จิตที่ไม่พัฒนาไปไหนย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลังลงคลอง
มีอยู่สามประการตามความเห็นของเรานะ คือ
- เกียจคร้านในการภาวนา
- กับมีความทะยานอยากในการภาวนามากเกินไป
- และมีความสำคัญในตนว่ารู้ธรรมเห็นธรรมยิ่งกว่าผู้อื่น
ต้องหมั่นตรวจสอบทบทวนจิต รู้จิตสม่ำเสมอ
กิจอันใดนอกไปจากการรู้ตามเป็นจริงแล้วให้รู้ทัน
แล้วดำเนินจิตสู่การรู้ตามจริงต่อไป
ไม่ต้องไปสนในความรู้ความเข้าใจ
ให้ใส่ใจเพียงความจริงที่ปรากฏเฉพาะหน้าก็พอ
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
เรารักสิ่งใดมาก
เราก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้นมาก
มากกว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้น
เพราะสิ่งที่เราเกลียดเสียอีก
ให้หมั่นพิจารณาให้ดี ว่าไม่มีสิ่งใด
จะคงทนอยู่กับเราได้ตลอดไป
ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีทุกข์ตามติดมาเสมอ
นี้เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนผันไปได้เลย
🌻"ความหลงสมมุติ ความติดสมมุติ ก็คือความติดทุกข์ ความจมอยู่ในทุกข์นั่นแล จึงไม่ใช่ความฉลาด
สมมุติก็ให้รู้ว่าสมมุติ เมื่อรู้สมมุติรอบหมดแล้วก็เป็นวิมุตติขึ้นมาเอง ภายในใจดวงที่เคยหลงเคยติดนั่นแล"
คำสอน: หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ถ้ายังยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น
อยู่กับความรู้ความเห็นที่ตนเข้าใจ
ก็ยากจริงๆที่จะมองเห็นความจริงในปัจจุบัน
แม้จะมีคนชี้บอก สะกิดเตือนให้ได้ระลึก
ให้ได้พอเฉลียวใจแล้วก็ตาม
ปทปรมะ คือผู้ไม่ควรสั่งสอนนั้น
ไม่ใช่เพียงเพราะโง่ไม่รู้เรื่อง
แต่รวมถึงคนที่รู้มากมายเข้าใจลึกซึ้ง
แต่ก็ยังเหนียวแน่น ยึดติดอยู่ในความรู้นั้น
แม้มีคนสะกิดเตือนก็ยังไม่เห็น
จึงยากที่เขาจะสามารถเห็นถึง
ความยึดมั่นด้วยตัวเอง
ผู้สอนก็ได้แต่เพียงวางเฉยด้วยใจเป็นกลาง
แล้วแลอยู่ดูว่าเมื่อจิตเขาพร้อมค่อยว่ากันอีกที
การทำกรรมฐาน ถ้าไม่รู้จักแล้วก็จะลำบาก
บางคนก็ไม่เคยทำ เมื่อมาทำวันสองวันสามวัน
มันก็ไม่สงบ มันก็เลยนึกว่า เราทำไม่ได้
เราต้องคิดว่า เมื่อเราเกิดมาเคยถูกสอนหรือยัง
เราเคยทำความสงบหรือเปล่า เราปล่อยมานานแล้ว
ไม่เคยฝึกเคยหัดมัน มาฝึกมันชั่วระยะหนึ่งอยากให้มันสงบ
อย่างนั้นเหตุมันไม่พอ ผลมันก็ไม่มี เป็นเรื่องของธรรมดา
เป็นเรื่องอันตัวเราท่านทั้งหลายจะหลุดพ้น ต้องอดทน
การอดทนเป็นแม่บทของการประพฤติ
ให้เห็นกาย ให้เห็นใจ เมื่อรู้จักธรรมตามความเป็นจริงแล้วนั่น
ความที่เรายึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) แต่ก่อนๆ มันจึงจะผ่อนออก
เห็นตามความเป็นจริงของมันอุปาทานมั่นหมาย
ในความดีความชั่วทั้งหลายมันจะคลายออก คลายออก
เห็นว่ามันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เป็นของไม่แน่ไม่นอน
ที่มันเกิดมีในจิตของเราทุกวันนี้นั้น ลองดูซิ ความรักมันแน่ไหม
ความเกลียดมันแน่ไหม มันก็ไม่แน่ ความสุขมันแน่ไหม มันก็ไม่แน่
ความทุกข์มันแน่ไหม มันก็ไม่แน่ อันไม่แน่นั้น เรียกว่าของไม่จริง
เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ในการภาวนาทางจิตนั้น
ก็มีทั้งที่ภาวนาตามรูปแบบ
และภาวนาแบบไม่มีรูปแบบ
แต่ที่จริงแล้ว.....
ในรูปแบบนั้นมีไร้รูปแบบ
ในไร้รูปแบบนั้นมีรูปแบบ
คือเมื่อปฏิบัติตามรูปแบบ
เช่นเดินจงกรมนั่งสมาธิ
แต่จิตนั้นต้องไม่ข้องติด
ไม่มีการบังคับกดข่ม รู้ได้เท่าที่รู้
ในสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้า
นี่เรียกว่า ในรูปแบบมีไร้รูปแบบ
ส่วนเมื่อไร้รูปแบบคือดำเนินวิถีชีวิต
แบบปกติชนทั่วไปนั้นต้องทำต้องคิดเรื่องมากมาย
ก็ต้องมีรูปแบบทางจิตในการภาวนาไว้
คือรู้สิ่งที่ปรากฏชัด รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย
รู้สึกถึงความรู้สึกต่างๆที่เข้ามากระทบ แล้วไม่ไปเป็น
มันเป็นเคล็ดวิชาอย่างนึง
ที่จะช่วยผสานการภาวนา
ให้เป็นวิถีชีวิต เป็นการผสานให้กลมกลืน
ไม่มีแบ่งแยกว่า ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ
สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
เราตถาคต ไม่พักไม่เพียร ข้ามโอฆะได้....
