ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น
ครั้นได้สดับดังนั้นแล้ว เธอย่อมรู้ชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง
ครั้นรู้ชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว
ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว
ได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี
มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี ย่อมพิจารณาเห็น ความไม่เที่ยง
ในเวทนาเหล่านั้น พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด
พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืน
เมื่อเธอพิจารณาเห็นอย่างนั้นๆ อยู่ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก
เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตัวทีเดียว
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ดูกรโมคคัลลานะ #โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล
ภิกษุ จึงเป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา
มีความสำเร็จล่วงส่วน เป็นผู้เกษมจากโยคะล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน
มีที่สุดล่วงส่วน ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ
โมคคัลลานสูตร
นี่คือ...ผล เหตุ...คือ การเจริญสติปัฏฐาน 4 จนเห็นความจริง ของกาย และใจ ...
จนอริยมรรคมีองค์ ๘ เต็มรอบ จึงจะเห็น"ความไม่มีตัวตน"
"ความคิด" ดับ แต่ "ความรู้" ไม่ดับ .. อย่างนี้เป็น #นิโรธสมาธิ
อีกอย่างหนึ่ง #นิโรธนิพพาน นั่น ..
กำลังพูดอยู่ก็เป็น #นิพพาน กำลังทำอยู่ก็เป็น #นิโรธ นั่งอยู่ก็เป็น #นิโรธ
คือ "ทำ แต่ความยืดถือในการทำไม่มี .. พูด แต่ความยึดถือในการพูดไม่มี "
อย่างนี้เป็น #นิโรธนิพพาน
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
สัญญา อดีต อนาคต เป็น "โลก"
ปัจจุบัน เป็น "ธรรม"
สัญญาอะไร นิดเดียว ก็ไม่เอา ไม่ให้เกี่ยว
เกี่ยวนิดเดียว ก็เป็น "ภพ" แล้วต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
#ธรรมเทศนาหลวงปู่ใหญ่เนื่องในวันธรรมสวนะ
------------------------
ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย ๚
หลวงปู่มุ่งมั่นจะช้อนชูลูกหลานให้เข้าถึงธรรม บรรลุธรรม ไปแต่ละขั้นแต่ละตอน ด้วยความอ่อนโยน ละเมียดละไม ตามปฏิปทาที่องค์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงกระทำต่อพุทธสาวกทั้งปวง.
จริงอยู่สำหรับบางบุคคล ครูบาอาจารย์อาจต้องใช้ความแกร่งกล้าทะมัดทะแมงในการจัดการกับทิฐิอุปนิสัยให้ราบคาบเรียบร้อย. แต่อย่างไร ๆ ก็จะต้องเริ่มต้นจากความอ่อนโยนละเมียดละไมอยู่นั่นเอง แล้วท้ายที่สุดก็จะต้องบรรลุมรรคผลเป็นความอ่อนโยนละเมียดละไมอยู่นั่นเอง..
"ทิฐิ..มานะ"...ของมนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นไปในทางแข็งกร้าวกระด้างกระเดื่องเพิ่มพูนมากขึ้น. แม้บางคนที่ใฝ่รู้ธรรม แต่บางทีก็นำธรรมไปรับใช้สนองกิเลสตัณหาอัตตาตัวตน เช่น อวดดี แข่งดี ยกตนเหนือ. หรือบางคนบางทีก็ขาดความมั่นใจมั่นคงในตน ดูถูกดูแคลนตนเอง อย่างนี้ก็มี. จึงทำให้คลาดจากสัทธรรม หรือ รู้ธรรมแต่เพียงระดับปริยัติ แต่ไม่เจริญก้าวหน้าในทางปฏิบัติ ปฏิเวธก็ย่อมจะอันตรธาน. กลายเป็นนำธรรมที่รู้นั้นไปรับใช้มารไปอย่างน่าเสียดาย.
