" นักภาวนา
ใครสติดี สืบเนื่องเท่าไหร่กิเลสจะถอนออก
ไปได้ คือ สังขารมันคิดปรุงแต่งออกไปปั๊บ
เป็นกิเลสออกไปแล้ว
สร้างความทุกข์ ความกังวลมาหา เจ้าของ
อันนี้ (กิเลส)ไม่ออก มันก็ไม่สร้างความกังวล
สติ...
ติดอยู่นั้น ต่อไปจิตก็ตั้งตัวได้
เพราะ มีผู้อารักขาคือ...สติ
ค่อยสงบเย็น ๆ แล้วสร้างฐานขึ้นมา
เป็นความแน่นหนา มั่นคง ขึ้นมาเรื่อย ๆ
จิตก็เป็นฐานขึ้นมาที่นี่ สงบแน่ว ๆ เรื่อย ๆ
เรื่องสติ จึงเป็นของสำคัญมาก
สติ...ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ท่านจึงบอกว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนา ในที่ทั้งปวง ไม่มียกเว้นเลย
ตั้งแต่พื้น(เริ่มต้น)จนกระทั่ง ถึงมหาสติ-
มหาปัญญา
สตินี้...ยิ่งแก่กล้า
มหาสติ มหาปัญญากลมกลืนเป็นอันเดียว
กันเลย
เมื่อเต็มที่แล้ว เป็นอันเดียวกัน
สติ กับ ปัญญาขยับปั๊บ ไปพร้อมกันเลย ๆ
นี่เรื่อง...สติ
นักภาวนา
ใครตั้งสติดีคนนั้น จะตั้งรากฐานได้
ตั้งหน้า ตั้งตาดูกันจริง ๆ
ตัวเหตุอยู่...ที่ใจ
มันคอยปรุง อยู่ที่ใจ สติจับไว้ไม่ให้มันออก
เมื่อไม่ออกแล้ว มันก็ไม่สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้เราลำบาก
จิต...
ก็สงบ เย็นเข้าไปเรื่อย ๆจนกระทั่ง
ถึง...สติปัญญาอัตโนมัติ
ที่นี้ หมุนติ้วเลย."
---------------------------------------------------------------
( องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน )
(ใจ คือ มโนวิญญาณ)
#ใจ..เป็น #อายตนะภายใน
• เป็น..ผลผู้รับรู้ ความรู้สึกภายในการรับรู้
๑. ทางตา..เรียก..จักขุวิญญาณ
๒. รับรู้ทางหู..เรียก..โสตวิญญาณ
๓. รับรู้ทางลิ้น..เรียก..ชิวหาวิญญาณ
๔. รับรู้ทางจมูก..เรียก..ฆนะวิญญาณ
๕. รับรู้ทางกาย..เรียก..กายวิญญาณ
๖. รับรู้ทางใจ..เรียก..มโนวิญญาณ
*ทั้งหมดนี้เป็น..สัจธรรม
#รับรู้แต่ไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง
*ทำให้เกิดกิเลสตัณหา
เพราะเป็นส่วนประกอบของขันธ์ทั้ง ๕
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็น "อนัตตา"
•แต่เมื่อ "จิต" ผู้ไม่มีวันตาย,เข้ามา #ปฏิสนธิวิญญาณ
ก็คือเข้ามา #ตั้งอยู่กับวิญญาณหรือใจ
.
•ประดุจดัง..ใจคือ.พื้นดิน
•จิต คือ เมล็ดพืชก็ขึ้นมาจากพื้นดิน
• "จิตเป็นผู้รู้ และเป็นผู้หลง" เพราะมีอวิชชาแฝงมากับจิต พร้อมกับธรรมารมณ์ต่างๆ ที่มากับจิต
~ธรรมารมณ์ที่เกิดจากเวทนา,
~ธรรมารมณ์ที่เกิดจากสัญญา,
~ธรรมารมณ์ที่เกิดจากสังขาร
* จิตนี้ เป็นผู้รู้ที่ ไม่มีวันตาย
#เมื่อผู้ปฏิบัติธรรม ได้ปฏิบัติ,ไม่ให้ "จิตหลง"
กับการรับรู้ของใจในเรื่องของตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย
แล้วปล่อยวางได้หมดแล้ว ก็จะเหลือใจ
*ซึ่งเป็น #ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตเท่านั้น
🔹ใจอยู่กับจิต ธรรมารมณ์ที่จิตเก็บสะสมไว้
เป็นธรรมารมณ์ที่เกิดจาก..
