สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้
มีความสำคัญดังนี้
๑. ทุกข์กายเป็นของธรรมดา ผู้มีร่างกายแล้ว
ไม่ทุกข์นั้นไม่มี แต่บุคคลส่วนใหญ่ไม่เห็นทุกข์
เพราะความเคยชินเลยไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ ทุกขสัจ
หรือทุกข์กายต้องกำหนดจึงจักรู้ว่าเป็นทุกข์
เพราะร่างกายนี้หาใช่เรา หาใช่ของเราไม่
เราคือจิตซึ่งเป็นอมตะไม่เคยตาย มาอาศัย
ร่างกายนี้อยู่เพียงชั่วคราวจนชิน เลยหลงคิดว่า
กายเป็นเราเป็นของเรา ทุกคนในโลกนี้
เมื่อเกิดมาก็ต้องปวดท้องขี้-ปวดท้องเยี่ยว
และหิวด้วยกันทุกคน แต่กลับไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์
จึงยังต้องเกิด แล้วตายๆ ต่อไปจนกว่าจะเห็นทุกข์
ตามความเป็นจริง
๒. การเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกายเป็นของธรรมดา
เป็นสัทธรรม ๕ ที่ทรงตัรสไว้ความว่า ทุกชาติที่เกิด
จะต้องพบกับความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย
ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และมีความ
ปรารถนาไม่สมหวังเป็นของธรรมดา
คนที่ขาดปัญญา พอร่างกายป่วยก็บ่น-ก็โวย
เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง จุดไฟเผาใจตนเอง
แล้วมีผลทำให้ร่างกายที่กำลังทุกข์อยู่ มีทุกข์เพิ่มขึ้น
๓. ทุกข์กายห้ามฝืน เพราะมันไม่ใช่เรา มิใช่ของเรา
จักต้องใช้อริยสัจ คือหาสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ให้พบ
แล้วรีบแก้ไขที่ต้นเหตุให้เร็วที่สุด
ส่วนใจนั้นเป็นตัวเราที่แท้จริง ทุกข์ใจจึงเห็นได้ยากกว่าทุกข์กาย
ขอขอบคุณและอนุโมทนา
ข้อมูลจากเว็บทางนิพพาน
"...พวกฆราวาสที่สำเร็จพระโสดา สกิทาคา อนาคา ผู้มีศรัทธา ผู้มีความยินดีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เลือกว่าต้องนุ่งเหลืองจึงจะสำเร็จ ไม่ใช่ นุ่งขาวก็ไม่ว่า นุ่งเหลืองก็ไม่ว่า หัวโล้นก็ไม่ว่า หัวดำก็ไม่ว่า สำเร็จหมด
ชั้นสูงก็ไม่ว่า ชั้นต่ำก็ไม่ว่า สำเร็จหมด ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกชาติเลือกภาษา ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมะของ พระพุทธเจ้าทำลงไปแล้วไม่มีผลไม่มี ต้องมีผลทีเดียว ทำน้อยก็ได้รับผลตามน้อย ทำมากก็ได้รับผลตามมาก ติดตนเป็นอริยทรัพย์ สมบัติอันนี้ได้รับผลตามกำลัง..."
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
ภาวนาคือพิจารณาให้รู้ตามเป็นจริง
เรื่องภาวนานั้นคือเรื่องการพิจารณาให้รู้เท่าตามเป็นจริงนี่เอง อุปกรณ์ที่จะให้รู้เท่าตามเป็นจริงนั้นมีหลายอย่าง เป็นต้นว่าทำศีลให้บริบูรณ์ เมื่อศีลบริบูรณ์แล้วเป็นสมาธิ แล้วจึงถึงปัญญา คล้าย ๆ กับว่ากระโถนใบนี้ เรายังไม่รู้แจ้งเรื่องกระโถน กระโถนใบนี้ยังไม่รู้แจ้ง...แต่เราก็คิดว่าเรารู้แจ้งในเรื่องกระโถนใบนี้ อย่างเราเรียกกระโถนเข้าใจอย่างนี้ แต่ไปถึงอีกบ้าน...เขาเรียกถ้วย ไปอีกบ้าน...เขาเรียกหม้อ จะว่าอย่างไร ความเป็นจริงกระโถนนี้ไม่มี...เป็นสิ่งสมมติขึ้นมา ถ้าหากว่าเราเรียกกระโถน คนอื่นเค้าเรียกถ้วย มันก็เถียงกันเท่านั้นแหละ เพราะเราไม่รู้ ถ้าเรารู้จักกระโถนแล้วเค้าเรียกหม้อเราก็รู้จัก เพราะกระโถน มันเป็นสมมติ เราจะเรียกถ้วยมันก็อยู่ที่เราเรียก เราเรียกถ้วย...มันก็ไม่ว่า เรียกกระโถน...มันก็ไม่ว่า ของเหล่านี้มันเป็นสภาวะอย่างนี้ ของมันอยู่อย่างนี้ เราไปยึดมันเอง จริง ๆ แล้วมันเป็นของสมมติอันหนึ่ง