"นิวรณ์" เครื่องกางกั้นคุณธรรมนั้น มีความซับซ้อน นะลูกหลานเอ๊ย ลูกหลานจะต้องฝึกอบรมจิตให้รู้เท่าทัน. บุคคลที่เข้าถึงธรรม อัตตาตัวตนจะต้องลดน้อยถอยลงทุกที จึงจะถูกต้อง.
พระพุทธศาสนา คือ ศาสนาแห่งการวิวัฒน์ตัวตนให้จำเริญทางโลก และ ลด-ละ-เลิก ตัวตน เพื่อความจำเริญทางโลกุตตรธรรม. พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาอันประเสริฐที่ครอบคลุมตั้งแต่รากฐานไปจนถึงยอดไปถึงดอกถึงผลของต้นไม้แห่งชีวิตและมหาจักรวาลอย่างแท้จริง. โดยที่ลัทธิศาสนาอื่นนั้นเขาอาจนำต้นไม้นี้มาตัดเป็นท่อน ๆ แยกจากกัน ทำให้ไม่เห็นไม้ทั้งต้น ทำให้ไม่เห็นดอกเห็นผล ทำให้ไม่เห็นป่าไม้ทั่วทั้งผืนป่า ทำให้แก้ไขปัญหาพัฒนาชีวิตให้พ้นทุกข์สิ้นเชิงไปมิได้. ทำให้ก่อเกิดอุบัติภัย วินาศภัย ภัยพิบัติ จากการเบียดเบียนมุ่งร้ายหมายขวัญกระทำอันตรายต่อกันมิหยุดหย่อน. ดังที่ลูกหลานเห็นอยู่ประจักษ์อยู่ในสภาพการณ์โลกขณะนี้
ฉะนั้นเมื่อลูกหลานเป็นพุทธบริษัทสมควรจะต้องศึกษาเรียนรู้เรื่อง "การวิวัฒน์ตัวตน" เพื่อความจำเริญทางโลกธรรม, "การ ลด-ละ-เลิก ตัวตน" เพื่อความจำเริญทางโลกุตตรธรรม ให้จงดี จงมั่นคง. อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา... นะลูกหลานเอ๊ย๚
หลวงปู่ใหญ่จักเป็นมิ่งขวัญ เป็นพลังจิตวิญญาณ สืบต่อไป ตามปณิธานพุทธพยากรณ์ขององค์บรมศาสดาเพื่อสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี ขอให้ลูกหลานทุกคนน้อมกาย-วาจา-ใจ ละทิฐินิวรณ์ บำเพ็ญเพียรตามหลักไตรสิกขา ศีล-สมาธิ-ปัญญา(ภาวนา), ประพฤติปฏิบัติตามหลักบุญกริยา ทาน-ศีล-ภาวนา ให้จงดำรงคงมั่น เถิด
--------------------------
#โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
โดย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ที่เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์
บทที่4.
(ผู้สูงสุดฯ) เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิครั้งใด พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย.... #นึกอยู่ในใจ #ข้าพเจ้าขอแค่ความสงบแค่นั้นแหละ #ไม่ขอเห็นมนุษย์ต่างดาวในสมาธิ #ไม่ขอเห็นตาทิพย์... #ไม่เอา ไม่ขอเห็นวิญญาณต่าง ๆ ถ้าการเห็นนั้น นั่นคือส่วนประกอบที่เขามาอนุโมทนาก็แล้วไป แต่จิตจำนงค์ของพวกเจ้าต้องหวังแค่ความสงบของจิตใจ
สมาธิที่เป็นแก่นเป้าหมายใจดำ .... เจ้าดูเป้าในการยิงธนูของเจ้า มีจุดนิดเดียวจึงจะได้รางวัลแจ๊คพ็อต ... แนะนำไปแล้ว บอกไปแล้ว ลด ละ เลิก
การลด การวาง การละ การเลิก นั้น ความจริงแล้วมันง่าย แต่สิ่งที่พวกเจ้าทำนั้น .... #พวกเจ้าทำของยาก #เจ้าต้องไปหามาเพิ่ม เรียกว่า ต้องไปหาแว่นขยายมาใส่ สมาธิที่พวกเจ้าคิดกันอยู่นี้นะ เหมือนหาแว่นมาใส่อีกอันหนึ่ง เอาเพิ่มน้ำหนักไปอีก ดีไม่ดีหากล้องส่องทางไกลเอามาเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก เฮ้อ... ยังงั้นนะ ค่านิยมของสมาธิ