๑. เวทนา บางครั้งเวทนาสุข, เวทนาทุกข์
หรือเวทนาไม่สุขไม่ทุกข์ก็กระจายออกมา
ฟุ้งออกมาจากจิต
~ใจ..ก็ผัสสะธรรมารมณ์เหล่านี้
รับรู้..ธรรมารมณ์..เหล่านี้ #เมื่อใจรับรู้
~จิต..ก็..เกิดการปรุงแต่งต่ออีกครั้งหนึ่ง
เกิดตัณหาและอุปทาน,เกิดภพฝังอยู่ในจิตอีกรอบหนึ่ง
๒. ธรรมารมณ์,ที่เกิดจาก..สัญญา
คือ ความจำ อารมณ์โกรธเกิดขึ้น,
~อารมณ์รักเกิดขึ้น, อารมณ์โลภ, อารมณ์หลง
~อารมณ์พอใจไม่พอใจเกิดขึ้น
~อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต
•จิตเกิดความจำเก็บไว้ในจิตเป็นอุปทาน
แล้วมาเกิดกระจายฟุ้งออกมาอีกครั้งหนึ่ง
•เมื่อสัญญาธรรมารมณ์นี้เกิดขึ้น
~จิตเป็นผู้รับผัสสะรับรู้เข้า
~จิตก็มา..รับรู้สัญญา,เวทนา
เรียกเกิดความรู้สึกทางใจ(มโนวิญญาณ)
•เมื่อจิต.."หลงเพลิดเพลินปรุงแต่ง" #ตามอารมณ์เหล่านั้น จึงเกิดกิเลสตัณหา, อุปาทาน, ภพ, เก็บไว้ในจิต
เพื่อนำไปเกิดเป็นชาติต่อไป
๓. ธรรมารมณ์,ที่เกิดจาก "สังขาร"
อารมณ์..ที่เกิดจาก,ความคิดความปรุง
กระจายออกมา.จาก "จิต"
•ใจเป็นผู้รับผัสสะในส่วนภายใน
•จิตรับรู้สังขารความปรุ่งแต่งเหล่านั้น
•จิตก็เกิดกิเลสตัณหา..อุปาทาน..และภพเก็บไว้ในจิตอีกรอบหนึ่ง..เพื่อนำไปเกิดเป็นชาติไปอีกต่อไป..
#คำว่าธรรมารมณ์ทั้ง ๓ นี้
ที่มีอยู่,ในจิต ก็คือ "เจตสิก" นั่นเอง
"เจตสิก" จะผสมเป็นเนื้อเดียวกันกับ "จิต"
ไปไหนไปด้วยกัน
เวลาเกิดก็เกิดพร้อมๆกัน..อาศัยจิตเกิด
เราไม่สามารถ,ที่จะแยกเจตสิก
หรือกิเลสตามนอนนี้ออกจากจิตได้
มันจะเคลื่อนที่ไปด้วยกัน
ภพแล้วภพเล่า..ในวัฏสงสาร
~ถ้าเปรียบจิตคือข้าวเหนียวที่นึ่งร้อนๆอยู่
เจตสิกคือไอความร้อนที่เกิดจากข้าวเหนียว
มันอยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน
~ถ้าเราจะกำจัดไอความร้อน
จากข้าวเหนียวออกจากข้าวเหนียวแล้ว
มันก็ทำไม่ได้
#ดังนั้นผู้ปฏิบัติเมื่อมีสติและปัญญาเห็นความจริงเหล่านี้แล้ว
ไม่สามารถที่จะกำจัดเจตสิกหรือกิเลสออกจากจิตได้เลย
🍃ถ้าเราจะกำจัดกิเลสละเอียด,ที่อยู่ในจิตได้
จำเป็นจะต้องทิ้ง..ทั้งจิต,หรือ "ธาตุรู้"
•เราจะต้องทิ้งไอความร้อนออกจากข้าวเหนียวได้
