะสำคัญรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวเราเป็นของเรานั่นเอง จึงไม่สามารถแยกออกจากขันธ์ ๕ ตรงนี้ได้
ยกเว้นผู้ที่ปฏิบัติธรรม เจริญสติสมาธิจนตั้งมั่นเท่าทันการเกิดดับของขันธ์ ๕ นั้นเอง ก็จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันแยกกันอยู่
ธรรมชาติที่เป็นขันธ์ทั้ง ๕ กับธรรมชาติที่เห็นอยู่ มันแยกกันอยู่ตลอด มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ธรรมชาติความหลง ธรรมชาติที่เห็นความหลง มันก็ไม่ใช่ตัวเดียวกัน มันแยกกันอยู่
ธรรมชาติที่โกรธ กับธรรมชาติที่เห็นความโกรธอยู่ มันก็แยกกันอยู่ มันไม่ใช่ตัวเดียวกัน
ธรรมชาติที่โลภ กับธรรมชาติที่เห็นความโลภ มันก็แยกกันอยู่ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มันแยกกันอยู่
เหตุนั้น สิ่งที่รู้ที่เห็นอยู่นั้นเขาเรียกว่าอะไร เขาก็เรียกว่าอวิชชาธาตุ เขาเรียกว่าพยาบาทธาตุ เขาเรียกว่ากามธาตุ มันเป็นธาตุ
คำว่าธาตุ คือสูญจากสมมติสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
แต่ธรรมชาติที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่รู้แจ้งในสัจธรรมความจริงข้อนี้ ก็จะสำคัญว่าสิ่งที่เรารู้ทั้งหมดเป็นตัวเราเป็นของเรา จึงหลงสำคัญไปตามสิ่งที่รู้ที่เห็น
เวลามีตัวก็สำคัญว่าเรามีตัวเกิด เวลามีความโกรธก็สำคัญว่าเราโกรธ เวลามีความรักความชอบใจก็สำคัญว่าเรามีความรักความชอบใจ อยู่อย่างนี้กี่ภพกี่ชาติก็เป็นอยู่อย่างนี้หมด ก็เลยหมุนไปตามความโลภความโกรธความหลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นแจ้งในใจตนเองว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นธาตุหมด ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรานั่นเอง...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง “หัดแยกออกจากขันธ์ ๕ (วิสาขบูชา)”
เทศน์ที่ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒
รับฟังฉบับเต็ม
สามัญญลักษณะ
"การที่จิตเราตั้งมั่น
เราก็จะเริ่มเห็นสภาวธรรมจำนวนมาก
สภาวะอะไรเกิดขึ้นสติก็ระลึกรู้
บางอย่างเกิดขึ้นมาแต่ว่าไม่เคยรู้จัก ไม่รู้คืออะไร
ดูซ้ำๆๆ ไปหลายๆ รอบ หลายๆ วันเดี๋ยวก็เข้าใจนี้คือตัวอะไร บางอย่างเราไม่เคยเห็น
มันผุดขึ้นมา ดูไม่ออกว่าตัวอะไร
ดูไปหลายๆ วันก็รู้ ก็อ๋อตัวนี้เอง
หัดรู้ หัดดูไป พอจิตมันเป็นผู้รู้ ผู้ดู
แล้วก็แยกขันธ์ แยกสภาวะออกมา
แยกขันธ์แยกสภาวะแล้วจะได้อะไรต่อไป
ก็จะสามารถเห็นว่าแต่ละสภาวะตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
แต่ละสภาวะมีแต่ความไม่เที่ยง
มีแต่ความถูกบีบคั้นให้แตกสลาย
มีแต่ของบังคับไม่ได้
มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้
สภาวธรรมทุกๆ ตัวยกเว้นนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น
นอกนั้นตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งหมด
ความสุขก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง
ความสุขยังดำรงอยู่ กำลังถูกบีบคั้นให้หมดไปสิ้นไป
ความสุขจะอยู่หรือจะดับเราสั่งไม่ได้
อยู่ที่เหตุปัจจัยที่ทำให้ความสุขเกิดขึ้น
เราจะเริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้
สภาวะทั้งหลายตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
แต่ละตัวๆ ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์เกิดขึ้นกับสภาวะทุกตัว
ยกเว้นพระนิพพานเท่านั้น
ก็เลยเรียกว่า สามัญญลักษณะ
ลักษณะสามัญ ภาษาไทยแปลให้ฟังรู้เรื่องก็คือ
เป็นลักษณะร่วมของสิ่งที่เราปรุงแต่งทั้งหลาย
มีลักษณะร่วมกับลักษณะเฉพาะตัว
ลักษณะเฉพาะตัวแต่ละตัวไม่เหมือนกัน
แต่ทุกตัวมีลักษณะร่วมกันว่า
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 ตุลาคม 2563
เต็มร่างกาย เต็มจิตใจ
ทำไมจะไม่รู้ รูปทั้งรูปนี้มีอาการใดที่ไม่เป็น
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เห็นเป็นพื้นอยู่ชัดๆอย่างนี้
จะค้านความจริงไปไหน???
เรื่องสติจึงยกให้เป็นอันดับหนึ่งในการประกอบความเพียร จะเป็นที่ธรรมดาก็ตาม เป็นเวลาที่เดินจงกรมนั่งสมาธิก็ตาม สตินี้เป็นสำคัญมากทีเดียว ถ้าขาดสติเมื่อไรก็ขาดความเพียร ถ้าสติติดแนบกันอยู่แล้วความเพียรก็ก้าวเดิน นี่สำคัญให้จำเอาไว้ทุกคน ตั้งสติไม่ใช่ตั้งธรรมดานะ ผู้ที่จะเร่งรัดให้ถึงมรรคถึงผลจริงๆ สติกับจิตนี้ไม่จากกันละ ขาดเมื่อไรก็เป็นว่าขาดความพากความเพียร ตั้งสติปั๊บตั้งแต่ตื่นนอนไม่ให้เผลอกันเลย อยู่อย่างนั้นละ เพราะไม่มีงานอื่นใดทำ มีแต่งานภาวนาเพื่อจะดูละครลิงซึ่งมันมีอยู่ในจิต เอาธรรมะตีเข้าไปๆ จิตก็สงบได้
ถ้าสติตั้งได้ดีมีทางที่จะตั้งตัวได้.... สติกับจิตติดแนบกันอยู่ตลอดเวลา นี่ตั้งได้ไม่สงสัย ถ้าขาดสติแล้วก็ขาดความเพียร จำคำนี้ไว้ให้ดี ขาดสติเมื่อไรความเพียรก็ขาดไป ถ้าสติตั้งตลอดความเพียรก็ก้าวเดินได้ๆ เริ่มตั้งแต่ความสงบ..จิตใจจะฟุ้งซ่านรำคาญไปไหนเอาสติจับติดๆ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ สตินี้ตามติดกับจิตไม่ให้เผลอไปไหน
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศนาธรรมเรื่อง"ตั้งสติให้ดีนักภาวนา"
ผลที่สุด ท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้า
กับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่านเอง
ตรงนี้แหละ ที่ท่านจะเข้าใจธรรมะได้"
หลวงพ่อชา สุภัทโท
แนวทางและวิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุ อริยมรรค อริยผล
โดย หลวงปู่ เจือ สุภโร
คัดลอกบางส่วน จากหนังสือ แนวทางและวิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุ อริยมรรค อริยผล หลวงปู่ เจือ สุภโร
สติปัฏฐาน 4
ถ้าเราดูตามตำราในพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว และที่ท่านแปลไว้แล้วนั้น ดูแล้วเข้าใจยาก รู้สึกว่าไม่น่าจะทำตามได้ ไม่ชวนให้ทำตาม ดูแล้วไม่อยากจะทำตาม ทั้งนี้เพราะเราไม่เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นของน่าทำตามทำให้เกิดความยินดีที่จะทำตาม
คำว่าสติ ปัฏฐาน ก็แปลว่าความตั้งทั่วแห่งสติ หรือ สติตั้งทั่ว สติปัฏฐาน 4 ก็แปลว่า สติตั้งทั่วที่ 4 อย่าง คือที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม
สติตั้งอยู่ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรมด้วย เมื่อสติสัมปชัญญะก็ตั้งอยู่ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรมด้วย เมื่อสติสัมปชัญญะ ตั้งอยู่ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม นิ่งอยู่คงที่อยู่ อาตาปีก็เกิดขึ้นได้เพราะสติสัมปชัญญะตั้งนิ่งคงที่ อยู่ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม เมื่อสติสัมปชัญญะตั้งอยู่ที่กายเมื่อใด ก็เป็นอันตั้งอยู่ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรมด้วย เพราะเวทนา จิตธรรมก็อยู่ที่กายนี้ สติสัมปชัญญะตั้งอยู่ที่กายเมื่อใดก็เป็นอันตั้งอยู่ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรมด้วยเมื่อนั้น ถ้ายังไม่หยุดไม่นิ่ง อาตาปีก็ยังไม่เกิด ชื่อว่าสติปัฏฐาน 4 ยังไม่เกิด
ครั้งสติสัมปชัญญะตั้งอยู่ที่กายหยุดนิ่งเมื่อใด อาตาปีก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น เมื่ออาตาปีเกิดขึ้นเมื่อใดก็เป็นสติปัฏฐาน 4 เกิดขึ้นเมื่อนั้น เป็นสติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรมเกิดขึ้น
ถ้าอาตาปียังไม่เกิดขึ้น แม้สติจะเกิดขึ้นตั้งอยู่ที่กายแต่ยังไม่นิ่งสนิทก็ชื่อว่า สติปัฏฐานเหมือนกัน เพราะว่ามันตั้งอยู่ที่ กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม เหมือนกัน แต่ยังไม่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้อริยสัจธรรมทั้ง 4 จึงไม่ชื่อว่าเป็นสติปัฏฐานโพธิปักขิยธรรม ครั้งสติหยุดนิ่งเมื่อใด สัมปชัญญะก็หยุดนิ่ง อาตาปีก็เกิดขึ้น
