พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 286 **รู้วิธีสลายหนี้กรรม**
+ +
ในเช้าของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรมแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าฟังธรรม ในหมวดของผู้มีปัญญาธรรม น่ะเจ้าค่ะ ลูกจะขอทูลถามว่า..
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขามีวิธีในการชำระล้างวิบากกรรม ที่เขามี เขาก่อ เขาทำนั้น
แบบไหน ยังไงล่ะเจ้าคะ ?
เขาจึงสามารถล้างกรรม ชดใช้กรรม ที่เขาก่อ เขาทำจนหมด..
จนเขานั้นสามารถเป็นผู้เข้าถึงธรรม บรรลุธรรม เข้าสู่ดินแดนพระนิพพานได้ น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาจะมองให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจ
ในสิ่งที่เรียกว่า *วิบากกรรม*
ในสิ่งที่มันเป็นผลของกรรม ที่เกิดขึ้น มีอยู่.. ในตัวของเขาเสียก่อน
พระยาธรรมเอ๋ย.. ลองพิจารณาตามนี้ดู..
กายของเรานี้ ก็ส่งผลมาจาก ผลของวิบากกรรม / ผลของกรรม ที่เราก่อ เราทำ
กายของเรานี้ มันก็มีทั้ง สิ่งที่ดี / และไม่ดี.. ซ่อนอยู่ในนี้
ดี ที่มันได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ดี ที่มันครบ 32 ในร่างกายนี้ อวัยวะต่างๆไม่พิการไป
ดี ที่มันมีกำลังของกาย ที่สามารถจะประกอบกิจต่างๆ ตามที่เราตั้งใจได้
ดี ที่มีสติ มีปัญญา ทำสิ่งที่ควรจะทำ
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. กายของเรา มีสิ่งที่ดีอยู่บ้าง.. เพราะนั่นส่งผลมาจากผลของกรรมดี ที่เราได้ก่อได้ทำเอาไว้แล้ว
ทีนี้ก็ดูถึง”สิ่งไม่ดี” ที่มันมีอยู่ในร่างกายนี้ คือ..
กายนี้เกิดขึ้นมาแล้ว มันเป็นของหนัก...
/ ต้องรักษาดูแลมัน
/ ต้องทำในสิ่งที่เป็นหน้าที่แห่งตัวของมัน
/ ต้องรับผิดชอบสิ่งต่างๆ มากมาย
/ รวมถึงเมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องแก่ และเจ็บ แล้วตาย ++
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ - ที่ซ่อนอยู่ในกายของตน *
นั่นคือ ผลกรรมที่ไม่ดี ที่ตนได้ทำ และส่งผลมา.. ให้มีกายนี้
รวมถึงยังมี
“สิ่งที่มันกระทบ” เข้ามาในแต่ละวัน
เรื่องราวที่ไม่ดี - เกิดขึ้นมากมายกับเรา +
เรื่องราวที่ดี - ก็ก่อเกิดขึ้นมากมายกับเราอีก เช่นเดียวกัน +
สิ่งที่กล่าวมานี้ คือ สิ่งที่มีมันมีอยู่ในตัวของเรา และมันเป็นเหตุที่เกิดขึ้น..
มาจาก *กรรมวิบาก* ที่เราได้เคยก่อเคยทำ
ทั้งเรื่องที่ดี / เรื่องที่ไม่ดี..
เราได้ทำเอาไว้.. มันเลยส่งผลมาให้เป็นเรา
* ตัวของเรา ก็คือ “ผลของกรรม”
... สิ่งที่เราต้องประสบพบเจอ ก็คือ “ผลของกรรม”
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราก็เห็นแค่ว่า..