ภาวนารู้เท่าตามเป็นจริงของกระโถนนี้ สภาวะของกระโถนนี้คือสกนธ์ร่างกายของเรานี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของของเรา สภาวะอันนี้เป็นของอย่างนี้...ไม่เที่ยง...ไม่ใช่ตัวตนเราจริง ๆ ถ้าเรารู้จักว่ามันไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร เหมือนกระโถนใบนี้ เราใช้กระโถนใบนี้อยู่แต่จะเรียกถ้วยก็ได้ เราใช้ร่างกายอันนี้อยู่ เขาจะว่าดีก็ได้ เขาจะว่าไม่ดีก็ได้ เพราะเรื่องดีไม่ดี...เขาไม่เป็นประมาณ
เรื่องภาวนาให้รู้เท่าตามเป็นจริงของมัน ใจเราจะละได้วางได้...ไม่ได้ยึดกระโถนนี้ตามเป็นจริง ไม่ได้ยึดว่าถ้วยนี้ตามเป็นจริง สภาวะอันนี้เป็นของกลาง เขาจะเรียกกระโถน เราก็สบาย เขาจะเรียกหม้อเราก็สบาย นี่คือการรู้เท่าตามเป็นจริง เรียกว่ารู้เท่าตามเป็นจริงของมัน ความสงสัยก็เลยไม่มี เมื่อพ้นจากสมมติ วิมุตติก็เกิดขึ้นมา
การทำสมาธิ...จะบริกรรม พุทโธก็ได้ ธัมโม...สังโฆ...ก็ได้ แล้วแต่เราจะทำจนจิตใจของเราสงบจากความนึกคิด ต่าง ๆ นานา จิตลงเป็นหนึ่งได้...นี่เรียกสมถภาวนา...ทำใจให้สงบ เมื่อใจเราสงบแล้วก็เอาจิตใจมาภาวนา พิจารณาให้มันรู้เท่าตามเป็นจริงขึ้นมา เมื่อรู้เท่าตามเป็นจริงได้ก็เป็นวิปัสสนา
เรื่องของการภาวนา การภาวนาคือการพิจารณานี่เอง ร่างกายของเราเป็นของไม่งาม ตรงไหนที่ว่ามันงาม...ลองดูซิ มันไม่ใช่ของเรา...ลองดูซิ มันไม่ใช่ของเรา...ลองพิจารณาดูจนมันรู้เท่าตามเป็นจริง จนเห็นว่ามันไม่งาม จนเห็นว่ามันไม่ใช่เรา นี่เรียกว่าการภาวนา การพิจารณาเห็นว่าไม่งามนี่ก็เป็นสมถะแล้ว การภาวนาจะช้าเร็ว อยู่ที่อุปนิสัยปัจจัยของเรา ถ้าปัญญาไม่รอบคอบ จะเดินถูกได้อย่างไร ถ้าปัญญาไม่ละเอียด สมาธิจะเป็นได้อย่างไร ถ้าพูดถึงการปฏิบัติแล้วต้องปัญญามาก่อน ถ้าพูดทางปริยัติต้อง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เมื่อพูดถึงปฏิบัติต้องมีปัญญามาก่อนจึงจะรู้จักการให้ทาน ถ้ามีปัญญาแล้วการให้ทานก็สมบูรณ์ รักษาศีล...ถ้ามีปัญญา...ศีลก็สมบูรณ์ สมาธิมีปัญญาก็ตัดกิเลสได้
___________________________
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ณ วัดบ้านตาด ในวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๑
เราอยากได้สมาธิ..ไม่ใช่เราไปทำสมาธิ
ไม่ใช่เราไปทำตรงๆ (มันไม่ว่าง)
แค่รู้จักสิ่งที่มี แค่พ้นออกจากโลกของความคิด
เรารู้สึกตัวอยู่… “สติ” ที่เราต้องการมันก็เกิด
รู้สึกตัวอย่างต่อเนื่องให้มันบ่อยๆ สมาธิมันก็เกิด
ฌานที่อยากจะได้มันก็เกิด…มันเป็นอย่างนี้
สติ สมาธิ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในจิตในใจนี้
สติมากๆ กลายเป็นสมาธิ
สมาธิมากๆ กลายเป็นความตั้งมั่น
แล้วจิตใจที่ตั้งมั่น มันก็เป็นปกติ มันก็เป็นอุเบกขา
ปัญญาก็เกิดได้
ทั้งหมดทั้งสายจริงๆ แล้วมันก็คือ อันเดียวกัน
หน้าที่ของเราก็คือ “รู้อย่างที่มันเป็น”
การปฏิบัติ…มันไม่ใช่การทำอะไรเลย
ไม่มีการทำอะไรเลยยย แค่...รู้
เราจะพ้นออกจากโลกของความคิดปรุงแต่ง…
ไม่ใช่ไปพยามหยุดคิด…
แต่อาศัยความรู้สึกตัวขึ้นมา…พอรู้สึกตัวปุ๊บ…
มันก็พ้นออกมาอัตโนมัติ
“ภาวนา พุทโธ คือความรู้แจ้ง รู้เบิกบานตลอด รู้ถึงที่สุด รู้เหนือกว่าจิตของเราอีก รู้เรื่องของจิตทุกอย่าง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้อบรม คือการภาวนา เอาพุทโธนั้นไปบริกรรมให้มันรู้จิต ให้มันรู้เหนือกว่าจิต ให้เห็นแต่จิตนี้ จะคิดดีก็ตามคิดชั่วก็ตาม จนกว่าผู้รู้นั้นว่าจิตนี้สักแต่ว่าจิตเท่านั้น ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา”
“...ตื่นอยู่ทุกกาลเวลา คือ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้แจ้ง ผู้สว่าง ตัวนี้ไม่ได้นอน มันเป็นของมันอยู่...”
- หลวงปู่ชา สุภทฺโท