อาตาปีแปลตามพยัญชนะว่า มีความร้อน มีความเร่าร้อน หมายถึงกิเลสเร่าร้อน กิเลสที่มีอยู่ในจิตในใจต้องเหือดแห้งไป กิเลสใดที่ยังไม่เกิดก็เกิดไม่ได้ ที่เกิดขึ้นแล้วก็เหือดแห้งไป
เมื่อกิเลสเหือดแห้งไปอย่างนี้ กุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญมากขึ้น (อาตาปีก็คือ สัมมัปทาน 4 นั่นเอง) เมื่อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น ความยินดีความพอใจก็เกิดขึ้น นั่นคือ อธิบาท 4 เกิดขึ้นนั่นเอง อินทรีย์ 5 พละ 5 และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ก็เกิดขึ้นพร้อม
สติสัมปชัญญะจะหยุดนิ่งคงที่เป็นสติปัฏฐาน 4 ได้ก็เพราะสัมมาสมาธิเกิดขึ้น สัมมาสมาธิก็คือ ความรู้ของจิตหยุดนิ่งเป็นสมาธิจนนิวรณ์ 5 ดับสนิท เพราะความรู้ของจิตหยุดนิ่งคงที่เป็นสมาธิ สติสัมปชัญญะที่หยุดนิ่งนั้น จึงเป็นสติปัฏฐาน 4 เกิดขึ้น
เพราะสติปัฏฐาน 4 ต้องประกอบด้วย สติ 1 สัมปชัญญะ 1 อาตาปี1 ทั้งสามอย่างนี้ตั้งอยู่ที่ กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม
จึงชื่อว่าสติปัฏฐาน 4 จึงมีหลัดเกณฑ์เครื่องกำหนด 2 ประการ คือ
1. ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ มีอาตาปี
2. สติ สัมปชัญญะ อาตาปี จะต้องหยุดนิ่ง ตั้งอยู่คงที่ อยู่ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม
จึงเป็นสติปัฏฐาน 4 ได้ ดังนี้
ดังที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่า สติปัฏฐาน 4 จะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับสัมมาสมาธิและอาตาปี คือ สัมมัปทาน 4 เพราะเหตุนั้นเมื่อสติปัฏฐาน 4 เกิดขึ้นเมื่อใด ก็โยงเอาโพธิปักขิยธรรมอีก 5 หมวดอันมีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 เป็นที่สุด ให้เกิดขึ้นพร้อมกับสติปัฏฐาน 4 ทั้ง 5 หมวด เว้นแต่โพชฌงค์ 7 เพียงหมวดเดียว ที่แม้จะเกิดขึ้นพร้อมกับสติปัฏฐาน 4 ก็จริง แต่เมื่อวิปัสสนายังไม่เกิดก็ทำหน้าที่เป็นโพชฌงค์ยังไม่ได้ ครั้งเมื่อวิปัสสนาเกิดแล้ว จึงทำหน้าที่เป็นโพชฌงค์ได้ คือเป็นส่วนช่วยให้อริยมรรคสมังคีเกิดขึ้น เพราะเหตุนั้นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นเหตุแห่ง โพชฌงค์ 7 นั้น
คำว่า สติปัฏฐาน 4 จึงหมายความรวมถึง โพธิปักขิยธรรม ทั้ง 6 หมวด คือสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปทาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 อริยมรรคมีองค์ 8 รวมทั้ง 6 หมวดนี้แหละ ว่าเป็นเหตุแห่งโพชฌงค์ 7แม้พุทธพจน์ว่า สุจริต 3 เป็นเหตุแห่งสติปัฏฐาน 4 นั่นก็เหมือนกัน คือเท่ากับมีความหมายว่า สุจริต 3 เป็นเหตุแห่งโพธิปักขิยธรรม 6 หมวด มีสติปัฏฐาน 4 เป็นต้น และเหตุแห่งสุจริต 3 คือ อินทรียสังวร ดังสรุปได้ดังนี้
อินทรียสังวร เป็นเหตุแห่ง สุจริต 3
สุจริต 3 เป็นเหตุแห่ง สติปัฏฐาน 4
สติปัฏฐาน 4 เป็นเหตุแห่ง โพชฌงค์ 7
โดยที่ อินทรียสังวร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในพระสูตรนี้ว่ามีกายคงที่ มีใจคงที่ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องเย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นต้น ใจรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็มีกายคงที่มีใจคงที่ พระองค์แสดงว่ามีกายคงที่ มีใจคงที่ นี่เป็นอินทรียสังวร
ข้อนี้ฟังแล้วก็เป็นปัญหาอยู่ ทำอย่างไรจึงจะทำให้อินทรียสังวรเกิดขึ้นได้ การที่จะทำอย่างไรจึงจะเป็นอินทรียสังวร คือมีกายคงที่มีใจคงที่เกิดได้นั้น ไม่ต้องคิด ไม่ต้องค้น ไม่ต้องหาอะไร ตั้งใจทำกายคงที่ไว้เนืองๆแล้วจะรู้เองว่า การเจริญอินทรียสังวร คือทำอย่างไรเพราะว่า เราจะคิดค้นหาอุบายวิธีอย่างไรเราก็หาไม่ได้ แต่ถ้าเราตั้งใจทำกายคงที่ใจคงที่ เมื่อเวลาตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกรู้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ ใจรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ อยู่เนืองๆไม่นานเท่าไร เพียงไม่ก็วัน ก็จะรู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราชอบใจ ที่เราพอใจมากๆ หรือไม่พอใจอย่างมากๆ เมื่อเราตั้งใจทำกายคงที่ทำใจคงที่ อยู่เพียงไม่นานภายหลังเราไปพบสิ่งที่เราพอใจมากๆ หรือไม่พอใจมากๆความพอใจมากๆหรือไม่พอใจมากๆนั้น มันจะหายไป มันจะจืดจางไป เมื่อมันจืดจางไปอย่างนี้ เราจะรู้สึกสบาย เพราะความพอใจมากมันก็ทำให้จิตใจไม่สบาย หวั่นไหวไปตามความพอใจนั้น ความไม่พอใจมากๆมันก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก ความพอใจมากก็เป็นทุกข์ ความไม่พอใจมากก็เป็นทุกข์ มันเห็นแล้วเฉยๆมันธรรมดาๆอย่างนั้น มันค่อยสบาย เมื่อเราตั้งใจทำกายคงที่ ทำใจคงที่เนืองๆ ไม่นานเท่าไร เราจะรู้สึกว่าค่อยสบายขึ้นจิตใจของเราจะไม่หงุดหงิด
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เบื้องต้น เราทำกายคงที่ ทำใจคงที่ไว้เท่านั้น ทำอยู่เนืองๆ ความคงที่ของกายและใจก็ค่อยเกิดขึ้นๆ มากขึ้นๆ ตามลำดับ เมื่อความคงที่ของกายและใจมีกำลังพอ สุจริต 3 ก็มีกำลังพอ คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต กายจะทำอะไรก็ไม่มีโทษ วาจาจะพูดอะไรก็ไม่มีโทษ ใจจะคิดอะไรก็ไม่มีโทษ คือ ทำอะไรๆก็ไม่เบียดเบียนแก่ตนไม่เบียดเบียนแก่ผู้อื่น ไม่เป็นโทษแก่ตนและผู้อื่นด้วย ใจก็สบายเป็นสุข สติสัมปชัญญะก็ตั้งอยู่ที่กายดี ก็เป็นสติปัฏฐาน 4 แต่ไม่เป็นสติปัฏฐานโพธิปักขิยธรรม( เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ )เพราะอาตาปียังไม่เกิด และเมื่อสติปัฏฐานธรรมดาเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
เรามาเจริญสติปัฏฐานตามอุบายวิธีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้วด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้แล้วด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้เฉพาะในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยหัวข้อใหญ่ๆถึง 21 หัวข้อมีอานาปานสติสติปัฏฐานเป็นต้น คือมีสติตั้งอยู่ที่กายทั่วกาย หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก ด้วยจิตธรรมดาๆ ไม่กดไม่เก็ก แต่มีสติรู้อยู่ที่กายทั่วกายเบาๆ ทำอยู่อย่างนี้ สมาธิเกิดขึ้นเมื่อใด สติก็จะหยุดนิ่ง สัมปชัญญะก็หยุดนิ่งด้วยอาตาปีจึงเกิดขึ้น กิเลสทั้งหลายก็จะค่อยเสื่อมไปๆ หมดไปๆ ปัญญาก็สว่างไสวมากขึ้นๆ ปัญญาสว่างไสวมากขึ้นเพียงใด ก็ย่อมรู้ย่อมเห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดเป็นตน สิ่งใดไม่ใช่ตน เห็นทั้งสิ่งที่เป็นตน และสี่งที่ไม่ใช่ตนด้วย เมื่อรู้เห็นอย่างนี้แล้ว ยังไม่ปล่อยไม่วาง คงทำสติสมัปชัญญะตั้งอยู่ที่กายที่จิตรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น สมาธิจะสูงขึ้นๆ สมาธิจะสูงขึ้นเท่าไรก็ตาม เราไม่เลิกไม่ละการทำนั้น คงทำอยู่เนืองๆ สติสัมปชัญญะก็มีกำลังมากขึ้นถึงขนาด วิชชาก็เกิดขึ้น ทำให้อวิชชาดับไป
วิชชาจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอริยมัคคสมังคีเกิดขึ้นนั่นแหละ อริยมัคคสมังคีเกิดขึ้นเมื่อใด อวิชชาก็ดับไปเมื่อนั้น กิเลสและความความทุกข์ก็ดับไปพร้อมอวิชชาดับด้วย เราจึงไม่ต้องละอะไรๆสักอย่างเดียว บางอาจารย์สอนว่าให้ปล่อยอย่างนั้น ให้ปล่อยอย่างนี้ อย่ายึดอย่างนี้ ไม่ถูก ที่แท้ไม่ต้องไปละอะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่ต้องละ เราดูให้รู้ให้เห็นเท่านั้น การจะดูให้รู้ให้เห็นก็ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะตั้งอยู่ที่กายที่จิต ที่เรียกสติปัฏฐาน 4 อยู่เนืองๆ ไม่ละไม่วาง ปัญญาก็เกิดขึ้น รู้เห็นตามความเป็นจริง ทั้งสิ่งที่ไม่ใช่ตนและสิ่งที่เป็นตนด้วย ปัญญาความรู้นี้เป็นไปเหมาะเจาะเมื่อใด อริยมรรคทั้ง8 ก็มีกำลังเสมอกัน ที่เรียกอริยมัคคสมังคีเกิดขึ้น วิชชาหรือปัญญานั้นจึงเห็นแจ้ง เห็นชัดอริยสัจทั้ง 4 ว่าไม่ใช่ตน
