ถ้าทำไม่ได้อีกจะทำยังไง ทำอานาปานสติแล้วเจริญปัญญาไปเลยนะ ไม่ได้เข้าสมาธิหรอก แค่เห็นร่างกายมันหายใจอยู่ พวกนี้อุปจาระก็ไม่เข้า อัปนาคือเข้าฌานก็ไม่เข้า แค่เราเห็นร่างกายหายใจอยู่ ใจเป็นคนดู เนี่ยอานาปานสติอย่างนี้ก็ยังดี อานาปานสติตรงนี้เนี่ย ที่เรียกว่า มีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่มีสติอยู่กับลมหายใจ ถ้ามีสติอยู่กับลมหายใจนะ ลมหายใจจะเปลี่ยนเป็นแสงสว่างแล้วจะเข้าฌานไป
เรามีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ตรงที่ใจเป็นคนดูขึ้นมาเนี่ย อันนี้ถ้าเข้าฌานไม่ได้ ต้องฝึกให้เกิด วิธีฝึกให้ใจเป็นคนดูเนี่ย หัดพุทโธไป หัดหายใจไปก็ได้นะ ใช้ลมหายใจไปก็ได้ หายใจแล้วค่อยสังเกตว่าร่างกายที่หายใจอยู่เป็นสิ่งถูกรู้ถูกดู ใช้พุทโธก็ได้ พุทโธไป พุทโธไปแล้วก็เห็นนะ ว่าพุทโธเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู ดูท้องพองยุบก็ได้ แล้วเห็นว่าท้องพองยุบถูกรู้ถูกดู อย่างนี้ก็ได้ ใจมันจะเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าแยกอย่างนี้ไม่ออกนะ ให้คอยรู้ทันเวลาจิตหนีไปคิด พุทโธแล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา หายใจไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา ท้องพองยุบ จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา แต่ต้องไม่ไปเพ่งใส่ลมหายใจ ไม่ไปเพ่งใส่ท้องนะ ปล่อยให้มันรู้ลมหายใจ รู้ท้องพองยุบอะไรไป จิตมันเคลื่อนไป เรารู้ทันจิตที่เคลื่อนเนี่ย จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู บางคนก็ใช้วิธีนี้แยกได้
บางคนก็สังเกตดู ไอ้นี่ก็ถูกรู้ ไอ้นี่ก็ถูกรู้ ลมหายใจก็ถูกรู้ ร่างกายที่หายใจอยู่เป็นของถูกรู้ เห็นอย่างนี้ก็แยกได้ มีหลายอย่างเห็นมั้ย กรรมฐานน่ะมันหลากหลายมากนะ เพราะฉะนั้นเวลาภาวนา ถ้าไม่เรียนดีๆ จะมั่วซั่วเอา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี
สัมมาสมาธิ ปฏิจจสมุปบาท
สมาธิสูตร
[๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรตามความเป็นจริง
รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง
รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่
เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่
เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ รู้ตามความเป็นจริงว่า ใจไม่
เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า
มโนวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนสัมผัสไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
ไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯ
จบสูตรที่ ๖
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๒๐๒๘-๒๐๔๐ หน้าที่ ๘๗-๘๘.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php…
วิภังคสูตร
อริยมรรค ๘
[๓๓] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง จักจำแนกอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
อริยมรรคนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? คือ
สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย
ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน? ความดำริในการออกจากกาม
ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.
[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณา-
*ติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการ
เลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ.
[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะ
ให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามก
ที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
[๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา
เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึง
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้
เรียกว่า สัมมาสติ.
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติย-
*ฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก
วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย
นามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มี
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.
จบ สูตรที่ ๘
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๑๗๔-๒๑๐ หน้าที่ ๘-๙.
หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อเช้าหลวงพ่อพูดเรื่องอานาปานสติให้ฟัง ไม่มีที่ไหนหรอก อย่างนี้ ในตำราก็ไม่ได้เขียนไว้มากมายอย่างนั้น ไม่ได้แจกแจงพิสดาร อานาปานสติ เรามีสติอยู่ทุกลมหายใจ อย่างนี้ดี มีสติไปอยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจจะค่อยๆสั้น ทีแรกลมยาว หายใจแล้วก็สั้นขึ้นๆ กลายเป็นความสว่าง อย่างนี้ก็ยังดี ได้สมถะ ถ้าหายใจแล้วเคลิ้ม ขาดสติไป อันนี้ไม่ดี สติอ่อนไป หายใจแล้วแน่นแข็งป๊อกขึ้นมาเลย เครียดๆ แข็งๆ นี่ สติแรงไป ไม่ดี จงใจมากไป
ถ้าพอดีๆ ลมหายใจสบายๆ ลมจะค่อยสั้นๆ สว่าง พอสว่างแล้ว จะเล่นกสิณก็ได้ เล่นกสิณแสงสว่าง อยากรู้อยากเห็นอะไรก็รู้ได้อยู่ ได้ทิพยจักษุ ได้กสิณแสงสว่าง หรือกสิณลม กสิณลมก็ได้ เห็นลมหายใจมันไหลเข้าไหลออก เป็นกสิณดินก็เห็นร่างกายที่หายใจ ไม่ได้ดูตัวลมตรงๆ แต่ลมหายใจมันก็อิงอยู่กับร่างกาย ก็ใช้ได้
ทำได้หลายอย่าง พลิกแพลงได้เยอะแยะ ถ้าไม่เล่นกสิณก็ไม่เป็นไร ไม่ให้จิตเข้าไปจับลมนะ แล้วสงบเข้ามา เข้าอุปจารสมาธิ พอได้อุปจารสมาธิแล้ว เดินปัญญาในอุปจารสมาธิก็ได้ เลยเข้าอัปปนาสมาธิ ไปพักอยู่ในอัปปนาสมาธิ เป็นที่พักของจิตก็ได้ ทำสมถะแล้วออกจากอัปปนาสมาธิ มาแยกธาตุแยกขันธ์ มาเดินปัญญา อันนี้เป็นสมาธินำปัญญา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำ จนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญหรอก
ทีนี้ พวกเราเล่นไม่ได้ทั้งหมด เราก็เลือกเอาส่วนที่เล่นได้ หายใจแล้วรู้สึกตัวไป หายใจไปแล้วจิตหนีไปคิด คอยรู้ทัน ทำตรงนี้ให้ได้ หายใจไป จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา พอจิตเป็นผู้รู้แล้วจะดูกายดูใจก็ดูไปเลย ไม่ต้องไปเข้าฌานก็ได้ เอาแค่ว่าหายใจไป เห็นกายมันหายใจ ไม่ใช่ตัวเราหายใจ หายใจไปจิตใจมีความสุขความทุกข์ เห็นมันสุขมันทุกข์ของมันได้เอง หายใจไปแล้วก็เกิดกุศลบ้าง เกิดอกุศลบ้าง เช่น เกิดฟุ้งซ่าน หายใจแล้วมีฟุ้งซ่านมีไหม ส่วนใหญ่นั่นแหละหายใจแล้วฟุ้งซ่าน ใช่ไหม ก็ดูไป จิตมันฟุ้งซ่าน เราเป็นแค่คนดู ดูไปๆมันก็เลิกฟุ้งของมันไปเอง ฟุ้งซ่านมันก็ไม่เที่ยง เห็นแต่ของไม่เที่ยง มีความสงบเกิดขึ้น หายใจสบายๆ มันสงบขึ้นมา มันก็อยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หายไปอีก นี้เราฝึกแค่นี้ก็พอแล้ว
หายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ทัน มันจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา ถัดจากนั้นเห็นร่างกายหายใจ ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้เดินปัญญาด้วยการดูกาย ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตก็หายใจไป มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆก็รู้ หายใจไปแล้วจิตเป็นกุศลก็รู้ จิตเป็นอกุศลก็รู้ บางทีเห็น ทุกอย่างชั่วคราวไปหมด
ฝึกไปอย่างนี้ เรียกว่า ปัญญานำสมาธิ มันนำสมาธิอย่างไร ความจริงมันมีสมาธิอยู่แล้ว แต่มันมีในขั้นขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ
เมื่อเดินปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้ว จิตจะรวมเข้าอัปปนาเอง ในนาทีที่จะตัดสินความรู้บรรลุ อริยมรรค อริยผล อริยมรรค อริยผล ไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา อริยมรรค อริยผล เกิดในฌานจิตเท่านั้น เกิดในรูปฌานก็ได้ เกิดในอรูปฌานก็ได้ แต่จะไม่เกิดในวิถีจิตปกติของมนุษย์นี้
ทีนี้ ถ้าเราเข้าฌานไม่เป็น ไม่ต้องตกใจ เจริญปัญญาให้มาก มีแค่ขณิกสมาธินะ ทุกวันพยายามไหว้พระสวดมนต์ไว้ ทำในรูปแบบ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน ฝึกให้มันมีขณิกสมาธิ แล้วมาเดินปัญญา รู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวัน ถึงเวลาก็ทำความสงบ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม รู้ทันจิตที่หนีไป หมดเวลาก็มารู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวันต่อไป ถึงวันที่ สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบพอ จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเอง แล้วเกิด อริยมรรค อริยผล ขึ้น อันนี้เรียกว่า ใช้ปัญญานำสมาธิ
ลึกซึ้งมาก เรื่องอานาปานสติ แต่ว่าเราฝึกง่ายๆอย่างที่หลวงพ่อบอก ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องสนใจถึงขนาด ทำอย่างไรจะเกิดฌานจิต ทำอย่างไรจะไปเดินวิปัสสนาในอุปจาระ เห็นมันไหวๆขึ้นมา แต่ส่วนมากพวกเราก็ทำได้อันนี้ คนจำนวนมากก็ทำได้ นั่งสมาธิแล้วก็เห็น ใจสงบไปเห็นมันปรุงขึ้นมา เกิดดับไป บางทีไม่รู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับ ไม่มีชื่อ ถ้ายังมีชื่ออยู่จิตยังฟุ้งซ่านมาก บางทีเห็นแค่สิ่งบางสิ่งเกิด แล้วสิ่งนั้นดับไป อย่างนี้ก็ใช้ได้ ถ้าถึงขนาดเห็นองค์ฌานเกิดดับอย่างนี้มีน้อยเต็มที ประเภทหนึ่งในแสน หายาก ส่วนถ้าฝึกในชีวิตประจำวัน เดินปัญญาอยู่นี้ ง่าย พอทำได้สำหรับฆราวาส ที่วันๆเต็มไปด้วยความวุ่นวายนะ หายใจไป อย่าหยุดหายใจ หายใจไว้ก่อน เอ้า ต่อไปส่งการบ้าน
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
(อานาปานสติ เป็นยอดแห่ง...กรรมฐาน
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ยืนยันว่า...กรรมฐาน
สี่สิบห้อง เป็นน้องอานาปานสติ)
" อานาปานสติเป็นยอดมงกุฏ ของกรรมฐาน
ทั้งหลายอยู่แล้ว
ศาสนาอื่น ๆ นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว
ไม่ได้ เอามาสั่งสอนให้ปฏิบัติกันเลย
เพราะ...กรรมฐานอันนี้ บริบูรณ์พร้อมทั้ง
สติปัฏฐาน ๔ ไปในตัวด้วย และเป็นแม่เหล็ก
ที่มีกำลังดึงกรรมฐานอื่น ๆ ให้เข้ามาเป็นเมือง
ขึ้น ของตัวได้
เช่น พระมหาอนัตตคุณของ พุทโธ ธัมโม
สังโฆ สีโล จาโค กายคตา แก่ เจ็บ ตาย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้
เป็นต้น
ย่อม มีอยู่จริง
ย่อม มีอยู่พร้อม ทุกลมหายใจเข้า-ออก
แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ย่อมจริง
ย่อม มีอยู่ทุกลมออก-เข้าแล้ว ไม่ต้องไปค้น
ไปหา ไปจด ไปจำ ไปบ่น ไปท่อง ทางอื่น
ก็ได้
ถ้าไม่หลงลมเข้า-ออกแล้ว
โมหะ อวิชชา วัฏจักร มันจะมารวมพล
มาจากโลกหน่อยไหนล่ะ
หลงลมออก-เข้า ก็หลงหนังเหมือนกัน
ถ้าไม่หลงหนัง ก็ไม่หลงลมออก-เข้า
โดยนัยเดียวกัน
ดูโลก ก็ดูทุกข์...ดูทุกข์ ก็ดูโลก
ดูสังขาร ก็ดูทุกข์...ดูทุกข์ ก็ดูสังขาร
พ้นโลก ก็พ้นทุกข์...พ้นทุกข์ ก็พ้นโลก
พ้นสังขาร ก็พ้นทุกข์...พ้นทุกข์ ก็พ้นสังขาร
มีความหมายอันเดียวกันทั้งนั้น ไม่ผิด
รู้ลมเข้า-ออกในปัจจุบัน
รู้ลมออก-เข้าในอดีต
รู้ลมออก-เข้าในอนาคต
รู้...ผู้รู้ ในปัจจุบัน
รู้...ผู้รู้ ในอดีต
รู้...ผู้รู้ ในอนาคต แล้วไม่ติดข้องอยู่ใน...ผู้รู้ ทั้งสามกาล
ผู้นั้น ก็ดับรอบแล้ว ในโลกทั้งสามด้วยในตัว
อวิชชา และสังขาร(ความปรุงแต่ง) เป็นต้น
ก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง
ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง
กองทัพธรรม มีกำลังสมดุลย์ด้วย...สติปัญญา
กองทัพอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นต้น
ย่อมแตกสลาย ไม่ต้องพูดไปหลายเรื่อง หลายแบบ ก็ได้
พระอาทิตย์...ส่องแสงจ้า มืดมิดนั้นนา
ไม่ได้ สั่งลาหายวับไป ณ ที่นั้น."
