พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 283 **เห็นทุกข์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงเรื่องของบุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขารู้แจ้ง เห็นความทุกข์ของดวงจิตทั้งหลาย แบบไหน ยังไงบ้างล่ะเจ้าคะ ?
เขานั้นจึงสามารถเข้าใจได้โดยทั้งหมด ในความทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย.. น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง ทำความเข้าใจ
นำไปพิจารณา และเผยแผ่ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
พระพุทธองค์ :: ถ้าอย่างนั้น ก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ให้ลูกลองนั่งรับพลังที่เย็นให้ได้
น้อมพลังนั้น..เข้าไปสู่จิตสู่ใจ ให้ได้เสียก่อน
แล้วจึงค่อยพิจารณา ทำตาม.. จะได้เข้าใจ รู้ตามด้วย
พระยาธรรมเอ๋ย.. ปล่อยกายนั้น ให้ผ่อนคลาย
หลับตาลง
น้อมพลังเย็นลงมา แตะที่ฝ่ามือซ้าย.. แตะที่ฝ่ามือขวา
น้อมพลังเย็นๆ เข้าไปสู่ศูนย์กลางกาย..
พลังเย็น ดวงแก้วที่ใส ที่สว่างไสว
ที่อยู่บนฝ่ามือซ้าย บนฝ่ามือขวานั้น.. ส่องสว่างไสว
จนศูนย์กลางกายของเรา.. ก็รู้สึกว่ามันสว่าง..สว่าง
เมื่อรู้สึกว่า มันสว่าง..
สว่างออกจากตัว สว่างอยู่ตรงข้างหน้า
และแสงสว่างของเรานั้น.. ก็หุ้มห่อตัวของเราเบาลอยขึ้นไป สว่าง.. ลอยขึ้นไปๆ
ลอยสูง..ขึ้นไป ทะลุอากาศ ทะลุหมู่เมฆสีขาว หมอกสีขาวต่างๆขึ้นไป
ทะลุขึ้นไปอยู่บนสถานที่แห่งหนึ่ง..
ที่ตรงนั้น.. มีแต่ความว่าง
เบา ลอย คล้ายกับว่า.. เรานั้นนั่งอยู่บนอากาศ ตัวเบาๆ..
กายนั้นสว่างไสว
ไม่นึก ไม่คิดอะไรเลย.. แล้วก็น้อมพลังนี้ไปเรื่อยๆ
แสงสว่างที่มันสว่างไสว อยู่ตรงตัวของเรา
ค่อยๆปรับคลื่นแสงสว่างระยิบระยับนั้น..
เข้ามาอัดแน่นในตัวของเรา จนกายของเรานั้น..กลายเป็นแก้วใส
ทีนี้ ก็เห็นแก้ว ที่มันเริ่มปรากฏแก่กาย.. สว่างไสว
ที่ที่เรานั่งนั้น โล่ง ว่าง
ร่างกายสมมุติเป็นแก้วใส อยู่กลางอากาศ ไร้หมู่เมฆ
และแสงสีขาวๆ ค่อยๆลอด ผ่านตัวเราไป
คล้ายกับว่า ตัวของเรานั้น..อยู่ในอากาศ เป็นแก้วใส
เมฆก้อนสีขาว ค่อยๆถอยขึ้นๆ
พลังแสงสว่าง ค่อยๆลอยสูงขึ้นๆ ห่างจากตัวเราไป
เรานี้อยู่เฉยๆ เป็นแก้วใสๆ อยู่กลางอากาศ
และท่ามกลางอากาศที่เราอยู่นั้น - มันสบาย ว่างโล่งแล้ว..
เราอาจจะมองเห็นตัวของเรา- ที่เป็นแก้วใส
และภาพแห่งแก้วใสนั้น.. ก็ช่วยส่องให้เรา เห็นตามความเป็นจริงของธรรม
- ธรรมที่เราจะได้ยินได้ฟัง -
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อพร้อมแล้ว ก็จงพิจารณาเช่นนี้เถิดลูก
ดวงจิตทั้งหลาย ผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ จนตนนั้น มีแสงสว่างแห่ง *ดวงธรรม*
สว่างเจิดจ้าในดวงปัญญาแห่งตนแล้ว..
... เขาย่อมมองเห็น “ทุกข์” ของมนุษย์ และดวงจิตทั้งหลายในวัฏสงสารนั้น เช่นนี้ละลูก..