สมุทัยคือกิเลสทั้งหลายอันมีอวิชชาเป็นประธานก็ดับ ทุกข์ก็ดับไปพร้อมกับอวิชชานั้น ถ้าอริยมัคคสมังคีของพระโสดาบัน เกิดขึ้น อวิชชาตัณหา อุปาทานของปุถุชนดับไปก็เป็นพระโสดาบัน ถ้าสกิทาคามีมรรคเกิดขึ้น กิเลสของพระโสดาบันดับไปก็เป็นพระสกิทาคามี เมื่ออนาคามีมรรคเกิดขึ้น กิเลสของพระสกิทาคามีดับไปก็เป็นพระอนาคามี ครั้งอรหันตตมรรคเกิดขึ้น กิเลสทั้งปวงก็ดับ
การที่ใครๆจะปฏิบัติให้ถึงมรรคผลเป็น พระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปละนั่นละนี่ ที่แท้การคิดว่าจะละละนี่ จะละความโลภ ละความโกรธความหลง คิดจะละอย่างนั้นมันกลับผิด เพราะเราจะละสิ่งใด เราต้องรู้เห็นตามความเป็นจริง และตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่อาจจะละอะไรได้ทั้งนั้น มีแต่มันละเราเพราะว่าเรายึดมันไว้
ข้อสำคัญอยู่ตรงนี้ถ้าเรารู้หลักสำคัญนี้แล้ว ตั้งใจเจริญอินทรียสังวร พร้อมเจริญสติปัฏฐาน 4 ตามวิธีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้แล้ว การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล ถ้าทำถูกวิธีก็เป็นของนิดเดียวไม่ยากมาก ทำสติสัมปชัญญะให้ตั้งอยู่ที่กายที่จิต แล้วเจริญสติปัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเดินอยู่ก็รู้ว่าเราเดินอยู่ ยืนอยู่ก็รู้ว่ายืนอยู่ นั่งอยู่ก็รู้ว่านั่งอยู่ นอนอยู่ก็รู้ว่านอนอยู่ ตั้งกายไว้อย่างใดก็รู้อย่างนั้น พร้อมกับตั้งใจทำกายคงที่ทำใจคงที่ไว้ด้วย ทำอยู่อย่างนี้เนืองๆ เมื่อสติปัฏฐานเกิดขึ้นแล้วก็ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปนึกเอานึกละอะไร อะไรเกิดขึ้น เราก็ดูดูดูดู ดูอยู่อย่างเดียว การดูอยู่อย่างเดียวนี่เป็น มัชฌิมาปฏิปทา คือเป็นทางให้ถึงความสิ้นทุกข์ ครั้งสิ่งที่ดีเกิดขึ้น เรายังดูอยู่เฉยๆดูอยู่อย่างนั้น สิ่งที่ดีก็เพิ่มขึ้นๆ เราก็รู้ก็เห็นสิ่งที่ดีนั้นอยู่ เมื่อรู้อยู่นานๆก็จะรู้ว่า มันไม่เที่ยง ทีแรกมันมีอยู่นิดเดียว เราดูเฉยอยู่ มันก็มากขึ้นแล้วก็ทรงอยู่ ต่อไปก็ดับ ก็รู้ว่าความดีนี้มันก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
เห็นบ่อยๆเข้า โลกียปัญญาแก่ขึ้นพอสมควร วิปัสสนาก็เกิดขึ้นจนถึงอริยผลได้ ไม่ต้องไปนึกว่าอันนั้นไม่เที่ยง อันนี้ไม่เที่ยง อันนั้นเป็นทุกข์ อันนี้ไม่ใช่ตน ไม่ต้องไปนึกอย่างนั้น ดูอยู่เฉยๆแล้วเราก็เห็นความไม่เที่ยงของมัน
การเห็นความไม่เที่ยงเรียกว่า พิจารณา เห็น อนิจจัง การที่เราไปนึกว่า ไม่เที่ยงๆ นั่นไม่ใช่พิจารณาอนิจจัง พิจารณาหมายความว่า ไปรู้ไปเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าไม่เที่ยงอย่างนั้น ความรู้ดังกล่าวมานี้เป็นความรู้ด้วยโลกิยปัญญา ด้วยปัญญาที่เกิดจากสมถ (สมถ ก็คือ ฌานสมาบัติที่เกิดขึ้น เห็นอนิจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน แต่ไม่เห็นตน) เมื่อเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เนืองๆหนักเข้าๆมันก็รู้ว่าอันนี้ไม่ใช่เรา สิ่งที่เปลี่ยนแปรไปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สิ่งนั้น ถ้าวิปัสสนาเกิดขึ้น มันรู้ทั้งสองอย่าง คือรู้ทั้งสิ่งที่ไม่ใช่ตนด้วย รู้ทั้งตนด้วย ไม่ละการดูคงดูอยู่อย่างนั้น ความรู้มันชัดขึ้นๆจนถึงขนาด ถึงที่สุดเรียกว่า วิชชาเกิด อวิชชาก็ดับไปจึง สำเร็จ อริยมรรค อริยผล เป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ
เราต้องดูไว้เฉยๆอะไรเกิดขึ้นก็ดู ดับไปก็ดู ทั้งตั้งใจทำกายคงที่ทำใจคงที่ไว้ด้วยจึงจะสำเร็จมรรคผลได้ เพราะมีกายคงที่มีใจคงที่ จึงจะสามารถดูเฉยๆอยู่ได้ กายคงที่ใจคงที่คืออินทรียสังวร อันนี้เราต้องนึกไว้เนืองๆ เราต้องนึกไว้บ่อยๆ เมื่อเรานึกไว้เมื่อใด ความทำกายคงที่ทำใจคงที่ของเราจะมีหน่อยหนึ่ง เมื่อเรานึกถึงกายคงที่ใจคงที่บ่อยๆ เราก็ทำกายคงที่ใจคงที่ได้บ่อยๆเมื่อเรานึกอยู่เนืองๆ ความมีใจคงที่มีกายคงที่ของเราก็มีมากขึ้นๆ นึกอยู่เนืองๆทำอยู่เนืองๆ กายคงที่ใจคงที่ของเราก็มากขึ้นๆหนักๆเข้ามันก็กลายเป็นพื้นฐานธรรมดาของเรา
เพราะฉะนั้นผู้ใดคิดว่าเราจะสักการบูชาพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระธรรมและพระอริยสงฆ์ ก็ตั้งใจ นำไปประพฤติปฏิบัติอยู่เนืองๆ สิ่งที่ต้องปฏิบัติประจำตลอดเวลาก็คือ มีกายคงที่มีใจคงที่ จะอยู่ในที่ไหนก็นึกถึงกายคงที่ใจคงที่ไว้อันนี้เป็นข้อปฏิบัติในอินทรียสังวร ซึ่งจะเป็นเหตุให้สุจริต 3 และ โพธิปักขิยธรรม 7 หมวดเกิดขึ้น จนถึงวิชชาและวิมุตติเป็นผลสูงสุด ด้วยการปฏิบัติบูชา อันมีผลใหญ่มีอานิสงส์ให้สามารถบรรลุมรรคผล มีโสดาบันเป็นต้น
ถ้าการปฏิบัติของเรายังไม่ได้สำเร็จมรรคผล มีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลในชาตินี้ ในปัจจุบันนี้ ใกล้ตายเราก็จะได้ถึงมรรคผลได้ ถ้าใกล้จะตายยังไม่ถึงมรรคผล ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ครั้นไปเกิดบนสวรรค์แล้วก็จะสำเร็จมรรคผลได้ ถ้าไปเกิดบนสวรรค์แล้วยังไม่ได้สำเร็จมรรคผล เพราะเหตุที่เป็นธาตุเวไนย ผู้นั้นไม่อาจสำเร็จมรรคผลในปัจจุบันชาตินี้ คือไม่อาจสำเร็จมรรคผลในมนุษย์นี้ได้ แม้เกิดบนสวรรค์แล้วยังไม่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมสารีริกธาตุ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกของพระพุทธเจ้าที่ถวายพระเพลิงแล้วกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด ไม่เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายจะกลายเป็นพระธาตุเพียง เล็บ ฟัน กระดูกเท่านั้น ครั้นอีก 7 วันจะสิ้นพระศาสนา พระบรมสารีริกธาตุทั้งปวงจะไปประชุมกันที่โคน พระศรีมหาโพธิ แล้วแสดงปาฏิหาริย์เป็นองค์พระพุทธเจ้าเปล่งรัศมี 6 ประการ แสดงธรรมอยู่ 7 วัน 7 คืน พวกมนุษย์มองไม่เห็น เทวดาและพรหมเท่านั้นได้เห็น พวกเทวดาและพรหมที่เป็นธาตุเวไนยฟังธรรมนั้นแล้วก็ได้สำเร็จมรรคผลกันทั้งสิ้น
บัดนี้เรายังไม่ได้มรรคผล ยังไม่เป้นพระโสดาบัน เราตั้งใจทำกายคงที่ทำใจคงที่ไว้เนืองๆ ต่อไป สุจริต 3 เกิดขึ้นแล้ว และเราก็ได้ยินได้ฟังบ่อยๆเหมือนอย่างที่ฟังวันนี้ ฟังแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่ต้องละ เมื่อวิชาเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นๆมันจะดับไปเอง เพราะฟังแล้วอย่างนี้ ภายหลังแม้เราลืมไป แต่เราตั้งใจทำกายคงที่ทำใจคงที่ไว้เนืองๆ สุจริต 3 เกิดขึ้นแล้ว จิตใจของเรามีความผ่องใสขึ้น สิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วและลืมไปนั้นก็จะผุดขึ้นมาให้เรารู้ขึ้นในใจของเราว่าเราเคยฟังมาแล้วอย่างนี้ว่า สิ่งทั้งหลายเราไม่ต้องละ เมื่อเราทำวิชชาเกิดขึ้นแล้ว อวิชชาดับไป สิ่งทั้งหลายจะดับไปเอง
สิ่งที่กล่าวมานี้ ผู้ฟังทั้งหลายไม่จำเป็นต้องเชื่อตาม แต่ว่าควรกำหนดจดจำนำไปประพฤติปฏิบัติลองดู ก็จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่าสิ่งที่กล่าวมานี้ ถูกหรือไม่ถูก เมื่อรู้เห็นด้วยตนเองว่าไม่ถูกก็จงละเสีย ถ้าเห็นว่าถูกแล้วก็ทำตามต่อไป เมื่อทำตามถูกต้องดี การบรรลุมรรคผลก็จะมีแก่ตน สมตามปรารถนา
อันนี้เป็นเนื้อหาทั้งเล่มนะครับ สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้
https://app.box.com/s/g2grvw3p9zib4wbwoic0k8jk72lbx82q...
“…คนที่ไม่รู้ - ไม่เห็น - ไม่เข้าใจ
พอจิตใจคิดขึ้นมาวูบเดียวเท่านั้น
ความหลงผิดก็เกิดขึ้นทันที
การเกิดขึ้นเช่นนี้...พระพุทธองค์ตรัสว่า ‘เป็นมลทิน’
คำว่า ‘มลทิน’ ก็คือ ‘ความหลงผิด’ นั่นเอง
ทั้งที่เราไม่เคยรู้ - ไม่เคยเห็น - ไม่เคยดูจิตใจของเรา
เราก็ยังพูดเอาเองว่า ‘เราเห็น’
แต่ที่จริง ‘ไม่ใช่เห็น’...เป็นเพียงรู้ว่าคิดอะไรเท่านั้น
เสร็จแล้วก็ทำไปตามความคิดนั้น
ถ้าพูดว่า ‘เห็น’ ต้องหมายถึงว่า ‘เราเห็นกิเลส’
คือเห็นว่า ในความคิดนั้น...มันมีความโกรธ-ความโลภ-ความหลง อยู่ด้วยหรือเปล่า ?
