สำคัญที่จิต ไม่ใช่อารมณ์
…………………
“การเรียนเรื่องจิตนะ
จิตอย่างไหนเป็นกุศล
จิตอย่างไหนเป็นอกุศล ก็ต้องรู้
อย่างไหนใช้ทำสมถะ
อย่างไหนใช้ทำวิปัสสนา ก็ต้องรู้
จิตที่ใช้ทำสมถะ คือ
จิตที่สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
มีอะไรเป็นจุดเด่น สำหรับจิตดวงนี้?
มี 'อารมณ์' เป็นจุดเด่น
จิตที่ใช้ทำวิปัสสนา จุดเด่นอยู่ที่ไหน?
อยู่ที่ 'จิต' ไม่ได้อยู่ที่ตัวอารมณ์
จิตตั้งมั่นแล้วเห็นอารมณ์ผ่านมาผ่านไป
ไม่ใช่ไปสงบนิ่งอยู่ที่ตัวอารมณ์
เวลาเราหัดภาวนา
เราจะพบสภาวธรรมคู่หนึ่ง
ตัวหนึ่ง เรียกว่า จิต
อีกตัวหนึ่ง เรียกว่า อารมณ์
จิต คือตัวที่ไปรู้อารมณ์
อารมณ์ แปลว่า สิ่งที่จิตไปรู้เข้า
อารมณ์มี ๓ แบบ
(๑) อารมณ์บัญญัติ คือ เรื่องราวที่คิด
ใครเป็นคนรู้ จิตเป็นคนรู้
เราคิดเรื่องอะไร จิตก็เป็นคนรู้
(๒) อารมณ์รูปนาม
อย่างดูร่างกาย ดูจิตใจ อะไรอย่างนี้
(ร่างกาย จิตใจ) เป็นอารมณ์รูปนาม
(๓) อารมณ์นิพพาน
ทั้งหมดนี้ จิตเป็นคนรู้ทั้งหมดเลย
อารมณ์ แปล(อีกอย่าง)ว่า สิ่งที่ถูกรู้
ภาษาอังกฤษ คือตัว Object
ตัวจิต คือตัว Subject เป็นตัวผู้รู้ ผู้ดู
เป็นตัวประธาน เป็นตัวดู
จิตกับอารมณ์ เป็นของคู่กันเสมอ
จิตกับอารมณ์ ต้องเกิดร่วมกันเสมอ
มีจิตโดยไม่มีอารมณ์ ไม่ได้
บางคนเรียนธรรมะมักง่าย
บอกว่าปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ยึดถืออะไรเลย จิตบริสุทธิ์
จิตว่างไม่มีอะไรเลย
(อย่างนี้)ไม่จริง
จิตไม่เคยว่างจากอารมณ์
จะเป็นกุศล เป็นอกุศล หรือเป็นโลกุตตระ
ก็ต้องมีอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า
ในโลกุตตระ จิตก็รู้อารมณ์นิพพาน
ฉะนั้น บางคนบอก ว่าง ๆ จิตว่าง ๆ นั้น
แท้จริงแล้ว จิตไม่เคยว่าง(จากอารมณ์)
จิตจะต้องคู่กับอารมณ์เสมอ
(จิตพวกหนึ่งไปรู้อารมณ์แล้ว)
ถูกอารมณ์มาเร้า แล้วเกิดกิเลส
กิเลสครอบงำจิตใจ บงการพฤติกรรมของจิต
ล้นออกมาเป็นพฤติกรรมทางกาย ทางวาจา
อีกพวกหนึ่ง จิตไปรู้อารมณ์แล้ว
อารมณ์ไม่สามารถเร้าจิตได้ อย่างบรรดา
โลกุตตรจิตทั้งหลาย ไม่ถูกอารมณ์เร้า
หรือจิตพระอรหันต์ เรียกว่า มหากิริยาจิต
อารมณ์มาเร้าไม่ได้
จิตของเรา อารมณ์เร้าได้
ได้เห็นหน้าคนนี้ ก็โกรธ
ได้เห็นหน้าคนนี้ ก็รัก
นี่ถูกอารมณ์เร้า
อารมณ์ที่มาเร้าอันนี้ ก็คือ รูป
สิ่งที่ตามองเห็น เรียกว่า รูป
สิ่งที่หูได้ยิน เรียกว่า เสียง
เสียงก็เป็นอารมณ์ที่มาเร้า
เพราะฉะนั้น ตัวที่เป็นอารมณ์
ก็มีทั้งรูป มีทั้งเสียง มีทั้งกลิ่น มีทั้งรส
มีทั้งสัมผัสทางร่างกาย
มีทั้งเรื่องราวทางใจ
มันจะมาเร้าให้จิตทำงาน
จิตก็จะทำงานไปตามความเคยชิน
เคยชินมีกิเลส
มันก็จะมีกิเลสอย่างรวดเร็ว
เคยชินมีกุศล เคยฝึกสติไว้
สติก็เกิดอย่างรวดเร็ว
ค่อย ๆ ฝึก ค่อย ๆ เรียนไปนะ
ไม่ยากหรอก ฟังแล้วเหมือนยาก
จริง ๆ ไม่ยาก
หัดรู้อารมณ์ปัจจุบันไปเรื่อย ๆ
ด้วยจิตที่เป็นกลาง
อย่างขณะนี้ ปัจจุบันนี้