จำเป็นเราจะต้องทิ้งทั้งข้าวเหนียวเลย
ไอความร้อนที่มีอยู่ในข้าวเหนียวก็จะถูกทิ้งไปด้วย
หรือเจตสิกกิเลสละเอียดที่มีอยู่ในจิตก็จะถูกทิ้งไป
ด้วยผู้ปฏิบัติจึงจะหมดกิเลสตัณหา ตัดภพตัดชาติได้
#เราจะทิ้งจิต #เราต้องไม่เห็นคุณค่าของจิต
•เราต้องเห็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าจิต
เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
สติปัญญาจึงจะปล่อยวางจิตได้
*ผู้ปฏิบัติ..ถ้าสังเกตให้ดีแล้ว
มีผู้รู้ที่รู้นิ่งๆอยู่อีกผู้หนึ่ง
เป็นผู้รู้ ที่เหนือผู้รู้แห่งจิตขึ้นไปอีก
โดยไม่มีที่หมาย ที่รู้ๆครอบโลกธาตุอยู่นี่
เป็นผู้รู้แห่งธรรมชาติ ไม่มีการเกิด
ไม่มีการเสื่อมและไม่มีการดับ
เป็นผู้รู้แห่งนิพพานธาตุ ผู้รู้ผู้นี้
*เห็นพฤติกรรมหรืออาการของผู้รู้แห่งจิตอยู่ตลอดเวลา
#เมื่อเทียบกันกับความสุขที่ไม่เที่ยงแล้วเทียบกันไม่ได้เลย
🍃เมื่อ "สติปัญญาเห็นดังนั้นแล้ว"
#สติปัญญา #จึงไม่เห็นคุณค่าของ #ผู้รู้แห่งจิต
•สติปัญญา เกิดจิตตกกระแส
กลายเป็น..สติปัญญาญาณในอริยมรรค
เพราะ..ตัดผู้รู้แห่งจิตออกไป
กลายเป็นผู้รู้แห่งนิพพานธาตุทันที
เพราะหมดความในตนเองนั่นแหละ
ท่านเรียกว่าเข้าสู่ #นิพพาน
28 / 5 / 62
พระอาจารย์เงิน
วัดป่าชัยรังษี จ.กำแพงเพชร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
🍃ให้พากันเข้าใจ "อุทธัจจะ รูปราคะ อรูปราคะ"
🍃สังโยชน์เบื้องบน "มานะ อุทธัจจะ อวิชชา"
•รูปราคะ ก็หมายถึงติด รูปฌาน
ยังพอใจในรูปฌาน
ในระยะนั้น.ยังพอใจ,รูปฌาน
ออกจากรูปฌาน,แล้วก็..ติดใจใน,ความว่าง
•อรูปฌาน คือความว่าง..ก็ติดใจในความว่าง
คำว่า "ว่าง" นั้นหมายถึง ว่างอยู่ในบริเวณจิตนะ
•ตัวจิตเองนี้ไม่ว่าง
#ก็เพลินอยู่ในความว่างเหล่านั้น
🍃นี้แหละตามหลักความจริงของการพิจารณา
ตัวจิตเองแท้ ๆ นั้นยังไม่ว่าง
#จะว่างได้ยังไงอวิชชากดหัวอยู่นั้น ว่างได้ยังไง
•แต่ในระยะนั้นเราหากไม่ทราบนะ
ตอนผ่านไปแล้วเราถึงจะมาทราบทีหลัง
ว่าโห,เราว่าอันนั้นว่าง..อันนี้ว่าง
🍃ก็เหมือนกับคนเข้าไปอยู่ในห้อง
ไปยืนในห้องนี้มองดูโล่งโถงไปหมด
ห้องนี้ไม่มีอะไร,ห้องนี้ว่าง..