จิต มัน เกิดมา มัน อาศัยอยู่ มันไม่เกิด ไม่ดับอะไร
ไอ้ตัวที่ จิต มัน เกิดมา มัน อาศัยอยู่ มันไม่เกิด ไม่ดับอะไร มันอาศัย สัญญา สังขารความปรุงแต่ง ไอ้นี่เป็นสัญญา ไอ้นี่เป็นปัญญาที่มาจากสังขาร นี่เป็นปัญญา ไม่ใช่ปัญญาแท้จริงถ้า ปัญญาแท้จริง มันหมดเรื่อง มันหมดเรื่องมันรู้แล้วมันหมดเรื่อง
แต่ว่า สังขารความปรุงแต่ง มัน มีอยู่ เราไม่ตามมันไป เราไม่ตามมัน ความรู้สึก รู้มัน แต่เราไม่ตามมัน อันนั่นมิใช่ทางแหละ มันรู้อยู่อย่างนี้
(ถาม)"เราจะหา จุดนี้ ได้อย่างไร? ครับ"
(หมายถึง : จุดที่มัน เกิดดับ อยู่อย่างนี้ จุดที่ มันเป็นความรู้สึกอันหนึ่ง แต่ตัวที่มันเป็นความจริงนั้น มัน ไม่เกิด ไม่ดับ ของมัน มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น : ความหมาย หมายถึงจุดนี้)
(หลวงพ่อตอบ) "เราก็ตามจิตนี้ไปก่อน เห็นว่ามันไม่แน่ ไม่เที่ยง ให้มันเห็นชัดๆของมัน มันไม่มีที่เอา มันก็วางอันนี้.....
จิตอันนี้ มันก็ วางจิตอันนี้.... รู้เรื่องของมัน มันก็วางจิตอันนี้ หมดจิตที่จะต้องปรุงแต่งมันแล้ว มันก็ไม่ได้สงสัยอะไรทั้งหลายเหล่านี้ อันนั้นท่านเรียกว่า....(จิตเดิม)...
ไอ้ที่เรียกชื่อมันขึ้นมา (ที่เราเรียกว่า “จิต” )มันเป็น ชื่อสมมุติบัญญัติขึ้นมาทั้งนั้น สมมุติให้คนรู้จัก ธรรมชาติของมันมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
อย่างที่มัน เป็นพืด ที่ไอ้ตัวนั้น ไม่เกิดไม่ดับ มัน เป็นพืด อยู่อย่างนี้
จะบอกว่า ไอ้นี่(หมายถึงจิตหนึ่ง) เป็น จิตมั่ง เป็น สัญญามั่ง เป็น สังขารมั่ง พูดเพื่อ ให้รู้ ง่ายๆ ว่า เวทนา สัญญา สังขารนี่ ไม่มี หมดละ
หลวงปู่ชา สุภัทโท
คนเราไม่สามารถที่จะห้ามหรือบังคับจิตใจ
ให้ปล่อย ให้ละความพัวพันในโลกได้จริงๆ หรอก
เพราะว่าจิตนี้เป็นอนัตตา คือไม่อยู่ในอำนาจจริงๆ
เราทำได้เพียงแค่นำจิตนี้ ให้เห็นความจริง
ของสิ่งที่มันไปผูกติด
เมื่อเหตุพร้อมแล้ว ผลเป็นหน้าที่ของจิต
ที่จะตัดสินในการปล่อยวาง
เพราะเห็นโทษเห็นทุกข์ในโลกนี้
ไม่ใช่บังคับจิตให้ไม่เอา ไม่ให้รับรู้อะไร
สติ นึกถึง สัมปชัญญะ รู้พร้อม
เมื่อมีสติ กับสัมปชัญญะควบคู่กัน มันมีพลังขึ้น
จิตของเรามีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
พออะไรเข้ามามันรู้ พอรับรู้แล้ว
มันจะวิจัยว่า ดี หรือ เลว
ควร หรือ ไม่ควร อันนี้คือ ปัญญา
ปัญญา คือ ความคิด
ความคิดใดที่มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อม
คือ สมาธิปัญญา
______________________
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
อย่าไปคิดว่าจะต้องบวชเพียงอย่างเดียว
ถึงจะสามารถภาวนาได้ดีหรือเต็มที่
แต่ขอเพียงแค่ ทุกขณะที่ยังหายใจ
ที่ยังเคลื่อนไหว ยังนึกคิดได้
เราสามารถมีสติระลึกถึงสิ่งเหล่านั้นได้
มีสัมปชัญญะ คอยรู้ตัวไม่เผลอ ไม่เพ่ง
ไม่เข้าไปในอารมณ์เหล่านั้นทั้งทางกายและใจ
เราก็สามารถภาวนาได้ทั้งวันทั้งคืน
ไม่แพ้ผู้ที่ได้บวช เป็นบรรพชิตเช่นกัน...
อย่าถอยซะก่อนเพียงอย่างเดียว
ถอยไม่ได้ไปไหนหรอก ก็ลงไปในโคลนตมนั่นเอง
การทําสมถะสมาธิ
เมื่อปฏิบัติสมาธิไปถึงจุดหนึ่ง คําบริกรรมจะหายไปครับ จะหายไปเอง แล้วจิตเราจะตั้งมั่นเด่นอยู่ในจุดที่เราตั้งมั่น และถ้าสมาธิไปลึกต่อไปอีก กายเราตัวเราจะเบาจะไร้นํ้าหนักกดทับใดๆทั้งสิ้น ถึงตรงนี้จะเหมือนไม่มีกายแล้วแต่ก็จะรู้ว่ากายนั้นยังมีอยู่ และถ้าสมาธิละเอียดลึกขึ้นไปอีก ลมหายใจที่เราใช้ยึดอยู่ก็จะค่อยๆหายไปด้วย ตรงจังหวะที่ลมหายใจหายไปแล้วนี้บางคนถ้าตกใจและหลุดจากสมาธิระดับนั้นถอยออกมา จะเกิดการสําลักอากาศหรือหายใจได้ ฉะนั้นอย่าไปวิตกกังวลไม่มีลมหายใจก็ไม่เป็นไรครับ มันจะอยู่ในสภาวะสงบนิ่งลึกๆ แต่มีสติรู้ตัวตลอด ตอนนี้ให้เปลี่ยนจากการตามรู้ลมหายใจ(เพราะไม่มีลมแล้ว) มาอยู่ที่การรับสัมผัสกาย ที่กายตนแทน ตรงนี้ความรู้สึกที่ผ่านกายจะไวไวมากรับรู้ถึงกระแสเลือดกระแสประสาทที่วิ่งอยู่ในกาย และจากนี้ก็จะเข้าสู่สภาวะที่สมาธิลึกมาก เสียงจะหายไปจากการรับรู้ เช่นใครมาทําเสียงดังข้างหูก็ไม่ได้ยิน และต่อจากนั้นสมาธิที่ลึกมากๆ ใครมาเขย่ากายก็ไม่รู้ การเกิดสภาวะทางกายจะเป็นอย่างนี้
การรู้นี่แหละเป็นกลางแล้ว
ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่หน้า
ไม่หลัง ไม่ใน ไม่นอก
เมื่อเกิดอาการอันใดก็แล้วแต่
เพียงแค่รู้ แบบไม่แทรกแซง รู้ซื่อๆตรงๆ
จิตจะดำเนินด้วยความเป็นกลางเอง
กลางจากชอบชัง กลางจากนอกใน
นอกก็รู้ ในก็รู้ ชอบก็รู้ ชังก็รู้ เฉยก็รู้ กลางก็รู้
รู้ .... อันนี้กลางแล้ว ไม่ต้องไปทำให้กลางนะ....
