เผยแพร่เมื่อ 18 พ.ค. 2016
พระยาธรรมรับคำสอนจากพุทธองค์ ตอนที่ ๖๗ ปัญญาเหนือปัญญา
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
+ +
พระยาธรรม ขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบนมัสการพระคุณเจ้า ทุก ๆ รูป
รวมถึงเจริญธรรมญาติบุญทั้งหลาย ผู้ที่มีความตั้งใจดีจะฟังธรรมทุก ๆ ท่าน
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าทูลถาม ต่อพระองค์ท่านไปดังนี้ว่า ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา
" การที่เราจะทำในสิ่งที่ดีอย่างแท้จริงได้ เราต้องมีปัญญาในสิ่งที่ทำ การที่เราจะเข้าถึงพระนิพพานได้ เราต้องมีปัญญาอย่างนั้น..
แต่พระองค์เจ้าขา ปัญญาที่เหนือปัญญา ปัญญาที่ซ้อนอยู่ในปัญญานั้น เป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?
เพราะบางทีเราคิดว่ามีปัญญาแล้ว ใช้ปัญญาแล้ว.. แต่เราอาจจะใช้ปัญญา ที่เป็นแค่ปัญญาในอีกระดับหนึ่ง ในอีกมุมหนึ่ง ที่เรามองเห็นเท่านั้น
แต่ปัญญาที่ซ้อนปัญญาเข้าไป เราอาจจะไม่เห็น อาจจะไม่เข้าใจ มองไม่ทะลุ ไม่ถึงปัญญาที่ซ้อนปัญญา …
ฉะนั้น.. ขอพระองค์โปรดทรงเมตตาอธิบาย เรื่องของ ** ปัญญาที่ซ้อนปัญญา ** ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ ?"
พระพุทธองค์ พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้นทำอะไรก็ตาม ลูกเอ๋ย.. เราควรคิดพิจารณาดูให้ดี ให้รอบคอบ ให้มีเหตุและมีผล ในสิ่งที่เราทำ ใน ณ ขณะนั้น
เมื่อเราคิด เมื่อเราพิจารณา อย่างถี่ถ้วน พิจารณาดูดีแล้ว คิดแล้ว ว่ามันถูกต้องดีแล้ว เราก็ถือว่าได้ใช้ปัญญาแล้ว ในระดับที่เรานั้นควรจะดู ควรจะตรึกตรอง
แต่ลูกเอ๋ย.. ยังมีปัญญา ที่ซ้อนปัญญาอยู่ ในสิ่งที่เราจะทำนั้น ในสิ่งที่เรานั้นพิจารณาแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ซ้อน ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำของเรานั้นๆ ด้วย…
เช่นว่า ถ้าเกิดเรานี้ เห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เห็นว่ามันใบไม่ค่อยสวย ต้นไม่ค่อยดี ดูว่ามันนั้นแห้งแล้ง.. เราก็พิจารณาดูภายนอกว่า ทำไม ทำไมต้นไม้ต้นนั้น มันถึงเป็นเช่นนั้น
เพราะว่าฝนไม่ตก หรือว่าเพราะอะไร ?