กายนี้ เกิดขึ้นมาจาก ผลของกรรม
และจะมีกรรมที่ตนได้ก่อ ได้เคยทำเอาไว้ ส่งผลมา
เรื่องที่ไม่ดี - ก็จะส่งผลมา
เรื่องที่ดี - ก็จะส่งผลมา
แต่เราจงรู้ให้ทันว่า.. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี / หรือเรื่องที่ไม่ดี
-- มันก็ก่อเกิดขึ้นมา เพื่อทดสอบความลุ่มหลงแห่งเรา เท่านั้น !
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว.. เราก็จะยกระดับของจิต โยกออกจากความเป็นเราในกายนั้น
จะสักแต่ว่าเห็น “เป็นธรรมดา”
-- สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นกับกาย.. เราก็มองเห็นว่า เป็นธรรมดาของมัน อย่างนั้น..
สิ่งไม่ดีทั้งหลาย เกิดขึ้นมา.. เพื่อให้เราได้รับผลของกรรม - ที่เราได้เคยก่อเคยทำเอาไว้แล้ว..
ช่างมันเถิด
อย่าถือโทษโกรธมันเลย
อย่าไปทุกข์กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น..นั้นเลย
สิ่งที่ดี ที่เกิดขึ้นกับเรา เช่น ได้รับในสิ่งที่สวยงามละเอียดประณีต
... คำชื่นชม โชคลาภ ลาภสักการะต่างๆ..
เราก็สักแต่ เห็นว่า..
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ที่เป็นเรื่องที่ดี ที่เกิดขึ้น...
นั่นก็เป็นเพราะว่า.. เป็นผลบุญ หรือว่า ผลแห่งกรรมดี ที่เราเคยก่อ เคยทำเอาไว้
... มันเลยส่งผลมา ที่กายหยาบ -ที่ตัวที่สมมุติว่าเป็นเรานั้น..
แต่ว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้นในความดีนี้ - มันก็มีขึ้นมา เพื่อทดสอบเรา.. ให้ลุ่มหลง
ในสิ่งสวยงามละเอียด ประณีต
ในเงินทอง ข้าวของที่ได้มา
ในลาภยศ ลาภสักการะทั้งหลาย..
ไม่ว่ามันจะมาไม่ดี หรือมาดี - มันก็ล้วนแล้วแต่มีภัย กับเราทั้งนั้น
และสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็ล้วนแล้วแต่เป็น *กรรม*
เป็นสิ่งที่เราไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา
เราควรที่จะเห็นว่า.. “เป็นธรรมดา” ของมันอย่างนั้น...
เมื่อเราโยกจิตออก..
* มองเห็นสิ่งไม่ดี ที่เกิดขึ้น - เป็นธรรมดา
* มองเห็นสิ่งดี ที่เกิดขึ้น - เป็นธรรมดา
หน้าที่ของเรา คือ เฝ้าคอยดูจิตแห่งตน..
หลงไปในสิ่งที่สมมุติว่า..เป็นเรา เป็นของเรานั้นหรือเปล่า ?
และสิ่งที่สมมุติว่าเป็นเรา เป็นของเราเหล่านั้น..
มันเป็นกรรมชั่ว - กรรมดี ที่ส่งผลมา
ได้รับสิ่งที่ดี.. หลงว่าเป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า ?
ได้รับสิ่งที่ไม่ดี.. หลงว่าเป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า ?
เราแค่เฝ้าดูจิตของเรา อย่าให้เกิดความลุ่มหลง ในสิ่งใดๆทั้งนั้น..
เราแค่ดู.. ดูมันไป ตามเหตุของมัน
สิ่งไม่ดีเข้ามา.. ก็ชดใช้ไป
สิ่งที่ดี.. เข้ามาก็จัดสรรตามเหตุ ตามปัจจัย..
โดยปราศจากความลุ่มหลง / ความมีตัวมีตน - ในกรรมเหล่านั้น
ดูจิตของตน..