เรามักจะเข้าใจกันว่า
ความสงบ คือต้องไม่มีความคิดอะไรเลย
นั่นก็ใช่..แต่เป็นความสงบเพราะทำสมถะ
แต่มีความสงบอีกประเภทคือ แม้ความคิดจะมีอยู่
คิดเรื่องราวต่างๆมากมาย ไปเรื่องในอดีตบ้าง อนาคตบ้าง
แต่ใจก็ยังสงบได้ท่ามกลางคลื่นความคิดเหล่านั้น
เป็นความสงบด้วยปัญญาที่เห็นว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา
ไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้ ใจที่เข้าใจความจริงนี้
จึงไม่ดิ้นเข้าไปจับไปแบกความคิดเหล่านั้น
จึงสงบสบายท่ามกลางกระแสความคิดที่เปลี่ยนแปลงนั้น
เมื่อเราคอยที่จะรู้กิเลสทั้งหลาย
ที่มักแฝงมากับนิสัยใจคอเดิมของเรา
ก็เหมือนกับเราค่อยๆ ลอกเปลือก
ที่ปิดกั้นการไปรู้เห็นจิตเดิมๆของเราออกเรื่อยๆ
กิเลสที่ถูกรู้ทันได้บ่อยๆ จะไม่สามารถมาปกปิดใจได้อีก
เพราะสตินั้นระลึกได้แล้ว ระลึกได้ว่านี้เป็นกิเลส
ก็จะเหลือแต่นิสัยเดิมๆของเราเอง
จิตเดิมที่ปภัสสรก็จะค่อยๆส่องแสงออกมา
จิตปภัสสรนี้ก็คือลักษณะหนึ่งของจิตที่ตั้งมั่น
จิตนี้แหละที่จะส่องทะลุไปเห็นความจริงของกายใจ
จนสามารถปล่อยวางความยึดถือได้ในที่สุด
ท่าทีต่อนิวรณ์ ๕ นั้น
ต้องดูว่าเราจะดำเนินจิตอย่างไร
ถ้าจะทำความสงบ ก็ต้องเลือกกรรมฐาน
ที่เหมาะสมกับตนแล้วใส่ใจ ตั้งใจให้แน่วแน่
อยู่กับกรรมฐานนั้น ให้ต่อเนื่อง
ให้นิวรณ์นั้นไม่มีโอกาส แทรกตัวเข้ามาได้เลย
แต่ถ้าจะให้จิตตั้งมั่นพอดีๆ เพื่อใช้เจริญปัญญา
ก็เพียงแค่...รู้เท่าทันในนิวรณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น
เมื่อรู้เท่าจิตไม่ไหล ไม่หลงไปกับนิวรณ์..จิตก็จะตั้งมั่น
นิวรณ์ยิ่งมากเท่าไร ถ้ารู้เท่าทันมากเท่านั้น
จิตก็จะตั้งมั่นได้เท่านั้นเช่นกัน อยู่ที่มุมมอง
และการเลือกของแต่ละจริตนิสัยนะ
ทำอย่างไรได้ก็ลองทำดูปรับเปลี่ยน
ให้เข้ากับพื้นจิตของตนเองนะ
แต่จิตที่ได้จากการปฏิบัตินั้น
ต้องเบาอ่อนโยน คล่องแคล่ว
ควรแก่การงานนะ
****หมายเหตุ*****
นิวรณ์(อ่านว่า นิ-วอน) (บาลี: nīvaraṇāna)
แปลว่า เครื่องกั้น ใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้น
หรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี
และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต
เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้
หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป
นิวรณ์มี ๕ อย่าง คือ
กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่
พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนา
ในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่
ถีนมิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม
อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใด ๆ
วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ
" ให้เข้าใจเสียว่า...
เรื่องการปฏิบัตินี้พระพุทธเจ้าให้
วาง...ทั้งหมด
วาง...อย่างรู้
มิใช่ว่า วางอย่างไม่รู้
จะวางอย่างควาย อย่างวัว
ไม่เอาใจใส่อย่างนี้ ไม่ถูก
วาง...