คนจะเห็นอย่างนี้ได้...ต้องมาปฏิบัติธรรมเสียก่อน
การปฏิบัติธรรมนั้น
ถึงแม้จะปฏิบัติโดยแบบวิธีใด เท่าใดก็ตาม
ถ้ายังไม่ได้เข้ามาจับจุดที่ ‘จิตใจที่กำลังปรากฏอยู่นี้’
ก็แสดงว่า...เรายังไม่เห็น - ไม่รู้ - ไม่เข้าใจ
กล่าวคือ ยังไม่เข้าใจในหลักของการปฏิบัติธรรม
ตามแบบคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง
พระองค์ได้ตรัสบอกเอาไว้ว่า
‘เพราะพระองค์บำเพ็ญทางจิต กล่าวคือ ปฏิบัติทางจิต
จึงได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า'
ถึงอย่างนั้น
คนเราส่วนมาก็เพียงทำบุญให้ทาน เพื่อที่จะไล่ความทุกข์
ยังไม่ได้มาปฏิบัติตามแบบของพระพุทธเจ้า
พระองค์ท่านยังเคยตรัสไว้อีกว่า
‘ทำบุญร้อยครั้งพันหน
อานิสงส์ยังไม่เท่ากับการทำสมถกรรมฐาน
ให้จิตใจสงบเพียงครั้งเดียว
การทำสมถกรรมฐานให้จิตใจสงบร้อยครั้งพันหน
ยังไม่เท่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพียงครั้งเดียว’
‘วิปัสสนา’ หมายถึงอะไร ?
วิปัสสนา...หมายถึง ความรู้แจ้งเห็นจริงต่างเก่าล่วงภาวะเดิม
เพราะภาวะเดิม...เป็นภาวะที่ไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่เข้าใจ-ไม่แจ่มแจ้ง
หรือจิตใจของเรายังขุ่นมัวอยู่นั่นเอง
การทำวิปัสสนานี้...ก็หมายถึง ‘การทำความรู้สึกตัว’
การทำความรู้สึกตัวนี้ มีอานิสงส์มาก
พระองค์ท่านก็ทำความรู้สึกตัวเป็นการปฏิบัติธรรม
และสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
รู้ที่เกิดจากจิต คือ รู้จริง
รู้ที่เกิดจากสมอง คือ รู้หลอก
พุทโธ คือ ยาชลอความหลง
ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมไม่มีที่หมาย
กาย คือ ลายแทง จิต เป็นขุมทรัพย์
คำว่าใช่ หรือ ไม่ใช่
คือ การตั้งค่าของสมมุติ
อยาก และไม่อยาก
คือ ตัวขับเคลื่อน
ของความหลง
อยาก และ ไม่อยาก เรียกว่าตัณหา
สมมุติบัญญัติ คือ การตั้งค่า
สมมุติบัญญัติ เรียนไม่จบสิ้น
เพราะมีการตั้งค่า เช่น ตัณหา
น้อมใจไปที่กาย
ดูกาย ดูจิต คือ ที่เดียวกัน
เพราะผู้ดู คือ ผู้รู้ ผู้เดียวกัน
ผู้ฉลาดเรียนรู้จากกาย-จิต
ผู้อยากรู้ผิด เรียนภายนอก
ธรรม คือ ประโยชน์
อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ธรรม
สมมุติบัญญัติตั้งค่า
๑ ๒ เรียก หนึ่ง-สอง หรือ สิบสอง
ค่าถูกเปลี่ยนไปทันที ตามการตั้งค่า
หรือ ๒ ๑ เรียก สอง-หนึ่ง หรือ ยี่สิบเอ็ด
ค่าถูกเปลี่ยนไปตามสมมุติบัญญัติ การตั้งค่า
หรือ ๐ ศูนย์ ถูกตั้งค่าว่า ไม่มีค่า
แต่เมื่อ ๐ ศูนย์ มาอยู่ หรือ ถูกวางตามตำแหน่งอื่น
ค่าของ ๐ ศูนย์ ก็เปลี่ยนไปทันที
ตามการตั้งค่า หรือสมมุติบัญญัตินั้น ๆ ทันที
ของทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนตกอยู่ภายใต้
กฎของสมมุติที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดและตั้งค่าทั้งสิ้น
นอกจากกฎธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถ
กำหนดและเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ
เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ
ความตาย ความเป็นจริง
ที่อยู่เหนืออำนาจการกำหนดและบังคับของมนุษย์
อยาก ไม่อยาก หมาย ไม่หมาย คือ การตั้งค่า
จิตที่ไม่หมาย และ ไม่อยาก
จึงเป็นจิตที่เป็นปกติสุข
เกาะกระแสจิตไปกับพุทโธ
คุณแม่จันดี โลหิตดี
กถาวัตถุ 10 หมายถึง เรื่องที่ควรพูด เรื่องที่ควรนำมาสนทนากันในหมู่ภิกษุ ได้แก่[1]
อัปปิจฉกถา เรื่องความมักน้อย ถ้อยคำที่ชักชวนให้มีความปรารถนาน้อย
สันตุฏฐิกถา เรื่องความสันโดษ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสันโดษ ไม่ชอบฟุ้งเฟ้อหรือปรนปรือ
ปวิเวกกถา เรื่องความสงัด ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสงัดกายใจ
อสังสัคคกถา เรื่องความไม่คลุกคลี ถ้อยคำที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่
วิริยารัมภกถา เรื่องการปรารภความเพียร ถ้อยคำที่ชักนำให้มุ่งมั่นทำความเพียร
สีลกถา เรื่องศีล ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
สมาธิกถา เรื่องสมาธิ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตมั่น
ปัญญากถา เรื่องปัญญา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
วิมุตติกถา เรื่องวิมุตติ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลสและความทุกข์
วิมุตติญาณทัสสนกถา เรื่องความรู้ความเห็นในวิมุตติ ถ้อยคำที่ชักนำให้สนใจ และเข้าใจเรื่องความรู้ ความเห็นในภาวะที่หลุดพ้น จากกิเลสและความทุกข์
< หัวใจ ของ พุทธศาสนา >
..........มักมีคำถามจากพุทธศาสนิกชน ตั้งคำถาม ว่าที่เราปฎิบัติธรรมนั้น เพื่ออะไร และอะไร คือหัวใจของ พระพุทธศาสนา และเป้าหมายของการปฎิบัติ จะปฎิบัติเพื่ออะไร
………. สิ่งที่เรียกว่า หัวใจของพระพุทธศาสนา คือ "สัพเพ ธรรมมา นาลัง อภินิเวสาย" แปลว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควร ยึดมั่นถือมั่น
……….ที่เรามาปฎิบัติธรรมกันนี้ จุดประสงค์ ในการปฎิบัติ ก็คือ เพื่อ ทำลาย ความยึดมั่นถือมั่น ที่มีอยู่ ให้หมดไป นั่นคือ การฝึกความไม่เห็นแก่ตัว นั่นเอง ที่มนุษย์เรา ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสงสาร เพราะจิตถูกอวิชชา( ความไม่รู้ ) ครอบงำ ว่า ร่างกายสังขาร นี้ เป็นตัวเราเป็นของเรา แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายนี้ เป็นของธรรมชาติ ที่เกิดจากธาตุต่างๆ ตามธรรมชาติมารวมเข้าด้วยกัน อันได้แก่
1. ธาตุดิน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
2. ธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำลาย น้ำเหลือง เหงื่อ และรวมถึงสิ่งที่เป็นของเหลวทั้งหมดในร่างกาย
3. ธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจ ลมในท้อง อากาศที่ไหลเวียนในร่างกาย
4. ธาตุไฟ ได้แก่ อุณหภูมิ ในร่างกาย ระบบ การเผาผลาญอาหาร เป็นต้น
..........เมื่อธาตุ เมื่อธาตุ ต่างๆ มารวมกัน แล้ว จิตที่ถูกอวิชชา ครอบงำ ก็ เข้าไปยึดถือ เอาธาตุต่างๆ ตามธรรมชาติเหล่านี้ มาเป็นของตน แท้ที่จริงแล้ว ธาตุต่างๆเหล่านี้ ก็ เป็นธาตุ ต่างๆตามธรรมชาติ ที่มีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ ดับไป สุดท้าย ธาตุต่างๆเหล่านี้ ก็ กลับคืนสู่ ธรรมชาติดังเดิม ไม่มีอะไร ที่เป็น ตัวเรา หรือ ของเราเลย
เมื่อ จิต ถูกอวิชชาครอบงำ เข้าไปยึดถือ ก็ ทำให้เกิดทุกข์ เพราะธาตุต่างๆที่เกิดขึ้น ก็ เดินไปสู่ ความดับ ความแตกสลาย ไม่คงที่ถาวร ที่ เรียกว่า อนิจจัง ( ความไม่เที่ยง )
>>>สิ่งใด ไม่เที่ยง เมื่อจิตเข้าไปยึดถือ ก็ เป็นทุกข์ เพราะ มันต้อง มีการเปลี่ยนแปลง มีการพลัดพราก มีการแตกสลายไป เมื่อจิตเข้าไปยึดถืออะไรก็แล้วแต่ ที่มันไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง แตกสลาย เสื่อม หรือ พัง จิตก็เป็นทุกข์ ไม่ว่าจะยึดถือ ข้าวของเงินทอง พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง บุตร ภรรยา สามี หรือสิ่งต่างๆๆว่าเป็นของเรา แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย แม้นแต่ ร่างกายเรา ก็ ยังไม่ใช่ของเรา ถ้าจิตเข้าไปยึดถือว่า เป็นของเรา ก็เป็นทุกข์
………. นี้คือ อริยะสัจสี่ ข้อแรก คือ เรื่อง ทุกข์ ที่พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสรู้ เมื่อ ทรงทราบความจริงเช่นนี้ พระองค์จึงทรงหาสาเหตุ ต่อไปว่า ต้นเหตุ มาจากอะไร และ จะ ดับมันอย่างไร และ วิธีปฎบัติ เพื่อการดับทุกข์นั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือ สิ่งที่เรียกว่า หัวใจของพุทธศาสนา
รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ก็ทำตัวให้สดชื่นกระชุ่มกระชวย
รู้สึกขี้เกียจ ก็ทำตัวให้ขยันทำงานไม่หยุด
ฟุ้งซ่านรำคาญใจ ก็ทำตัวเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย มองสิ่งต่างๆเห็นแต่ความว่าง
ลังเลไม่แน่ใจ ก็หาข้อมูลให้สุดให้ชัดเจน ศึกษาให้รอบคอบ จะตัดกระแสความลังเลสงสัยได้
๑.๔ เพื่อสกัดอารมณ์
มีความรู้สึกอยู่ในใจเสมอว่า "เราไม่ต้องการนิวรณ์ อยากอยู่เหนืออำนาจนิวรณ์" พยายามหลีกเลี่ยงความคิดและความรู้สึกที่เปิดทางให้นิวรณ์เกิด เคยคิดอย่างไร นิวรณ์ได้โอกาสเข้าครอบงำจิตใจ หยุดคิดอย่างนั้นเสีย เปลี่ยนมุมคิดไปทางอื่น เคยรู้สึกอย่างไร ใจตกอยู่ในอำนาจนิวรณ์ได้ง่าย ฝืนความรู้สึกอย่างนั้นให้ได้ เปลี่ยนความรู้สึกเป็นอย่างอื่นทันที
(อ่านตอนต่อไป วันพรุ่งนี้ครับ)
จาก...หนังสือ "บันทึกพระป่า ลับแต่ไม่ลึก"
#เราจะแยกความรู้สึกตัว กับ ความรู้ตัวอย่างไร
ก่อนอื่นจะต้องบอกก่อนว่า ผมค่อนข้างแม่นยำ
เรื่องการเห็นเหตุปัจจัย และ อนาคตที่จะเกิด
ที่เล่าเพื่อจะให้เห็นเทียบเคียงว่า การเห็นอนาคต
เหมือนความรู้ตัว เพราะรู้หมดแต่ทำอะไรไม่ได้
ส่วนความรู้สึกตัว เหมือนการเห็นแล้วดับวงจร
กรรมที่ไม่รู้สึกตัว หรือ เมื่อรู้สึกแล้วว่าผลกรรมนั้น
เหตุปัจจัยนั้นๆ เกิดขึ้นเพราะเรา เราไม่ส่งต่อ
และ ไม่กระทำต่อ
อีกทางที่จะรู้สึกตัว คือ เกิดเหตุปัจจัยที่กระทบ
อย่างรุนแรง หรือ มีผู้ชี้ให้เราเห็นเหตุ เข้าใจเหตุ
หรือ ไม่ก็เจ็บเจียนตายจึงได้พบเหตุ
ความรู้ตัว มันเหมือนคำที่บอก รู้หมดแต่อดไม่ได้
ส่วนรู้สึกตัว คือ รู้และยอมรับ และ หยุดกระทำ
สิ่งที่ฝืนธรรมชาติ ไม่เข้าไปปรุงเพิ่ม
อยู่กับปัจจุบันขณะ
แต่ถ้าเราไม่รู้สึกตัว เราก็กลับมาแก้วนไป
วนมา ปัญหามันจะไม่ดับลงอย่างแท้จริง
แต่เรามักคิดว่า รู้หมด เข้าใจแล้ว คือ รู้สึกตัว
แต่โดยแท้ คือ รู้ ยอมรับ และ หยุดกระทำ
สิ่งใดที่ต้องกระทำ ก็จะมีพื้นฐานด้วย สติ
รัก และ เมตตา
#ด้วยรักและหำ เฮ้ย ขรรม
#หลุยส์ 9 นิ้ว ยาว 44 กิโลเมตร
จิตคล้ายๆ แมว
…………………..