เราก็ดูภายนอก เราอาจจะพิจารณาและใช้ปัญญาแล้ว นิดหน่อย
แต่ในความเป็นจริง ต้นไม้ต้นนั้น อาจจะได้รับน้ำเยอะเกินไปก็ได้
แต่ในความเป็นจริง ต้นไม้ต้นนั้น อาจจะมีปัญหาอะไรที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่ ที่เหนือสิ่งที่เราคิดไว้ เหนือสิ่งที่เรานั้นรู้ไว้ ก็ได้.. ลูกเอ๋ย
ฉะนั้นทุกสิ่ง ฉะนั้นทุกอย่าง.. มันมีปัญญา และมันยังมีสิ่งที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่เหนือคำว่า *ปัญญา* อีก
มี *ปัญญา ที่ซ้อนปัญญา* เข้าไปอีก
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น เมื่อเราทำอะไรก็ตาม.. ก็ดีแล้วที่เราได้ใช้ปัญญาตรึกตรองดีแล้ว
แต่จงมองให้ลึก ให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่ในสิ่งที่กระทำนั้น ที่ลึกเข้าไปอีกเถิด…
เพราะการที่เรานั้น จะบำเพ็ญ ประพฤติ ปฏิบัติ นำพาตนให้หลุดพ้นได้อย่างแท้จริง
เราจะไม่เพียงแต่แค่ใช้ปัญญาที่เป็นปัญญาเฉยๆ เท่านั้น..ลูกเอ๋ย
เรายังต้องใช้ปัญญาที่ซ้อนปัญญาเข้าไปอีก
เรายังควรตรึกตรองเข้าไปให้ลึกมากกว่านั้น
เราจึงจะสามารถเข้าถึงความหลุดพ้น เข้าถึงสิ่งที่เรานั้นถูกปกปิดเอาไว้
ลูกเอ๋ย.. เราเกิดมา มีร่างกายนี้ เราเกิดมา สมมุติว่ามีกายนี้ ชีวิตนี้ เราก็มีสติ มีปัญญาในการใช้ชีวิต...
เราทำการสิ่งใด.. เราก็ใช้ปัญญาของเราในสิ่งที่ตรึกตรอง พิจารณาทบทวน ในสิ่งที่ทำไปแล้ว
แต่ในสิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้น คือ เบื้องหลังของชีวิตล่ะลูก มีอะไรบ้าง ที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่ในเบื้องหลังชีวิตของเรา
เรารู้แล้วหรือเปล่า เราเข้าใจแล้วหรือยัง ในสิ่งที่ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่เบื้องหลังคำว่า *ชีวิต* ของเรานั้น
ลูกเอ๋ย.. การดำรงชีวิต การทำสิ่งใดก็ตาม ในแต่ละวัน เราจึงควรมองให้เห็น ให้เข้าใจ ให้ทะลุในปัญญา ที่ซ้อนปัญญาเข้าไป
ในสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องหนึ่ง เราควรจะคิด พิจารณาตรึกตรอง ให้เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นใน ณ ตอนนั้น ให้เกิดปัญญาในตอนนั้น
และเราก็ควรจะตรึกตรองให้เห็นปัญญาที่ซ้อนอยู่ในเรื่องนั้นอีกทีหนึ่ง…
เราจึงจะเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น มันซ่อน มันซ้อนอะไรอยู่ในนั้น
ลูกเอ๋ย.. ชีวิตของเรา การที่เราจะทำ หรือจะประพฤติ ปฏิบัติไป
หนึ่งคำพูด - ซ่อนด้วย ซ้อนด้วย สิ่งที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดนั้นมากมาย
หนึ่งการกระทำ - ก็มีสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่มากมาย
หนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น - ก็มีสิ่งที่ซ้อนอยู่ในนั้นอีกมากมาย
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เราจงอย่าตัดสินสิ่งใด ด้วยการตัดสินของเราเอง..
ว่าสิ่งนี้แหละดีที่สุดแล้ว ถูกต้องที่สุดแล้ว ตามปัญญาของตน
ว่าสิ่งนั้นแหละ ผิดที่สุดแล้ว ไม่ถูกไม่ต้องเลย ตามปัญญาของตน
เพราะบางที ปัญญาที่ตนว่าตนใช้แล้ว ปัญญาที่ตนว่าตนก็ตรึกตรองว่าดีแล้วนั้น
อาจจะยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ปัญญาที่ซ้อนปัญญาเข้าไปอีก ก็ได้.. ลูกเอ๋ย
เบื้องหลังของชีวิต เบื้องหลังของทุกสิ่ง ของทุกอย่าง ที่มันเกิดขึ้นนั้น มันมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้น ลึกมากมาย.. ลูกเอ๋ย