เพราะการรู้สมมุติบัญญัติ ความ...ไม่ยึด."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ที่มันยากที่จะรู้เห็นธรรมตามเป็นจริง
เห็นความเกิดดับเปลี่ยนแปลง
ของสภาวะธรรม ก็เพราะ
มีแต่ความอยากจะ ทำ
ทำอะไรซักอย่างขึ้นมา
เพื่อหวังจะเห็นธรรม
เพราะคนเราเคยชินที่จะ ทำ
เลยยากที่จะไป รู้ รู้ซื่อๆ
ไม่มีพิธีรีตรอง ไม่มีกระบวนท่า
รู้สึกตามที่เป็น มันธรรมดาเกินไป
ที่คนชอบ ทำ จะสนใจ
เพราะมัวแต่ ทำ
เลยพลาดจาก รู้
พลาดจาก รู้ เลยพลาดจาก ธรรม
อย่าพึงสำคัญตัวว่า
เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ทั้งๆ ที่เราเองเป็นเพียงแค่
ผงธุลี ในจักรวาลนี้เท่านั้น
เมื่อสัมผัสได้ว่าธรรมชาติภายใน
และธรรมชาติภายนอกนี้
ไม่ได้แยกต่างหากจากกัน
ก็จะไม่มีพื้นที่เหลือให้กับความเป็นตัวตน
ความเหนือกว่า เสมอกัน หรือด้อยกว่า
มีแต่ธรรมชาติที่เป็นไป
ตามเหตุ ตามปัจจัยเท่านั้น
" วันหนึ่ง ๆ
ควรจะระลึกถึงความตายในตัวบ้าง อย่างน้อย
๕ หน ก็ยังดี
จิตใจ ของเรา
จะได้มีการยับยั้งจากความฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม
ความโลภ ก็จะไม่มากนัก
ความโกรธ ก็จะไม่มากนัก
ความหลง ก็จะไม่มากนัก
เพราะ...
มองเห็นป่าช้า."
________________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
" โดยหลัก
ของไตรลักษณ์ เป็นทางเดินของ...
ผู้รู้จริง เห็นจริงทั้งหลาย
เวลาพิจารณา
ด้านสติปัญญา
คือ...อริยสัจ เป็นหินลับปัญญา
ความทุกข์ทรมาน ทั้งหลายนี้
เป็น...หินลับปัญญา."
_______________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
" ทำจิต...
ให้มีอารมณ์ สิ่งรู้
สติ...
ให้มีสิ่งระลึก จิต นึกคิดสิ่งใดให้มีสติสำทับ
ลงไปตรงนั้น
ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด
คิด เป็นอารมณ์ จิต
ฝึกสติ...
ให้รู้...อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร
มีสติ...ตัวเดียว
__________________________________________
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน)
ผู้มีจิตสงบเป็นฐานแห่ง #สมาธิ
จะปรากฏชัดเจนว่า #จุดผู้รู้เด่นอยู่ในท่ามกลางอก นี้ทั้งสิ้น
ทีนี้ เวลาจิตนี้ กลายเป็น #จิตที่บริสุทธิ์แล้วจุดนั้นหายไป
จึงพูดไม่ได้ว่า จิตอยู่เบื้องบน เบื้องล่าง หรือในสถานที่ใด
เพราะเป็น #ความรู้ที่บริสุทธิ์ ด้วย เป็นความรู้ที่ละเอียด สุขุม #เหนือสมมุติใดๆ ด้วย
แม้เช่นนั้น ก็ยังแยก "สมมุติมาพูด" ว่า "ละเอียดสุด" ซึ่งไม่ตรงต่อความจริงนั่นนักเลย
คำว่า "ละเอียดสุด" นี่ มันต้องเป็นสมมุติอันหนึ่งน่ะสิ
#พูดไม่ได้ว่าอยู่สูงอยู่ต่ำมีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนไม่มีเลย !!
มีแต่ "ความรู้" เท่านั้น ไม่มีอะไรเข้าไปแทรกซึมเลย
แม้จะอยู่ในธาตุในขันธ์ ที่เคยคละเคล้ากันมาก่อน ก็ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
∆∆
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
การทำความเพียรมิใช่เพียงแค่
เดินจงกรม นั่งสมาธิ ทั้งวันทั้งคืน
แต่เป็นการที่เราสามารถที่จะเจริญสติ(ปัฏฐาน)ได้
โดยสม่ำเสมอ ในทุกๆ อิริยาบถ ในทุกๆ กาล
นี่ก็เป็นการเพียรปฏิบัติแบบอุกฤษ์เหมือนกัน
มิใช่ว่าต้องนั่งทน เดินทนแต่เพียงอย่างเดียว
แต่การนั่งทน เดินทน ก็เป็นการฝึกความอดทน
ฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง ซึ่งต้องมีสติที่ต่อเนื่อง
ในการที่จะไม่เข้าไปเป็น ไปรวมกับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น
ซึ่งก็เหมาะสมกับพื้นฐาน ทางจริตนิสัยของแต่ละคนไป
🌿 #ผู้ที่ภาวนาจิตสงบลงชั่วช้างพับหู งูแลบสิ้น ชั่วไก่กินน้ำ นี่อานิสงส์อักโข ให้ตั้งใจทำไป การที่จิตรวมลงไปบางครั้ง มี 3 ขั้นสมาธิ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
🌿หากรวมลง ขณิกสมาธิ เราบริกรรมไป พุทโธ หรืออะไรก็ตาม จิตสงบไปสบายไปสักหน่อยมันก็ถอนขึ้นมา ก็คิดไปอารมณ์เก่าของมันนี่
🌿ส่วนหากรวมลงไปเป็น อุปจารสมาธิ ก็นานหน่อยกว่าจะถอนขึ้นไปสู่อารมณ์อีกให้ภาวนาไปอย่าหยุดอย่าหย่อน ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องไปนึกคาดหวังอะไร อย่าให้มีความอยาก เพราะมันเป็นตัณหา ตัวขวางกั้นไม่ให้จิตรวม ไม่ต้องไปกำกับว่าอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การอยากให้จิตรวมลง เหล่านี้แหละเป็นนิวรณ์ตัวร้าย
🌿ให้ปฏิบัติความเพียรไม่หยุดหย่อน เอาเนื้อและเลือด ตลอดจนชีวิตถวายบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เราจะเอาชีวิตจิตใจ ถวายบูชาพระรัตนตรัยตลอดจนวันตาย นี่ก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วจิตจะรวมลงอย่างไร เมื่อไร ก็จะเป็นไปเองเมื่อใจเป็นกลาง ปล่อยวาง สงบถูกส่วน
🌿🌺องค์หลวงปู่ขาว อนาลโย
บางครั้งคนโง่ก็ฉลาดในบางเรื่อง
บางครั้งคนฉลาดก็โง่ในบางเรื่อง
แต่คนมีปัญญา จะไม่โง่เอาความทุกข์มาเป็นของตน
ไม่มัวยึดถือ อยู่ในความโง่ความฉลาดของตนเองหรือของใครๆ
จะมีเพียงใจที่พร้อมรู้ความรู้สึกทั้งปวง ทั้งภายนอกภายใน
กระทำทุกๆอย่างตามความสมควร ด้วยใจที่ตื่นรู้
ถ้าเรามีความพอใจในการภาวนา
ในทุกๆช่วงของการดำเนินชีวิตนั้น
ล้วนแล้วแต่จะเป็นไปเพื่อธรรมทั้งสิ้น
เราจะเห็นเองว่าไม่ว่าจะทำอะไร
จะประสบทุกข์หรือสุข ดีหรือร้าย
ล้วนแล้วแต่มุ่งหมายเพื่อเป็นบทเรียน
เพื่อการเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อความหน่าย
คลายความเข้าไปเป็น ไปสู่ความหลุดพ้นในที่สุด
ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่เป็นธรรม สำหรับผู้มีมรรคผล
เป็นแก่นสารของชีวิต...
