พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 15 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 231 **รู้ในบ่วงแห่งใจสายใยครอบครัว**
+ +
ในเช้าของวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถามถึง ผู้มีปัญญาธรรม รู้แจ้งในธรรม ในแบบต่อไป น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรม ยกตัวอย่างผู้มีปัญญาธรรม ให้ลูกได้ฟังพิจารณาตามด้วยเถิด เจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอย.. ตั้งใจฟังให้ดี
หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป..
เตรียมจิตเตรียมใจของตน ให้พร้อมที่จะรับฟังธรรม
.. จะได้ทำความเข้าใจตามได้
การฟังธรรมนะลูก.. ถ้าจิตใจของเราล่องลอย ไม่มีสมาธิ ไม่ตั้งมั่นในสิ่งที่ฟังอยู่..
เราก็อาจจะฟังเข้าใจบ้าง /ไม่เข้าใจบ้าง
รู้เรื่องบ้าง / ไม่รู้เรื่องบ้าง
ฉะนั้น พระยาธรรม.. จงตั้งใจฟังเถิดนะ จะได้นำธรรมนี้กลับไปเผยแผ่ ให้กับญาติธรรมทั้งหลาย..ผู้ที่มีความตั้งใจจะปฏิบัติ นำพาตนให้พ้นทุกข์..
พระยาธรรมเอย .. บุคคลผู้ที่มีปัญญาแห่งธรรม สว่างแจ่มแจ้ง หรือว่าแตกฉานในธรรมแล้ว เข้าใจในธรรมแล้ว..
เขาย่อมมีความรู้แจ้ง รู้แจ้งในเหตุต่างๆทั้งหลาย - ที่จะฉุดรั้ง ดึงรัดมัดเขานั้นเอาไว้ในวัฏสงสารนั้น
พระยาธรรมเอย.. และบ่วงแห่งการผูกมัด รัดดวงจิตทั้งหลายให้เวียนว่าย ตายเกิดนั้น ก็คือ บ่วงแห่งการลุ่มหลง..
หลงยึดตัว ยึดตนของตน
ยึดบุคคลที่คิดว่า เป็นคนของตน
ยึดสิ่งของข้าวของ ลาภ ยศ ตำแหน่ง สรรเสริญต่างๆ.. ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
และย่อมเห็นได้ชัดเจน ทะลุแจ่มแจ้ง ลึกเข้าไปอีกว่า..
บ่วงที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด หลงสุขหลงทุกข์ เวียนวนอยู่อย่างนี้
.. แยกออกมาเป็นบ่วงอะไรบ้าง ?
/ บ่วงที่ยึดตน
/ บ่วงที่ยึด ในบุคคลที่คิดว่าเป็นของตน
/ บ่วงที่ยึด ในสิ่งของข้าวของ ทรัพย์สินสมบัติ สิ่งภายนอกต่างๆทั้งหลาย ..
- ย่อมแบ่งแยกออกมา ได้ เป็น 3 บ่วง..
และบุคคลผู้ที่รู้แจ้ง.. ย่อมทำความเข้าใจดี หรือรู้แจ้งดี ในเหตุที่เกิดเรา
การที่มีเรา.. ก็เพราะว่า มีความหลงในตัวของเรา
เลยมีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลง - พาให้เรานั้น
ยึดตัวยึดตน
ก่อกรรมดี - ก่อกรรมชั่ว
สร้างกรรมไป / เวียนว่ายตามกรรมอยู่อย่างนั้น
.. เมื่อรู้เช่นนี้ ก็จะคลายความลุ่มหลงในตัวของเรา ++
บุคคลผู้มีปัญญาธรรม.. ย่อมรู้ดีว่า บ่วงที่รัดตนเอาไว้อย่างแน่นหนาอีกบ่วงหนึ่ง
ซึ่งอาจจะยึดมากยิ่งกว่าตัวของเรา / หลงมากยิ่งกว่าตัวของเรา
เรียกว่า สามารถที่จะตายแทนใครเขาก็ได้ อย่างนั้น
คือ “บ่วงแห่งความรัก ความผูกพัน”
เป็นบ่วงที่เรานั้นคิดว่า.. บุคคลรอบข้างทั้งหลาย -เป็นคนของเรา
ความรัก ความเมตตา.. ทำให้เรานั้นต้อง..
พลอยสุข พลอยทุกข์
พลอยสร้างกรรมไม่ดีบ้าง /กรรมดีบ้าง
.. เพื่อบุคคลเหล่านั้น..