รูปเป็นอย่างไร รูปนั่งอยู่ รู้สึกไหม
ลองพยักหน้าซิ
รู้สึกไหม รูปมันเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู
รูปมันเคลื่อนไหว ใจเป็นคนรู้สึก
นี่แหละมีจิตกับอารมณ์
อารมณ์ตัวนี้ คือตัวรูป
แล้วก็จิตเป็นคนไปรู้รูปนี้เข้า
ได้ยินเสียง เสียงเป็นอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า
ได้กลิ่น กลิ่นก็เป็นอารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า
รส สัมผัสทางกาย เรื่องราวทางใจ
เป็นสิ่งที่จิตไปรู้ ทั้งหมดนี้ เรียกว่า อารมณ์
อารมณ์ ไม่ใช่ตัวสำคัญนะ
อารมณ์ เป็นแค่ตัวกระตุ้น
ให้จิตทำงานเท่านั้นเอง
จิตทำงานไปด้วยความเคยชิน
ของกุศลบ้าง อกุศลบ้าง
ถ้ากุศลให้ผล
เราก็จะสัมผัสอารมณ์ที่ดี
ถ้าอกุศลให้ผล
เราก็จะสัมผัสอารมณ์ที่ร้าย
อารมณ์จะดี จะร้าย เราเลือกไม่ได้
แต่หลังจากที่กระทบอารมณ์แล้ว
มันปรุงแต่งต่อ ตรงนี้แหละ เราฝึกได้
จิต เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้
แต่ จิต เป็นธรรมชาติที่ฝึกได้
เพราะฉะนั้น เราฝึกจิตฝึกใจให้มันมีสติ
ให้มันมีความตั้งมั่นนะ
ค่อย ๆ สะสมปัญญา รู้ถูก
เข้าใจถูกถึงความเป็นไตรลักษณ์ ของรูปนาม
ฝึกสะสมไปเรื่อย ๆ
เมื่อสะสมมากพอแล้ว
วันหนึ่ง อริยมรรคจะเกิดเอง
ไม่มีใครทำอริยมรรคให้เกิดได้
อริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง
พระพุทธเจ้าสอน
ไม่มีใครทำอริยมรรคให้เกิดได้
เมื่อเราเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา
สมบูรณ์เต็มเปี่ยมแล้ว
อริยมรรค ก็เกิดขึ้น
ฉะนั้น
เราจะไม่ให้ความสำคัญกับอารมณ์
อารมณ์ดีก็ได้ ร้ายก็ได้
สวยก็ได้ ไม่สวยก็ได้
แต่พอจิตไปกระทบอารมณ์แล้ว
ถ้าจิตเกิดปฏิกิริยาอะไรขึ้นมา
ให้ ‘รู้ทันที่จิต’
ความสำคัญมันอยู่ที่ จิต นี่เอง”
…………………
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม ๒๓ เมษายน ๒๕๖๐
วิถีแห่งธรรม 4 ขั้นตอน...
1. ต้องรู้จักความรู้สึกตัวบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ (สติสัมปชัญญะ) ให้เป็นก่อน โดยผ่านกระบวนการรับรู้ภายใต้ความรู้สึกที่กายก่อน (รูป) ไม่ใช่รู้นามก่อน (เวทนา จิต ธรรม)
โดยอาศัย กฏ 3 ข้อเทียบเคียง....
๑. ระลึกรู้ รับรู้ ความรู้สึกทั้งกาย รู้หลวมๆ
ไม่เจาะจงรู้อวัยวะเพียงบางส่วน
(ผู้มาใหม่อาจจะยากต้องหัดเคลื่อนไหวไม่นั่งนิ่ง
หรือ เดินจงกลม สร้างจังหวะเหมือน ลพ. เทียน จึงจะรับรู้ได้)
๒. รับรู้โดยไม่ตีความหมาย ไม่เทียบเคียง ไม่ให้ความหมาย
(พูดหรือแสดงข้างใน) ต่อความรู้สึกตัวบริสุทธ์...นี้ทั้งสิ้น
เช่น อันนี้คือ จิตปภัสสร อันนี้คือจิตเดิมแท้
๓. รับรู้โดยไม่พูดกำกับอิริยาบททั้งในใจและออกเสียงทั้งสิ้น
(เช่น ก้าวซ้าย ก้าวขวา) และทุกๆ กรณี
2. เมื่อเข้าใจสติบริสุทธ์นี้แล้ว ให้ปลุกเขาบ่อยๆ
โดยนำไปผูกกับอริยาบททั้ง 4 ในชีวิตประจำวัน
คือ เมื่อเดินก็รับรู้ ความรู้สึกตัวบริสุทธ์..
