พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 6 เมษายน 2561
ตอนที่ 310 **บรรลุโสดาบันแล้วไม่ถอยหลัง**
+ +
ในเช้าของวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
คือลูกสงสัยว่า.. การที่เราประพฤติ ปฏิบัติ จนเป็นพระโสดาบันได้แล้ว.. เรานั้นจะกลับคืนสู่การเป็นดวงจิต ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดธรรมดาทั่วไป
หมายถึงกลับคืนสู่การคลุกเคล้ากับกิเลสตัณหา ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด.. ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น น่ะเจ้าค่ะ
เราจะสามารถคืนกลับไปเป็นดวงจิตเหล่านั้น อีกหรือเปล่าเจ้าคะ ?
แล้วถ้าเกิดว่า ไม่สามารถกลับคืนได้แล้วนั้น.. เป็นเพราะอะไรหรือเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเจ้าค่ะ "
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่รู้จักสงสัย เพราะว่าเรื่องขององค์พระอริยเจ้านะลูก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องศึกษาเรียนรู้ ให้เข้าใจอย่างแท้จริง
น้อมไปประพฤติ ปฏิบัติแล้ว.. ก็จะได้ทำตามได้
พระยาธรรมเอย.. แม้ว่าเราจะเข้าใจแล้ว แต่เมื่อถึงการปฏิบัติที่เข้าถึง ..ก็ยังมีความละเอียดอ่อน ของแต่ละบุคคล แต่ละดวงจิต ที่แตกต่างกันไป..
ฉะนั้น.. ดีแล้วละ ที่รู้จักสงสัยเรื่องเล็กเรื่องน้อย
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี พิจารณาตามธรรมนี้นะลูก
บุคคล ผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนนำพาจิตของตนเข้าถึง การเป็นพระอริยเจ้า ในระดับของพระโสดาบันแล้วนั้น..
-- จะไม่มีทางกลับคืนสู่ การเวียนว่ายตายเกิด ที่ไม่รู้จบไม่รู้สิ้นอีก **
เพราะว่าจิตที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนนำพาตนเข้าถึงการ..
/ ไม่มีความลังเลสงสัย ในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม องค์พระสงฆ์ ว่า..ดี หรือไม่ดี
/ มีความเชื่อมั่น ในเรื่องของ*กฎแห่งกรรม* ว่า..ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
/ คือ ไม่ลังเลสงสัยในเรื่องของกุศลธรรม คือ ความดีในธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนเอาไว้.. ในแนวทางที่องค์พระพุทธเจ้าเดิน ในคำสอนสั่ง หรือพระสงฆ์ผู้ประพฤติ ปฏิบัติดีแล้ว
/ ไม่มีความลังเลสงสัย ในเรื่อง*กฎแห่งกรรม*
* ไม่มีข้อสงสัยใดแล้วนั้น จิตดวงนั้น.. ย่อมเข้าถึงการละการทำชั่ว*
ฝึกฝนตนทำความดี เป็นแน่แท้
ดวงจิตดวงนั้น.. ย่อมไม่สามารถกลับไปทำบาป ทำผิด ทำชั่วอีก
เมื่อทำเช่นนั้น.. จะกลับคืนสู่การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบนั้น - ไม่ได้เลย
พระยาธรรมเอย.. ดวงจิตที่สามารถฝึกฝนตน จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จนรู้แล้วว่า..
การรักษาศีล ตั้งแต่ *ศีล 5* เป็นต้นไปนั้น..
- เกิดประโยชน์อย่างไรแก่ตน ?
- ช่วยให้ตนนั้น เข้าถึงความสุข ความสงบอย่างไร ?
รู้ประโยชน์แห่งการรักษาศีลแล้ว.. ย่อมกลัวต่อการทำบาป.. ลูกเอ๋ย ++
เพราะว่า ดวงจิตเหล่านั้น จะสามารถมองเห็น เข้าใจกฎแห่งกรรมได้ อย่างชัดเจน
เพราะเขา คือ ผู้ถือศีล ผู้ประพฤติ ปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีล
เมื่อรักษาศีล จนเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้วนั้น..
โดยธรรมชาติแล้ว.. จิตเหล่านั้น เขาย่อมมองเห็น *กฎแห่งกรรม* ได้อย่างชัดเจน
และศรัทธามั่นคง ในเรื่อง *กฎแห่งกรรม*
- เขาจะไม่มีทางทำผิดศีลอีก !