บุคคลผู้มีปัญญาแล้ว.. ย่อมรู้แจ้งว่า ถึงแม้จะ
เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก
เป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติสนิทมิตรสหาย
เป็นบุคคล ที่เรารัก
เป็นบุคคล ที่รักเรา
แต่บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น.. เขาก็เป็นเพียงแค่ดวงจิตหนึ่ง ที่เกิดขึ้นมา - ตามผลของกรรมของเขา ที่สร้างที่ทำเอาไว้..
และดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น.. เขาก็มีเชื้อแห่งกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจของเขา ให้เป็นไปตามเชื้อเหล่านั้นสั่งให้เป็น
/ เขาก็อยู่ใต้อำนาจของเชื้อกิเลสเหล่านั้น และเป็นไปตามกรรมของตน
/ เขาไม่ใช่ของเรา.. เราเองก็ไม่ใช่ของเขา
ฉะนั้น.. เราอย่าไปยุ่ง ไปดึงใครเลย ให้เขาต้องเป็นอย่างที่เราบอก อย่างที่เราอยากให้เป็น
เราอย่าไปวิ่งสุขวิ่งทุกข์กับบุคคลทั้งหลาย.. ที่เป็นคนใกล้ตัวเราเลย ++
เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้คนทุกคนเหมือนกัน / ทำเช่นเดียวกัน / คิดเหมือนกันกับเรา !
เพราะต่างมาจากกรรมที่แตกต่างกัน มีเชื้อกิเลสตัณหา ที่แตกต่างกันไป..
มีกรรมที่ตนนั้นได้ก่อได้ทำ - ตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหา ที่แตกต่างกันไป..
- มันเป็นธรรมดาของมัน อย่างนั้นอยู่แล้ว..
ฉะนั้น.. เราอย่าทุกข์เลย
ถ้าเกิดว่าคุณพ่อ จะทำแบบนั้นแบบนี้ / ในสิ่งที่เรามอง เราคิดว่าไม่ถูกต้อง
เราเคยบอกท่านแล้ว.. แต่ท่านก็ไม่ได้ทำตามเรา
เราก็อย่าทุกข์เลย.. เพราะนั่นเป็นเรื่องของดวงจิตดวงหนึ่ง ที่เขาถูกอำนาจของกิเลสตัณหาครอบงำ
- เขาก็เลยต้องเป็นไปตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหา สั่งให้ทำนั้น …
ถ้าคุณแม่ชอบทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง.. และก็จะทำลาย คุณแม่เองในที่สุด..
เรารู้สึกห่วงมาก เป็นกังวลมาก
เพราะว่ารักแม่มาก - ก็เลยทุกข์มาก !
แต่บุคคลผู้มีปัญญา.. ก็จะรู้แจ้งว่า ท่านก็มีกรรมเป็นของของตน
มีกิเลสตัณหาครอบงำ.. สั่งให้เป็น สั่งให้ทำอย่างนั้น
เราเคยบอกแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง..
- เราก็อย่าไปดึงเอาการตัดสินใจ ทำดี ทำไม่ดี.. ของผู้อื่น มาทำให้เราเป็นทุกข์เลย ++
พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย
ใครก็ตามที่เรารักเขา หรือว่า เขารักเรา
* ความรัก - มันก็เป็นแค่บ่วงที่ผูกมัดรัดเราเอาไว้ ให้พากันจมอยู่ในความทุกข์เท่านั้น
รัก มันไม่มี !
รัก มันคือเชือก ที่จะมัดเราทั้งหลาย เอาไว้ในวัฏสงสารนี้..
ในความเป็นจริงแล้ว.. เราต้องอยู่บนความเป็นจริงต่างหากเล่า !
และความเป็นจริง ก็คือ..
* ความรักนั้น เป็นทุกข์*
* การผูกมัดรัดกันเข้าไว้ในวัฏสงสารนี้ มันเป็นทุกข์*
เราต้องแกะเชือกที่มัดตัวของเราให้ได้เสียก่อน !
แล้วเราจึงค่อยแนะนำให้กับคนที่เรารัก คนที่รักเราตามเหตุและปัจจัย
ถ้าเขาไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่ทำตาม.. ก็สุดแล้วแต่
เราก็ไปบังคับเขา ไม่ได้อยู่แล้ว
และเราจะไปเอาสิ่งที่เขาทำ / เลือกที่จะทำ มาเบียดเบียนตัวของเรา
.. อย่างนั้นก็ไม่ถูกอยู่แล้ว…
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรม
ย่อมมีปัญญารู้แจ้ง แกะบ่วงเหล่านี้ออกจากตนได้
ย่อมรู้เท่าทันกิเลสตัณหา และเหตุที่มันเกิดขึ้น
และจะไม่หลงยึด หลงทุกข์ หลงสุข - ไปกับบุคคลที่มีอยู่
รวมถึง ก็จะสามารถ ที่จะทำความเข้าใจได้เช่นนี้ว่า..