“จิตนี้มีธรรมชาติคล้ายๆ แมว
ดึงมันขึ้นมา มันก็จะนั่งลงไป
กดมัน จะให้มันนั่ง มันก็จะยืน
จิตนี่เป็นแบบแมวนะ
เพราะฉะนั้นเรารู้ทันไปเรื่อยๆ
ต่อไปมันก็ค่อยๆ เชื่อง
เราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
แล้วก็คอยรู้ทันจิต
เดี๋ยวใจก็ค่อยๆ สงบเอง
อย่าไปหวังว่าจะสงบนะ
ถ้าเราอยากสงบมันจะไม่สงบ”
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ประตูเมือง 4 ทิศ
"เราทำกรรมฐาน จิตเคลื่อนแล้วรู้ๆ
เคลื่อนไปคิดก็รู้ เคลื่อนไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานก็รู้
นี่ 2 ตัวนี้ตัวหัวโจกเลย โดยเฉพาะเคลื่อนไปคิด
ในที่สุดจิตเราจะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานขึ้นมา
พอจิตตั้งมั่นแล้วเราเจริญปัญญา เจริญปัญญาด้วยกายก็ได้
ด้วยเวทนาก็ได้ ด้วยจิตก็ได้ ด้วยธรรมก็ได้
บางท่านมีทฤษฎีว่าเป็นพระโสดาบันต้องดูกาย
พออยากเป็นพระสกทาคามีให้ดูเวทนา
อยากได้อนาคามีให้ดูจิต
อยากเป็นพระอรหันต์ให้ดูธรรม
ก็น่าฟังดี แต่ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน
บางท่านก็บอกว่าดูกายไปจนถึงพระอนาคามีแล้วค่อยไปดูจิตต่อเป็นพระอรหันต์ อันนั้นท่านก็คุยท่านก็เล่ามาจากประสบการณ์
ประสบการณ์ของท่านถูกไหม ถูกของท่าน
แต่ในตำรับตำราท่านบอกว่า
สติปัฏฐาน 4 เหมือนประตูเมือง 4 ด้าน 4 ทิศ
เข้าประตูไหนก็เข้าได้ คือ
เจริญกายานุปัสสนาก็ถึงพระนิพพานได้
เจริญเวทนานุปัสสนาก็ถึงนิพพาน
เจริญจิตตานุปัสสนาก็ถึงนิพพาน
เจริญธัมมานุปัสสนาก็ถึงนิพพาน
ทางใดทางหนึ่งก็ทำได้ ตัวอย่างก็มี
พระอานนท์เจริญกายานุปัสสนาจนจบ
พระโมคคัลลาสารีบุตรเจริญเวทนานุปัสสนา
พระอนุรุทธเจริญจิตตานุปัสสนา
พระพุทธเจ้าเราเจริญธัมมานุปัสสนา
ฉะนั้นมีตัวอย่างให้ดู ทำได้"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
1 พฤศจิกายน 2563
อ่านหนังสือ - ฟังธรรมะ
ยังไม่ใช่ "ตัวธรรมะ"
"อุปมาเหมือนกับว่า พริกมันเผ็ด เกลือมันเค็ม เราบอกว่า "พริกมันเผ็ด" อย่างนี้ยังไม่เห็นความเผ็ดของมัน ยังไม่รู้จักคำที่ว่ามันเผ็ด มันเค็ม "ไม่ใช่ ตัวเผ็ด ตัวเค็ม"
การอธิบายธรรมะให้ฟังก็เหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่ตัวธรรมะ เป็นคำพูดของบุคคล เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ตัวหนังสือคัมภีร์ต่าง ๆ ก็เหมือนกัน เป็นข้อความบันทึกของธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ อ่านได้ ท่องได้ แต่ใจยังไม่เป็นธรรมะ พูดรู้เรื่องอยู่ ก็ยังไม่เป็นธรรมะ ยังไม่เห็นธรรมะ ตัวธรรมะจริง ๆ นั้นบอกกันไม่ได้ เอาให้กันไม่เป็น ไม่รู้จัก
ส่วนที่เราศึกษาเล่าเรียน สิ่งที่เราปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นอุบาย เป็นข้อประพฤติปฏิบัติบอกให้เข้าไปถึง เช่น บอกว่า "พริกมันเผ็ด" นะ! ยังไม่รู้จักว่า ตัวผิดจริง ๆ นั้น เป็นอย่างไร ? รู้จักแต่ใช้สำเนียงชื่อมันว่า "เผ็ด" แต่ตัวเผ็ดไม่รู้จัก ส่วน(การได้สัมผัสตัวเผ็ดด้วยอายตนะจริงๆ)นั้นไม่ใช่ส่วนของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ส่วนของหนังสือ ไม่ใช่ส่วนของคัมภีร์ มันเป็นส่วนของเจ้าของ(ตัวผู้สัมผัสเอง)ที่ปฏิบัติ มันจึงจะรู้จักว่ามันเผ็ดจริง ๆ จึงจะรู้ว่า "ตัวเผ็ด" จึงจะเข้าถึง "ตัวเผ็ด ตัวเค็ม" เป็นต้น
เผ็ด เค็ม มีแต่ชื่อ ไม่ใช่ตัวมัน ได้ยินแต่ไม่รู้จัก ส่วนนั้นมันเป็นส่วนของการปฏิบัติ ต้องเอาไปกิน ความเผ็ด-ความเค็ม-ความเปรี้ยว จึงจะปรากฏขึ้นมา อันนั้นเป็นตัวเผ็ด อันนั้นเป็นตัวเค็ม
เราอ่านหนังสือ เราฟังธรรมะ ยังไม่ใช่ธรรมะ ตรัสรู้ธรรมไม่ได้รู้ได้ด้วยตำรา เป็นส่วนของอุปัชฌาย์อาจารย์จะแนะนำด้วยอุบายต่าง ๆ เพื่อให้เข้าไปเห็น "ความเผ็ด" คือธรรมะ อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ"
หลวงพ่อชา สุภัทโท
เป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจให้มาก
ว่าทำไมเส้นทางนี้ชัดเจนแล้ว
ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศไว้
ชัดเจนแล้วไม่มีอะไรน่าสงสัย
แต่ทำไมเรายังสงสัย ไม่แน่ใจ
เพราะแรงกรรมของเรายังสูงอยู่
ถ้าเรามีความตั้งใจอย่างจริงจัง
แรงกรรมนี้แทนที่เราต้องไปเสวย
อีกหลายภพหลายชาติ
เราสามารถทำให้สั้นลงได้
เพราะเราเข้าไปลดกำลัง
ตัวรู้หรือตัวสติ
จะเข้าไปลดแรงเหวี่ยงของจิต
หรือแรงกรรม ให้มันสั้นเข้าๆ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรับประกันว่า
ถ้าคนไหนได้รู้สภาวะปัจจุบันชัดๆ แล้ว
แม้แรงกรรมจะสูงขนาดไหน
ไม่เกินเจ็ดปี จิตต้องมาลง ณ ปัจจุบัน
อย่างกลางไม่เกินหนึ่งถึงสามปี
อย่างเร็วที่สุดไม่เกินหนึ่งวันถึงหนึ่งปี
มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้
เราก็ไม่ตกลงปลงใจที่จะเชื่อได้
เนื่องจากมีแรงกรรมที่ต้องชดใช้
เพราะเรามีอวิชชาอยู่
เมื่อมีอวิชชา ตัวเพลิน ตัวเผลออยู่
มันก็ต้องมีกรรมตามมา
เพราะเป็นเหตุปัจจัยของมัน
ถ้าเราไม่อยากให้มีกรรม
หรือกรรมที่สั่งสมมาเยอะแยะ
ให้หมดไปไวๆ
เราก็ต้องไปจัดการที่ตัวอวิชชา
ตัวเผลอ ตัวเพลินต่างๆ
ที่เราเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส
ตัดกำลังเพลินให้น้อยลงมา
Direk Saksith
เพียรแผดเผากิเลส
ในใจของเรานี่แหละ
มันปรุงไป แต่งไป
มีความรัก มีความชัง
ความยินร้าย ความยินดี
ดีใจ เสียใจ ร้องไห้หัวเราะ
เหล่านี้มันเป็นกิเลส ไม่นึกไปตามมัน
แผดเผามันไปเลย เอาอยู่กับพุทโธนี่แหละ
หายใจเข้าเป็นพุท
หายใจออกเป็นโธ เรื่องอื่นอย่ามาปรุงเรา
เราไม่ไป ถ้าไปก็เรียกว่าตามใจมัน
ใส่ฟืนใส่เชื้อเพลิงให้มัน
ไอ้พวกกิเลสก็ได้กำลัง
ถ้าไม่ไปตามมันก็น้อยลง
น้อยลงจนไม่มีเลย
ไม่มีนึกคิดไปทางนอกเลย
เรียกว่าเอาชนะมันได้
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
ว่าด้วยเรื่อง อริยสัจ 4
อริยสัจ แปลความหมายว่า #ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ
ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ
ประกอบด้วยองค์ธรรม 4 ประการ
ซึ่งเรียกกันสั้นๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
แต่ละประการมีความหมายที่ควรทราบ ดังนี้
1.ทุกข์ = ความทุกข์ ความที่กายและใจ
ทนสภาพบีบคั้นได้ยาก เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้
เป็นผลที่เนื่องมาจากเหตุปัญหาของชีวิต พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกัน ทั้งทุกข์ขั้น
พื้นฐานและทุกข์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
ทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ ทุกข์ที่เกิดจากการเกิด
การแก่ และการตาย ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับ
การดำเนินชีวิตประจำวัน คือ ทุกข์ที่เกิด
จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์ที่เกิด
จากการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิด
จากไม่ได้ดังใจปรารถนา รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยว
กับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ อาทิ ความยากจน
2.สมุทัย = เหตุที่เกิดทุกข์ คือ กิเลสตัณหา
ที่กระตุ้นจิตใจให้ส่ายแส่หาอารมณ์ที่ปรารถนา อยากได้ อยากมี อยากเป็น และอยากพ้นไป