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้วนั้น..
- ย่อมมีปัญญาแจ่มแจ้ง รู้แจ้งในเหตุเกิด - และเหตุดับ ของสรรพสิ่งทั้งหลาย
- และย่อมถอดถอนความลุ่มหลง ของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้
... จึงไม่ไปทำผิดศีล ผิดธรรม เพื่อสิ่งสมมุติเหล่านั้น ++
เขาจะยังคงรู้สึกว่า.. สิ่งนั้นสิ่งนี้ สวย และดี
ชื่นชอบและชื่นชมยินดี กับสิ่งที่ได้มาอยู่..
แต่ความยินดี หรือการที่ได้มาของเขานั้น.. จะต้องอยู่ในกรอบของศีล / จะต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ซึ่งบุคคล ผู้ที่รู้เช่นนี้ และไม่เบียดเบียน ทำผิดศีล ผิดธรรม
- จิตของเขา ไม่สามารถทำกรรมชั่วได้อีก..
* เรื่องที่จิตของเขาจะตก กลับคืนสู่จุดที่ต่ำ.. ย่อมเป็นไปไม่ได้อีก*.. พระยาธรรม
ฉะนั้น.. บุคคลผู้ที่เป็นพระโสดาบัน หรือพระอริยเจ้า ตั้งแต่ระดับที่ 1* แล้วนั้น..
/ จะไม่มีทางหวนกลับคืนสู่ การเป็นจิตผู้คลุกเคล้าอยู่กับกิเลสตัณหา ไม่รู้ภพชาติที่จะจบในการเกิด
/ จะไม่มีทางหวนกลับคืนอีก ด้วยว่า.. ความดีอันแน่วแน่ ศรัทธามั่นคง ที่เขานั้นได้ประพฤติ ปฏิบัติ - จนเป็นกรอบ ให้เขานั้นอยู่ในกรอบแห่งความดี ไม่ละเมิดผิดกรอบอีกต่อไป..
-- จิตของเขา จึงไม่ถอยกลับคืนอีก --
พระยาธรรมเอ๋ย.. เปรียบเสมือน มะม่วงสักลูกหนึ่ง ที่เขานั้นค่อยๆเติบโต..
เติบโตจนมะม่วงลูกนั้นแก่.. แล้วก็สุก ก็งอม
จนมะม่วงลูกนั้น.. สลายคืนจากการเป็นมะม่วง คือ หายไป
ข้อสมมุตินี้ เป็นเช่นไร การที่เราประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้านั้น.. ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
การที่เราประพฤติ ปฏิบัติ จนความดีของเราเต็มแล้ว ในการเป็นพระอริยเจ้า.. มีแต่จะเดินหน้าต่อเท่านั้น ไม่มีทางถอยกลับคืนมา !
เพราะถือว่า.. เราสามารถนำพาจิตของเรา
* จนเข้าถึงกระแส แห่งความเที่ยงแท้แล้ว
* จนเข้าถึงกระแส แห่งการไม่เกิด ไม่ตาย
* จนเข้าถึงกระแส แห่งการลดละ กิเลสตัณหาได้แล้ว
-- ไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีก --
จะต้องโดนล็อคไว้ ด้วยสภาวธรรมแห่งความดีของตน
จะต้องโดนล็อคไว้ ด้วยสภาวธรรม ที่ตนนั้น..สามารถห่างไกลจากกิเลสตัณหา
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พระอริยเจ้า ตั้งแต่ระดับที่ 1* คือ บุคคลผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้วนั้น..
- จะไม่มีทางหวนกลับคืนสู่ การเป็นดวงจิตทั่วไป- ที่ยังคลุกเคล้าอยู่กับกิเลสตัณหา +
- จะไม่มีทางเวียนเกิดเวียนตาย ไม่จบภพจบชาติอีก +
พระยาธรรมเอ๋ย.. การทำความดี ก็เหมือนการที่เราย่างเนื้อสักชิ้นหนึ่ง
เมื่อเราย่างได้ไฟในระดับที่พอดี ย่างไป.. เนื้อต้องสุกแน่
ย่างอีก.. ต้องไหม้แน่
และเนื้อชิ้นนั้นต้องสลายไป
เหมือนกันแหละลูก การทำความดี หรือความชั่ว
- ความดีและความชั่วนั้น.. จะก่อตัวอยู่ในดวงจิตดวงนั้น..