-----------------------------------------------------------------
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เล่าในเรื่องอานาปานสติ
ให้หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ไปพิจารณา)
"อานาปานสติ ปฏิจจสมุปบาท"
หลวงปู่มั่น ฯ ยืนยันว่ากรรมฐาน 40 ห้อง เป็นน้องอานาปานสติ อานาปานสติเป็น"ยอดมงกุฎ"ของกรรมฐานทั้งหลายอยู่แล้ว
...รู้ลมออกเข้าในปัจจุบัน รู้ลมออกเข้าในอดีต รู้ลมออกเข้าในอนาคต
รู้ "ผู้รู้" ในปัจจุบัน, รู้ "ผู้รู้" ในอดีต, รู้ "ผู้รู้" ในอนาคต
แล้วไม่ติดข้องอยู่ใน "ผู้รู้" ทั้ง 3 กาล ผู้นั้นก็ดับรอบแล้วในโลกทั้ง 3 ด้วยในตัว อวิชชาและสังขารเป็นต้น ก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง
กองทัพธรรม มีกำลังสมดุลด้วยสติปัญญา, กองทัพอวิชชา ตัณหา อุปาทานเป็นต้น ย่อมแตกสลาย ไม่ต้องพูดไปหลายเรื่องหลายแบบก็ได้ พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า มืดนั้นนา ไม่ได้สั่งลา หายวับไป ณ ที่นั้น
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
< กฎสูงสุดของธรรมชาติ >
ธรรมชาติก็คือสิ่งที่ปรากฏอยู่จริงจนเราเห็นเป็นของธรรมดานี่เอง โดยสิ่งที่มีอำนาจสูงสุดที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปนี้ ทางพุทธศาสนาจะเรียกว่าเป็น กฎของธรรมชาติ ซึ่งกฎของธรรมชาตินี้มีอยู่มากมายหลายกฎ แต่กฎที่เป็นกฎสูงสุดที่ทุกกฎของธรรมชาติ จะต้องขึ้นอยู่กับกฎนี้จะเรียกว่า "กฎสูงสุดของธรรมชาติ" หรือ "กฎสูงสุดของเอกภพ" โดยกฎสูงสุดนี้ก็ได้แก่กฎที่บังคับเอาไว้ว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น”
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ก็คือกฎพื้นฐานง่ายๆที่บังคับเอาไว้ว่า “การที่สิ่งใด (ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือจิต) จะเกิดขึ้น (การเกิดขึ้นก็คือจากที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมีขึ้นภายหลัง)
》จะต้องอาศัยเหตุ (สิ่งที่มากระทำ) และปัจจัย (เหตุย่อยๆ) มาร่วมกันปรุงแต่ง (การปรุงแต่งก็คือการที่ธรรมชาตินำเอาสิ่งต่างๆหลายๆสิ่งมาทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ อย่างเช่น นำเอาดิน น้ำ ความร้อน และอากาศ มาทำให้เกิดเป็นพืช, ผลไม้, สัตว์, และร่างกายของคนเราขึ้นมา เป็นต้น) ให้เกิดขึ้น”
ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า “ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย” แต่ถ้าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย ก็แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ ตามความเชื่อของศาสนาประเภทเทวนิยม อย่างเช่น ความเชื่อเรื่องผี เทวดา นรก สวรรค์ เป็นต้น
กฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ก็คือกฎของเหตุและผลตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง คือ
》เมื่อมีเหตุจึงมีผล, เมื่อไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล, เมื่อเหตุเกิดขึ้น ผลจึงเกิดขึ้น, เมื่อเหตุดับหายไป ผลจึงดับหายไป
ซึ่งกฎนี้ดูว่าจะเป็นกฎง่ายๆที่ใครๆก็ยอมรับ แต่จากฎสูงสุดนี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นถ้าเรานำกฎสูงสุดนี้มาศึกษาสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติอย่างจริงจัง เราก็จะเกิดความเข้าใจถึงความจริงสูงสุด (ความจริงแท้) ของธรรมชาติทั้งหลายได้ โดยเฉพาะร่างกายกับจิตใจของเรา คือทำให้เราเข้าใจถึงความจริงแท้เรื่องความเป็นสุญญตา (ความว่างจากตัวตนของเรา) ของร่างกายกับจิตใจได้ ซึ่งความเข้าใจในความจริงเรื่องความเป็นสุญญตาของร่างกายกับจิตใจนี้เอง ที่เป็นหัวใจของปัญญาในพุทธศาสนา
แต่การที่จะเข้าใจกฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ได้อย่างถูกต้อง เราจะต้องมาทำความเข้าใจกับคำเหล่านี้ก่อน อันได้แก่คำว่า
▪เหตุ ที่หมายถึง สิ่งที่กระทำให้เกิดผล
▪ปัจจัย ที่หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือสิ่งที่มาสนับสนุนเหตุ
▪ผล ที่หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุ
▪ปรุงแต่ง ที่หมายถึง การ (กิริยา) ทำให้เกิดขึ้น
▪สิ่งปรุงแต่ง หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
▪เกิดขึ้น ที่หมายถึง จากการที่ไม่มีอยู่ก่อน แล้วจึงมามีขึ้นในภายหลัง
▪ดับหายไป ที่หมายถึง จากการที่เคยมีอยู่ก่อน แล้วจึงมาหายไปในภายหลัง
< ต้องเข้าใจคำว่าปรุงแต่งก่อน >
มีคำๆหนึ่งที่เราจำเป็นต้องเข้าใจความหมายของมันก่อน จึงจะศึกษากฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ได้เข้าใจ คือคำว่า "ปรุงแต่ง" ที่หมายถึง การผสมและตบแต่ง หรือหมายถึง การกระทำ ก็ได้ แต่จะหมายถึงการกระทำโดยธรรมชาติเท่านั้น คือหมายถึง การกระทำของธรรมชาติ ที่นำเอาสิ่งต่างๆหลายๆสิ่งมาผสมหรือรวมกัน แล้วก็ตบแต่งให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับการที่เรานำเอาส่วนผสมและเครื่องปรุงต่างๆของอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง มาผสมรวมกันอย่างพอเหมาะ แล้วปรุงด้วยความร้อนอย่างพอดี ก็จะเกิดเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่เอร็ดอร่อยขึ้นมาได้ หรือเหมือนกับการที่เรานำเอาดินเหนียวมาผสมน้ำให้อ่อนนิ่ม แล้วปั้นเป็นรูปร่างของสิ่งต่างๆขึ้นมา