แต่ผู้ที่ปฏิบัติ ลด ละ เลิก มีปัญญา เขาจะมีอานิสงส์ของสมาธิที่จิตนิ่ง เป็นการเห็นภพวิญญาณต่าง ๆ อย่างเช่น มีทิพยจักขุ #นั่นเป็นผลพลอยได้ของสมาธิ
#เพราะฉะนั้น เจตน์จำนงค์กับผลพลอยได้ไม่เหมือนกัน เจตน์จำนงค์จะฝึกเพื่อเห็นนั้น #เจ้าเสียเวลาเปล่าๆ
แต่เจตน์จำนงค์ฝึกเพื่อลด ละ เลิก และได้เห็นในสมาธิ หรือการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ อันนั้นเป็นส่วนประกอบในสิ่งที่เจ้าจะได้ในสิ่งที่เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น การฝึกสมาธิ ฝึกได้ทุกวิธี ไม่มีวิธีไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่าใคร #แต่อยู่ที่จริตและวิธี ในการที่เราคิดว่า การที่วิธีเราหายใจเข้า หายใจออกนั้น มันเหมาะสมกับจริตของเราไหม ? ต้องลองทดสอบด้วยจิตใจของเจ้า วิธีนี้ทำแล้วง่วงนอนมาก วิธีนี้ ทำแล้วตาแจ้ง เดินจงกลมก็ได้
จริง ๆ แล้วนะ การลด ละ เลิก ทำไมพระพุทธองค์ท่านไม่บัญญัติวิธีเดียวที่มันเด็ด ๆ ให้พวกเจ้าเลย #ก็พวกเจ้ากรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน #ร้อยคนก็ร้อยกรรม #แสนคนก็แสนกรรม มันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น 40 วิธีในสมาธินั้น เป็นวิธีที่ถูกต้อง ท่านบัญญัติไว้เป็นกลาง ๆ ไปศึกษาเอา
ใครที่รักสวยรักงามมาก ก็ไปเพ่งพิจารณาเอาอสุภะ หรือนึกถึงความดีงาม ความไม่สวยไม่งามในร่างกาย ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้ การนึกถึงความไม่สวยไม่งามของร่างกาย มันไม่ใช่การเข้าฌาณได้ แต่วิธีนี้เป็นการ ลด ละ เลิกได้ เจ้าเข้าใจไหม?
เพราะฉะนั้น ทำไม ทำไมถึงมีวิธีนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวิธีนึกถึงเทวดา ในวิธีนึกถึงพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่วิธีที่จะเข้าฌาณได้ลึกหรอกนะ #แต่มันเป็นวิธี #เป็นอุบายวิธีที่จะลดละเลิกได้
นิ่ง...เพื่อพบสิ่งยังไม่นิ่ง
สงบ...เพื่อพบสิ่งยังไม่สงบ
ว่าง...เพื่อพบสิ่งยังไม่ว่าง
สะอาด...เพื่อพบสิ่งบริสุทธิ์...
...................
โลกภายนอกมีคำถาม...ไม่สิ้นสุด
โลกภายในมีคำตอบ...ให้สุดสิ้น
เธอผู้แสวงหาคำตอบ
ภพชาติของเธอ...จะเป็นดินแดนสุดท้าย
การตายของเธอ...จะเป็นที่สิ้นสุด
เธอจะเป็นผู้หลุดพ้นวงโคจรสามโลกธาตุมายาแห่งสังขาร
เธอจะหลุดพ้นกิเลส กรรม วิบาก ทุกข์อุปาทานสุดสิ้น
เธอจะไม่ปรากฎรูปนาม ขันธ์๕ อายตนะ ธาตุที่เป็นสิ่งเสื่อมแตกดับถูกทำลาย
เธอจะมีบรมสุขแห่งความอิสรภาพในนิรันดร์ตลอดอนันต์กาล.
ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
< เข้าใจ อนัตตา แบบง่ายๆ >
ความจริงทั้งหลายจะต้องเกิดขึ้นก่อนเสมอ ที่เราเรียกว่า "อนัตตา" นั่นแหละ
ซึ่งเป็นต้นทางของอนัตตา พอเลยไปจิตวิปลาสมีความเห็นผิดเห็นเป็น "อัตตา"
เช่นต้นทางของการเห็นนั้นมีเพียง "สี" มากระทบกับ "ตา" เท่านั้น
และจิตและเจตสิกก็ไปรับรู้ที่ตา ตรงนี้แหละที่เรียกว่าต้นทางของ "อนัตตา" แต่พอเลย
เข้าไปถึงเรื่องราวต่างๆ จะกลายเป็นอัตตาทันทีว่าเราเห็นนั่นเราเห็นนี่ จนถึงเราความชอบใจ ไม่ชอบใจด้วย
ในทวารทั้ง ๖ นั้นเป็นไปในทำนองเดียวกันที่เป็นต้นทางของ "อนัตตา" แต่พอมาถึงเรื่องราวต่างๆ
จึงเป็น "อัตตา" เรียกว่าต้นทางเขาดีมาเสียตรงปลายทางนี่เอง แต่มีบางคนพูดว่าทำลาย "อัตตา" ได้
ก็จะเห็น "อนัตตา" น่าจะพูดเสียใหม่ว่าถ้าทำให้เข้าถึงความแท้จริงให้ได้เมื่อนั้นก็จะเข้าถึง "อนัตตา"
อนัตตา เป็นลักษณะที่ปรากฏของขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เมื่อทั้ง ๕ อย่างนี้ มาประชุมพร้อมกัน เราจะเห็นว่าเป็นคนเป็นสัตว์ขึ้นมาทันที่
ว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นเราเป็นเขา ตรงนี้เองที่เข้าถึงความเป็นอัตตาขึ้นมาทันที
อธิบายคำว่า "คน" ก่อนนะ คนนั้นประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นพื้นฐาน
เมื่อเอามือ จับหัว จับเเขน จับขา ก็จะถูกสมมุติบัญญัติขึ้นมาทันที ว่าหัว ว่าแขน ว่าขา
ก็จะไม่ถูกคนเลยสักนิดเดียว และก็ที่นี้ มือจับแขนมีความรู้สึกว่าร้อนบ้าง เย็นบ้าง
ก็เท่ากับมือกำลังจับไฟ ถ้ามือจับแขนอ่อนบ้างแข็งบ้างก็เท่ากับมือจับดิน
เแท้จริงเราจะจับไม่ถูกคนเลยแม้แต่นิดเดียว
ทางตาก็เหมือนกัน เราจะเห็นว่าเป็นคนบ้างสัตว์บ้าง แท้จริงนั้นสภาพธรรมของตาเขาจะเห็นได้
เพียงรูปหรือสีเท่านั้น จะไม่เห็นคนเลย ถ้าเลยจากตรงนี้ไปก็จะเป็นบัญญัติว่าเป็นคนสัตว์
เป็นตัวเป็นตน ตรงนี้เข้าถึงความเป็น"อัตตา"
ฉะนั้นขณะที่ตากับสีกระทบจิต ก็ได้อาศัยตากับสีเกิดขึ้นที่เราเรียกว่าผัสสะ(ตา+สี+จิต)
ตรงนี้แหละที่เรียกว่าสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้นรู้สี ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเป็นสภาพธรรมที่เป็นจริง
มีจริงเกิดขึ้นที่เรียกว่า"อนัตตา" หมายความว่าต้นทางเป็นธรรมที่มีจริงของจริง พอปลายทางเป็น"อัตตา"
ฉะนั้นจะให้เห็นหรือให้เข้าความเป็นจริงต้องดูที่ต้นทาง พอในระหว่างทางถึงปลายทาง
จิตจะวิปลาสเริ่มแปลงไปเป็นความเห็นผิดคิดว่าตัวตน
อนัตตาเป็นสภาพธรรมว่างเปล่าที่ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ ที่เปลียนแปลงตลอดเวลา บังคับบัญชาก็ไม่ได้แล้วแต่เหตุปัจจัย หาเจ้าของมิได้ คือไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง
ต่อไป ที่เรายึดว่าเป็นเราก็ต้องแตกสลายด้วยอำนาจที่แท้จริงเพราะความเป็น"อนัตตา"
ไม่ทราบว่าจะเข้าใจตามได้หรือเปล่านะยังมีข้อสำคัญที่ว่า "อัตตาสูง อนัตตาจะต่ำ"
อัตตา อนัตตา เมื่อแปลความหมายตามศัพท์ก็จะเป็นอย่างข้างต้น
แต่ถ้าจะให้เข้าใจทราบซึ่ง สำหรับผู้ใหม่ระยะแรกควรแปล อนัตตาว่า "บังคับบัญชาไม่ได้" หลังจากนั้นแล้วก็ให้ลงมือพิสูจน์ดูว่า หมดทั้งตัวและใจตลอดจนธรรมชาติแวดล้อมตัวเรา มีอะไรที่สามารถบังคับบัญชา สั่งบอกให้เป็นไปได้ดั่งใจหรือ ไม่ ถ้าพบว่าไม่มีอะไรบังคับได้เลย ความรู้ซึ้งอนัตตาจะผุดรู้ขึ้นมาในใจเจ้าของทันที
หลวงปู่ชาท่านสอนอนัตตาด้วยเรื่องง่ายๆมาก ท่านบอกว่า
"ก็โยมไปพยายามจะทำให้เป็ดมันขันเหมือนไก่ โยมก็ต้องทุกข์นะสิ"
ลองไปพิจารณาตีความค้นหาอนัตตากันให้เจอนะครับ
ที่มา... http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=48730
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
พิจารณา กายและเวทนา กลับไปกลับมา
ไม่มีกาย ก็ไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีกาย
แล้วให้เห็นเป็นปกติธรรมของรูป และนาม
ซึ่งอาศัยกันและกันจุดนี้ พิจารณาให้ลึกลงไป
จัก"เห็นความไม่มีในเรา"ในรูป ในนาม ได้ชัดเจน
เราคือ"จิต" ที่ถูกกิเลสห่อหุ้ม ให้หลงติดอยู่ในรูป ในนาม
มานับอสงไขยกัป หากไม่พิจารณาให้เห็นชัดในจุดนี้ ก็จัก ตัดความติด ในรูป ในนาม ไม่ได้
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
“เพียรเพื่อความจริง”๒
...พุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในสติปัฏฐานสูตร เห็นกายสักแต่ว่ากาย เห็นเวทนาสักแต่ว่าเวทนา เห็นจิตสักแต่ว่าจิต เห็นธรรมสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา หมดจากสมมตินั้น อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยเกิดไม่ได้
เมื่อหมดจากสมมติตรงนั้น ว่างเปล่าตรงนั้น ทิฏฐิคือความเห็น จะเกิดขึ้นมาเพื่อหลอกเจ้าของ เพื่อจะให้ยึดมั่นถือมั่นก็เกิดไม่ได้
แม้แต่ทิฏฐิเกิดขึ้นมา ความเห็นเกิดขึ้นมา มันก็เห็นแล้วว่าความเห็นนั้น ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งสมมติหมด ตัณหาทะยานอยากไปทางดี ทางรัก ทางชัง ไม่อยากได้ เป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา จึงเกิดไม่ได้นั่นเอง
ท่านจึงตรัสไว้ อันทิฏฐิและตัณหาอาศัยเกิดไม่ได้ เพราะเห็นแจ้งในใจหมดแล้ว มันไม่มีของกูตัวกูสักอย่าง มันเป็นธรรมชาติธรรมอันหนึ่งเกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป ตามเหตุตามปัจจัย มันเห็นชัดแจ้งในใจตัวเองอย่างนั้น มันจึงสูญจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรานั่นเอง
