พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 11 เมษายน 2561
ตอนที่ 313 **การแบ่งระดับพระสกิทาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
คือว่า ลูกยังมีข้อสงสัย ถึงเรื่องของ*พระสกิทาคามี* น่ะเจ้าค่ะ
พระโสดาบันนั้น แบ่งออกมาเป็น 3 ระดับ แล้วพระสกิทาคามี ล่ะเจ้าคะ จะมีกี่ระดับ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วย เจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่ลูกจะเดินทางไปยังที่ใดสักที่หนึ่ง มันย่อมมี
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
แล้วก็ช่วงกลางๆที่ลูกไปถึงครึ่งทาง
แล้วก็ช่วงปลายที่ลูกถึงจุดมุ่งหมาย
การประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงพระสกิทาคามีนั้น ก็เช่นเดียวกัน..
* ย่อมต้องมีการปฏิบัติ จนจิตเดินทางเข้าไปสู่ระดับของการเป็น *พระสกิทาคามี*
แล้วก็ยังคงต้องประพฤติ ปฏิบัติ จนจิตนั้น เลื่อนเข้าไปต่อ..ไปให้ถึงการเป็น *พระอนาคามี* ++
ฉะนั้น.. ย่อมต้องมีช่วงต้น -ช่วงกลาง -และช่วงปลาย
ย่อมต้องมีความละเอียด ในระดับต้นของพระสกิทาคามี กลางของพระสกิทาคามี และปลายของพระสกิทาคามี ในการเดินทางของการทำความดี.. ที่จิตจะเลื่อนระดับไป
ถึงแม้ว่า ภพชาติจะเหลือเพียงแค่อีก 1 ชาติ ถ้าเข้าสู่การเป็นพระสกิทาคามีแล้ว..
.. แต่ก็มีความละเอียดของการเป็นพระสกิทาคามี ระดับต้น - กลาง - ปลาย เพื่อที่จะไปสู่การเป็นพระอนาคามี
จึงแบ่งออกมาได้ โดยความละเอียดของจิต.. แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย
เพราะว่ายังไงแล้ว.. ก็จะไปถึงในที่สุด เพราะก็เหลือแค่เพียงชาติเดียว คือ ชาติสุดท้าย **
ฉะนั้น.. บุคคลผู้ที่เดินทางมาถึงจุดตรงนี้แล้ว
จิตของเขา - ก็ย่อมนำพาให้เขาได้พัฒนาการปฏิบัติของตน
ค่อยๆขัดเกลากิเลสตัณหาให้ละเอียดขึ้นๆ ++
อย่างนั้นละ พระยาธรรม..
จึงไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งแยกรูปแบบต่างๆ ว่าอยู่ในระดับที่ 1 ที่ 2 ที่ 3
แต่ในความเป็นจริง ก็คือ ความละเอียดของจิตนั่นละลูก ที่เดินทางมาจนเข้าถึงความดีระดับต้น กลาง และก็ปลาย
จึงประพฤติ ปฏิบัติ ตามความดีที่ตนควรจะทำไปเรื่อยๆ
- เพื่อให้จิตแห่งตน ละกิเลสให้ได้มาก ++
ส่วนการที่จะแตกต่างกันนั้น - จะเป็นการแตกต่างของพระสกิทาคามี แต่ละดวงจิต แต่ละองค์ ต่างหากลูก ++
บางคนปฏิบัติจนถึงการเป็น พระสกิทาคามีแล้ว.. แต่ก็ไม่สามารถ
/ ที่จะมีความรู้แจ้ง - ที่กว้างขวาง
/ ที่จะไปสอนคนอื่นได้
/ ที่จะไปบอกต่อผู้คน ได้เยอะแยะมากมาย
- ตนจะรู้ได้แค่เฉพาะตน / ปฏิบัติของตน / พิจารณาของตน
คือ พูดไม่ค่อยจะเป็น อธิบายไม่ค่อยจะถูก
แต่ตนรู้ว่า คืออะไร.. อย่างนั้นน่ะลูก
พระสกิทาคามีบางองค์ ก็มีคุณวิเศษหลายอย่าง..
/ สามารถที่จะชี้ทาง บอกทางแก่ผู้อื่นได้ ให้เขาเหล่านั้นเข้าใจ
/ เป็นผู้นำการปฏิบัติ
/ รู้จักพูด รู้จักทำความเข้าใจแก่ผู้อื่น
/ และสามารถที่จะนำพาผู้อื่น ให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ในระดับต่างๆ
บางที ความแตกต่างนั้น มันก็ซ่อนอยู่ในความแตกต่าง
แล้วก็ยังมีความแตกต่าง ที่แตกต่างกัน ซ่อนอยู่ในความแตกต่างอีก !