ห้องว่างก็จริง,แต่เราไปขวางห้อง
อยู่ในนั้นคนเดียวไม่รู้เหรอ ดูซิ
ถ้าอยากให้ห้องว่างเต็มที่
#ก็ต้องถอนตัวออกมาแล้วห้องก็ว่าง
อันนี้ตัวของ "จิต..กับ..อวิชชา" ยังพันกันอยู่นั้น
เราดูแต่รอบข้างนอกตัวของจิตว่าว่างไปหมดๆ
นี่ท่านเรียกว่า "อรูปฌาน"
#ถ้าจะว่าฌานก็ดีนี่ว่างอย่างนี้แล้วมันค่อยขยับไปๆ
🍃มานะ คือ ความถือ..นี่ละ
ถือที่ว่านี่ ถือ "ผู้รู้" นี้..ที่เป็นไปด้วย,อวิชชา
เพราะเป็นสิ่งที่สง่าผ่าเผย
เป็นสิ่งที่องอาจกล้าหาญ
เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อ้อยอิ่งที่สุด
น่าติดที่สุดก็คือ "อวิชชา" จิตต้องติดที่ตรงนั้น
🔺แล้วคำว่า "มานะ ๙" ก็ตรงนี้เอง
มานะ ๙ เมื่อมีเครื่องยึดอยู่แล้ว
ก็ย่อมอยากจะเทียบส่วนนั้นส่วนนี้
ว่า..คนนั้นสูงกว่าเรา/คนนั้นต่ำกว่าเรา
คนนั้น..เสมอเราหรืออย่างไร
หรือ..คนนั้นยิ่งกว่าเรา
หรือ..คนนั้นหย่อนกว่าเรา
หรือ..คนนั้นเสมอเราอะไรทำนองนี้..
🍃มานะ ๙ ก็มีอย่างนั้น
สำคัญว่าตนเสมอเขา สำคัญว่าเสมอเขา
หรือหย่อนกว่าเขา หรือยิ่งกว่าเขาเป็นต้น
นี่เรียกว่ามานะ นี่แหละ,ถือตรงนี้
#มันก็ออกเทียบเคียงซิเพราะเขี้ยวมันยังมี
นี่ก็อยากเทียบเคียงน่ะซิ "มานะ"
🍃อุทธัจจะ ก็คือ #การเพลินการค้นการพินิจพิจารณาถอดถอนกิเลสไม่หยุดยั้ง ออกจากนั้นก็อวิชชา
มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
อวิชชา จริง ๆ ก็นั่นแหละ..ที่เราถือ,นั่นน่ะ
คือ..ใจที่ว่า #ถือใจนั่น!
เพราะมีอวิชชาพาให้ถือที่ตรงนั้น
พออวิชชาแตกกระจายไปหมด
ด้วยอำนาจของสติปัญญาที่ทันสมัยแล้ว
ไม่มีอะไรจะถือ ถืออะไร #ไม่มีใครบอกก็ทราบ
มันปล่อย..โดยประการทั้งปวง
เพราะรู้เท่าทันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
บรรดาสมมุติที่มีอยู่ภายในจิตถอดถอนได้หมด
รู้เท่าได้หมด ปล่อยวางได้หมด
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
นี้หมดปัญหาไปแล้ว
เป็นขั้นเป็นตอนไป..โดยลำดับแล้ว
🍃พอถึงขั้น "อุทธัจจะ" หรือ "อวิชชา"
ซึ่งเป็นส่วนละเอียดนี้,มันจึงพิจารณาแต่จุดนั้น
เมื่อพิจารณาเต็มที่..รู้เท่าทันแล้ว
คำว่ามานะที่เป็นก้อนสมมุติอันละเอียดนั้น
ก็กระจายไปหมด
เรียกว่าสลายไปทันที #เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ
🍃ถืออะไร #ความรู้ล้วนๆ ถือไป,อะไร
นั่น,ท่านว่า..#รู้ตามเป็นจริง
" วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ"
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว
#ญาณความรู้แจ้งชัดว่าจิตหลุดพ้นแล้วย่อมมี แน่ะ..รู้เท่า,ในความหลุดพ้น..อีกด้วย
พูดง่ายๆไม่ถือมั่นในความหลุดพ้น
อย่างที่ว่าหมดโดยประการทั้งปวง
นี่ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
พุทธธรรมนำทางพ้นทุกข์ ตอนที่ ๑๖๒ สภาวธรรมของจิต
เมื่อมีจิตตั้งมั่นแล้ว
ไม่ใช่ว่า.. ไม่มีความคิด
เพียงแต่ไม่เข้าไปเป็น
ตั้งมั่นอยู่กับรู้ การรู้นี้...