เมื่อสูญจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา ทิฏฐิและตัณหาก็เกิดไม่ได้นั่นเอง มันจึงเป็นความว่างเปล่า ว่างจากอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในกายเวทนาจิตธรรม ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเรานั่นเอง นั่นเรียกว่าว่างจากความหลง
เมื่อว่างจากความหลง มันก็ว่างจากความโลภ ความโกรธนั่นเอง เพราะมันไม่รู้จะเอามาเพื่อใคร เพราะมันไม่มีใครเป็นเจ้าของของใคร แล้วจะเอามาเพื่อใคร เพื่ออะไร มันจึงไม่มี มันจึงเห็นถึงความสงบ จากโลภ โกรธ หลงนั่นเอง
จึงได้รับคำที่ว่า ไม่พึงประมาทปัญญา ปัญญาได้วิจัยแยกแยะในกายเวทนาจิตธรรมนี้ สัจจะพึงรักษา
เมื่อตั้งมุ่งไปสู่ความพ้นทุกข์ มุ่งไปสู่ความไม่มีโลภโกรธหลง จึงวิจัยสิ่งเหล่านี้ งานนี้ไม่ทอดธุระ มุ่งมั่นอยู่ พินิจพิจารณาอยู่ จึงเท่ากับรักษาสัจจะนั้น
การงานนั้นทำเพื่ออะไร เพื่อละอุปาทานของกูตัวกูนั่นเอง เพื่อละโลภโกรธหลงนั่นเอง จึงเพิ่มพูนจาคะ คือการสละการวาง วางอุปาทาน วางความยึดมั่นถือมั่น ในขันธ์ ๕ ในสมมติข้างนอกทั้งหมด
เมื่อวางออกไปแล้วจึงเห็นน่ะ เห็นว่าสิ่งเหล่านี้น่ะแท้จริงแล้ว มันไม่มีของเรา ไม่มีเรา ไม่มีตัวตนของเรา มันเป็นธรรมชาติธรรมอันหนึ่งเกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา จึงไม่มีความดิ้นรน ไม่มีความตั้งปรารถนาจะไปเพื่ออะไร จะไปเกิดในภพทั้ง ๓ ก็ไม่มี เพราะมันไม่มีความหลงในนั้นแล้ว...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
พระนิพพานเป็นของให้เปล่า
โลกิยะ กับ โลกุตตระ ต่างกันอย่างตรงกันข้าม
.
" บุคคลผู้ใดมีความปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร โดยความเป็นตัวเราหรือเป็นของของเราแล้ว บุคคลนั้นได้ชื่อว่าบำเพ็ญ "โลกุตตรทาน" คือทานอันเป็นโลกุตตระอย่างสูงสุดหมดจดสิ้นเชิง เพราะว่าได้สละออกไปหมดทั้งตัวตนและของตน ไม่มีการบำเพ็ญทานอย่างไหนจะสูงยิ่งไปกว่านี้.
.
ถ้าทายกทายิกาทั้งหลายทำบุญให้ทาน ในลักษณะที่เป็นการลงทุนค้า ทำบุญลงไปเท่าไร ก็ปรารถนาจะเอามากกว่าที่ทำบุญเสมอไป เอาสวรรค์เอาวิมานซึ่งมีราคามากกว่าของที่ตนลงทุนไป อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการให้อย่างไรได้ เพราะที่แท้ก็เป็นการลงทุนค้าเอากำไรตั้งร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า แล้วกิเลสจะไม่หนาไปกว่าเก่าได้อย่างไร บัณฑิตจึงไม่จัดให้การกระทำเช่นนี้ว่า เป็นการให้ทานที่บริสุทธิ์แท้จริง.
.