เคลื่อนไหวใดๆ ก็ให้รับรู้ความรู้สึกตัว...
ในมือใหม่อาจต้องปลุกหรือกระตุ้นการรับรู้หน่อย
เพราะเขายังไม่มีกำลังทำงานเองได้
.....โดยให้ฝึกในภาวะปกติ ไม่ใช่มีอารมณ์ ขึ้นมาแล้วค่อยฝึก....
.....ให้อยู่ในชีวิตประจำวันให้ได้มากๆ.....
เวลาที่ใช้ในการติดตั้งระบบสติบริสุทธ์..นี้ ประมาณ 1 - 3 เดือน
3. เมื่อระบบสติบริสุทธ์.. ติดตั้งได้แล้ว(อัตโนมัติ)
เขาจะเริ่ม รู้เป็น เห็นได้ ด้วยตัวเอง
เช่น เมื่อเราขยับกายเขาจะรู้สึกตัว
เมื่อเราคิดไปฟุ้งไปสติเห็นเขาจะรู้สึกตัว....
และ ออกจากความคิดนั้นเองได้
โดยไม่ต้องไปทำไปสั่งใดๆ เลย
และ ความรู้สึกตัวอันนี้ก็ไม่มีภาระของผู้รู้ ผู้ดู ผู้เป็น
ทีจะต้องรักษาไว้ เขาจะมาเอง ทำงานเอง ไปเอง
ตามกฏของตรัยลักษณ์ โดยไม่มีการดัดแปลง
(รู้เห็นรูปนามตามความเป็นจริง)
ข้อจำกัด คนที่ไม่ได้เริ่มจากสติบริสุทธ์ตามธรรมชาติในฐานกายนั้น จะข้ามขั้นไปเป็นรู้นามเลย ( จิต ) สติรู้นั้นจะเจือปนความอยากติดไปด้วย
อุปมาเหมือน เริ่มต้นก็ใส่แว่นสี เมื่อมองจ้องอะไรสีก็ผิดเพี้ยน
เมื่อเห็นได้ก็ติดใจไม่ยอมถอดแว่นอีก คือเริ่มก็ไม่ตรง
ลงท้ายก็หลงยึดถือ..... ด้วยเหตุแห่งความอยากเป็น ผู้รู้ ผู้ดู ผู้เป็น ทั้งสิ้น จึงสร้างภาวะเฝ้ามองขึ้นมา....
การแก้จำเป็นต้องดูรายละเอียดแต่ละรายไป ไม่มียาวิเศษแก้ที่เดียวทั้งหมด
เมื่อดำเนินชีวิตปกติด้วยความรู้สึกตัวบริสุทธ์ตามธรรมชาติแล้ว
ชีวิตจิตใจจะเบาๆ โล่งๆ โปร่งๆ ไม่มีอะไร
ชีวิตจะได้หยุดได้พักจากอารมณ์
ความขุ่นมัว อาการปรุง อาการฟุ้ง ทั้งหลายได้จริง ในเวลาไม่นาน..
4. การพัฒนาขั้นปัญญารู้ธรรม (ไม่ใช่รู้จำ)
ขั้นนี้อธิบายลำบากครับ เพราะถ้าอธิบายไป
ก็จะติดกับดักการจดจำของจิตในปุถุชน อย่างแน่นอน
ผมขอไม่อธิบายรายละเอียดครับ เอาเป็นว่ามี 3 เรื่องที่เกี่ยวพันธ์กันนะครับ
๑. การเข้าถึงกลไกลธรรมชาติและความสัมพันธ์ของ รูป นามนี้ จะเกิดขึ้นดังตาเห็น จึงเป็นเหตุให้สิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ตีความหมายหรือจำความหมาย แล้วสรุปมาเป็นความเข้าใจของตนจนฟุ้ง ผู้รู้ร่ำไป
๒. จิตวางสมมุติบัญญัติทางโลกด้วยตัวเอง ไม่มีความตั้งใจไม่มีเจตนาทั้งสิ้น ดังเขาทำหน้าที่เองทั้งหมดแบบสะอาดหมดจด เป็นเหตุให้จิตไม่ยึดไม่เกาะไม่เกี่ยวกับความคิดทั้งปวง จิตจึงเป็นอิสระ และ จะระลึกถึงคุณแห่งพระพุทธองค์หลวงพ่อเทียนนั้นแทบแทรกแผ่นดินกราบในความรู้ตรงรู้จริง และเมตตาที่จะถ่ายทอดไว้ให้ชนรุ่นหลัง...