คำว่าปรุงแต่งนี้จะใช้เฉพาะในการกระทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาโดยธรรมชาติเท่านั้น
คือเมื่อธรรมชาติได้นำเอาสิ่งต่างๆมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นสิ่งใดขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นแทบจะไม่หลงเหลือลักษณะของสิ่งที่นำมาปรุงแต่งนั้นให้เราได้พบเห็นหรือรับรู้ได้เลย เพราะมันได้รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งนี้ เราจะเรียกว่าเป็น “สิ่งปรุงแต่ง”
อย่างเช่น การที่ต้นแอปเปิลได้นำเอาดินหรือปุ๋ย พร้อมกับน้ำ รวมทั้งอากาศ มาผสมกันแล้วปรุงโดยใช้ความร้อนจากแสงแดด แล้วตบแต่งให้เกิดเป็นลูกแอปเปิล ที่มีลักษณะรูปร่างสวยงาม และมีกลิ่นหอมเฉพาะของมัน รวมทั้งมีรสเอร็ดอร่อยขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยที่มันแทบจะไม่หลงเหลือลักษณะของดินหรือปุ๋ย น้ำ อากาศ และความร้อนให้เราได้พบเห็นหรือรับรู้ได้เลย เป็นต้น (ส่วนการกระทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาโดยคนหรือสัตว์นั้นไม่ควรใช้คำว่าปรุงแต่ง ควรเรียกว่าเป็นการทำหรือสร้างหรือประกอบหรือประดิษฐ์ เพราะเมื่อทำให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาแล้ว ก็ยังทำให้เราพบเห็นสิ่งที่นำมาทำนั้นได้ อย่างเช่น รถยนต์ที่เรายังคงพบเห็นเหล็ก อลูมิเนียม พลาสติก ยาง และแก้ว เป็นต้น ที่มาประกอบเป็นรถยนต์นั้นขึ้นมา)
จาก...< สุญญตา - สิ่งทั้งหลายไม่ได้มีอยู่จริง >
เรียงเรียงโดย เตชปัญโญ ภิกขุ
:: ยุติ วงจรปฏิจจสมุปบาท เพื่อตัดภพให้สิ้นชาติ ::
#โดยพระอาจารย์นวลจันทร์_กิตติปัญโญ
หากต้องการสิ้นสังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด ต้องเข้าใจในปฏิจจสมุปบาท แต่เข้าใจเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องทำลาย วงจรปฏิจจสมุปบาท ด้วย เพื่อให้กระจ่างในเรื่องนี้ พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญตอบปัญหาธรรมที่มีผู้สนใจส่งเข้ามาในหัวข้อปฏิจจสมุปบาท เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติ และเข้าใจในหลักธรรมนี้มากขึ้น
Q : ปฏิจจสมุปบาทและอิทัปปัจจยตาเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
พระอาจารย์นวลจันทร์:
ตามจริงแล้วเป็นหลักธรรมเดียวกัน
ท่านเรียกว่า “อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท”
เป็นกระบวนการของธรรมที่ส่งต่อกันเป็นลูกโซ่
หรือเป็นเหตุปัจจัยที่ส่งต่อให้เกิดสิ่งต่างๆ
แต่เพราะเป็นหลักธรรมชื่อยาวเรียกยาก
จึงนิยมแยกเรียกเป็นอิทัปปัจจยตาบ้าง
ปฏิจจสมุปบาทบ้าง
Q: ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการยึดติด (อุปาทาน)
พระอาจารย์นวลจันทร์:
การยึดติด หรือที่ท่านเรียกว่า “อุปาทาน”
เกิดขึ้นจากตัณหา มันเป็นกระบวนการสืบทอด
อุปาทานไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองได้
ซึ่งในวงจรของปฏิจจสมุปบาทอธิบายไว้ชัดเจนว่า
อุปาทานมาจากตัณหา
ตัณหาก็มาจากเวทนา
เวทนาก็มาจากผัสสะ
ทีนี้ผัสสะหรือการกระทบ เมื่อผัสสะเกิดขาดสติ
กิเลสก็มาจึงเกิดเป็นเวทนา
หรือความรู้สึก มีความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ จึงเกิดตัณหาตามมา
ไม่ต่างจากวงจรชีวิตของหนอน
ที่จะกลายเป็นผีเสื้อในวันข้างหน้า
จากตัณหาก็เป็นอุปาทาน
ทำอย่างไรไม่ให้เกิดอุปาทาน
มีวิธีเดียวคือการมีสติในขณะเกิดผัสสะ
เช่น เห็นก็รู้ว่าเห็น
ได้ยินก็รู้ว่าได้ยิน
เราก็จะมีสติในการเห็นและการได้ยิน
เพียงเท่านี้ก็ไม่เกิดเป็นตัณหา
พอไม่มีตัณหา
อุปาทานก็ไม่มีเช่นกัน
การที่จะละอุปาทานไม่สามารถทำได้ทันที
เพราะอุปาทานคือผลที่เกิดจากตัณหา
ถ้าจะไม่ให้เกิดการยึดติด (อุปาทาน)
ต้องไปกำจัดที่เหตุ
ตัวอย่างเช่น มีสิวขึ้นที่ใบหน้า
แล้วเราไปบีบสิว
ไม่นานเดี๋ยวสิวมันก็ขึ้นมาใหม่
บีบให้ตายอย่างไร สิวมันก็จะต้องขึ้นมาอีก
ถ้าจะให้สิวหายขาดก็ต้องไปตรองถึงสาเหตุของสิวว่ามันมาจากไหน
แล้วไปแก้ที่ตรงนั้น
ดังนั้นการละอุปาทาน
หรือไม่ให้เกิดการยึดติด
ควรละที่เหตุ คือการมีสติในขณะที่เกิดผัสสะ
Q: องค์ธรรมใดในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่ทำลายแล้วทำให้ยุติวงจรนี้ได้ง่ายที่สุด
พระอาจารย์นวลจันทร์:
หากจะหยุดวงจรนี้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือ
การหยุดที่ผัสสะ
ผัสสะคือการได้เห็น
ได้ยิน มีการคิด มีการนึก
ขณะที่เกิดผัสสะ แล้วมีสติเกิดขึ้นด้วย
วงจรปฏิจจสมุปบาทก็จะยุติทันที
ซึ่งรวมไปถึงวงจรของสังสารวัฏด้วย
เพราะมันจะขาดช่วงไปต่อไม่ได้
เมื่อสติเกิดขึ้นในขณะที่มีผัสสะ
ตัณหาก็ไม่เกิด ซึ่งจะนำไปสู่การไม่เกิดขึ้นขององค์ธรรมอื่น
ดังนั้นการที่เขาฝึกเจริญสติปัฏฐาน 4
ต้องมีการฝึกเดินจงกรม
เพื่อให้เกิดสติขึ้นระหว่างที่เกิดผัสสะ
ขณะที่กำลังเดินย่างเราก็กำหนดมีสติรู้ว่าเท้าข้างนี้ย่าง (หนอ)
การมีสติก็คือนิโรธ เป็นหนทางของวิชชาและธรรมะ
เครื่องกั้นกิเลสไม่ให้ดึงไปสู่ชาติ
ชรามรณะ
และทุกข์ต่อไป
เป็นการตัดภพสิ้นชาติอย่างสิ้นเชิง
.
พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ
" ทำจิต...
ให้อยู่...กับลมหายใจ
ให้เอา"จิต"มารวมอยู่...ที่"จิต"
แล้วเอา"จิต" ให้รู้จักลม
ภาวนา พุทโธ พุทโธ
ปล่อยวางข้างนอก ให้หมด
อย่าไปเกาะ กับสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงทั้งนั้น
ให้ปล่อยให้เป็น อันเดียว
รวมจิตลงที่ อันเดียว
มัน ไม่ส่งจิตใจไปทาง อื่นแล้ว
มัน จะรวมอยู่ที่นั่น
เมื่อ พบเช่นนี้ เรา ก็มีอันเดียว เท่านั้น
เหลือแต่"ความรู้"...อันเดียว
อย่า...ไปหลงนะ
ไม่ต้องเอาอะไร
เอาเเต่"ความรู้สึก" อันเดียว เท่านั้นแหละ
ไม่ห่วงข้างหน้า ไม่ห่วงข้างหลัง
หยุด...อยู่...กับที่ จนกว่าว่า...
เดินไป ก็ไม่ใช่ ถอยกลับ ก็ไม่ใช่
หยุดอยู่...ก็ไม่ใช่...ไม่มี ที่ยึด ไม่มี ที่หมาย
เพราะ...อะไร
เพราะว่า...ไม่มี ตัว ไม่มี ตน
ไม่มี เรา และไม่มี ของของเรา
หมด...
รู้แล้ว ก็ปล่อย ก็วาง
อันนี้คือ...สภาวะความเป็นจริง
ที่พระพุทธเจ้า ท่านสอน
ถึงแม้ มันจะคิด ก็ให้มันคิด
แต่ว่า...คิดให้อยู่ กับปัญญา
ให้คิดด้วย ปัญญา
อย่า...คิดด้วยความโง่
ถ้ารู้ ด้วยปัญญา ก็ต้องวาง...
ถ้ารู้ ด้วยปัญญา
คิด ด้วยปัญญา
มัน จะไม่มีทุกข์
มัน จะมีความเบิกบาน
มีความสำราญ มีความสงบ
มีความระงับเป็น...อันเดียว
จิตใจเรามารวมอยู่...อย่างนี้
อะไรที่เราจะต้องอาศัยอยู่ ในปัจจุบัน
ในคราวนี้ก็คือ...ลม ลมหายใจ นี่แหละ
ให้รวม"จิต"เข้ามาเป็น...หนึ่ง
นี่คือ...ธุระหน้าที่ ของเรา."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
กระแสปฏิจจสมุปบาท คือ ตัวชีวิต
เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นพระพุทธเจ้า
.
“ปฏิจจสมุปบาท” นั่นแหละ คือเรื่อง ตัวชีวิต ตัวเรา แล้วก็ถูกให้ความหมายผิดๆว่า “ตัวกู ตัวกู” แต่ที่ถูกนั้นไม่ใช่ตัวกู เป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ โดยอาศัยธาตุทั้ง ๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ.
.
ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ คือธาตุทั้ง ๖ มันทำให้เกิดอัตตภาพร่างกายนี้ขึ้นมา แล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาท ตามกฎของธรรมชาติ ถ้ารู้จักตัวเองหรืออัตตภาพของตัวเองเพียงเท่านี้ก็จะดับทุกข์ได้ เป็นความจริงที่ลึกซึ้ง เพราะว่าเมื่อเห็นความจริงข้อนี้แล้วมันดับทุกข์ได้.
.
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การเห็นปฏิจจสมุปบาท นั่นคือการเห็นธรรม ธรรมะ การเห็นธรรมะคือการเห็นเราตถาคต เห็นเราตถาคตคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นเราตถาคต ต้องการเห็นปฏิจจสมุปบาทคือการเห็นธรรม
.
เพราะฉะนั้น การเห็นปฏิจจสมุปบาท คือการเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ จำประโยคนี้ไว้ มีประโยชน์มาก พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในโบสถ์ ไม่ได้อยู่ที่อินเดีย ไม่ได้อยู่ที่เมืองอื่น ลังกา พม่า ไม่มี ท่านอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเองทุกคน ทุกคนเอาความโง่ออกเสีย ไม่มีม่านแล้ว พระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงนี้นี่
.
เข้าไปในโบสถ์ก็พบแต่พระพุทธรูป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า แม้แต่พระธาตุมันก็เป็นกากเศษที่เหลืออยู่แห่งอัตตภาพของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้า องค์พระพุทธเจ้าคือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท อย่างที่ท่านตรัสว่า เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นธรรม เห็นธรรม คือเห็นเราตถาคต ฉะนั้น จงเห็นปฏิจจสมุปบาท ท่านจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่ประทับนั่งอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ทางออกจากวงจรปฏิจสมุปบาท คือ "เวทนา"
เมื่อเกิดเวทนา(สุข/ทุกข์/เฉย) จะต้องมีสติสัมปชัญญะ (ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน 4) รู้ทันสภาพธรรมที่เกิดขึ้น อย่าให้กิเลสเข้าครอบงำจนเกิด(ตัวตน) ความพอใจ/ไม่พอใจ อันจะเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา และอุปาทาน ซึ่งทำให้วงล้อปฏิจจสมุปบาทหมุนต่อเนื่องจนเกิดทุกข์...
* พระพุทธองค์สอนให้เริ่มตั้งแต่การสำรวมอินทรีย์ 6 คือ ตั้งแต่เกิดผัสสะกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีสติรู้ทัน ถ้าหลุดไปให้มาดูที่เวทนา อย่าให้เกิดความพอใจและไม่พอใจ เพราะจะเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาต่อไป...