ซึ่งไม่ว่าจะเปลี่ยนไป กี่ร่างกายก็ตาม ..จิตก็คือดวงเดิม *
หากเราสามารถทำตน จนเข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน
/ จนเข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้าแล้วนั้น..
เราก็จะคงความดีนั้น ไปจนกว่าวันที่เราจะเข้าถึงพระนิพพาน
ซึ่ง*ใช้เวลาไม่เกิน 7 ชาติ สำหรับพระโสดาบัน *
พระยาธรรมเอย.. การที่เรานั้น ไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำความดี - จนเข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้า
เรายังเป็นผู้สร้าง ผู้ทำความดี - ที่เป็นความลุ่มหลง ซึ่งเป็นทาสแห่งกิเลสตัณหา
ต่อให้จะทำความดีมากเพียงใด ถ้าทำไปด้วยว่า.. มีความลุ่มหลง มีกิเลสตัณหาเจือปนอยู่ในนั้น..
-- เราก็ย่อมได้รับแต่เพียงความดีที่ส่งผลมา คือความดีอันจอมปลอม สิ่งสมมุติ
ชาตินี้เราขวนขวายสิ่งที่เรียกว่า ดี สิ่งที่เราคิดว่า มีความสุข
แต่หากเราไปคว้าได้ สิ่งที่มันสมมุติเท่านั้น
- ถึงเวลามันก็จะเสื่อม จะดับไป ตามกาลเวลา **
และเราก็ยังคงวนอยู่ เวียนอยู่ในโลกสมมุตินั้น..ไม่รู้จบ ++
เพราะเราไปหาแต่สิ่งที่มันเป็นของปลอม !
แต่บุคคลผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้านั้น..
ถือว่า เป็นผู้ที่ทำความดี เพื่อแสวงหาสิ่งที่เที่ยงแท้..
คือ การไม่เกิด ไม่ตายอีก
คือ ความดีอันไม่เสื่อม ไม่หายอีก
ฉะนั้น.. เมื่อเขาสามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 1* แล้วนั้น..
แปลว่า เขาได้เจอ ได้พบ กับความเที่ยงแท้ในระดับที่ 1* แล้ว..
เขานั้นได้สร้างได้ทำความดี -ที่เที่ยงแท้* เอาไว้ในจิตของเขาแล้ว...
ต่อให้เขานั้น จะวนเวียน เวียนว่ายตายเกิดอีก - ก็ไม่มากไปกว่า 7 ชาติ หรอกลูก **
/ เขานั้นจะทำกิจแห่งตน คือ ชดใช้กรรมวิบากที่ตนเคยก่อ เคยทำมา จนหมด
/ เขาจะทำกิจแห่งตน คือ ปฏิบัติ สร้างความดีไปเรื่อยๆ..
... จนจิตของเขารู้แจ้ง ดับกิเลสได้อย่างแท้จริง ++
นี่คือกิจ 2 อย่าง ที่พระอริยเจ้า พระโสดาบัน ประพฤติ และปฏิบัติธรรมกัน ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่..
พระยาธรรมเอย.. พระอริยเจ้าทั้งหลาย จึงทรงสภาวธรรม ความดีไว้ - ไม่หวนกลับคืนสู่จุดที่ต่ำอีก
นั่นก็เป็นเพราะเหตุฉะนี้ละลูก ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นละ
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยัง.. จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจแล้วว่า.. การที่เราเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระโสดาบันแล้วนั้น..
เราจะไม่มีทางหวนกลับคืนสู่ ความเป็นปุถุชนธรรมดา หรือว่า ดวงจิตที่ต้องคลุกเคล้ากับกิเลสตัณหา เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบอีก..
ไม่ทีทางกลับไปสู่จุดที่ต่ำ ที่เป็นทุกข์มากอีก
เพราะว่าเราได้แสวงหาเจอ *ความดีที่เที่ยงแท้แล้ว ในระดับที่ 1*
ฉะนั้น.. ความเที่ยงแท้
- ย่อมมีอยู่ในจิตของเรา
- จะไม่มีทางเสื่อมไปจากเราไปอีก
... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาลูก นะเจ้าคะ…
สาธุ