๓. ชีวิตของกายนี้ จะมั่นคงมากๆ ไม่หวั่นไหวใดๆ เลยถึงแม้นความตายในขณะนั้น เป็นเหตุให้ชีวิตที่เหลืออยู่ดำเนินไปบนเส้นทางที่ควรค่าต่อตนต่อโลก
บทความ อาจารย์ กอบชัย ปฐมโพธิภัทรสุข
อุปาทาน
อุปาทาน ความยึดมั่น, ความถือมั่นยึดมั่นด้วยอำนาจของกิเลส หรือความยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามอำนาจของตัณหา หรือความยึดมั่นถือมั่นตามความพึงพอใจของตัวของตน มี ๔ ประการ คือ
๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในกาม คือ ยึดมั่นใน รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ(สัมผัส) เนื่องด้วยตัณหาความกำหนัดในสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยอำนาจของกิเลส ไม่รู้ด้วยอวิชชาว่าสังขารเหล่านั้นทั้งหลายทั้งปวงล้วนอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา เป็นธรรมดา จึงควบคุมไม่ได้อย่างแท้จริง
(กามุปาทาน - ความยึนมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ : จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยท่านพระธรรมปิฏก)
๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิ คือ ยึดมั่นในความเห็น ความเชื่อ ความคิด หรือในทฤษฎีของตัวของตน จึงไม่เชื่อหรือแอบต่อต้านในสิ่งต่างๆที่ขัดแย้งหรือไม่ลงรอยไปกับความคิด ความเห็น ความเชื่อ หรือทฤษฎีของตัวของตนเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจิตจึงไม่ยอมศึกษาหรือพิจารณาอย่างจริงจังในความคิดความเห็นอื่นๆที่ถูกต้องและดีงามแต่ขัดแย้งกับความเชื่อความเห็นเดิมๆของตน เกิดความรู้สึกต่อต้าน ขัดแย้ง ไม่พอใจในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ตรงความเชื่อความเข้าใจของตัวของตนโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา จึงทำให้ไม่สามารถเห็นหรือเข้าใจในสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงที่เป็นไปของธรรมหรือสิ่งนั้นๆได้อย่างปรมัตถ์หรือถูกต้องดีงาม
(ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ : จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยท่านพระธรรมปิฏก)
๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในศีล(ข้อสำรวมระวังไม่ล่วงละเมิด) และพรต(ข้อที่พึงถือปฏิบัติ) แต่เป็นการยึดมั่นด้วยอำนาจกิเลส ดังเช่น ตามความเชื่อหรือตามการปฏิบัติที่ทำตามๆกันต่อมาแต่ไม่ถูกต้องโดยงมงายด้วยอวิชชา เช่น พ้นทุกข์ได้โดยถือศีลแต่ฝ่ายเดียวไม่ต้องปฏิบัติวิปัสสนาให้เกิดปัญญา, ปฏิบัติแต่สมาธิแล้วจะบรรลุมรรคผลต่างๆจากสมาธิโดยตรงจึงขาดการวิปัสสนา, อ้อนวอนบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนาๆ, ทรมานตนเพื่อบรรลุธรรม, คล้องพระเพื่อคงกระพัน โชคลาภ, ทำบุญแต่ฝ่ายเดียวเพื่อหวังมรรคผล, ล้างบาปได้
(สีลัพพตุปาทาน - ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล : จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยท่านพระธรรมปิฏก)
๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในคำพูด(วาทุ-วาทะ)ที่ใช้แสดงความเป็นของตัวเป็นของตน จึงเกิดการไปหลงคิดหลงยึดหรือจดจำ(สัญญา)เอาอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าเป็นของตัวของตนอย่างแท้จริงโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา กล่าวคือ เกิดความหลงยึดเนื่องจากวาทะการพูดจาเพื่อใช้สื่อสารกันให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันในสิ่งต่างๆในทางโลกโดยไม่รู้ตัวและซึ่งย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างประจำสมํ่าเสมอในการดำรงชีวิต จึงเกิดการซึมซับแล้วซึมซ่านไปย้อมจิตให้หลงไปยึด ไปหลงในคำพูดต่างๆเหล่านั้นว่า เป็นจริงเป็นจังอย่างจริงแท้แน่นอน เช่น คำพูดในการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น นี่บ้านฉัน นั่นรถฉัน แฟนฉัน สมบัติฉัน นี่ของฉัน จิตจึงไปหลงยึดด้วยอวิชชาความเคยชินในคำพูดที่แสดงความเป็นตัวของตนเหล่านั้น ที่ใช้สื่อสารเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของในทางโลกๆเข้าไปโดยไม่รู้ตัวอยู่เป็นประจำด้วยอวิชชา (รายละเอียดเพิ่มเติม)
(อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ : จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยท่านพระธรรมปิฏก)
สิ่งต่างๆทั้ง๔ เหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว เริ่มเป็นไปตั้งแต่เกิดจวบจนปัจจุบัน หรือเป็นไปดังนี้เสียนานจนไม่รู้ว่าสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น โดยไม่เคยคิดที่จะหยุดยั้งกระบวนการจิตเหล่านี้เลย เนื่องเพราะความไม่รู้(อวิชชา)นั่นเอง จึงปล่อยให้เกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมชาติของปุถุชนหรือสรรพสัตว์ทั่วไป
ดังนั้นอุปาทานนี้จึงมีอยู่แล้วตามที่ได้สั่งสมมาแต่ช้านานดังข้างต้น แต่ในสภาพที่นอนเนื่องอยู่ ยังไม่ได้ถูกกระตุ้นเร่งเร้าด้วยเหตุปัจจัยใดๆ จึงอยู่ในสภาพที่เรียกกันทั่วๆไปว่า ดับ อยู่ กล่าวคือ นอนเนื่องอยู่อยู่ในสภาพของอาสวะกิเลส หรือกิเลสที่นอนเนื่องซึมซาบย้อมจิตนั่นเอง
เมื่ออุปาทานที่นอนเนื่อง ในรูปของอาสวะกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดการถูกกระตุ้นปลุกเร้า เหตุปัจจัยโดยตรงที่ปลุกเร้าก็คือตัณหา อันเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อเกิดตัณหาความอยากหรือไม่อยากใน เวทนา (ความรู้สึกรับรู้อันเกิดแต่การผัสสะ) อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นในจิตแล้ว สิ่งเหล่านั้นยังเป็นเพียงแค่ความปรารถนาอันเกิดมาแต่เวทนา แต่ยังไม่เกิดขึ้นหรือเป็นเพียงนามธรรมอยู่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล โดยธรรมชาติของจิต จึงต้องเกิดปฏิกริยาต่อตัณหาเหล่านั้นตามอุปาทานที่สั่งสมไว้ดังข้างต้น โดยการตั้งเป้าหมายหรือการที่ต้องยึดมั่น ก็เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายหรือสัมฤทธิ์ผลเป็นตัวเป็นตนขึ้นตามความต้องการ ให้เป็นไปตามตัณหาความปรารถนาของตัวของตนนั้นๆที่เกิดขึ้น ก็เพื่อให้ตัวตนของตนได้รับความพึงพอใจจากการได้รับการตอบสนองอันเป็นไปตามตัณหาความอยากนั่นเอง อันเป็นพื้นฐานโดยธรรมชาติในการดำรงคงชีวิตอย่างหนึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลาย และในทางธรรมะก็จัดว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นธรรมชาติ เพียงแต่เป็นธรรมชาติที่ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นของสรรพสัตว์โดยถ้วนหน้าด้วยเช่นกัน
เมื่ออุปาทานเกิดขึ้น ที่หมายถึง อุปาทานที่สั่งสมนอนเนื่องอยู่ได้ถูกปลุกเร้าให้ผุดขึ้น หรือเกิดขึ้นด้วยตัณหาเป็นปัจจัยแล้ว สิ่งต่างๆที่ดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปต่อจากนั้นในจิต จึงย่อมถูกครอบงำไว้ด้วยกำลังของอุปาทาน ที่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความพึงพอใจของตัวของตนเป็นสำคัญโดยไม่รู้ตัว จึงไม่เห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเกิดขึ้นและเป็นไปตามความเป็นจริง แต่เห็นและอยากให้เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวของตนเป็นสำคัญแต่ฝ่ายเดียวและโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา จึงผูกมัดสัตว์ไว้กับกองทุกข์มาตลอดกาลนาน
เครดิต บทความจาก nkgen
กลับคืนสู่ "สุญญตา"
หลวงตา : ความเข้าถึง "สุญญตา" แล้วเนี่ย มันมีความสมบูรณ์ด้วยตัวมันเอง เพราะว่าความเป็นสุญญตาไม่สามารถเอาอะไรไปเติมให้มันเต็มได้... เพราะมันไม่มีความพร่อง