* ความไม่พอใจ (โทสะ) เกิดจาก การที่ไม่ได้ดั่งใจ อันมีพื้นฐานมาจากตัณหานั้นเอง
* ตัณหา คือ ธรรมชาติที่มีความอยากได้และยึดติดในอารมณ์ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
* ส่วนอุปาทานนั้นเป็นการยึดติดในอารมณ์ที่รับเข้ามาอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง
* ทั้งโทสะ(ความโกรธ) และตัณหา มีพื้นฐานมาจากความไม่รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ ยังมีความหลง(อวิชชา) ซึ่งปกปิดสภาพธรรมตามความเป็นจริงไว้ จึงเกิดความพอใจ/ไม่พอใจ ยึดเอาอารมณ์ที่เข้ามานั้นมาเป็นของตน เกิดตัวตนขึ้น ไหลลื่นไปตามปฏิจสมุปบาท จนเกิดทุกข์
"อานาปานสติ ปฏิจจสมุปบาท"
เพราะว่า #พระโยคาวจรบางรูปเมื่อระลึกถึงอารมณ์ที่เข้าสู่คลอง
#ผัสสะมีจิตและเจตสิกตกไปครั้งแรกในอารมณ์นั้น
#ถูกต้องอารมณ์นั้นอยู่ก็จะปรากฏชัด.
#สำหรับพระโยคาวจรบางรูป #เวทนาที่เสวยอารมณ์นั้นเกิดขึ้นจะปรากฏชัด
(#แต่) #สำหรับบางรูปวิญญาณที่รู้อารมณ์นั้นเกิดขึ้นจะปรากฏชัด
เพราะฉะนั้น #พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอรูปกรรมฐานตามที่ปรากฏโดยอัธยาศัยของบุคคลนั้นๆ
#ไว้๓อย่างโดยมีผัสสะเป็นต้นเป็นประธาน.
ในบุคคล ๓ ประเภทนั้น
#ผัสสะปรากฏชัดแก่ผู้ใดแม้ผู้นั้นจะกำหนดอารมณ์มีผัสสะเป็นที่๕นั่นแหละว่า
#ไม่ใช่ผัสสะอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้น ถึง #เวทนาที่เสวยอารมณ์นั้นนั่นแหละ ก็จะ
#ถึงเจตนาที่คิดถึงอารมณ์นั้นอยู่
#ถึงวิญญาณที่รู้ชัดซึ่งอารมณ์นั้นอยู่
เวทนาปรากฏแก่ผู้ใด แม้ผู้นั้นจะกำหนดอารมณ์มีผัสสะเป็นที่ ๕ เหมือนกันว่า ไม่ใช่เวทนาอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้น ถึงสัมผัสที่ถูกต้องอยู่ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับเวทนานั้น ถึงสัญญาที่จำได้อยู่ ถึงเจตนาที่นึกคิดอยู่ ถึงสัญญาที่รู้แจ้งอยู่ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับเวทนานั้น. วิญญาณปรากฏชัดแก่ผู้ใด แม้ผู้นั้นก็จะกำหนดอารมณ์ มีผัสสะเป็นที่ ๕ เหมือนกับว่า ไม่ใช่แต่วิญญาณอย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้น แม้ผัสสะที่ถูกต้องอยู่ซึ่งอารมณ์นั้นนั่นแหละ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับด้วยวิญญาณนั้น แม้เวทนาที่เสวยอารมณ์อยู่ แม้สัญญาที่จำได้อยู่ แม้เจตนาที่คิดนึกอยู่ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับวิญญาณนั้น.
พระโยคาวจรนั้นใคร่ครวญอยู่ว่า ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นที่ ๕ เหล่านี้อาศัยอะไรอยู่ดังนี้ จะรู้ชัดว่าอาศัยวัตถุอยู่. กรชกาย ชื่อว่าวัตถุ.
คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๑๑- ก็แลวิญญาณของเรานี้อิงอาศัยอยู่ในกรชกายนี้ เนื่องแล้วในกรชกายนี้ ทรงหมายเอากรชกายใด กรชกายนั้นโดยเนื้อความ ได้แก่ภูต และอุปทายรูปทั้งหลาย เธอเห็นเป็นเพียงนามกับรูปเท่านั้นว่า บรรดา ๒ อย่างนี้ วัตถุเป็นรูป ธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ เป็นนาม ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ในสองอย่างนี้ รูปได้แก่รูปขันธ์ นามได้แก่ขันธ์ ๔ ที่ไม่ใช่รูป ดังนั้นจึงรวมเป็นเพียงขันธ์ ๕.
แท้จริง #เบญจขันธ์ที่จะพ้นจากนามรูป #หรือนามรูปที่จะพ้นจากเบญจขันธ์ไปเป็นไม่มี. เธอเมื่อใคร่ครวญอยู่ว่าเบญจขันธ์เหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ ก็เห็นว่ามีอวิชชาเป็นเหตุ
#แต่นั้นจะยกเบญจขันธ์ขึ้นสู่ไตรลักษณ
#์ด้วยสามารถแห่งนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยว่านามรูปนี้เป็นทั้งปัจจัย #เป็นทั้งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
ไม่มีสัตว์หรือบุคคลอย่างอื่น มีเพียงกองสังขารล้วนๆ เท่านั้น แล้วท่องเที่ยวพิจารณาตามลำดับวิปัสสนาว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้.
เธอจำนงหวังปฏิเวธ (การตรัสรู้) อยู่ว่า (เราจะตรัสรู้) ในวันนี้ๆ ในสมัยเช่นนั้น ได้ฤดูเป็นที่สบาย บุคคลเป็นที่สบาย โภชนะเป็นที่สบายหรือการฟังธรรมเป็นที่สบายแล้ว นั่งโดยบัลลังก์เดียวเท่านั้น ยังวิปัสสนาให้ถึงที่สุด ย่อมดำรงอยู่ในพระอรหัตผล.
____________________________
๑๑- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๑๓๑ ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๓๔๗
พึงทราบกรรมฐานจนถึงพระอรหัตของชน ๓ เหล่า ดังที่พรรณนามานี้.
#แต่ในพระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
#เมื่อจะตรัสอรูปกรรมฐานตามอัธยาศัยของผู้ที่จะตรัสรู้ด้วยสามารถแห่งเวทนา
#จึงตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งเวทนา.
อรรถกถาปฐมเวทนาสูตร
คลิกเพื่ออ่านทั้งหมด
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=230
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย #เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจออกลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้
ในพวกเวทนา เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ"
หลักปฏิบัติ “ปฏิจจสมุปบาท”
.
…. “ พูดอย่างวิชาหรืออย่างปรัชญา มันก็พูดอย่างหนึ่ง พอถึงปฏิบัติมันก็กลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง คำพูดไม่เหมือนกัน จะยกตัวอย่างเรื่อง “ปฏิจจสมุปบาท” ที่ยืดยาว ที่เราสวดกันยาวๆ นั่นนะ! อวิชชาเกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณตลอดสาย นั้นน่ะ! มันเป็นรูปแบบของปรัชญา ให้รู้ว่าอย่างนั้นเป็นปรัชญาที่มีเหตุผล ที่พอจะเห็นแจ้งได้ พอที่จะทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้...