มีสติรู้ตัวเสมอ รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
กับกาย วาจา จิตของเรา รู้ว่าดี ชั่ว ถูก ผิด
บุญ บาป ไม่บุญ ไม่บาป นั้น
ล้วนเกิดมาเพื่อ ฝึกสติสัมปชัญญะของเรา
เมื่อสติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์
เราก็เป็นคนสมบูรณ์ สามารถทำความดี
ได้สมบูรณ์ นี่คือแนวทาง
_________________________
หลวงพ่อทอง จันทสิริ
วัดอโศการาม
#ความรู้ตัวจริงนั้นย่อมเป็นตัวที่อยู่คงที่ไม่มีอาการยืนเดินไปมา
ส่วน #จิตก็คือตัวรู้ซึ่งไม่มีอาการไปอาการมาไม่มีไปข้างหน้าไม่มีมาข้างหลังมันก็สงบเฉยอยู่
และเมื่อตัวจิตราบเรียบอยู่ในปกติไม่มีความคิดนึกวอกแวกไปอย่างนี้ ตัวเราก็ย่อมสบาย คือ #จิตไม่มีเงา
ถ้าจิตของเราไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไหวตัวไปมาอยู่ก็ย่อมจะเกิด #สัญญา ขึ้นมา
และเมื่อสัญญาเกิดขึ้น มันก็ฉายแสงออกมา และเราก็จะไหลไปตามมัน จะไปเหนี่ยวดึงเข้ามา
การที่เราไปตามเข้ามานั่นแหละมันเสีย ใช้ไม่ได้
จึงให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า #ตัวรู้ นั้น ไม่เป็นไรดอก แต่ #เงา สัญญานั้นแหละสำคัญ
เราจะมุ่งไปทำให้ “เงา” มันดีขึ้นก็ไม่ได้ เช่น “เงา” มันดำเราจะเอาสบู่ไปขัดฟอกจนตายมันก็ไม่หายดำเพราะเงามันไม่มีตัว
ฉะนั้น #สัญญาความคิดนึก ต่าง ๆ เราจะทำให้ดีเลว ย่อมได้ เพราะมันเป็นเพียง #หุ่นหลอกเรา เท่านั้น
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า ใครไม่รู้จัก ตัว ไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จัก ใจ ไม่รู้จัก เงา ของตัวเอง นั่นคือ #อวิชชา
#คนที่สำคัญว่าจิตเป็นตนตนเป็นจิตจิตเป็นสัญญาปนเปกันไปหมดเช่นนี้เขาเรียกว่าคนหลง คือเหมือนกับคนที่หลงป่า
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
" เอาสติอยู่...กับตัว
รู้...ก็สักแต่รู้...
เห็น...ก็สักแต่เห็น...
ทำเพียงเท่านี้ ก็ไปนิพพานได้."
(หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต)
ไอ้ตัวความเป็นฉัน ความเป็นเรา
เป็นของเรา ความเป็นตัวกูของกูนั้น
มันแสดงตัวอยู่ตลอดเวลาน่ะแหละ
แต่ไม่เห็นเพราะมันกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
เป็นเนื้อเดียวไปกับความหลง
ต่อเมื่อหลุดจากความหลงได้ชั่วขณะ
เหมือนโผล่หัวพ้นน้ำครำมาได้ชั่วขณะ
จึงจะเห็นว่า ไอ้ตัวนี้มันไม่น่าเอาน่าเป็นจริงๆ
มันน่าเกลียดเสียจนไม่ควรจะปล่อยมันออกมาเพ่นพ่าน
ทั้งมันยังเป็นตัวที่รองรับทุกข์ทั้งมวล
มีสติไว้นะ รู้สึกตัวไว้นะ ความยินดี ยินร้ายนี้แหละ
ที่แสดงตัวของมัน รู้ให้เท่าทันนะ
ความคิดกับการรู้เป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน
เมื่อรู้ไม่คิดเมื่อคิดไม่รู้
แต่ไม่ใช่ว่าความคิดจะดับหายไปไหน
เพียงแต่ไม่มีใครเข้าไปเป็นความคิดนั้น
เป็นเพียงแค่การทำงานของสังขารขันธ์เท่านั้น
แต่ขั้นแรกๆความคิดก็ดับไปเหมือนกันแล้วคิดใหม่
พอรู้ก็ดับอีกไปเรื่อยจนจิตมีกำลังพอตั้งมั่นขึ้นมา
แยกตัวออกมาจากอารมณ์ทั้งหลายแล้วนั่นแหละ
จึงจะเห็นขันธ์ทั้ง๕ ทำงานไปเปลี่ยนแปลงไป...ไม่มีเรา
ถ้าใจไม่มีสติ...ก็ให้ตั้งใจ ใส่ใจพัฒนาสติขึ้นมา
ถ้าใจไม่มีสมาธิ...ก็ให้ใส่ใจ พัฒนาใจให้ตั้งมั่น
ถ้าใจไม่มีปัญญา...ก็ให้ใส่ใจ ที่จะรู้เท่าทันความเกิดดับ
แต่ถ้ายังยินดีในสิ่งที่นำความเสื่อมสู่ใจ
ปล่อยใจ ให้เพลิดเพลิน
ไม่ขวนขวายจะปรับปรุงตัว ใจก็จะยิ่งมืดมากขึ้น
จนยิ่งห่างจากธรรมอันควร อยากรู้ธรรมเห็นธรรม
แต่ไม่ปฏิบัติในสิ่งอันควร ก็ยากที่จะรู้จะเห็น
ธรรมนั้นไม่ใช่รู้ได้ด้วยความอยาก
แต่เพราะละความอยากต่างหากจึงถึงซึ่งธรรม
ประตูนั้นเปิดอยู่เสมอ อยู่ที่จะก้าวข้ามผ่านไป
โดยทิ้งความอาลัยไว้ไหม......'