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. ถ้าจะถือว่า เป็นการแบ่งออกมาเป็นกี่ระดับนั้น ก็ไม่ได้แยกโดยชัดเจน ว่ามีกี่รูปแบบ
- เพียงแต่มีระดับของการทำความดี โดยปรกติเหมือนการเดินทาง ที่ไปถึงต้นทาง กลางทาง และปลายทาง -
ถ้าจะแตกต่าง.. ก็แตกต่างที่ดวงจิตแต่ละดวง
การบำเพ็ญมา ของแต่ละดวงจิต
การมีกรรมที่ผูกกันมากับจิตดวงอื่น ของแต่ละดวงจิต
การที่จิตดวงนั้นจะรู้ จะสามารถทำในสิ่งที่ดีได้ในรูปแบบไหน ก็จะแตกต่างกันตรงนี้ละลูก
.. พอจะเข้าใจแล้วหรือยังลูก ?
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ..ว่า
พระสกิทาคามีนั้น ไม่ได้แบ่งออกมาเป็น 3 รูปแบบ เหมือนพระโสดาบัน
พระโสดาบัน - มีภพชาติอีก ไม่มากไปกว่า 7 ชาติ **
ฉะนั้น.. บางพระองค์ ก็ไปก่อน / บางพระองค์ก็ไปทีหลัง
มันก็เลยมีการแบ่งแยกออกมา เป็น 3 รูปแบบ +
แต่ว่าพระสกิทาคามี จะเหลือเพียงแค่ 1 ชาติ - จะเป็นชาติสุดท้ายแห่งการเข้าสู่พระนิพพานแล้ว
ฉะนั้น.. จึงไม่แบ่งแยกมาเป็น 3 ประเภท
เพียงแต่การปฏิบัติของจิต ก็มีการปฏิบัติ จึงเข้าถึงความละเอียดอ่อนของธรรม ของการละกิเลส ระดับต้น กลาง ปลาย.. เพื่อไปสู่การเป็นพระอนาคามี
พระสกิทาคามี จะมีความแตกต่างกัน ก็อยู่ที่ดวงจิตแต่ละดวงจิต แต่ละองค์ของพระสกิทาคามี ว่าตนนั้นได้สร้างกรรมดี - กรรมชั่ว / กรรมที่พัวพันกับผู้คนมาอย่างไร
ก็จะมีสติ มีปัญญา มีความรู้ ความสามารถที่แตกต่างกันไป...
พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ
.. ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วละเจ้าค่ะ
ลูกมีความเข้าใจอะไรที่ผิดไปจากความจริง หรือเปล่าเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรม ให้ลูกฟังต่อไปเถิด เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม ก็พอจะเข้าใจตามหลักความเป็นจริงได้อยู่
ดีแล้วละลูก
เข้าใจแล้ว.. ก็จงน้อมไปฝึกฝน ประพฤติ ปฏิบัติตาม
ฝึกดูจิตของตน ว่าบัดนี้ ตอนนี้.. ตนนั้นมีสภาวธรรมเป็นเช่นไร ?
จิตของตนปฏิบัติถึงตรงไหน ?
ขาดอะไรในสิ่งที่ตนจะต้องทำเพิ่มบ้าง ?
ตนนั้น ต้องฝึกอะไรต่อไป ?
รู้แล้ว ก็นำไปพิจารณากับตัวกับตนของตนให้แจ่มแจ้ง
แล้วก็ฝึกฝนตนให้พัฒนา เจริญขึ้นในการปฏิบัติ อยู่ทุกวันนะลูก
กาลเวลามันผ่านไปทุกวัน ทุกคืน ไม่มีใครสามารถหยุดไม่ให้เวลาเดินไปได้
ฉะนั้น.. สิ่งที่เราทำได้ ก็คือ ควรที่จะรักษาทุกเวลา ทุกชั่วโมง ทุกกาลเวลาที่ผ่านไปนั้น
รักษากาลเวลานั้น - ด้วยการทำความดี
อย่าปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับความทุกข์ ล่องลอยไปกับสิ่งที่จะฉุดดึง..ให้เราตกต่ำลงไป
พยายามฝึกสิ่งที่ดี พาจิตใจของตน เข้าหาสิ่งที่เป็นพลังงานบวก / สิ่งที่ดี
- เพื่อให้ลูกนั้น จะได้ทำความดี
- เพื่อจิตของตนจะได้รีบเร่งเติมสิ่งที่ดี ชำระกิเลสตัณหา --
.. ลูกจะได้ไม่ต้องพากันตกไปสู่จุดที่ต่ำ - เมื่อเวลาหมดไป !
พระยาธรรมเอ๋ย.. การทำความดีนั้น แม้อาจจะยากหน่อย อาจจะมีอุปสรรคหน่อย
แต่เราย่อมสามารถที่จะทำได้ลูก หากเรารู้วิธี รู้หลักการทำความดีอย่างชัดเจน
ว่า.. เรานั้นต้องทำความดีอะไรบ้าง เพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมาย แห่งการทำความดี
เช่นวันนี้ ที่ได้ฟังเรื่อง *พระสกิทาคามี* ก็ทำให้เรานั้น รู้ว่า.. จุดมุ่งหมายที่จะไปให้ถึงการเป็น*พระสกิทาคามี* นั้น เป็นแบบไหน ?
ฉะนั้น.. เราก็จง อย่าให้เสียเวลาเปล่า !