…. ทีนี้ พอมาถึงคราวปฏิบัติ มันมีเพียงแต่ว่า มีสติ ในเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น พูดสั้นๆ ก็ว่า มีสติเมื่ออายตนะทำงาน สั้นๆ เท่านี้ มีแค่นี้ก็พอ
…. ปฏิจจสมุปบาท สำหรับรู้ ยาวเฟื้อย พอปฏิจจสมุปบาทสำหรับปฏิบัติ คือ มีสติ เมื่ออายตนะทำงาน ก็คือ ควบคุมได้ที่ผัสสะ เป็นผัสสะแห่งวิชชาไว้เสมอ ก็คือ ปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทสำเร็จประโยชน์ทั้งสาย ทุกข์ไม่เกิด
…. มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำงาน นั่นแหละ คือปฏิบัติ เรียกว่า ปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท
…. ตัวปฏิจจสมุปบาทตั้งสิบสองอาการ สิบเอ็ดอาการ นั่นน่ะ! ยาวเฟื้อย และก็มีเรื่องมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะเป็นไปอย่างนั้นตามธรรมชาติ เมื่อเราจะควบคุมมันเรื่องเหลือนิดเดียว ให้มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำหน้าที่ เท่านั้นแหละ ก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาททั้งหมดได้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ทำอานาปานสตินะ คลุมสติปัฏฐาน ๔ ได้ด้วย
ไม่มีกรรมฐานอะไรเหมือนเลยนะ ตั้งแต่โหลยโท่ย ไม่มีสติเลย หรือทำจนเครียดสติแตกไปเลยนะ ก็เป็นไปได้ ทำอานาปานสติแล้วก็พลิกไปทางกสิณ เล่นอภิญญาก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานเพื่อพักผ่อน ออกจากฌานมา มาเดินปัญญา ดูกายก็ได้ ดูจิตก็ได้ ทำแล้วเข้าอัปปนาสมาธิ เข้าฌาน เจริญปัญญาอยู่ในฌานเลยก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานไม่ได้ เห็นร่างกายหายใจ-ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา นี่เดินปัญญานะ ใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ไปดูจิตดูใจ หายใจไป จิตเป็นอย่างนั้นจิตเป็นอย่างนี้รู้ทัน นี่เดินปัญญาดูจิต เดินปัญญาดูกาย เดินปัญญาดูจิต แจกแจงให้ครบก็คือ การทำสติปัฏฐาน ๔ ครบทั้งหมดเลย
เห็นกายมันหายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นกายไม่ใช่เรา เป็นกายานุปัสสนา
หายใจไปมีความสุข หายใจไปความสุขหายไป หายใจไปแล้วมีความทุกข์ หายใจแล้วความทุกข์หายไป หายใจแล้วมีอุเบกขา แล้วอุเบกขาหายไป อันนี้เป็นเวทนานุปัสสนา
หายใจแล้วฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจแล้วสงบ รู้ว่าสงบ หายใจไปแล้วจิตรวม เป็นมหัคคตะ หายใจแล้วจิตไม่รวม อย่างนี้เป็นจิตตานุปัสสนา
หายใจแล้วเห็นขันธ์กระจายตัวออกไป แต่ละขันธ์ทำงานของขันธ์ เป็นขันธบรรพ ในธัมมานุปัสสนา
หายใจไปแล้วโพชฌงค์เกิดขึ้น มีสติรู้ลมหายใจ มีความเพียรที่จะรู้ลมหายใจ มีฉันทะ หายใจแล้วสบายใจ วิริยะมันก็เกิด มีความเพียร ตามรู้ตามเห็นในตัวที่หายใจอยู่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เรียกว่า ธัมมวิจยะ มีปีติขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่ปีติในฌาน เป็นปีติเพราะมีปัญญา มีปีติแล้ว สติรู้ทันปีติ หายใจไปมีปีติ รู้ทัน ปีติดับ สงบเข้ามาเป็น ปัสสัทธิ แล้วเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตเป็นอุเบกขา เห็นจิตมันเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไป เป็นลำดับ ตามหลักของโพชฌงค์ อันนี้ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา
หายใจไปแล้วมีนิวรณ์ขึ้นมา รู้เท่าทันนิวรณ์นั้น นิวรณ์เกิดแล้วดับไป เป็นนิวรณบรรพ อยู่ในธัมมานุปัสสนา
หายใจแล้วเห็นอริยสัจ ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา
หายใจแล้วมีความสุข มีความสุขแล้วตัณหาเกิด อยากได้ อยากมี อยากเป็น หายใจแล้วมีความทุกข์ ตัณหาก็เกิดอยากให้มันหายไป อยากให้ความทุกข์หายไป มีตัณหาขึ้นมาจิตใจก็มีความทุกข์ขึ้นมา เห็นปฏิจจสมุทปบาท (อยู่ในธัมมานุปัสสนา – ผู้ถอด)
ฉะนั้น หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำจนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
พอเรามีจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้วนะ
เราก็เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อย ทำอานาปานสตินี่แหละ ไม่ต้องเข้าฌาน เข้าไม่เป็นก็ไม่ต้องกลุ้มใจ อุปจาระก็ยังไม่ได้ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อยๆใจเป็นคนดู มันจะเห็นทันทีเลยว่า
ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายที่หายใจเข้าก็ไม่เที่ยง ร่างกายที่หายใจออกก็ไม่เที่ยง เห็นมั้ย เป็นอนิจจัง
การหายใจเข้าก็ทนอยู่ได้ไม่นาน หายใจออกทนอยู่ได้ไม่นาน เป็นทุกขัง
ร่างกายที่หายใจอยู่เป็นวัตถุธาตุ เป็นก้อนธาตุ เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เป็นแค่วัตถุธาตุเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่ก้อนธาตุ นี่ เห็นอย่างนี้เขาเรียกว่าเห็น “อนัตตา”
เห็นมั้ย ทำอานาปานสตินะ แล้วก็เห็นร่างกายแสดงไตรลักษณ์ นี่เดินปัญญาเลย พวกนี้ได้สุกขวิปัสสกะ เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไรกับใครเขาหรอก ไม่มีของเล่น ต่างจากพวกที่ไปทางฌานโน้น แต่พวกที่ไปทางฌานบางคนก็ไม่มีของเล่น อภิญญาจิตไม่เกิด ต้องสร้างบารมีพิเศษนะ ตั้งใจอธิษฐานไว้ ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ยิ่งหลายๆองค์ยิ่งดี ยิ่งขลัง เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา ถ้าบารมีน้อย อยากเล่นอภิญญา จิตหลอนเสียเป็นส่วนใหญ่ กิเลสหลอกเอาไป ไม่ใช่อภิญญาจริงหรอก
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ทำอานาปานสติแล้วดูจิตก็ได้