เราตื่นมาเรารู้สึกถึงสิ่งใด
สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา
เราไปทำงาน เราใช้ชีวิต
มีความรู้สึกต่างๆ มากมาย
สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต เป็นของอยู่ต่างหากจากจิต
หมั่นสังเกตเอาไว้ ให้สม่ำเสมอ
จิตจะค่อยๆ ตั้งมั่น พอที่จะเห็นตามจริง
ของอารมณ์ทั้งมวลได้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญ
ของการก้าวไปสู่มรรคาแห่งความพ้นทุกข์
ต้องรู้จัักเรียนรู้นะ
เมื่อมีสุขเกิดขี้นมาให้คอยรู้สึกตัว
สังเกตุดูว่า มันสุขยังไง มันเกิดดับไปอย่างไร
เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นมาคอยรู้สึกตัว
สังเกตุดูว่า มันทุกข์ยังไง มันเกิดดับไปอย่างไร
ด้วยใจที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง จากการที่เราฝึกฝน
เจริญสติสัมปชัญญะมาตลอด
เมื่อเราเข้าใจแล้ว ใจจะเข้าไปจับอารมณ์ต่างๆ
ทั้งสุข ทุกข์สั้นลงมาก แล้วลอยตัวอยู่เหนือทั้งสุขทุกข์
เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป
ใจไม่ข้องติด ใจจะเบาปลอดโปร่ง อยู่ตามปกติของใจ
เพราะไม่หวังให้ทั้งสุขทุกข์ ดำรงอยู่หรือหมดไป
ขอแค่เพียงรู้สึกตัวเป็น
รู้สึกที่กายที่ใจในปัจจุบันนี้เท่านั้น
ไม่ว่าจะมีความรู้มากความรู้น้อย ก็ไม่เป็นปัญหา
เพราะการภาวนาไม่ได้เกี่ยวกับความคิดเก่ง
แต่ใจนั้นต้องพ้นจากความคิด เป็นอิสระจากความคิด
(แต่ก็ไม่ใช่จะไปกดข่มบังคับไม่ให้คิด)
แล้วรู้สึกๆที่กายที่ใจจริงๆเท่านั้น
เห็นกายถูกรู้ ห็นอารมณ์ความรู้สึกทางใจถูกรู้ ไม่ใช่เรา
แล้วสิ่งเหล่านั้น จะแสดงธรรมชาติแท้ของมันให้เห็นเอง
คือความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ไม่สามารถบังคับบัญชาได้จริงๆ...เห็นเท่านี้ก็พอแล้ว
เมื่อปัญญาเห็นความเกิดขึ้น
ความดับไปของสังขารทั้งหลายทั้งปวง
เห็นแน่ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เป็นเพียงธาตุ ๔ มาประชุมกันเข้า
แล้วก็แตกสลายไปอย่างนี้ แต่ไหนแต่ไรมา
ฐิติธรรมมีการตั้งขึ้น มีอยู่แล้วดับไป
พิจารณารู้เท่าทันในสิ่งเหล่านี้
ไม่หวั่นไหวเรียกว่า นิโรธ
คือผู้วางเฉยต่ออารมณ์ ดังนี้แล..
หลวงปู่ขาว อนาลโย
" ให้รู้...
ตามความเป็นจริง ของมัน
สุข เกิดขึ้น สุข ดับไป
สุข เป็นไตรลักษณ์
ทุกข์ เกิดขึ้น ทุกข์ ดับไป
ทุกข์ เป็นไตรลักษณ์
สุข เป็นไตรลักษณ์
เวทนา เป็นไตรลักษณ์
สัญญา เป็นไตรลักษณ์
สังขาร เป็นไตรลักษณ์
วิญญาณ เป็นไตรลักษณ์
ให้เห็นว่า...
เป็นไตรลักษณ์ เป็นความจริงอันหนึ่ง ๆ
รู้แล้ว...ถอนตัวขึ้นมา
เป็นอิสระ
อย่าไปยุ่ง อย่าไปแบก อย่าไปหาม."
________________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
~เรามีจิตเราแบบไหน แบบแผล สายฟ้า หรือเพชร~
[สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับเหล่าภิกษุว่า]
พ: มีคน 3 แบบปรากฏอยู่ในโลก คือ คนที่มีจิตเหมือนแผล มีจิตเหมือนสายฟ้า และมีจิตเหมือนเพชร
คนที่มีจิตเหมือนแผลเป็นอย่างไร
บางคนในโลกนี้ เป็นคนโกรธง่าย อารมณ์ร้อนมาก ถูกเขาว่าหน่อยก็ฉุนเฉียวหัวเสีย แค้นเคืองไม่พอใจ เหมือนอย่างแผลร้าย ถูกไม้หรือกระเบื้องเข้าก็ยิ่งมีหนองไหล
คนที่มีจิตเหมือนสายฟ้าเป็นอย่างไร
บางคนในโลกนี้ รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้คือทุกข์ นี้คือเหตุแห่งทุกข์ นี้คือการดับทุกข์ และนี้คือวิธีดับทุกข์ เหมือนอย่างคนตาดีจะเห็นรูปทั้งหลายในคืนมืดมิดได้ระหว่างที่สายฟ้าแลบ
คนที่มีจิตเหมือนเพชรเป็นอย่างไร
บางคนในโลกนี้ หลุดพ้นจากกิเลสด้วยฌาน (การเพ่ง) และสมาธิ (สงบตั้งมั่น) ผ่านการฝึกจิต (เจโตวิมุตติ) หลุดพ้นจากกิเลสด้วยปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง (ปัญญาวิมุตติ) ด้วยตนเอง อยู่กับปัจจุบัน เหมือนอย่างแก้วหรือหินที่ถูกเพชรเจาะทำลาย
_______
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 34 (พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ภาค 1 เล่ม 3 ปุคคลวรรค วชิรสูตร ข้อ 464), 2559, น.83-84
ธรรม...