ทุกคน นึกถึง กายแก้ว- กายเนื้อ ที่ใสบริสุทธิ์
หรือว่า ดวงแก้วดวงหนึ่ง ที่ใสบริสุทธิ์
แล้วก็มีกลุ่มควัน - สีแดงบ้าง สีดำบ้าง.. ค่อยๆเคลื่อนมา
เคลื่อนมาห่อหุ้มจิตดวงนั้นเอาไว้ / ห่อหุ้มกายแก้วนั้นเอาไว้
สีแดงเข้ามา..สีดำเข้ามา
สีเขียว สีขาว สีชมพู สีเหลือง
- เข้ามาเติมแต่ง เข้ามาผสมผสาน อยู่ในกายแก้วใส - กายนั้น
จากแก้วที่ใสๆ - ก็กลายเป็นสี.. ที่มัน
ดูแล้ว วุ่นวาย
ดูแล้ว สับสน
ดูแล้ว มืดมิด มืดบอด
ดูแล้ว มันเป็นทุกข์
เมื่อกายแก้วใสๆ / ดวงจิตอันบริสุทธิ์นั้น มันคลุกด้วยคลื่นพลังงานที่ไม่ดี
เช่น “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ”
เมื่อมันคลุกด้วย “เชื้อแห่งกิเลส”
.. ก็ทำให้ตนนั้น มองไม่เห็นความเป็นจริงแห่งตนเลย ว่า..
บัดนี้ ตอนนี้ ตนมีความเป็นตนที่แท้จริง.. เป็นแบบไหน ?
เห็นแต่สีดำๆบ้าง ขาวบ้าง เขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง..
ผสมผสานกลมกลืน อยู่ในตัวดวงจิตดวงนั้น
เชื้อแห่ง “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ” ครอบงำ
ทีนี้ เชื้อตัวนี้.. ก็เลยสั่งให้เรานั้น..
- ทำสิ่งที่อยากทำ
- ไม่ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ
- อยากได้ในสิ่งที่ไม่มี
ได้มาแล้ว ก็อยากให้มีเอาไว้ - ไม่อยากให้เสียไป
สั่งให้เรามีความอยาก และความไม่อยาก
ความรู้สึกนึกคิด - เป็นไปตามสิ่งที่เชื้อเหล่านี้สั่ง
เพราะว่า เราถูกควบคุมแล้ว / ถูกครอบงำแล้ว
เราไม่รู้แล้วว่า.. เราเป็นเรา
เราไม่ใช่เขา - เขาไม่ใช่เรา
เราก็เลยเอาเชื้อแห่งตัณหา สีดำ สีแดง สีเหลือง สีขาว สีเขียว
หลากหลายสี ที่มันวุ่นวายเหล่านี้.. เข้ามาเป็นเราเสียแล้ว
.. และเรา ก็ดิ้นตามความวุ่นวายของมัน !
ทีนี้ เมื่อเราดิ้นตามความวุ่นวายของมันแล้ว..
-- เราก็สร้างกรรมต่างๆ ตามความวุ่นวายนั้น นั่นละลูก ++
เมื่อจิตดวงใด สร้างกรรมที่ดีเล็กน้อย - ก็เลยต้องเกิด ไปอยู่ในภูมิของกายทิพย์
ตามระดับการสร้างความดี.. ของแต่ละบุคคล
เมื่อไปเกิดอยู่ในที่ไหน.. ก็จะครองกายในรูปแบบของที่นั่น
กายที่ได้ครอบครอง - ก็เกิดจากผลของกรรม
กรรม ก็มาจากกิเลส และตัณหา
คือ แสงสีต่างๆ ที่มาคลุก มาทำให้เราสับสนวุ่นวายเหล่านั้น..
เมื่อเราถูกสิ่งเหล่านั้นครอบงำ.. ก็ทำตามมันไป
ทีนี้ ทุกคนเกิดมา ทุกดวงจิตเกิดมา - ก็มีกายในระดับของกรรมที่ตนสร้างสม
ส่งผลให้ตน.. เกิดไปเป็นสิ่งนั้น *
จิตดวงไหนสร้างกรรมดีเยอะหน่อย - แต่เป็นความดีที่ไม่พ้นจากอำนาจ แห่งกิเลสตัณหา
- ก็ไปอยู่ในสวรรค์ มีวิมานแก้ว วิมานทอง คอยรองรับอยู่..
คือ ความสมมุติว่าสุข สมมุติว่าสบาย สมมุติว่าดีไป
แต่จิตนั้น ก็ยังมีเชื้อแห่ง “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ”
ยังมีเชื้อแห่งความอยาก และความไม่อยาก
มันยังคงมีอยู่ในจิตดวงนั้น...