....ต่อเมื่อใดบุคคลให้ทานชนิดที่ปล่อยวางตัวเราของเราเสียจนหมดสิ้น นั่นแหละ จึงจะชื่อว่าให้หมด ให้หมดกระทั่งเนื้อตัวของตัว ตัวตนของตน ไม่มีเหลือ ดังนี้แล้ว จะมีอะไรที่เรียกว่าเขายังไม่ได้ให้อีกเล่า.
.
เขาได้ให้ไปหมดแล้วจริงๆ จึงกล่าวได้ว่า ผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าตัวเราหรือของเรา นั่นแหละ คือผู้ที่บำเพ็ญทานที่แท้จริง และบำเพ็ญทานถึงที่สุดด้วย และเป็นการบำเพ็ญทานที่นำไปเพื่อการหยุดเวียนว่ายตายเกิด เป็นไปเพื่อวิวัฏฏะ ดับสนิทไม่มีเชื้อเหลือ.
.
คิดดูให้ดีเถิด เรื่องของโลกิยะนั้น มันตรงกันข้ามกับเรื่องของโลกุจตระ เรื่องของโลกิยะนั้น ถ้ายิ่งดีมาก ก็ยิ่งต้องเสียเงินมาก ต้องยิ่งเหนื่อยมาก ต้องยิ่งลำบากมาก มันจึงจะได้มา ส่วนเรื่องของโลกุตตระนั้น ถ้ายิ่งสูงยิ่งประเสริฐเพียงไร ก็ยิ่งไม่ต้องใช้เงินใช้ทองเลย จนเกือบจะกล่าวได้ว่า "พระนิพพานนี้เป็นของให้เปล่าแท้ๆ ลงทุนบ้างก็เพียงการทำในทางจิตทางใจ" ไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากเหมือนกับการบำเพ็ญอย่างอื่น เรื่องของฝ่ายโลกุตตระย่อมเป็นดังนี้ทั้งนั้น.
.
ข้อนี้เป็นเพราะเหตุไรเล่า? ข้อนี้เป็นเพราะเหตุว่า มันมีหลักตรงกันข้าม เรื่องของโลกิยะนั้นเป็นเรื่องกอบโกยเอามา กอบโกยเอามาใส่ให้มันมากขึ้น ส่วนเรื่องของโลกุตตระนั้น ขว้างทิ้งออกไป ขว้างทิ้งออกไป จนไม่มีอะไรเหลือ มันต่างกันตรงกันข้ามดังนี้ หลักหรือเกณฑ์ต่างๆมันจึงผิดกัน การแสวงหาสิ่งอันเป็นโลกิยวิสัยจึงต้องเปลืองมาก เหนื่อยมาก ส่วนการแสวงหาสิ่งอันเป็นโลกุตตรวิสัย จึงไม่เหนื่อย และไม่เปลือง จนกระทั่งว่า "พระนิพพานเป็นของให้เปล่า" ดังนี้.
.
การให้ทานที่แท้จริง ที่เป็นเรื่องของโลกุตตระจึงเป็นไปในทางทำสัตว์ให้หยุดเวียนว่ายตายเกิด การให้ทานที่เป็นไปอย่างโลกิยะย่อมทำสัตว์ให้เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้สิ้นไม่รู้สุด ให้เกิดดี แล้วให้หลงไหลในการเกิดดี ไม่มีท่าทางว่าจะสิ้นสุดลงได้ และสัตว์ทั้งหลายโดยมากก็กำลังปรารถนากันอยู่ดังนี้ นี่จึงเป็นการชี้ให้เห็นได้ชัดทีเดียวว่า ทานที่แท้จริงนั้นย่อมมีมูลมาจากความไม่ยึดถืออะไร ว่าเป็นเรา หรือเป็นของของเรา."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนามาฆบูชาเทศนา หัวข้อเรื่อง "สัพพธัมมอนาภินิเวสนกถา : ความหมดจดแห่งจิตเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น" เมื่อ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ บนเขาพุทธทอง จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม "มาฆบูชาเทศนา"