มีอันเดียวเท่านี้ ไม่มีมาก
คือ...
จิต...ของเรา ที่เห็นชัดแล้ว
มันก็...วาง
ปล่อย...หมดแค่นั้น."
________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
#การทำจิตให้มีพลัง
คำว่า "จิตสงบ" นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร
มันต้องมี! มีความสงบครอบอยู่
การทำจิตให้สงบ คือการวางให้พอดี
ตั้งใจเกินไป มากก็เลยไป ปล่อยเกินไป
ก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี
ธรรมดาจิตเป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของ
มีกิริยา ไหวตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้นจิตใจ
ของเราจึงไม่มีกำลัง
การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง กับ
การทำกายของเราให้มีกำลังมันต่างกัน
การทำกายให้มีกำลังก็คือ การออกกำลัง
ทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง
นี่คือการทำกายให้มีกำลัง
การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือ ทำจิตให้สงบ
ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่าง ๆ
ให้อยู่ในขอบเขตของมัน
เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ
ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังทางด้าน
สมาธิภายใน...
#หลวงพ่อชา สุภัทโท
ดูกรภิกษุ เมื่อใด จิตของเธอ
เป็นจิตตั้งมั่นดำรงอยู่ด้วยดีแล้วในภายใน
และธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ครอบงำจิตได้ เมื่อนั้น เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราจักเจริญ กระทำให้มากซึ่งเมตตาเจโตวิมุติ
ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง
ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว
ดูกรภิกษุ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
< บทสรุปคำสอนการดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล>
1. ธรรมเรียนรู้ได้ที่จิต
2. ให้บริกรรมเพื่อรวมอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง สังเกตุดูว่าใครเป็นผู้บริกรรมนั้น
3. ทำความเข้าใจในอารมณ์ความคิดนึก สังเกตุกิเลสที่กำลังปรากฏให้ออก
4. อย่าส่งจิตออกนอก อย่าให้จิตคิดส่งไปภายนอกหรือเผลอ ให้สังเกตุ ความ หวั่นไหวหรือปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์ที่รับเข้ามาทางอายตนะทั้งหก
5. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดังตาเห็นรูป คือรู้ทันพฤติของจิต
6. รู้เพราะคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อหยุดคิดถึงจะรู้ แต่ก็ต้องอาศัยคิด คืออย่าไป ห้ามความคิด 7. แยกรูปถอดความปรุงแต่ง ก็ถึงความว่าง แยกความว่างก็ถึงมหาสุญญตา
8. สรุปอริยสัจแห่งจิต
▪จิตส่งออกนอกไปรู้อารมณ์เป็นสมุทัย
▪ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกไปรู้อารมณ์เป็นทุกข์
▪จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค
▪ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ธรรมจาก ท่าน ผัสสปเรโต ผัสสะบังหน้า
ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้..
ต้องอยู่นอกเหตุเหนือผล.
นอกสุขเหนือทุกข์.
นอกเกิดเหนือตาย.
ธรรมนี้เป็นธรรมที่ระงับ..
เรื่องธรรมะที่แท้จริงนั้น ต้องทิ้งเหตุทิ้งผล
คือธรรมะมันสูงกว่านั้น.
ธรรมะที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ ระงับกิเลส
ทั้งหลายได้นั้น มันอยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่
อยู่ในเหตุ..อยู่เหนือผล.
ทุกข์มันจึงไม่มี สุขมันจึงไม่มี.ธรรมนั้นท่าน
เรียกว่าระงับ มันระงับเหตุระงับผล.
ถ้าพวกใช้เหตุผลอยู่อย่างนี้ เถียงกันตลอด
จนตาย.
คนเราก็มาสงสัยอยู่นี่แหละ.ผู้ชายยิ่งสงสัย
ความสงสัยนี่ตัวสำคัญ มีเหตุผลอย่างนั้น
อย่างนี้..มันจะตายอยู่แล้ว. มันไม่ใช่ธรรมะ
ของพระพุทธองค์.
ธรรมนั้นเป็นข้อปฏิบัติ เป็นทางเดิน.เดินไป
เท่านั้น.
ถ้ามัวคิดว่าเมื่อไปถึงนี้ ฉันนี้สุขเหลือเกินไม่
ได้.ฉันนี้ทุกข์เหลือเกิน ไม่ได้.
แต่ถ้าฉันไม่มีสุขไม่มีทุกข์.นี่คือมันระงับแล้ว
สงสัยไม่มี..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท..
" การฝึกสติของเรา...
นาน ๆ นึกขึ้นได้ ก็ตั้งสติเสียทีหนึ่ง
เรา ก็มีสติที่ขาดเป็นช่วง ๆ
เหมือนหยดน้ำ
ถ้าเราพยายามระลึกรู้...อยู่เสมอ
มีสติ...
ในทุกการที่ทำ คำที่พูด และความรู้สึกนึกคิด
เรา ก็จะเป็นผู้มีสติอยู่...ตลอดเวลา
ไม่เผลอ
เหมือนหยดน้ำต่อกันเป็นสาย."