จากภาวะไม่ปรารถนา เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ต้องละ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า
ทุกข์ทั้งหมดซึ่งเป็นปัญหาของชีวิต ล้วนมีเหตุ
ให้เกิดเหตุนั้น คือ ตัณหา อันได้แก่ความอยาก
ได้ต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วยความยึดมั่น
3.นิโรธ = ความดับทุกข์ คือ ภาวะที่เป็นผล
จากการดับตัณหาและสามารถพ้นจากทุกข์
ได้เด็ดขาด เป็นภาวะที่ต้องทำให้ประจักษ์แจ้ง
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า
ทุกข์คือปัญหาของชีวิตทั้งหมดที่สามารถ
แก้ไขได้นั้น ต้องแก้ไขตามทางหรือวิธีแก้
4.มรรค = ข้อปฏิบัติให้ลุถึงความดับทุกข์
ซึ่งมีองค์ประกอบ 8 ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติ
ที่เป็นแบบอย่างหรือทางดำเนินชีวิตที่ดีเลิศ
จัดเป็นเหตุที่ควรเจริญ คือ ลงมือปฏิบัติเพื่อให้
เข้าถึงนิโรธ #โดยสรุปเป็นหลักแห่งการศึกษา
ปฏิบัติสำคัญได้ 3 ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
อริยสัจทั้ง 4 ประการนี้ มีชื่อเรียก
อีกอย่างว่า #สามุกกังสิกเทศนา หมายถึง
พระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงยกขึ้น
แสดงเอง โดยไม่ต้องปรารภคำถามหรือ
การทูลขอร้องของผู้ฟังอย่างการแสดงธรรมใน
เรื่องอื่นๆ
อริยสัจ 4 ประการ เป็นวิธีการแห่งปัญญา ดำเนินการแก้ปัญหาตามเหตุผล ตามเหตุปัจจัย
คือ การแก้ปัญหาของบุคคลด้วยปัญญาของตัวบุคคลนั้นเอง เป็นสัจธรรมความจริงที่เกี่ยวกับ
ชีวิตของคนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใด
อยู่ในเพศหรือภาวะใด จะต้องประสบด้วยกันทั้งสิ้น
การเจริญสมาธิภาวนาแต่ละครั้งจะได้บารมีหลายอย่าง เราเจริญอานาปานสติแรกๆ จิตไม่สงบก็ไม่เป็นไร หลวงพ่อ(ชา) ปลอบใจลูกศิษย์ใหม่อยู่เสมอว่า นั่งสมาธิแล้วจิตสงบเหมือนทานอาหารที่อร่อย นั่งสมาธิภาวนาจิตไม่สงบเหมือนกับทานข้าวเปล่า แต่ทานข้าวเปล่าก็ยังดีกว่าไม่ทานอะไรเลย อย่างน้อยเราก็ได้เจริญขันติบารมี เนกขัมมบารมีหรืออธิษฐานบารมี บารมีนี้มีหลายข้อ
ตั้งใจนั่งสมาธิ ก็เป็นการเจริญด้วยสัจจะอธิษฐานบารมี เช่น นั่งสมาธิตั้งใจว่าเราจะไม่เปลี่ยนอิริยาบถตลอด 45 นาทีหรือตั้งใจว่าเราจะนั่งทุกวันไม่ต่ำกว่า 20 นาทีหรือ 30 นาที ถึงแม้ว่าในขณะที่เรานั่งนิ่ง เราไม่สงบเย็น เราก็ได้ขั้นของบารมี อดทนต่อความคิดปรุงแต่ง จิตเมื่อวอกแวกแส่ส่ายไปหาอารมณ์ภายนอกก็ให้ดึงกลับมา อารมณ์ทั้งหลายที่เราชอบคิดชอบปรุงแต่งนั้นเป็นโลก ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก คือการสร้างเนกขัมมบารมี เพราะคำว่าพุทโธ นั่นแหละคือธรรม
การดึงจิตออกจากโลกกลับมาสู่ธรรม เป็นเนกขัมมบารมี เป็นเหมือนการออกบวช ให้พวกเราหาโอกาสที่จะออกบวชทุกวัน คือ ออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตเป็นกุศล ปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้น เป็นการออกบวช
คัดตัดตอนจากเรื่อง 'เส้นทาง'
พระอาจารย์ชยสาโร
อวิชชา ของผู้ถึงซึ่งอวิชชา
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ที่เรียกกันว่า 'อวิชชา-อวิชชา' ดังนี้นั้น เป็นอย่างไร? และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่า เป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา? พระเจ้าข้า!"
ภิกษุ! ในกรณี นี้ บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา ว่า
"เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา" ดังนี้
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ว่า
"เป็นสิ่งที่มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา" ดังนี้
ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีทั้งความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ว่า "เป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา" ดังนี้
ภิกษุ! ความไม่รู้นี้ เราเรียกว่า อวิชชา
และบุคคลชื่อว่าเป็นผู้ถึงซึ่งอวิชชา
ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ แล
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๙/๓๒๐
ที่มา : อริยสัจจากพระโอษฐ์ โดย พุทธทาสภิกขุ
การที่จะปฏิบัติให้ถึง “โลกุตรธรรม” นั้น
ไ ม่ ใ ช่ ข อ ง ง่ า ย
ไม่เหมือนจำเอาตามแบบจากตำรา
แล้วเอามาพูดคุยกันอวดกัน
คือ สมาธิ ปัญญา นั้น
ต้องปฏิบัติทางด้าน “จิตใจ”
ให้เป็นผู้รู้เองเห็นเองด้วยตนของตนเอง
เริ่มตั้งแต่มีอินทรีย์สังวรขึ้นไป
เพราะ ..
บรรดากิเลสน้อยใหญ่ เกิดจากทวารเหล่านี้
เมื่อความชั่วเกิดต้องมี “สติ” รู้เท่าทัน
ละ ป้องกันไม่ให้เกิด
ละ ออกจากจิตจากใจของเรานี้
เอาจิตเอาใจของเรานี้ ละ
เอาจิตเอาใจของเรานี้ ปล่อย
เอาจิตใจของเรานี้ ปล่อยวางจากความชั่วทั้งสิ้น
โอวาทธรรม : หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ความน่าเบื่อทางโลก คือ รู้สึกเบื่อสิ่งหนึ่งจนต้องดิ้นรนไปหาไขว่คว้าเอาอีกสิ่งหนึ่งเพื่อจะได้หายเบื่อ และความดิ้นรนนี้จะวนเวียนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่จิตของผู้นั้นยังเต็มไปด้วยตัณหา และมิจฉาทิฏฐิ
แล้วอย่างไรจึงเรียกว่า ความน่าเบื่อทางธรรม
ความน่าเบื่อทางธรรม คือ การเห็นแจ้งสรรพสิ่งในโลกล้วนน่าเบื่อ ไร้ซึ่งแก่นสาร ไร้ความเป็นอัตตาตัวตน เพราะใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทุกสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับควบคุมได้ และไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
และเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจความน่าเบื่อทั้งสองประเภทนี้อย่างแท้จริง เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า จิตที่เบื่อทางโลกนั้น เป็นจิตที่เต็มไปด้วยตัณหา ส่วนจิตที่เบื่อทางธรรมนั้น เป็นจิตที่เต็มไปด้วยปัญญา
อนิจจัง แปรสภาพอยู่ตลอดเวลา
ทุกขัง ใครเป็นทุกข์?
ก็คือผู้แบกผู้หามอยู่นี้แหละ เวลานี้มันเป็นทุกข์
อะไรจะเป็นทุกข์ #นอกจากผู้แบกผู้หามเป็นทุกข์
คือ #หัวใจเราเอง เห็นโทษแห่งความหลง
ของตัวเองที่ไปแบกไปหามแล้วเกิดทุกข์ขึ้นมา
อนัตตา ปราศจากคำว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล
เป็นเราเป็นเขา เป็นของเราของเขาไปหมดแล้ว ภายในร่างกายก็ดี ภายในจิตเจตสิกธรรมที่แสดงออกมาก็ดี ล้วนแล้วแต่ตัว
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หากหลงไปตามมัน
เจตสิกธรรมที่แสดงมานี้ก็เป็นตัวสมุทัย
ก่อตัวเป็นพิษเป็นภัยขึ้นมาแก่เรานั่นแหละ
ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญเข้าไป
ให้เห็นเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ชัดแล้ว
สิ่งเหล่านี้ก็ระงับดับไปๆ ดับไปเรื่อยๆ
ไม่พ้นจากความจริง
ขอให้พิจารณาหยั่งสติปัญญา
ลงไปถึงพื้นฐานแห่งความจริง
คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เถิด
นี้เป็นความจริงซึ่งเป็นพื้นฐานอยู่ภายใน
ร่างกายจิตใจของเรา ในขันธ์ทั้งห้านี้มีอันนี้
เป็นพื้นฐานอยู่ตลอดกาล ที่จะต้องพิจารณา
ให้เห็นตามความจริงของมัน เรียกว่า ปัญญา
.............................................
เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องธาตุเรื่องขันธ์แล้ว
กิเลสมันจะไปไหน กิเลสเกิดขึ้นจากความสำคัญ
เมื่อแก้ความสำคัญด้วยความจริงแล้ว
มันก็ถอนตัวไปๆ ฟาดกันให้สะบั้นหั่นแหลก
ลงไป กิเลสถอนเข้าไปไหน ก็เข้าไปหาจิต
ดวงเดียวเท่านั้นแหละ
เมื่อมันหมดที่ยึดที่เกาะเข้าไปโดยลำดับแล้ว เพราะอำนาจของสติปัญญาตีตะล่อม เข้าไปๆ
วงแคบเข้าไปๆ สุดท้ายมันก็ไปกองอยู่ในจิต
ปล่อยนิวเคลียร์หย่อนลงในจิตอีกซิ สติปัญญาอัตโนมัติอย่างไรล่ะ ธรรมนิวเคลียร์
นิวเคลียร์ หมายถึงอะไร ปรมาณู
หมายถึงอะไร จะทำลายข้าศึกวาระสุดท้าย
เอาชัยชนะ ก็คือ มหาสติ มหาปัญญา ละซิ
หยั่งลงไปตรงนั้นให้กิเลสขาดสะบั้นแตกกระจายไปหมด ทีนี้ภพชาติอยู่ที่ไหน เมื่อกิเลสซึ่งเป็นตัวภพ เป็นตัวให้ก่อภพก่อชาติ ถูกทำลายลงไปหมดด้วยอำนาจของอาวุธที่ทันสมัย ได้แก่ มหาสติ มหาปัญญา แล้ว ข้าศึกก็หมดเท่านั้นแหละ
นี่ละงานของพระ
งานของผู้ต้องการพ้นจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร
ไม่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายอีก
------------------------
คนจริงย่อมถึงธรรมของจริง -
พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
“สังขาร” และ “วิสังขาร”
คําว่า “สังขาร” และ “วิสังขาร”
จำเป็นต้องเข้าใจให้ถูกตรง
เพราะในพระพุทธศาสนาทั้งหมด
ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอื่นเลย นอกจาก ๒ เรื่องนี้
.
“คําว่า สังขาร ก็แปลว่า สิ่งปรุง,
ตรงกันข้ามกับคําว่า วิสังขาร แปลว่า สิ่งที่ไม่ปรุง
ในพระพุทธศาสนาทั้งหมดไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากสองเรื่องนี้, เรื่องสิ่งที่มีการปรุง เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จนมีความทุกข์, แล้วไม่มีการปรุงก็ไม่เกิดทุกข์และเป็นเรื่องของนิพพาน. คําที่จะต้องทําความเข้าใจจึงมีอยู่สองคํา คือ สังขาร และ วิสังขาร แม้จะมีคําอื่นแปลกออกไปความหมายก็อย่าง เดียวกัน เช่นคําว่า สังขตะ ก็แปลว่า สิ่งที่ถูกปรุง, อสังขตะ ก็แปลว่า สิ่งที่ไม่ถูกปรุง เช่นเดียวกับคําว่า สังขาร และ วิสังขาร. ถ้าเรารู้จักทั้ง ๒ สิ่งนี้แล้ว เป็นอันว่ารู้หมดไม่มีอะไรเหลือ อะไรๆในสากลจักรวาลหรือนอกไปจากนั้น คือพูดว่าทั้งหมดก็แล้วกัน มันมีของสองสิ่งเท่านั้น คือ สังขาร และ วิสังขาร. สังขารก็เป็นไปตามการปรุง, แล้วก็มีผลจากการปรุง, วิสังขารไม่มีการปรุง ก็มี ผลเป็นการไม่ปรุง คือความสงบ ในเมื่อสังขารมีการปรุง มันก็ไม่สงบ.
.
ทีนี้ คําว่า สังขาร มันคืออะไรบ้าง ก็ลองคิดดู ยกเว้นพระนิพพานเสียอย่างเดียวแล้วก็ไม่มีอะไรที่มิใช่สังขาร : มีชีวิตก็ดี ไม่มีชีวิตก็ดี อยู่ภายในตัวเราก็ดี, อยู่ภายนอกตัวเราก็ดี สิ่งที่เป็นเหตุก็ดี สิ่งที่เป็นผลก็ดี, สิ่งที่เป็นกรรมก็ดี เป็นผลกรรมก็ดี, จะไม่ยกเว้นอะไรเลย ก็ล้วนแต่เรียกว่า สังขาร
.
ทีนี้การกล่าวไว้ในที่ต่างๆนั้น ทําให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เช่น คําใน ปฏิจจสมุปบาท มีถึง ๑๒ คํา มีคําว่าสังขารรวมอยู่ด้วยคําหนึ่ง คือคู่แรกว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร, สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ, วิญญาณให้เกิดนามรูป เป็นถึง ๑๒ อาการ แต่มีคําว่าสังขารอยู่คําเดียวใน ๑๒ อาการนั้น. แต่โดยที่แท้แล้วทั้ง ๑๒ อาการนั้นก็เป็นสังขาร; ปฏิจจสมุปบาททั้ง ๑๒ อาการนั้นก็เป็นสังขาร คือสิ่งปรุงและถูกปรุง สิ่งซึ่งเป็นผู้ปรุง และสิ่งที่ถูกปรุง ทั้ง ๑๒ อาการเป็นอย่างนั้น. อวิชชาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี นามรูปก็ดี อายตนะก็ดี ผัสสะก็ดี เวทนาก็ดี ตัณหาก็ดี อุปาทานก็ดี ภพก็ดี ชาติก็ดี ความทุกข์ทั้งปวงก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นสังขารทุกอย่างเลย แต่ มีการเอ่ยถึงคําว่าสังขารเพียงคําเดียว คือคําที่สอง
.
คนที่เรียนไม่ดี หรือว่าไม่รู้ ก็จะคิดไปว่า สังขารมีแต่อย่างเดียวคือข้อที่ ๒, ที่จริงทั้งหมดนั้นเรียกว่าสังขาร; แต่ท่านไปใช้คําว่าสังขารแก่อาการที่ ๒ คือ “อํานาจการปรุงแต่ง” อวิชชาทําให้เกิดอํานาจการปรุงแต่ง คือสังขาร สังขารอํานาจการปรุงแต่งก็ทําให้วิญญาณทําหน้าที่เป็นจิต, จิตก็ปรุงแต่งนามรูป เกิดนามรูป เกิดอายตนะ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา ไปตามลําดับ นี่ขอเตือนให้ทราบว่า มีคําว่าสังขารเพียงคําเดียว เรียกชื่อว่าสังขารเพียงคําเดียว ในหมู่สังขารคือ ๑๒ ชนิด
.
ทีนี้ จะมาดูที่เบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, มีสังขารอยู่คําเดียว คือคําที่ ๔ : แต่ว่าทั้ง ๕ ขันธ์ ขันธ์ทั้งห้านั้นเป็นสังขาร ทั้งนั้น : รูปก็เป็นสังขาร คือการถูกปรุงแต่ง, คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง, เวทนาก็คือสังขารถูกปรุงแต่ง, สัญญาเป็นสังขารถูกปรุงแต่ง, สังขารก็คือตัวสังขาร เป็นความคิด คิดปรุงแต่ง, วิญญาณก็เป็นตัวสังขาร เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง. นี่ ขอให้เข้าใจว่า ทั้ง ๕ ขันธ์นั่นแหละเป็นสังขาร แต่มีคําๆเดียวเรียกชื่อว่าสังขาร เป็นคําที่ ๔ อยู่ในขันธ์ห้า , อย่างนี้ก็ทําให้คนเข้าใจผิดได้แล้วว่า สังขารมีอยู่อย่างเดียวในขันธ์ทั้งห้า, โดยไม่ได้เฉลียวว่าทั้งห้านั้นมันก็เป็นสังขารเสมอกันหมด. คํากล่าวในภาษาบาลี มีความยุ่งยากอย่างนี้ ถ้าศึกษาไม่ดีก็ฉงน หรืองง หรือเข้าใจไม่ได้ หรือเข้าใจผิดเอาที่เดียว
.
ทีนี้ก็จะมาดูให้ละเอียดลงไปถึงคําว่าสังขาร, สังขาร โดยพยัญชนะ โดยคําพูดในภาษาบาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครั้งพุทธกาล. คําว่าสังขารนั้นเป็นภาษาบาลี ถ้าแปลเป็นภาษาไทยเราอย่างถูกต้องที่สุดแล้ว ก็ต้องแปลว่าปรุง สังขารคืออะไร ? สังขารคือสิ่งที่ปรุง สิ่งที่ถูกปรุง การปรุง อํานาจแห่งการปรุง สิ่งกระตุ้นให้เกิดการปรุง; เหล่านี้มันเป็นการปรุง. คําว่าปรุงคือทําอย่างไร? นี้เอาภาษาธรรมดาชาวบ้านก็ได้ ปรุงคือเอาของหลายๆอย่างมารวมกันเข้า แล้วให้เกิดของใหม่ขึ้นมา; เช่นปรุงอาหารเป็นต้น ในครัวปรุงอาหารจะเป็นแกงสักอย่างหนึ่ง มันก็มีหลายอย่างมา รวมกันเข้าด้วยวิธีปรุงก็เกิดเป็นแกงขึ้นมา, คําว่าปรุงนั่นน่ะคือสังขาร คําว่าสังขารคือปรุง จะเล็งถึงการปรุงก็ได้ สิ่งที่ถูกปรุงก็ได้ สิ่งที่ปรุงสิ่งอื่นก็ได้ มันทําหน้าที่พร้อมๆกันไป
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคมาฆบูชา ครั้งที่ ๑๑ หัวข้อเรื่อง “ สังขาร และ วิสังขาร ” เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ธรรมะเล่มน้อย” หน้า ๓๔๐,๓๔๑ - ๓๔๔
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่การวางใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าทำอะไร ก็สามารถเป็นการภาวนาได้
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเคยกล่าวว่า “ ธรรมะนั้นมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าสำหรับผู้มีปัญญา ” คำพูดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) สงสัยว่าหลวงปู่มั่นเรียนปริยัติธรรมน้อย เอาแต่อยู่ป่า แต่ทำไมจึงรู้ธรรมได้ลึกซึ้ง
.