การที่เกิดมา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก
การที่เกิดมา เป็นพี่ เป็นน้อง
การที่เกิดมามีความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน ผูกพันกันด้วยสายเลือด ด้วยความรัก ความห่วงใยกันและกันเช่นนี้ ก็เพราะว่า
.. เราทุกคนได้เคยสร้างกรรม ที่ผูกพัน ผูกมัดกันมา...
/ อาจจะด้วยกรรมดีที่มีต่อกัน.. ส่งผลมาให้เป็นครอบเป็นครัวเดียวกัน ก็ได้
/ อาจจะด้วยผลของบาป ที่เคยก่อเคยทำร่วมกันมา.. ส่งผลมาให้เป็นครอบครัวเดียวกัน
/ อาจจะมาจาก ผลกรรมดี
/ อาจจะมาจากผลกรรมชั่ว
/ หรือว่าบางที ก็มาจากทั้งดี และชั่วผสมผสานกันมา
-- แล้วก็เลยก่อตัว ให้พวกเราทั้งหลาย.. เกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ++
การที่เป็นครอบเป็นครัว.. ก็มีกรรมเป็นกลุ่มก้อน
กรรมร่วมกัน สุขร่วมกัน ทุกข์ร่วมกัน ผูกมัดกันมาอย่างนี้
เหตุที่เป็นครอบครัว เพราะมาจากการที่เรามีกรรมร่วมกันมา ในความเป็นจริงแล้ว ครอบครัวอยู่ไหน ในความเป็นจริงแล้ว เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆหรือเปล่า
กรรมทั้งนั้นเลย ที่ส่งผลมาให้เป็นเช่นนี้
แล้ววันหนึ่งกรรมนั้นหมดไป - ครอบครัวนั้นก็จะสลายไปเหมือนกัน ++
- เกิดขึ้นตามกรรม / ดับลงไปตามกรรม / เป็นไปตามกรรม -
ฉะนั้น.. เราจึงไม่ควรยึดติด ไม่ควรลุ่มหลง ว่านั่นเป็นของเรา นี่เป็นของเรา
บุคคลนั้นเรารัก - บุคคลนั้นรักเรา.. เราก็เลยไม่ควรที่จะไปเอา การกระทำของเขาเหล่านั้นมาทำให้เราทุกข์ มาแบกทุกข์เอาไว้ มาเดือดมาร้อนด้วย
พี่น้อง ก็สมมุติเป็น *
พ่อ แม่ ลูก ก็สมมุติเป็น *
ฉะนั้น.. เราไม่ต้องไปเอาสิ่งที่สมมุติเป็นนี้ - มาทำให้เรานั้น เป็นสุขเป็นทุกข์
ติดอยู่ในบ่วง..
แล้วทำให้เราออกจากกองทุกข์ไม่ได้
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมรู้แจ้งเช่นนี้
และถอดถอนบ่วงแห่งความยึดติด ในตัวบุคคลรอบข้างออกเสียได้ ด้วยปัญญา
.. เห็นเป็นธรรมดา
เมื่อใครจะทำอะไร แบบที่ถูก หรือไม่ถูก.. เราก็จะเห็นเป็นธรรมดา
เมื่อใครจะต้องรับผลของกรรม ที่ตนก่อตนทำเอาไว้.. เราก็จะเห็นเป็นธรรมดา..