มันจึงใช้ความพยายามใด ๆ กับสุญญตาไม่ได้ จึงไม่สามารถที่จะไปเป็นอีโก้ (ego : ความเป็นตัวตน) แล้วต้องระวัง คอยระวังตัวเองว่าเรารู้ขนาดนี้แล้ว... ใจเป็นสุญญตาแล้ว จะต้องมีอีโก้ คือ ยกตัวเองข่มผู้อื่น อันนั้นมันไม่มีแล้วในสุญญตา
การยกตัวเองข่มผู้อื่นได้ มันมาจากความปรุงแต่ง "อัตตา" ความเป็น "สุญญตา" มันไม่มีพร่องมันสมบูรณ์ด้วยตัวมันเอง
โยม : จริง ๆ แล้วอัตตาต่างหากที่เกิน
หลวงตา : ใช่ ถูกต้อง "อัตตา" คือ ความเกินจากธรรมชาติธรรมดา
โยม : เกินธรรมชาติ จนเกิดความแปรปรวนขึ้น
หลวงตา : กิเลส และ ความทุกข์ทั้งมวล มันจึงมาจากส่วนที่เกินธรรมชาติ คือ อัตตานี่เอง
เมื่อ "สิ้นอัตตา" เห็นอัตตาเป็น "อนัตตา" ไม่มีอยู่จริง กิเลส และ ความทุกข์ทั้งมวลที่แปรปรวนทำให้ปั่นป่วนเป็นทุกข์ ก็จะหายไปด้วย
โยม : แล้วอย่างนี้สมมติว่าเวลาที่เราเจอคนนี้แล้วเรามีความสุข เรายินดี อย่างนี้แปลว่าเราก็ไม่เป็นสุญญตาแล้วเช่นกัน เพราะว่ามันเป็นการปรุงแต่ง
หลวงตา : มีความสุขกับการยินดีด้วยความติดความยึดถือหรือเปล่าล่ะ? หรือเป็นเพียงแค่ธรรมชาติปกติ เมื่อเราเจอคนนี้ความคุ้นเคยก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีความดีใจได้พบคนนี้แล้วก็จากไม่ได้... "คิดถึง" อย่างเนี้ยเป็นอัตตา
โยม : ถ้ายึดมั่นว่าเป็นของเรา... ก็คือเป็นอัตตา
ต่อให้เรารู้สึกยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ยึดมั่นว่าเป็นของเรา ถึงแม้ว่าเราจะขัดใจ แต่ว่าสเต็ป (step : ขั้นตอน) การเริ่มเป็นอัตตามันคือว่า ที่เราเริ่มเจ้ากี้เจ้าการ เริ่มอยากบงการอะไรอย่างนี้ มันก็คือสเต็ปของอัตตา
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว
โยม : เพราะฉะนั้นถ้าเรายังไม่ได้อยู่ในสเต็ปจะยื้อไว้ หรือว่าเราไม่ได้อยู่ในสเต็ปแบบจะไปเจ้ากี้เจ้าการไปจัดการไปอะไรอย่างเนี้ย มันก็แค่เหมือนคล้าย ๆ ว่าแค่ปรุงแต่งขึ้นมาแว๊บหนึ่ง แกว่งจากสุญญตานิดหน่อย แต่ว่ามันยังไม่ถึงขั้นอัตตาครอบลงไป
หลวงตา ถูกต้องแล้ว
โยม : อ๋อ... ค่ะ แปลว่าคนเราไม่ใช่ว่าจะเรียบทุกวินาที แต่ว่าถ้าเราไม่ได้เอาตัวเราเข้าไปยึดเข้าไปโยง เข้าไปครอบว่า... ทำไมไม่ถูกใจฉัน คือ ถ้ายังไม่ถึงสเต็ปไม่ถูกใจฉัน มันก็ยังไม่ถึงสเต็ปของอัตตาหรือเปล่าคะ?
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว
โยม : แล้วถ้าอย่างนั้น ระหว่างเข็มกระดิกนิด ๆ ไม่อุเบกขา กับ อัตตา ช่องว่างตรงนี้มันคืออะไร?
หลวงตา : สุญญตาจะมีการรักษาให้ไม่เป็นอัตตาได้เหรอ จะรักษาไม่ให้เข็มกระดิกได้เหรอ?
โยม : อ๋อ... "สุญญตา" ก็คือเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า... เข็มกระดิกก็คือเข็มกระดิกโดยไม่เอาอัตตาเข้าไปครอบ
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว
โยม : แปลว่า "สุญญตา" กินความหมายกว้างกว่าอุเบกขาหรือเปล่าคะ?
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว แต่อุเบกขาได้ก็ต้องออกมาจากใจที่เป็นสุญญตา
โยม : คือ สุญญตามันกว้างกว่าอุเบกขาก็จริง แต่การที่จะมีอุเบกขาที่แท้จริงได้ต้องออกมาจากใจที่เป็นสุญญตา?
หลวงตา : ถูกต้อง! แล้วอย่างนี้ต้องหาตรงกลางมั้ย?
โยม : ก็คือไม่ต้องหาอะไรอีกแล้ว ถ้าไม่ปรุง คือ ไม่ต้องหาอะไรอีกแล้ว ถ้าเราไม่ปรุงซะอย่างแล้ว เราเห็นทุกอย่างเท่ากันจริง ๆ เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่เอาตัวเองกระโจนเข้าไป แล้วไม่ปรุงเลย
สุญญตาจริง ๆ ก็คือไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะถ้าทำ มันจะกลายเป็นเกิน ซึ่งความเกินเป็นเหตุแห่งความวุ่นวาย