________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ธรรมะที่ได้จากการอ่าน การฟัง การศึกษา
จากที่ต่างๆ แล้วเก็บรวบรวมไว้ ทำความเข้าใจ
ในระดับของความคิด ถ้าไม่รู้จักแปลง มาเป็นภาษาใจ
นำสิ่งที่รู้มาสู่การปฏิบัติ ที่ไร้คำพูด การมีธรรมนั้น
ย่อมหนักเปล่าเพราะยังไม่ใช่ธรรมแท้ ธรรมแท้ยิ่งปฏิบัติ
ยิ่งเบาสบาย เพราะอัตตมานะต่างๆย่อมถูกรู้ถูกเห็น
จนไม่สามารถมีกำลังพอจะครอบงำจิตรู้นั้นได้
รู้ธรรมจริงต้องนำมาใช้ ให้เกิดประโยชน์กับใจนะ
อย่าแบกสิ่งที่คิดเอาว่าเป็นธรรมไปเลยนะ
ธรรมนั้นยิ่งรู้ยิ่งไม่มีทั้งเบาและหนักนะ
เรื่องภาวนา เราจะให้มันนิ่งอยู่หน้าเดียว
ดิ่งในเป้าที่เราเพ่งอยู่มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะสมาธิทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจอนิจจังอันละเอียด
เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา มันจะถอนออกมาก็ช่างมัน
เราต้องสังเกตว่า ออกมาแล้วอย่างนี้มีกามวิตก
ความตริในทางกามหรือไม่ มีพยาบาทวิตก
ความตริในทางพยาบาทหรือไม่ มีวิหิงสาวิตก
ความตริในทางเบียดเบียนหรือไม่
ถ้าไม่มีธรรม 3 ประการนี้รบกวนจิตใจเรา
ก็ปล่อยให้จิตใจนั้นอยู่ตามสบายนั่นเถิด
มีการมีงานก็ทำไปไม่มีโทษ เพราะเรามีสติอยู่กับตัว
ไม่ใช่จะตันขี้ ตันเยี่ยวมันไม่ให้มันนึกไปทางไหน
มันนึกไปทางดีแล้วก็ปล่อยมัน ไม่มีโทษ .
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
เวลาที่ลูกศิษย์เรา มาเล่าการปฏิบัติ
เล่าเรื่องการไปรู้เห็น สภาวธรรมต่างๆ
ไม่ว่าจะดีเลิศ หรือหยาบๆ
หรือรู้สึกว่า ทุกสิ่งว่างเปล่า
เราก็มักจะแค่ ......
"ถุยส์ "...และว่า "มันก็อย่างงั้นๆแหละ"
"จะไปอะไรกับมันนักหนาวะ"
"ทิ้งแม่งไว้ตรงนั้นแหละ ตรงที่มึงรู้นั่นแหละ"
"เอาแค่รู้สึกๆ กายจิตที่ปัจจุบันนี้ก็พอเว้ย"
ก็เพียงเท่านั้นเองเพราะว่า
สิ่งที่ควรระวังสำหรับผู้ภาวนา
คือความสำคัญผิดสำคัญในภาวะต่างๆ
สำคัญในความละเอียด สำคัญในความไม่มี
สำคัญในความไม่สำคัญในสิ่งใด
ผู้เห็นธรรมจริงจึงไม่ไปสำคัญว่า
ตนเป็นอะไร หรือตนรู้อะไร
แต่มันเป็นอย่างนั้นๆ เองตามธรรมชาติ
ความคิดเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ในขณะแห่งการภาวนา ทั้งรู้เข้าใจมากน้อยอย่างไร
อย่าเพิ่งไปเชื่อ อย่าเพิ่งสำคัญว่ารู้เข้าใจอะไรเลย
เมื่อใดเจริญสติ รู้ตัว เรียนรู้ความจริงของ รูป นาม
คืออาการของจิตทั้งหลาย ว่าตกอยู่ในกระแสไตรลักษณ์
มีความเกิดดับสืบเนื่องกันไป จนความรู้ที่มักซ่านออกไปรู้
หดตัวเข้ารู้อยู่ที่ ธาตุรู้ ล้วน เป็นธาตุรู้ที่พร้อมประจักษ์ธรรม
เมื่อถึงตรงนั้นแล้วความคิดเห็นอันใดที่เกิดขึ้น
ย่อมควรแก่การพิจารณา ย่อมเป็นไปเพื่อการสละออกโดยถ่ายเดียว
เพราะออกมาจากความเห็นว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริง..
ถ้าหากว่าเราหมดความสงสัย
อยู่ด้วยความวางแล้ว มีความสุขมา ทุกข์มา ดีมา ชั่วมา
เราก็วาง อาการวางนี้
มันจะเป็นญาณอะไรก็ช่างมันเถอะ มันสงบแล้ว มันพ้นจากความวุ่นวาย มันเป็นโลกุตรจิตแล้ว
มันไม่พัวพันอยู่ในโลกแล้ว มันจะเป็นญาณอะไรหรือ ไม่ใช่ญาณอะไรก็ช่างมันเถอะ มันเป็นอยู่อย่างนั้นพอแล้วลักษณะมันพอ ไม่หวั่นไหวแล้ว อยู่ไปเพราะความรู้
อยู่ไปเพราะความรู้เท่าตามความเป็นจริง
มีความรู้ไม่ยึดความรู้นั่นอีก..ไม่ยึดอะไรทั้งหลายทั้งปวง
ความรู้ก็ไม่ยึด ว่าไม่รู้ก็ไม่ยึด..ชั่วก็ไม่ยึด ดีก็ไม่ยึด...
หลวงพ่อชา สุภัทโท
สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้สติสัมปชัญญะเจริญงอกงาม
นอกจากความหมั่นเพียรแล้ว ก็คือ
การมี โยนิโสมนสิการ
(การทำไว้ในใจโดยแยบคาย)
เหมือนกับว่าเมื่ออาการต่างๆ
เกิดขึ้นหรือกระทบเข้ามา
จะรู้อย่างไร จะจัดการอย่างไร
จะสร้างมุมมองอย่างไรให้ใจรู้
ทีนี้จะมีโยนิโสฯได้ ก็ต้องมีศรัทธา
คือความมุ่งมั่นในการรู้ใจ
มีความใส่ใจจริงใจกับธรรม
จะมีศรัทธาได้ก็ต้องเปิดใจยอมรับ
ฟังพระสัทธรรมหรือข้อธรรมไม่กั้นใจ
ไว้ด้วยทิฏฐิความเห็นของตน
น้อมนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับใจ.....