จงทำสมาธิให้นิ่ง
จงตัดความเป็นตัว เป็นตนออกไป
จงตัดความเป็นเรา เป็นความคิดของเรา เป็นปัญญาของเรา
... จงตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป ปล่อยจิต ปล่อยใจให้ว่างๆ …
ทำจิตให้สะอาด และบริสุทธิ์
ไม่มีตัวเรา ไม่มีความคิดของเรา
ไม่มีปัญญาของเรา ปัญญาของเขา
... ไม่มีอะไรทั้งหมด ทั้งสิ้น …
ทำจิตใจให้สงบ
ให้เที่ยงตรง เหมือนกฎแห่งกรรม
ให้เที่ยงตรง เที่ยงธรรม เหมือนกฎของความไม่เที่ยงแท้ ที่ไม่ละเว้นแม้ใครสักคนหนึ่ง อย่างนั้น
ที่ไม่เข้าข้างแม้เรา หรือเขา.. อย่างนั้น
จงทำจิตของตนให้ได้เช่นนั้นเถิด แล้วจะเห็นความเป็นจริง …
- เห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
- เห็นปัญญาที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
- และเห็นปัญญาที่ซ้อนอยู่ในปัญญาอีกทีหนึ่ง
ลูกเอ๋ย.. จงตรึกตรองให้ดี จงใช้สติ ใช้ปัญญาให้ดี ในการพิจารณา
รวมถึงปัญญาที่ซ้อนปัญญา จะเกิดขึ้นได้นั้น.. ลูกต้องไม่ใช้ปัญญา แล้วสิ่งเหล่านั้น จึงจะเกิดขึ้น
ลูกเอ๋ย.. ใช้ปัญญาตรึกตรองสิ่งที่เป็นเบื้องหน้า แต่สิ่งที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังนั้น จงใช้ *ความสงบ*
ใช้ความสงบพิจารณาเถิดลูก
ใช้สมาธิ พิจารณาเถิดลูก
ใช้ความไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีความคิดของตน ตัวตนของเรา หรือของเขา
จงใช้สิ่งเหล่านั้นพิจารณาด้วยความว่างๆ เถิดลูก.. แล้ว *ปัญญาที่ซ้อนปัญญา* จะเกิดขึ้นเอง
ลูกเอ๋ย.. ปัญญาที่เป็นปัญญาของเรานั้น.. จะเกิดขึ้นเพราะว่าเราคิด
แต่ปัญญาที่ซ้อนปัญญานั้น จะเกิดขึ้น เพราะว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีสิ่งที่ซ่อน ที่ซ้อน ที่คิดอยู่ในเรา
ลูกเอ๋ย.. ปัญญาที่เหนือปัญญานั้น.. จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจิตใจของเรานั้นสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากตัวตน ปราศจากความยึดถือ
แม้แต่ความคิดของเรา ความคิดของบุคคลผู้อื่น
ทำจิตใจให้นิ่งๆ.. แล้วทุกสิ่ง แล้วทุกอย่างที่เป็นปัญญาที่ซ้อนอยู่ในปัญญา ก็จะบังเกิดขึ้นเอง
นี่แหละลูก.. คือ หนทางแห่งการค้นหาปัญญาที่ซ้อนปัญญา
ลูกเอ๋ย.. ต้นไม้จะสวยงาม ดอกไม้จะเบิกบาน จะสวยงามได้ ไม่ใช่แต่เพียงเพราะรูปธรรมภายนอก ที่เรามองเห็นหรอกลูก..
อากาศ ลม ฟ้า ฝน ธาตุดิน ธาตุปุ๋ย ในใต้ผืนดิน
สิ่งที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังรูปธรรมที่เรามองเห็นอยู่ ก็ยังมีอีกมาก...
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. จงพิจารณาทุกสิ่ง พิจารณาทุกอย่าง ด้วย* ปัญญา*
แล้วจงวางปัญญาที่เป็นของตนนั้นเอาไว้ ปล่อยจิต ปล่อยใจให้ว่างๆ ให้ไม่มีอะไรเลย ปล่อยใจให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ปราศจากตัวตน ของตน ตัวตนของบุคคลผู้อื่น แล้วปัญญาที่แท้จริง ก็จะมานำทางลูกให้ได้สร้าง ได้ทำ ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
... ที่ไม่มีตัวของเรา ตัวของบุคคลผู้อื่น
เราถูก เขาผิด
เราคิดดีแล้ว เขาคิดไม่ดี
ลูกเอ๋ย.. คนเรานั้น มีความคิดที่แตกต่างกัน มีมุมมองที่แตกต่างกัน
ความถูกต้องที่สุดนั้นอยู่ที่ตรงไหน…
อยู่ตรงที่ ** ไม่มีตัวตน **
อยู่ตรงที่ปัญญา ที่ซ้อนปัญญาเข้าไปอีก
อยู่ตรงที่ปัญญา ที่ไม่ใช่ปัญญาของใคร ลูกเอ๋ย..