- ให้วุ่นวาย
- ให้เร่าร้อน
- ให้ต้องดิ้น ต้องทำไป ตามกรรมของตนในที่นั้นอีก
จะทำดี ทำชั่ว จะเป็นแบบไหน - ก็สุดแล้วแต่จะเลือกทำกรรม ที่เป็นกรรมใหม่
แล้วก็อาศัยผลของกรรมเก่า คือ กายนั้นในการทำ
จิตดวงใดที่เขานั้นสร้างกรรม ในลักษณะของการได้เกิดมาเป็นคน
... เขาก็เกิดมาเป็นคน และก็เกิดเป็นตามกรรมของเขา
กายที่เป็นคน ก็จะครอบงำเขาอีกทีหนึ่ง
แล้วเชื้อแห่งกิเลสตัณหา ก็จะสั่งให้กายของเขานั้น..
ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ดิ้นรนขวนขวาย - ตามกรรม ตามกิเลสตัณหาสั่งให้ทำ
ทำอยู่อย่างนั้น.. แล้วก็ไปเกิดตามผลของกรรมแห่งตนอีก
เมื่อหมดบุญ หรือว่าหมดกรรม / หมดรอบผลของกรรมที่ส่งผลให้เป็นคน
บางคนลุ่มหลงมาก สร้างกรรมชั่วมาก.. ก็
- ต้องตกไปสู่นรก
- ต้องไปเกิดอยู่ในกายของนรก เปรต อสุรกาย.. ทั้งหลาย
จิตทั้งหลาย เวียนว่ายตามกรรมแห่งตน ไม่มีใครที่จะช่วยใครได้เลย
- หากบุคคลผู้นั้นรู้ผิด รู้ถูก.. แล้วยังไม่ขวนขวายสิ่งที่ดีให้กับตน ไม่ละเว้นความชั่ว
ไม่มีใครที่จะทำอะไรกับใครได้เลย
- หากเขานั้น ไม่ประพฤติ ปฏิบัติความดี - ด้วยตัวของเขาเอง ++
เพียงแต่ว่าโลกใบนี้ มันก็มีความดีที่สมมุติว่าดี- มาหลอก
มีความชั่ว ที่สมมุติว่าชั่ว- มาหลอก
หลอกให้หลง ให้ทำตาม
... และหลงไปชดใช้กรรมตาม..
จิตทั้งหลาย.. จึงกลายเป็นดวงจิต ที่ไปอยู่ในโลกสมมุติ
เวียนวน เวียนว่ายตายเกิด - ตามกรรมของตน
มีดวงจิต เป็นแก้วใส แต่โดนคลุกด้วยกิเลสตัณหา.. จนทำให้สับสนวุ่นวาย
เกิดกรรมขึ้นมา คือ การกระทำในรูปแบบต่างๆ
และตนก็ต้องตามไปใช้ผลของกรรม ที่ตนก่อ ตนทำ
แล้วก็ยังถูกกิเลสตัณหา- ครอบงำอยู่เสมอ..
เมื่อเกิดไปเป็น คนนั้น คนนี้
เกิดไปอยู่ใน สวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้
หรือเกิดไปเป็นเปรต อสุรกาย
ก็ยังหลงยึดว่า.. นั่นคือตน / คือตัวตนของตน ++
เมื่อไปเกิดในโลกของจิตวิญญาณ
ไปเป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นหมู เป็นปลา เป็นสุนัข หรือว่าเป็นวัว เป็นควาย
... ก็ไปลุ่มหลงในกายที่มันมาจากผลของกรรมนั้นว่า คือตน คือของของตน
แล้วก็เลยสร้างเวร สร้างกรรมเพิ่มขึ้นมาอีก
ดิ้นรน อยากได้ อยากมี อยากเป็น ขวนขวายกันไป อย่างนั้นอีก
ต่อกรรมไปเรื่อยๆ
.. แล้วก็วิ่งไปใช้กรรมนั้นไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น วุ่นวายอยู่อย่างนี้..
จิตทั้งหลายในวัฏสงสารนี้.. ก็เลยเป็นทุกข์กันมากเลย.. ลูกเอ๋ย
ทุกข์ เพราะว่า..โดนกิเลสตัณหา -ครอบงำ
- จนไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตน
- จนต้องถูกกิเลสตัณหา สั่งให้สร้างเวรสร้างกรรม สั่งให้ทำกันไปแบบไม่รู้
แล้วก็เลยวิ่งไปรับผลของกรรมที่ตนก่อ.. ด้วยการ
/ มีกายนั้น กายนี้
/ ไปครอบครองกายในภูมิ ในที่ต่างๆ ตามกรรมแห่งตน
แล้วกิเลสตัณหาก็สั่งให้หลงในตัวตนนั้นอีก.. แล้วก็สร้างกรรมต่อไปอีก
เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้น
เวียนมาอย่างนี้ ไม่รู้กี่แสน กี่ล้านภพชาติแล้ว ในแต่ละดวงจิต
แล้วในความเป็นจริง.. สิ่งที่วิ่งที่ทำเหล่านั้น ก็สูญเปล่า !