เพราะว่า.. เราได้บอกแล้ว
เราได้ทำหน้าที่ของตนดีแล้ว คือ
/ ทำหน้าที่ของลูกที่ดี
/ คอยประพฤติ ปฏิบัติดี
/ คอยบอกแม่ บอกพ่อ ในสิ่งที่ไม่ดี ขอร้องให้อย่าทำ
/ บอกพี่บอกน้อง ให้ทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง
เคยบอกแล้ว ทำหน้าที่ของตนดีแล้ว
ทำตนให้ไม่เกิดความเดือดร้อน ไปเบียดเบียน กระทบพ่อแม่ พี่น้อง
ตนก็ทำหน้าที่แห่งตนดีแล้ว
ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางในจิตในใจ - ให้ตัวของเรานั้นเป็นสุข
ไม่เอาเรื่องของคนอื่น - มาทำให้ตนเป็นทุกข์
ไม่ยึดติดลุ่มหลง
-- แต่ทำหน้าที่ของตนให้ดี ดีที่สุด.. เท่าที่พละกำลัง ความรู้ความสามารถแห่งตน พอจะทำได้
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
บุคคลผู้มีปัญญาธรรม.. ย่อมรู้แจ้ง ปล่อยวาง
พระยาธรรมเอย.. บ่วงแห่งการยึดติด ยึดตัวบุคคล / ลุ่มหลงในตัวบุคคลนั้น.. เป็นบ่วงที่ถอดถอนได้ยาก ++
แต่ผู้มีปัญญา.. เมื่อรู้แจ้งในเหตุที่คนนั้นทำอย่างนั้น คนนี้ทำอย่างนี้
ผลของกรรมคนนั้นส่งมา คนนี้ส่งมา ตามกรรมของเขา.. ย่อมปล่อยวางลงได้
รู้แจ้งในเหตุที่มาเกิดเป็นครอบเป็นครัวกัน - เขาย่อมไม่ยึดติด
เพียงแต่ ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดี ทำอย่างปล่อยวาง..
เพื่อจะถอดถอนตน..
ให้หมดหนี้เวรหนี้กรรม หนี้บาป
ให้หมดสิ่งที่ผูกมัดรัดตนเข้าไว้ในครอบครัว
* ถอดถอนออก เพื่อที่ตนจะไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้เท่านั้น *
พระยาธรรมเอย.. บ่วงของการยึดมั่นถือมั่น ติดในลาภ ยศ ตำแหน่ง สรรเสริญ
ติดในสิ่งที่เป็นองค์ประกอบภายนอกต่างๆ ก็เหมือนกัน
บุคคลผู้มีปัญญารู้แจ้งในธรรม.. ย่อมรู้ดีว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยงแท้ ไม่มีอยู่จริง
สมมุติขึ้นมาหลอกตาหลอกใจเรา
มันเป็นสิ่งสมมุติ เท่านั้น
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..ไม่มีอะไรเที่ยงแท้
บุคคลผู้มีปัญญาแห่งธรรม.. ย่อมถอดถอนตน จากการลุ่มหลง ยึดติด พัวพัน มัวเมา
ในสิ่งต่างๆทั้งหลาย / สิ่งภายนอก
.. ที่จะทำให้ตน สร้างเวรสร้างกรรม
.. ให้เกิดความโลภ เบียดเบียนผู้อื่น
.. เกิดความหลงในสิ่งของข้าวของ ลาภ ยศ ตำแหน่งต่างๆ.. จนเบียดเบียนผู้อื่น
บุคคลผู้มีปัญญา.. ย่อมปลดล็อคบ่วง แห่งการรัดตรึงดึงตนเอาไว้ในวัฏสงสาร เหล่านี้ได้
พระยาธรรมเอย.. เมื่อเราปลดบ่วงของการ
หลงตน
หลงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตน
หลงสิ่งภายนอก ที่เป็นสิ่งหลอกตาหลอกใจของตนได้
บุคคลผู้นั้น.. ย่อมมีปัญญารู้เท่าทันกิเลสตัณหา / สิ่งหลอกล่อต่างๆ..
และปัญญาที่รู้แจ้งเช่นนี้ เรียกว่า..*ปัญญาธรรม*
เรียกว่า แตกฉานในธรรม
และจะไม่มีสิ่งใดหลอกลวง หลอกล่อ ฉุดดึงให้เรา อยู่ในวัฏสงสารนี้ได้อีกต่อไป
เช่นนี้อย่างนี้.. เป็นต้น - เป็นแบบหลัก ++
พระยาธรรม.. คนที่มีปัญญาธรรม เขาจะรู้ตามที่กล่าวมานี้
และรู้ออกมาจากจิตจากใจของเขา
แตกฉานรู้แจ้ง สว่างแจ่มแจ้ง จากดวงธรรม ดวงปัญญาของเขา
แบบนี้ละ พระยาธรรม.. คือ *ผู้มีปัญญาธรรม*
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง และพิจารณาตาม
ลูกจะนำธรรมนี้ไปเผยแผ่
- เพื่อให้เป็นประโยชน์กับชาวพุทธทั้งหลาย.. ผู้ตั้งใจปฏิบัติ เพื่อพบนิพพาน เจ้าค่ะ
วันนี้ลูกกราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ..
สาธุ