ชำระกิเลส คือ “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ”
ชำระให้มันหมดเชื้อเหล่านี้ ให้ปราศจาก.. จากเราเสีย
... เราก็จะสามารถที่จะชำระล้าง *วิบากกรรม* ที่เราเคยก่อเคยทำ จนหมด
พระยาธรรมเอย.. ที่บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาก็พิจารณาเช่นนี้ละลูก
พิจารณาให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริงว่า.. กายของเรา ตัวของเรา
สิ่งที่ดีของเรา / สิ่งที่ไม่ดีของเรา
ที่เรียกว่าของเราเหล่านั้น.. ล้วนแล้วแต่มาจากผลของกรรม
- มันจะส่งผล เป็นไปตามเหตุของมัน -
เราห้ามลุ่มหลง ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น..
สักว่าดู เห็นสิ่งที่ไม่ดี เห็นสิ่งที่ดี.. ผ่านไป ผ่านมา
ปล่อยให้มันเป็นไปตาม *กฎแห่งกรรม* ที่ส่งผลให้มันเป็นไป
แต่ตัวของเรา ที่เป็นเราอย่างแท้จริง คือ *ดวงจิต*
.. อย่าเผลอไปหลงเข้า ก็แล้วกัน !
เจอสิ่งที่ไม่ดี - ก็อย่าหลงโกรธ หลงทุกข์ หลงโทษ ในสิ่งที่มันเกิดนั้น..
จงยินดีชดใช้มันไปเถิด
เจอสิ่งที่ดี ที่ละเอียดประณีต / เจอคำสรรเสริญ ลาภสักการะ
ก็อย่าหลงในสิ่งเหล่านั้น
ปล่อยให้มันทำงานของมันไป
มันจะมีสิ่งดี หรือไม่ดี.. เราเห็นว่ามัน “เหมือนกัน”
เพราะท้ายที่สุด.. มันก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นมาให้เป็นตัวเป็นตนของเรา
หลอกให้เราหลงอยู่ จมอยู่
-- และทำให้วิบากกรรมของเรา มันสลายไม่หมดเสียที !
... เพราะเรามัวแต่ยึดถือ *ตัวกรรม* นั่นละ..
เมื่อมีกรรมดี - ก็จะต้องมีกรรมไม่ดี
เมื่อมีการยึดถือในกรรม- ที่มีอยู่นั้น.. ก็ต้องก่อ ต้องทำต่อไป
เราแค่มองเห็น *กฎแห่งกรรม* ที่มันทำงานอยู่
โยกจิตของตนออกเสียให้ได้
อย่าเผลอไปหลงกับมัน
สักแต่ว่ารู้อยู่ ดูอยู่ เห็นอยู่ แค่นั้นก็พอ !
-- แล้วจิตของลูกนั้น ก็จะมีเป็นผู้มีปัญญาธรรม อย่างแท้จริง ++
และลูกก็จะสามารถสลายวิบากกรรมที่เคยก่อ เคยทำ ที่ไม่ดีจนหมด
... โดยไม่สร้างเวรสร้างกรรม เพิ่มขึ้นอีก
ลูกก็จะสามารถสลายความสวยงามละเอียดประณีต..
- ที่มันทำให้ลูกนั้น ต้องจมอยู่ในวัฏสงสาร -
ลูกก็จะสามารถสลายสิ่งเหล่านั้นได้..
...ไม่ครอบงำ และนำพาให้ลูก.. ไปทุกข์ ไปทรมาน ไปมีกรรมอีกต่อไป..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ที่บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาจะมองเห็นความจริงข้อนี้
เขาจึงยินดี..
ยินดีจะชดใช้สิ่งที่ไม่ดี ที่เกิดขึ้นกับเขาทุกอย่าง
ชดใช้มันไป ด้วยความยินดี
-- ไม่ปฏิเสธ ที่จะต้องชดใช้กรรมชั่ว --
และเมื่อผลของกรรมดีส่งผลมา.. เขาก็จะยกจิตของตนให้อยู่เหนือ “ผลของกรรมดี” นั้น
+ ไม่ลุ่มหลง จมอยู่ ยึดติดอยู่ ++
เขาทำเช่นนี้ละลูก.. เขาจึงสามารถที่จะสลาย *วิบากกรรม* ในตัวของเขาได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าเราไม่รู้แจ้ง ตามความเป็นจริงเช่นนี้ เราก็จะคอยแต่หลง..