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว ดังนั้นเนี่ยถ้าไม่มีอัตตาเข้าไปปน หนูก็จะเห็นอย่างที่เห็นตรงไปตรงมาอย่างที่เห็น... ได้ยินก็จะได้ยินตรงไปตรงมาอย่างที่ได้ยิน... ได้กลิ่นก็จะได้กลิ่นตรงไปตรงมาอย่างที่ได้กลิ่น... ลิ้มรสก็จะตรงไปตรงมาอย่างที่ลิ้มรส... สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง หนาว ก็จะรับรู้ตรงไปตรงมาอย่างที่สัมผัส... มีอาการอะไรเกิดขึ้นในใจอาการนั้นจะถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจ จะเป็นกุศล อกุศล จะสุข จะทุกข์ จะผ่องใสเศร้าหมอง ก็รับรู้ตามความเป็นจริงออกมาจาก "จิต" หรือ "ใจ" ที่เป็น "สุญญตา" ออกมาจากสุญญตาจึงไม่มีตัวตนอัตตาไปรองรับ มันก็จะไม่มีความทุกข์ ความวุ่นวาย ความเดือดร้อน ที่จะต้องหนี หรือ ต้องสู้กับสิ่งที่รับรู้ในปัจจุบันขณะ ๆ นั้น
โยม : เพราะฉะนั้น "อัตตา" ก็คือตัวยึด!!! ความเป็น "สุญญตา" ก็คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็แค่... ไม่ยึด
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว จึงมีคำตรัสของพระพุทธเจ้า กับพาหิยะที่เป็นฆราวาสว่า
"พาหิยะ" ถ้าเห็นสักแต่ว่าเห็น... ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน... ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น... รู้รสสักแต่ว่ารู้รส... รู้สัมผัสสักแต่ว่ารู้สัมผัส... รู้อาการทางใจสักแต่ว่ารู้อาการทางใจ... ตามความเป็นจริงอย่างที่รับรู้นั้น อย่างที่เขาเป็น เธอจะนิพพาน จะไม่มีตัวตนของเธอในโลกนี้ ในโลกหน้า ในโลกท่ามกลาง เธอจะ "สิ้นกิเลส" บรรลุพระนิพพาน
แต่ภาษาตรง ๆ ของท่านใช้คำว่า... เห็นสักแต่ว่าเห็น... ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน... รู้สักแต่ว่ารู้ คือ รู้ทางจมูก รู้ทางลิ้น รู้ทางกาย... แล้วก็รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง คือ "รู้ทางใจ" ไม่มีอัตตาเข้าไปรองรับเธอจะ "นิพพาน" จะไม่มีตัวตนของเธอในโลกนี้ ไม่มีตัวตนของเธอในโลกหน้า เธอจะสิ้นกิเลสเพราะไม่มีอัตตาไปรองรับก็จะพ้นทุกข์นิพพาน
โยม : เพียงไม่มี "ตัวยึด" หรือว่าอัตตาไปรองรับเท่านั้นก็เรียบร้อยแล้ว
หลวงตา : ถูกต้องเลย พอพาหิยะพิจารณาตาม จบคำตรัสพระพุทธเจ้าก็บรรลุอรหันต์
โยม : ก็คือ ผู้ที่ถึงพร้อมแล้วบทจะบรรลุก็บรรลุกันง่าย ๆ อย่างนั้นเลย
หลวงตา : แต่คนอื่น ๆ น่ะฟังแล้วเขาพยายามหากรรมวิธี ไม่ให้มีอัตตาไปรองรับ
แล้วถ้าหนูฟังตอนนี้แล้วหนูยังจะพยายามไปหากรรมวิธีจะให้รับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกปัจจุบันขณะโดยไม่มีอัตตาไปรองรับ... ให้มันเป็นสุญญตา อย่างนี้ก็เท่ากับว่าหนูยังไม่แจ้งถึงใจว่าการกระทำเช่นนี้ "มันเป็นอัตตา"
โยม : ก็คือการหากรรมวิธีต่าง ๆ เนี่ย มันก็คือ พยายามใช้อัตตาเป็นเครื่องมือในการหาสุญญตาซึ่งมันไม่ได้ การที่จะถึงสุญญตาได้ต้อง "ละอัตตา"! ไม่ใช่หยิบอัตตามาใช้
การหากรรมวิธี... ก็คือมาจากความอยาก ซึ่งความอยากมาจากความยึดว่าเป็นความต้องการของเรา
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว! มันจึงจบในปัจจุบัน
โยม : ค่ะ... มันจบในปัจจุบัน
เพราะว่าถ้าทำใจเป็นสุญญตาได้ในปัจจุบัน แล้ว "อัตตา" สิ้นไปแล้ว ก็คือจบเลย
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว เพราะมันจะไปจบในอนาคตไม่ได้ มันต้องจบในปัจจุบัน ทุกปัจจุบันเรื่อยไป
เพราะถ้าจะไปจบในอนาคตมันพยายามจะเอาเครื่องมือของอัตตา ไปสร้างอัตตาเพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ
โยม : คิดไม่ออกแล้วค่ะ
หลวงตา : เมื่อจบแล้ว... สงบแล้ว... หยุดแล้ว... แล้วจะปรุงแต่งต่อได้ยังไง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
เมื่อวางจึงว่าง
.
1
“ความว่างเปล่า”
เป็น Ultimate key ของพุทธศาสนา
ว่ากันว่าเราทำให้ใจเราว่างได้ในทุกแกน
ว่างจากกิเลสตัณหา
ว่างจากรักโลภโกรธหลง
ว่างจากความอยากได้อยากมีอยากเป็น
ว่างจากความโกรธแค้นพยาบาท
ว่างจากทุกอย่าง
ถ้าว่างได้หมด เมื่อนั้นจะไปถึงเส้นชัยของพุทธะ
คือภาวะนิพพาน (Nirvana)
.