เพราะว่า.. ไม่มีอะไรเป็นของใครจริงเลย..
มันเป็นเพียงแค่สิ่งสมมุติ - เพราะวัฏสงสารนี้ มันคุมด้วย
*กฎแห่งกรรม* และ *กฎแห่งความไม่เที่ยงแท้*
ทำดีหน่อย ก็ได้สิ่งที่ดีหน่อย ท้ายที่สุด..สิ่งที่ดีนั้นก็เสื่อมไป
ทำกรรมชั่ว ก็ชดใช้กรรมชั่วไป ทุกข์ไป ทรมานไป
ท้ายที่สุด.. ก็ต้องหมดไป / หมดจากความชั่วนั้นไป
...ไม่เห็นมีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน..
*กฎแห่งกรรม* ส่งผลให้เป็นตามกรรมที่ตนก่อ
*กฎของความไม่เที่ยงแท้* ทำให้มันเสื่อมสลาย แล้วก็ก่อใหม่ เกิดใหม่
เป็นอยู่อย่างนั้น.. ไม่เห็นมีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาพิจารณาเห็นแจ้ง เช่นนี้ละลูก
เพราะว่า เขานั้น.. ได้รู้ความจริงข้อนี้ไงลูก
มีองค์พระพุทธเจ้าชี้บอกว่า.. กายนี้ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา
กรรม กิเลสตัณหา.. ก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา
เรา คือ ดวงจิตอันบริสุทธิ์
คือ ดวงจิตที่เป็นอิสระ- ไม่ต้องตกเป็นทาสของใคร
เขาก็เลยทดลองดู ทดลองทำความดี แบบไม่ยึดติดในความดี
ทำเพียงเพื่อแค่ให้.. ชำระล้างความลุ่มหลงยึดติดในตัวของตน- ออกให้หมด
จนเขานั้น.. ก็รู้แจ้งตามความเป็นจริง - ดังที่องค์พระพุทธเจ้าชี้บอก เช่นนี้
-- เขาก็เลยเป็นสุข เป็นผู้รู้แจ้ง เข้าใจทุกข์ของดวงจิตทั้งหลาย..
เมื่อเขามองเห็นกายของเขา - ไม่ว่ากายนั้นจะอยู่ในภูมิไหน เป็นใคร ก็ตาม..
จะใหญ่โต หรือว่าเป็นผู้ที่ต้อยต่ำ ก็ตาม..
.. เขาไม่ได้มองเห็นความแตกต่างอะไร ในสิ่งที่เป็นนั้นเลย !
และเขาก็มองเห็นกายของตนนั้น.. เป็นแค่เพียง ผลของกรรม
ที่มันเป็นเศษขยะ
ที่มันพร้อมจะเน่าเหม็นขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ได้
น่าเกลียด น่ากลัว
เป็นของหนัก ของทุกข์ยากลำบาก..
... ที่ต้องแบก ต้องดิ้นรนขวนขวาย ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมัน
เขาจะเห็นกายของตน เป็นแค่นั้นละ.. พระยาธรรม
เห็นมันเป็นผลของกรรม - กรรมเก่าที่ส่งผลมา
ต่อไปนี้.. จะเลิกสร้างกรรมชั่ว /
ทำความดี สร้างกรรมดี แบบไม่ยึดติด
- เพื่อชำระความลุ่มหลงออกทั้งหมด
- เพื่อจะได้ถอดถอนชำระตน ออกจากความว่า “กรรม “
แล้วก็ชำระล้างตนเอง ให้มันจบแค่นี้ ก็พอ !
กิเลสตัณหา อย่ามาสั่งให้ฉันสร้างกรรมไม่ดีอีก
หรืออย่ามาสั่ง ให้ฉันสร้างกรรมแบบไม่ดีอีก
... ฉันไม่เอาแล้ว ฉันจะล้างทุกอย่างออกไป ..
เขาจะเกิดเป็นใคร อยู่ในที่ไหน
- เลยไม่มีความลุ่มหลงในตัวของเขา
- เลยไม่มีการก่อกรรมขึ้นมาใหม่ ที่เป็นกรรมไม่ดี หรือกรรมดีที่ยึดติด..
เขาก็จะไม่ทำ ไม่สนใจ !