ความถูกต้องนั้น.. เป็นกลางที่สุด
ความถูกต้อง จึงไม่ใช่ความคิดของใครคนหนึ่งคนใด ไม่ใช่อยู่ที่บุคคลผู้หนึ่งผู้ใด
… ความถูกต้อง จึงอยู่ในความเป็นกลางๆ …
จงพิจารณาเช่นนี้เถิดลูก เมื่อลูกทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ปัญญาที่ซ้อนปัญญา.. ก็จะบังเกิดขึ้น
พระยาธรรม :: พระพุทธเจ้า เจ้าขา ปัญญาที่ซ้อนปัญญา ก็คือ ความว่างเปล่า ความไม่มีตัวตน สิ่งที่เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง
ปล่อยวาง ไม่มีเรา ไม่มีความคิดของเรา ไม่มีบุคคลผู้อื่น ความคิดของบุคคลผู้อื่น
หรือการกระทำของเรา การกระทำของเขา
แค่ปล่อยจิต ปล่อยใจให้ว่างๆ มองให้เป็นกลางๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นปัญญาที่ซ้อนปัญญาจะบังเกิดขึ้น
ปัญญาที่ซ้อนปัญญานั้น ไม่ใช่ของใครใช่มั้ยเจ้าคะ.. แต่เป็นสิ่งที่มันซ่อน ที่ซ้อน และเป็นความจริงที่อยู่ในนั้น ใช่มั้ยเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้น จะมีปัญญาเป็นของเรา
คือ เราทบทวนและตรึกตรอง
คือ การเราตัดสินด้วยความคิด ด้วยเหตุผล ด้วยมุมมอง
... อันนั้นคือ ใช้ "ปัญญาของเรา" …
การที่ปัญญา ที่ซ้อนปัญญา ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่ในสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในทุกเหตุการณ์
สิ่งที่มันเกิดขึ้น โดยไม่ใช่เราคิด เขาคิด.. ไม่ใช่อะไรทั้งหมด ทั้งสิ้น
แต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น ว่าเกิดขึ้นมา เพราะอะไร มีเหตุใด ?
สิ่งที่มันจะเป็นปัญญาที่ซ้อนปัญญาอย่างแท้จริง คือ มันเกิดขึ้นเอง และเรามองเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเองนั้น ด้วยความเป็นกลางๆ นั่นแหละลูก คือ *ปัญญาที่ซ้อนปัญญา*
พระยาธรรม :: พระองค์เจ้าขา ถ้าอย่างนั้น การที่เรามีปัญญาที่ซ้อนปัญญาได้.. จะแปลว่า เรานั้นเป็นผู้รู้ที่เข้าใจอย่างสูงสุด - ดับการเกิดได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. การที่เรานั้นเข้าใจ รู้ถึงปัญญาที่ซ้อนปัญญา อาจยังไม่ทำให้เราสำเร็จ บรรลุเป็นองค์พระอรหันต์ หรือดับการเกิดได้เลย...
แต่ปัญญาที่ซ้อนปัญญานี้ จะช่วยให้เราค่อยๆเดินทางไปถึงจุดมุ่งหมายในที่สุด.. ลูกเอ๋ย
พระยาธรรม สาธุเจ้าค่ะ ขอบพระคุณพระองค์มากนะเจ้าค่ะ ที่ได้โปรดเมตตาอธิบายเรื่องของปัญญาที่ซ้อนปัญญา ให้ลูกได้ฟัง และพิจารณาปฏิบัติตาม
ลูกจะนำไปเผยแผ่ ให้กับญาติบุญทั้งหลายได้ฟังด้วยนะเจ้าค่ะ สาธุ