หลงในกรรมดี
หลงในกรรมชั่ว
หลงยึดตัว ยึดตน -ในผลของกรรม เหล่านั้น
หลงในการกระทำแห่งตน
-- มันก็จะก่อกรรมต่อไป / มันก็จะไม่มีจบ ++
แต่ถ้าเกิดเรา.. เห็นเป็นธรรมดา
สิ่งที่มันเกิดขึ้นไม่ดี.. ก็เป็นธรรมดา ใช้มันไป
ไม่สานต่อ สร้างกรรมต่อ - ที่เป็นกรรมไม่ดี
เห็นสิ่งที่ดี ที่มันเกิดขึ้น ก็มองให้เห็นชัดเจน - ในความลุ่มหลง ที่จะทำให้เราจมอยู่ เหล่านั้น..
โยกจิตตน ออกจากความลุ่มหลง
- หลงชั่ว / และหลงดี -
ไม่มีอะไร อยู่ในเรา !
สิ่งทั้งหลาย ที่เราทำไป
ทำไป - ก็เพื่อชำระล้างกิเลสตัณหาในตัวเรา
ทำไป - ก็เพื่อที่จะลบล้าง- ชดใช้ วิบากกรรมที่มันก่อ มันมีอยู่ในเรา
รักษาศีล - เพื่อไม่สร้างกรรมเพิ่ม
เพื่อป้องกันจิตของเรา ให้อยู่ในกรอบของ
- สิ่งที่ดี
- ที่บริสุทธิ์
- ที่ไม่ต้องไปก่อกรรมเพิ่ม
- ที่มันจะได้ ไม่ต้องเพิ่มกิเลสตัณหา ให้กับเราอีก
ทำสมาธิ - ก็เพื่อให้จิตใจของเรานั้นสงบ - รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ฝึกฝนปัญญา - ก็เพื่อให้เรารู้แจ้ง ตามความเป็นจริง / เพื่อดับกิเลส
ฟังธรรม - ก็เพื่อให้เรา.. รู้แนวทางปฏิบัติ ที่ถูกต้อง +
เราทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรรมดีไป
ไม่ใช่ว่าทำ- เพื่อมายึดมาถือเอาไว้
-- แต่ทำ- เพื่อชำระกิเลสตัณหา ที่มาครอบงำเราอยู่..
เราจึงไม่ถือว่า เราได้ทำดี
และไม่สนใจที่จะทำกรรมชั่ว
-- กรรมวิบากแห่งเรา.. ย่อมสลายละลาย จบสิ้นไปได้ **
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้ว.. เขาพากันทำเช่นนี้ละลูก
เขาจึงสลายวิบากกรรมแห่งตน จนได้ จนหมด..
จนเขานั้น.. สามารถเข้าถึง *ทางแห่งการพ้นทุกข์*
สามารถเข้าถึง *ดินแดนพระนิพพาน* ได้.. ในที่สุด
พอจะเข้าใจแล้วหรือยัง.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น..
เขาย่อมรู้ว่า.. สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา คือ “ผลของกรรม” ที่ส่งผลมา
ไม่ควรยึดติดลุ่มหลง - ทั้งดี และไม่ดี
เขาควรจะยกจิต ออกจากสิ่งที่มันเกิดขึ้น ทั้งสุข - และทุกข์เหล่านั้น
เขาจึงสามารถ- ที่จะดับความทุกข์แห่งตน
จึงสามารถ- สลายวิบากกรรมของเขาได้ อย่างแท้จริง
... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. เจ้าค่ะ
สาธุ