ทำดีไป.. ก็ทำเพื่อชำระตัวที่สมมุติเป็นเรา นี่ละ
แล้วจิตของเขา.. ก็จะสว่างขึ้นเรื่อยๆ เพราะ..
// สามารถชำระล้างกรรมเก่า
// ไม่สร้างกรรมใหม่
// อยู่เหนือกิเลสตัณหา
…จนเขานั้นสว่างไสว..
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาเห็นแจ้งในความทุกข์ของมนุษย์ทั้งหลาย อย่างนี้ละลูก
เขาเห็นกาย ก็
คือ ผลของกรรม ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเขา
คือ กองทุกข์กองใหญ่ๆ กองหนึ่ง
เขามองเห็นการกระทำที่ดี หรือไม่ดี.. เขาก็แค่แบ่งแยกว่า..
จะไม่สร้างกรรมไม่ดี
ส่วนการสร้างกรรมดีนั้น.. สร้างเพื่อชำระกิเลสให้กับตน ไม่ยึดติดกับตน
เขาก็จะสามารถอยู่เหนือกิเลส
และแยกกายแก้วใสๆของเขา.. ออกจากแสงสีต่างๆ
ออกจากเชื้อ ที่มันเป็นสีดำ สีแดง สีขาว สีเขียว สีเหลือง
สีมากมาย - ที่มาคลุมจิตของเขานั้น..
ชำระจนกายแก้วใสๆของเขา - เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา
กรรมวิบาก
ปราศจากกรรม หรือ ผลของกรรม- ที่ต้องไปเกิดเป็นสิ่งเหล่านี้
กายของเขา เลยไปเกิดใน..
ที่ที่สว่าง เป็นแก้วใส
ที่ที่เบา ที่สบาย
ที่ที่หาที่สิ้นสุดแห่งการยืนอยู่ มีอยู่ ไม่ได้
ที่ที่เป็นอิสระ
ที่ที่ไม่เป็นทุกข์
... อย่างที่ลูกทั้งหลาย น้อมจิตขึ้นมา.. เป็นแก้วใส
นั่นละ พระยาธรรม.. จิตผู้มีปัญญาธรรม.. เขาก็เห็นเช่นนี้ละลูก
เห็น ทุกข์ทั้งหลายของดวงจิต
เข้าใจ ทุกข์ทั้งหลายของดวงจิต
... แล้วก็ปล่อยวาง ทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นทิ้งไป
จนกายของเขาสว่าง เป็นแก้วใส.. เขาจึง
- เป็น ”ผู้มีปัญญาธรรม”
- เป็น “ผู้ดับการเกิดแห่งตน” ได้ ++
ลูกก็ลองประพฤติ ปฏิบัติ อย่างนี้ ก็แล้วกันนะ.. พระยาธรรม
/ โยกจิตให้เข้าสู่พลังงานที่ดี
/ น้อมพลังงานที่ดี
/ นำพาจิตของตน ให้เข้าถึง เข้าใจ ในความเป็นจริง
ทำอย่างนี้บ่อยๆ แล้วลูกก็จะเป็นผู้มีปัญญาธรรม *
-- จะรู้แจ้ง เห็นทุกข์ทั้งหลายของมนุษย์ได้ ลูก --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง ทำความเข้าใจ
ในกองทุกข์ แห่งดวงจิตทั้งหลาย
ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ..
ที่พวกเราเป็นทุกข์อยู่ เพราะว่า พวกเรานั้นโดนกิเลส และตัณหาครอบ
จนพวกเราสับสนวุ่นวาย
เลยต้องสร้างกรรมตามนั้น เป็นตามกรรมนั้น..
และก็เอาผลของกรรมนั้นมาสร้างกรรมต่อไปเรื่อยๆอีก
.. เราก็เลยทุกข์อยู่
ถ้าอย่างนั้น ต่อจากนี้ไป พวกเราจะทำความดี ไม่ทำความชั่ว
และน้อมเอาความดีที่ทำนั้น.. มาชำระกิเลสตัณหา ให้มันหมดซะ
พวกเราจะได้เป็นกายแก้วใสๆ อย่างวันนี้
ถึงแม้จะได้เป็นแค่แป๊บเดียว.. ก็มีความสุขมากแล้วละ เจ้าค่ะ
พวกเราจะค่อยๆสั่งสมๆ ไปจนถึงการที่เป็นกายแก้วใสๆอย่างถาวร นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกคงกราบขอลาก่อน เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาดวงจิตทั้งหลาย.. ผู้ที่ตกทุกข์อยู่เจ้าค่ะ
สาธุ