- เอาเวลาที่มีอยู่ ศึกษาเรียนรู้ องค์พระพุทธเจ้า องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์...
รวมถึง เรื่องของการทำความดี อย่างถูกต้อง
ศึกษาให้เข้าใจ
- เข้าใจแล้ว.. ให้เข้าใจลึกเข้าไปอีก เพื่อที่ตนจะได้เข้าถึงการเป็นพระสกิทาคามี ++
อย่าปล่อยให้จิตใจล่องลอย โดยไร้จุดมุ่งหมาย.. ลูกเอ๋ย
กาลเวลามันหมดไปทุกวัน - ไม่รอคอยใคร !
เหลือเวลาอีกเพียงไม่นานนัก ลูกทั้งหลาย.. ก็จะหมดเวลาในการได้ฟังธรรมเช่นนี้
ได้มีผู้ชี้ทาง บอกทาง - อย่างชัดเจน เช่นนี้
จงพากันตั้งใจปฏิบัติเถิด ฝึกฝนให้รู้ว่า การรักษาศีล - รักษายังไงถึงถูกต้อง ?
รักษาด้วย กาย วาจา ใจ
รักษาศีลแบบไหน ?
.. คือ แบบที่
รักษาอย่างไม่ตึงเครียด
รักษาอย่างไม่ทุกข์
รักษาอย่างมีความสุข ในการอยู่ในกรอบของศีล
ดูว่า จะอยู่ในศีลยังไง - แบบไม่มีกรอบ ก็อยู่ได้ ++
.. ให้จิตใจ เข้าถึงความละเอียด แห่งการทรงอยู่ในคุณความดี…
ทำเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม เพื่อลูกทั้งหลาย..
จะได้ไม่เสียเวลาเปล่า
จะได้เข้าถึง ความเป็นพระสกิทาคามี
เมื่อมีเวลา ก็หมั่นศึกษาอบรมตน ให้ลูกนั้น รู้แจ้ง เข้าใจ
มองเห็นความเป็นจริง ของสิ่งทั้งหลาย
ทั้งรูปธรรม / ทั้งนามธรรม
คือ คำพูด คำสรรเสริญต่างๆ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง - โดยจับต้องเป็นรูปไม่ได้
ทั้งสิ่งที่มองเห็น และจับต้องเป็นรูปด้วย
มองให้เห็นความไม่สวยไม่งาม ในสิ่งเหล่านั้น
เพื่อลูกจะได้มองทุกอย่าง.. อย่างชัดเจน ถอนถอนความยึดติด
ยกจิตของตน จนเข้าถึงการเป็น *พระสกิทาคามี*
ทำเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
อย่าพากันปล่อยให้กาลเวลานั้น เสียเปล่า !
เมื่อเข้าถึงการเป็นพระสกิทาคามีแล้ว.. ก็ทำความดีต่อไปเรื่อยๆ
จนเข้าถึงความดีระดับ ต้น - กลาง - และปลาย
เพื่อไปสู่การเป็น *พระอนาคามี*
จงทำความเข้าใจ ให้เห็นความเป็นธรรมดา ของความแตกต่างในพระสกิทาคามี แต่ละบุคคล แต่ละดวงจิต
เห็นเป็นธรรมดา - จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่งง ว่ามันเป็นแบบไหน ยังไง ?
เขาเป็นแบบนั้น เราทำไมเป็นแบบนี้ ?
เช่นนี้ละ พระยาธรรม..
เมื่อเรายังไม่เป็นพระสกิทาคามี เราก็ต้องฟังธรรม ศึกษาธรรม
อยู่ในกรอบของความดี สั่งสมความดีเข้า
ฟัง เรียนรู้ ให้เข้าใจ เพื่อเรามีจุดมุ่งหมาย
ฟังแล้ว เรียนรู้แล้ว.. ก็น้อมไป ประพฤติ ปฏิบัติ
เพื่อเราจะได้ไปถึงจุดมุ่งหมาย **
จะได้ไม่เสียเวลา เวลานั้นผ่านไปทุกวัน ทุกคืน
เวลานั้น..จะหมดลงแล้ว ในทุกวันที่ผ่านไป
จงอย่าชะล่าใจกัน !
จงรีบเร่งปฏิบัติ ด้วยการรักษาเวลาไว้ให้ดี.. ก็แล้วกัน
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือ ธรรมที่จะกล่าวแก่เธอ เพื่อเธอจะได้น้อมไปใช้
เตือนตนเอง - ในการทำความดี / ในการไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า
.. เพื่อเธอจะได้นำไปเผยแผ่ ให้กับญาติธรรมทั้งหลาย.. นำไปฝึกฝนตนเอง
-- ตราบเท่าคลิปธรรมะคลิปนี้.. จะสูญสิ้นไปจากโลกใบนี้ ++
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาชี้ทางบอกทาง
เตือนสติให้กับหนู และทุกๆคน ที่ได้ปฏิบัติตามธรรมะคลิปนี้
วันนี้ ลูกคงต้องขอลาก่อน นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ..
สาธุ