เห็นมั้ยกรรมฐานนี้กว้าง เห็นมั้ย ทำสมาธิได้ทุกแบบเลยนะ จนถึงเข้าอรูปนะ แต่ตรงอรูปเนี่ยทิ้งเรื่องลมไปแล้ว แล้วเข้าไปดูจิตต่อ เข้าอรูปไป จะทำโดยใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ใช้สมาธินำปัญญาก็ได้ ใช้สมาธิและปัญญาควบกันก็ได้ เนี่ยอานาปานสติทำได้หมดเลย ตรงที่ใช้ปัญญานำสมาธินี้เอง เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู เนี่ยเราใช้ปัญญานำสมาธิไปเลย ไม่ได้เข้าฌานนะ ถ้าใช้สมาธินำปัญญาก็คือ เข้าฌานไปก่อนนะ ออกจากฌานแล้วมาพิจารณาธาตุขันธ์ แล้วได้ตัวผู้รู้ออกมา จากฌานที่ ๒ ออกมาข้างนอกเนี่ยนะ ดู ดูธาตุดูขันธ์ทำงาน ดูได้เป็นวันๆเลย อันนี้ใช้สมาธินำปัญญา ตัวผู้รู้จะเด่นดวง อดทน ทนได้นาน
พวกใช้ปัญญานำสมาธิ ตัวผู้รู้จะอยู่แว้บๆ เพราะสมาธิที่ใช้ มันก็มีสมาธิเหมือนกัน สมาธิที่ใช้เดินปัญญามันแค่ขณิกสมาธิ ไม่ถึงอุปจาระ ไม่ถึงอัปนา นะ ได้แค่ ขณิกะ ให้รู้ตัวเป็นขณะๆ จิตหนีไปแล้วรู้ทัน ก็ได้สมาธิขึ้นมา ได้มานิดเดียว แต่พอหลายๆนิดเข้านะ นิดบ่อยๆเข้า มันก็รู้ได้เหมือนกัน ก็เห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นคนดู ตรงที่จิตเป็นคนดู ตรงนี้ล่ะ ได้ขณิกสมาธิแล้ว ตรงนี้เป็นปัญญานำสมาธิ เดินปัญญาไปก่อนแล้วสมาธิที่ถึงอัปนาฯจะเกิดทีหลัง แต่ตอนที่เดินปัญญานี้มีขณิกสมาธิอยู่
แล้วถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตล่ะ ทำไง? หายใจไป หายใจไปแล้วจิตมีความสุข รู้ ว่าจิตมีความสุข หายใจไปแล้วจิตเครียดๆขึ้นมา รู้ ว่าจิตเครียดๆ เนี่ย ดูความเปลี่ยนแปลงของจิต หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ทัน ว่าจิตฟุ้งซ่าน หายใจไปแล้วจิตสงบ รู้ทัน ว่าจิตสงบ นี่หายใจแล้วดูจิต หายใจแล้วจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน ว่าจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ หายใจแล้วจิตตั้งมั่น สักว่ารู้ว่าเห็น ไม่ไหลเข้าไปในลมหายใจ อันนี้ก็เรียกว่า “ดูจิต”
เพราะฉะนั้นนะ หายใจนะ ดูกายก็ได้ เจริญปัญญาด้วยการดูกาย เห็นกายมันหายใจ หายใจไม่ใช่แค่เห็นว่าร่างกายมันหายใจนะ บางทีโยงไปถึงท้องพองยุบ จิตเป็นคนดู เพราะฉะนั้นถ้าทำท้องพองยุบแล้วจิตเป็นคนดู ก็ใช้ได้เหมือนกัน เราจะเห็นว่า ร่างกายที่พองที่ยุบ ไม่ใช่เรา
ถ้าหายใจไปแล้ว จิตมีความสุขก็รู้ จิตมีความทุกข์ก็รู้ อันนี้ถือว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตสงบก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตตั้งมั่นอยู่ก็รู้ จิตไหลเข้าไปอยู่ที่ลมหายใจก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ืะ มันจะเห็นว่าจิตทุกชนิดไม่เที่ยง จิตสุขก็ไม่เที่ยง จิตทุกข์ก็ไม่เที่ยง จิตกุศลก็ไม่เที่ยง จิตอกุศลก็ไม่เที่ยง เห็นจิตไม่เที่ยงตลอดเวลาเลย เนี่ยแหละ เดินปัญญาแล้วนะ ดูจิตจะเห็นอนิจจังง่ายนะ จะเห็นแต่ของไม่เที่ยง เปลี่ยนตลอดเวลา เปลี่ยนเร็วมากเลย
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
กายนี้ เป็น “กรรมเก่า”
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กายนี้ ไม่ใช่ ของเธอทั้งหลาย และทั้ง ไม่ใช่ของ บุคคล เหล่าอื่น.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กรรมเก่า (กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย
พึงเห็นว่าเป็น สิ่งที่ปัจจัย ปรุงแต่งขึ้น (อภิสงฺขต), เป็นสิ่งที่ ปัจจัยทำให้ เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต), เป็นสิ่งที่มี ความรู้สึก ต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย).
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ในกรณี ของกายนั้น อริยสาวกผู้ได้
สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจ โดยแยบคาย เป็นอย่างดี ซึ่ง
ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า “ด้วย อาการอย่างนี้ :
เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี ; เพราะ ความเกิดขึ้น แห่งสิ่งนี้,สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ; เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี ;
เพราะความดับ ไปแห่งสิ่งนี้ , สิ่งนี้จึงดับไป :
ข้อนี้ได้แก สิ่งเหล่านี้คือ
เพราะมี อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย ;
เพราะมี สังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ;
เพราะมี วิญญาณเป็น ปัจจัย จึงมีนามรูป ;
เพราะมี นามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ ;
เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัยจึงมี ผัสสะ ;
เพราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ;
เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ;
เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;
เพราะมี อุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมีภพ ;
เพราะมี ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
เพราะมี ชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส
อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น ครบถ้วน :
ความเกิดขึ้น พร้อมแห่ง กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
เพราะ ความจาง คลายดับไป โดยไม่เหลือแห่ง
อวิชชานั้น นั่นเทียว,
จึงมี ความดับแห่งสังขาร, เพราะมี ความดับ แห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; .
ฯลฯ ..... ฯลฯ ..... ฯลฯ .....
เพราะ มีความดับ แห่งชาติ
นั่นแล ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส
อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้ แล.
นิทาน.สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓. 🙏🙏🙏ค่ะ