สมเด็จองค์นี้สมัยที่ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี ท่านเห็นว่าปริยัติธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่พระต้องเรียน ตัวท่านเองก็เรียนถึงประโยค ๕ ตอนนั้นท่านไม่ชอบพระป่าเอามากๆ โดยเฉพาะพระป่าสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม เพราะพระเหล่านี้ไม่ยอมเรียนหนังสือ และไม่อยู่วัดเป็นหลักเป็นแหล่ง ธุดงค์จาริกในป่าเป็นอาจิณ คราวหนึ่งหลวงปู่สิงห์กับคณะธุดงค์มาถึงอำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เจ้าคณะมณฑลจึงสั่งเจ้าคณะอำเภอ ให้บอกชาวบ้านว่า ขับไล่คณะพระธุดงค์กลุ่มนี้ออกไปจากอำเภอ แต่ชาวบ้านไม่ทำ
.
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์แต่เดิมท่านไม่เห็นว่าการทำสมาธิภาวนามีประโยชน์อะไร กระทั่งวันหนึ่งท่านล้มป่วย รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ต่อมาพระอาจารย์ลี ธัมมธโร และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ช่วยรักษาท่านให้หายจากโรค โดยใช้สมาธิภาวนา และสมุนไพร ปรากฏว่าท่านหายอย่างอัศจรรย์ จึงแปลกใจและประทับใจมาก ท่านถึงกับกล่าวว่า
“ ตลอดชีวิตของเรา เราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า สมาธิภาวนาจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้ "
.
น่าคิดนะ สมเด็จพระมหาวีรวงค์ เป็นพระผู้ใหญ่ มีความรู้สูงด้านปริยัติธรรม แต่ไม่เคยเชื่อเลยว่า สมาธิภาวนาจะมีคุณค่ามาก เมื่อเห็นประโยชน์ของสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ท่านจึงเริ่มทำสมาธิภาวนา และมีศรัทธาในหลวงปู่มั่น ต่อมาเมื่อได้เจอหลวงปู่มั่น ท่านจึงถามว่าหลวงปู่มั่นว่า ในเมื่อหลวงปู่มั่นไม่ได้เรียนหนังสือมามาก ทำไมจึงสอนธรรมะได้ลึกซึ้ง
หลวงปู่มั่นจึงตอบพูดว่า
“ ธรรมะนั้นมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า สำหรับผู้มีปัญญา ”
.
เราสามารถเห็นธรรมได้จากทุกสิ่ง เมื่อเราเปิดใจรับรู้ทุกสิ่งอย่าง มีโยนิโสมนสิการ ถ้าเราครองตนด้วยสติ ก็จะเห็นกายและใจตามที่เป็นจริง และเมื่อเรามองโลก เราก็จะเกิดปัญญาเห็นธรรม
.
เราจะเห็นกายและใจตามจริงได้อย่างไร ?
ก็เริ่มจากการปฏิบัติ ซึ่งมีหลายวิธี หลักใหญ่ ๆ คือ เจริญสติปัฏฐาน 4 ได้แก่
.
กายานุปัสสนา คือ เห็นกายในกาย
เวทนานุปัสสนา คือ เห็นเวทนาในเวทนา
จิตตานุปัสสนา คือ เห็นจิตในจิต
ธัมมานุปัสสนา คือ เห็นธรรมในธรรม
.
อธิบายสั้นๆ คือ เห็นกายว่าเป็นกาย ไม่ใช่เห็นกายว่าเป็นเรา เวลาเราเดิน หากเดินอย่างมีสติจะเห็นว่ากายเดิน ไม่ใช่ “ ฉัน ” เดิน เวทนาเกิด ก็เห็นเป็นเวทนา ไม่ใช่เห็นว่าฉันปวด คนเราเวลาปวดก็จะรู้สึกว่าฉันปวดๆ แต่ที่จริงเมื่อเจริญสติก็จะเห็นว่า การปวดเป็นอาการปวด ไม่ใช่ฉันปวด เวลาโกรธก็เห็นว่ามีความโกรธเกิดขึ้น ไม่ใช่ฉันโกรธ
.
ปฏิบัติธรรมไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเห็นสี หรือแสงข้างนอก ถ้าเป็นการภาวนาที่แท้จริงเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ วิธีการก็คือ เห็นกายและใจตามที่เป็นจริง ด้วยการเจริญสติ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดปัญญา ถ้าเราเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก ตาดู หูฟัง เมื่อเกิดโยนิโสมนสิการ ก็เกิดปัญญา
.
การปฏิบัติธรรมนั้นสามารถทำได้หลายวิธี มีรูปแบบการปฏิบัติ เช่น ตามลมหายใจ เดินจงกรม ยกมือเคลื่อนไหว ดูท้องพองยุบ หรือไม่มีรูปแบบก็ได้ เป็นการปฏิบัติที่กลืนกับชีวิตประจำวัน เป็นการเกี่ยวข้องโลกภายนอกอย่างมีสติ มีปัญญา ทั้งสองวิธีล้วนมีความสำคัญ บางคนไปเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมหมายถึงการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ตามลมหายใจ เท่านั้น ทำอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด
.
หลวงพ่อชาเล่าว่า ท่านเคยไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่กินรี หลวงพ่อชาตั้งใจปฏิบัติมาก เดินจงกรม และนั่งสมาธิทั้งวัน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า หลวงปู่กินรีวันๆ ไม่ค่อยเดินจงกรม ไม่ค่อยนั่งสมาธิเลย ทำโน่นทำนี่ เกือบตลอดเวลา แล้วท่านจะเห็นอะไร แต่หลังจากที่ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่นาน ๆ และได้ฟังธรรมอันลุ่มลึกจากท่าน หลวงพ่อชาก็รู้ว่าเป็นความเขลาของท่านเองที่คิดเช่นนั้น ท่านพูดถึงบทเรียนที่ท่านได้จากประสบการณ์ครั้งนั้นว่า
.
“ เรามันคิดผิด หลวงปู่ท่านรู้อะไรๆ มากกว่าเราเสียอีก คำเตือนของท่านสั้นๆ และไม่ค่อยมีให้ฟังบ่อยนัก เป็นสิ่งที่ลุ่มลึก แฝงไว้ด้วยปัญญาอันแยบคาย ความคิดของครูบาอาจารย์กว้างไกลเกินปัญญาเราเป็นไหนๆ ตัวแท้ของการปฏิบัติคือความพากเพียร กำจัดอาสวกิเลสภายในใจ ไม่ใช่ถือเอากิริยาอาการภายนอกของครูบาอาจารย์เป็นเกณฑ์ ”
.
ท่านมาได้ตระหนักชัดอีกครั้งว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่การวางใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าทำอะไร ก็สามารถเป็นการภาวนาได้
.
คราวหนึ่งท่านนั่งปะชุนจีวรที่ขาดวิ่น ใจนั้นนึกถึงการภาวนาอยู่ตลอดเวลา อยากรีบปะชุนให้เสร็จเร็วๆ เพื่อจะได้ไปภาวนาต่อ ขณะนั้นเองหลวงปู่กินรีเดินผ่านมา สังเกตเห็นอาการของพระหนุ่ม จึงพูดขึ้นมาว่า
.
“ ท่านชา จะรีบร้อนไปทำไมเล่า ”
“ ผมอยากให้เสร็จเร็วๆ ครับหลวงปู่ ”
“ เสร็จแล้วท่านจะทำอะไรล่ะ ”
“ จะไปทำอันนั้นอีก ”
“ ถ้าเสร็จอันนั้นแล้ว ท่านจะทำอะไรอีกล่ะ ”
“ ผมก็จะทำอย่างอื่นอีก ”
“ เมื่อทำอย่างอื่นเสร็จแล้ว ท่านจะไปทำอะไรอีกเล่า ”
.
เมื่อเห็นว่าใจของหลวงพ่อชาไม่ได้อยู่กับงานที่กำลังทำ แต่คิดถึงงานชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ข้างหน้า และรีบร้อนจะทำให้เสร็จไวๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไปภาวนาต่อ หลวงปู่กินรีจึงเตือนว่า
.
“ ท่านชา ท่านรู้ไหม นั่งเย็บผ้าผืนนี้ก็ภาวนาได้ ท่านดูจิตตัวเองสิว่าเป็นอย่างไร แล้วก็แก้ไขมัน ท่านจะรีบร้อนไปทำไมเล่า ทำอย่างนี้เสียหายหมด ความอยากมันเกิดขึ้นท่วมหัว ท่านยังไม่รู้เรื่องของตนอีก ”
.
คำพูดของหลวงปู่กินรีกระตุกใจของหลวงพ่อชาอย่างแรง ทำให้ท่านได้สติ และเกิดความเข้าใจชัดเจนว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น ขอให้หมั่นดูใจของตนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม นี้เป็นบทเรียนที่ประทับใจท่านมาก และถือเป็นหลักปฏิบัติของท่านตลอดมา
.
เมื่อท่านไปตั้งสำนักปฏิบัติธรรมที่หนองป่าพง จึงทำให้มีกิจกรรมหลายๆ อย่าง และมีเรื่องเล่าว่า ตอนนั้นหลวงพ่อชาอายุมากแล้ว มีเด็กหนุ่มมาถามท่านว่า
“ ทำไมพระจึงไม่นั่งสมาธิ ”
พอหลวงพ่อชาได้ฟังน้ำเสียงแล้วรู้ว่า ไม่ได้ถามเพราะต้องการคำตอบที่แท้จริง ท่านจึงตอบว่า
“ นั่งอย่างเดียวมันถ่ายไม่ออกว่ะ จะนั่งอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันต้องปฏิบัติกับการทำงานด้วย ” และท่านก็บอกว่า
“ การปฏิบัติธรรมมันต้องมาดูกายและใจ ”
ไม่ว่าทำอะไร ต้องให้รู้ทันกายและใจ ทำงานก่อสร้างก็เป็นการปฏิบัติธรรมได้ อันนี้สำคัญมาก เดี๋ยวนี้นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากคิดอย่างเดียวว่า เวลาปฏิบัติธรรมจะต้องเข้าวัด จะต้องหลบลี้หนี้หน้าผู้คน โดยไม่คิดว่า การอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้
.
อยู่บนท้องถนน รถติดก็กำหนดลมหายใจไปด้วย หรือเวลาเจอไฟแดง หงุดหงิดขึ้นมาก็ปฏิบัติธรรมได้ ถามว่าเวลารถติดทำไมถึงหงุดหงิด นั่นก็เพราะใจมันไปอยู่ที่จุดหมายปลายทางแล้ว ใจมันอยู่ข้างหน้าแล้ว ใจไม่อยู่กับปัจจุบัน จึงกลัวไปไม่ทัน กลัวไม่ทันประชุม เป็นต้น ดังนั้นให้พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน จะตามลมหายใจด้วยก็ได้
การปฏิบัติธรรมก็คือ ติดไฟแดงทำอย่างไรจะไม่หงุดหงิด ทำอย่างไรเวลาถูกต่อว่าจะไม่หงุดหงิด เวลาเสียเงินจะไม่โมโห เวลาเงินหายก็หายแต่เงิน แต่ใจไม่หาย ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้ว
.
พระไพศาล วิสาโล