2
แก่นหลักของการปฏิบัติภาวนา
คือ การรู้สึกตัว
ที่ให้รู้สึกตัว
เพราะเพื่อให้เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจิต
ว่าคิดอะไรอยู่
รู้สึกอะไรอยู่
โกรธอยู่ไหม
เกลียดใครอยู่รึเปล่า
อิจฉาใครอยู่ไหมตอนนี้
หรือกำลังหลงรักใครอยู่ใช่หรือไม่
.
3
รู้สึกตัว เพื่อให้ได้ดู
ดูเพื่อให้ได้เห็น
เห็นเพื่อให้ได้ตื่นรู้
.
4
ตื่นรู้ เพราะเมื่อได้ดูมันบ่อยๆ
เห็นการเกิดมา
เห็นว่ามันอยู่อย่างงั้นซักพัก
เห็นมันเริ่มเสื่อมถอย
และเห็นมันมลายหายไป
.
5
เห็นบ่อยๆ จะเจอแพทเทิร์น
ว่าใจเรามันวิ่งเล่นวนลูปเช่นนั้นไม่รู้จบ
เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของมัน
มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง
.
6
ทุกอย่างเป็นสิ่งชั่วคราว
อะไรที่เราไม่ชอบก็เป็นสิ่งชั่วคราว
ความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉา
ความอยากความไม่อยากของเรา
ทั้งหมดเป็นสิ่งชั่วคราวทั้งนั้น
.
7
ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น คือเกิดมาเพื่อหายไป
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ธรรมชาติ
ปัญหามันอยู่ที่ใจเราต่างหาก
ไม่ยอมรับธรรมชาติของธรรมชาติ
.
8
เรากลับไปยึดมัน ไปแบกมัน ไปถือมันไว้
ไม่ยอมปล่อยให้มันไหลไปวัฏจักร ไปตามวงจร
ตามแพทเทิร์นของมัน
.
9
พอยึดไว้ พอฝืนธรรมชาติ
ใจเราก็ทุกข์ พุทธองค์และสงฆ์สาวกหลายท่าน
ก็พร่ำสอนให้ถึงวิธีแก้ทุกข์
ที่เป็นโคตรแก่นแท้ที่สุด
คือปล่อยวาง
.
10
ปล่อยให้มันไหล
ปล่อยให้มันเปลี่ยน
ปล่อยให้มันเสื่อม
ปล่อยให้มันหายไป
ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน
.
11
ภาวะหนึ่งที่เขาว่า
มนุษย์เรามักปล่อยวางได้ง่ายที่สุด
คือ ภาวะใกล้ตาย
.
12
ยิ่งเราเฉียดใกล้ความตายมากเท่าไหร่
เราจะปล่อยวางเองอัตโนมัติ
ไม่ต้องให้ใครมาสอนอะไรเลย
.
13
จินตนาการถ้าวันนี้หมอบอกว่า
เรากำลังเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 เดือน
.
14
ลองนึกภาพ
คนที่เราเคยเกลียดเคยคิดแค้น
อะไรที่เราเคยอยากได้
ใครที่เราเคยหมั่นไส้
ขั้วการเมืองที่เราชอบ
ความทะเยอทะยานของเรา
ความอยากได้อยากมีอยากเป็นของเรา
ล้วนไม่มีอะไรมีความหมายแล้วทั้งนั้น
.
15
เราปล่อยวางเองโดยอัตโนมัติ
พอใจเราเริ่มวาง
จิตเราก็เริ่มว่าง
แล้วเริ่มเห็นคุณค่าแท้จริงบางอย่าง
ที่เราอาจไม่เคยเห็นมาเลยทั้งชีวิต
.
16
ณ ขณะนั้น...
เราอาจจะกดปุ่ม restart
อยากใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง
หรืออยากกลับไปแก้ไขบางเรื่องในอดีต
แก้ไขสิ่งที่เคยทำ ให้ไม่ทำ
แก้ไขที่ไม่ได้ทำ ให้ได้ทำซะ
แต่เรื่องน่าเศร้าก็คือ
มันไม่มีทางเป็นไปได้
.
17
เราจะรอวันใกล้ตายไหม
ถึงจะเริ่มปล่อยวางบางอย่าง
หรือเราจะเริ่มฝึกใจตัวเองตั้งแต่วันนี้ ที่จะ...
ปล่อยวางความโกรธ
ปล่อยวางความแค้น
ปล่อยวางความริษยา
ปล่อยวางความโลภ
ปล่อยวางอัตตา ฯลฯ
เพื่อให้ชีวิตเราเข้าใกล้ความสุขเนื้อแท้มากขึ้น
และถูกสกัดกั้นด้วยความทุกข์ที่ไม่จำเป็นน้อยลง
.
18
เมื่อเราวาง ใจเราก็จะว่าง
ว่างจากความทุกข์
เมื่อความทุกข์สลายไป
พื้นที่หัวใจที่เคยถูกมันยึดครองก็ถูกปลดปล่อย
ความสุขก็สามารถคืบคลานเข้ามาแทนที่
สุขแบบสงบ อิ่มอุ่น ช่ำเย็น
และเป็นเนื้อแท้ เป็นธรรมชาติของมันอย่างแท้จริง