เป็นการรู้ที่พร้อมรู้
รู้สิ่งที่เกิดขึ้นตามจริง
รู้ว่าความคิดนั้นเป็นแค่ความปรุงแต่ง
เอาไว้ใช้ ไม่ได้เอาไว้สำคัญมั่นหมาย
ไม่ถูกความคิดปรุงแต่งครอบงำ
จิตตั้งมั่นนั้น จะเห็นว่า สิ่งต่างๆนั้น
ต่างคนต่างอยู่ ต่างทำหน้าที่ของมัน
ความคิดก็ทำหน้าที่คิด ความจำก็ทำหน้าที่จำ
ความรู้สึก ก็ทำหน้าที่รู้สึก
ไม่ใช่ว่าจิตตั้งมั่นแล้วจะสงบเงียบ
ว่างเปล่า...ไม่มีอะไร
•สิ่งที่ "รู้จิต" ได้,..คือ "สติปัญญา"
จิตจะอยู่และเข้าไปเป็นได้..ในทุกสิ่งที่ "รู้"
.
•สงบในรู้ คือ..รู้หน้าที่ของธรรมชาติจิต
#จึงรู้ในความสงบจากกิเลสของจิตเอง
.
•ใช้สติ..บังคับไม่ให้เกิด,ความคิด
เป็นการฝืนธรรมชาติ,การทำงานของขันธ์
เรียกว่า #มิจฉาสติ
.
•จิต..มีสติ..ตามรู้ความคิด
และมีปัญญาไม่ยึด..ในความคิด
•เพราะธรรมชาติของขันธ์เกิดดับเองอยู่แล้ว
เรียกว่า #สัมมาสติ
.
.
พระอาจารย์เงิน
วัดป่าชัยรังษี จ.กำแพงเพชร
< การแสดงตัวระหว่างขันธ์กับจิต >
ขันธ์ก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง เรียกรวมๆกันทางโลกก็คือร่างกาย ผิวดำ ผิวขาว ผมหยิกผมเหยียดตรง หน้าเข้าฝ้า หน้าขาว คิ้วตก คิวสูง สูง ต่ำ ดำ ขาว ความเจ็บ ความปวด ความเจ็บไข้ได้ป่วยและ ความตาย นอนหลับ นอนกรน สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของขันธ์ ๕ ทั้งสิ้น ไม่ใช่กิเลส เกิดขึ้นเองและดับไปเอง เพียงแต่เรารับทราบด้วยปัญญาอันยิ่งว่ามันเป็นเช่นนี้เอง ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามมันได้ และไม่มีใครที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้ มันเป็นเองของขันธ์ของร่างกายเรา ทราบอย่างนี้แล้วก็ปล่อยวางมันเสีย มันเป็นเช่นนี้เองๆ ใจเราก็จะไม่ทุกข์ไปกับมันด้วยเมื่อมันเกิดขึ้นกับเราหรือคนอื่นๆ
จิตเป็นเรื่องของกิเลสคือความอยาก เป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ แต่ละคนจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ สติและปัญญาในการแก้ไข จิตห้ามได้ บังคับได้ เราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของจิต แต่คนขาดสติจะอยู่ได้อำนาจของจิต
》ดังนั้นท่านจึงให้ฝึกสติ คือสติปัฏฐาน ๔ ในที่นี้เราให้ใช้โดยการดูลมหายใจเข้า หายใจออก จิตส่วนใหญ่แล้วมักจะไหลไปทางอกุศล
ดังนั้นสรุปว่า ...
▪จิตฝึกให้ดีได้
▪กายหรือขันธ์ ๕ ฝึกไม่ได้เพียงให้รู้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชัดเท่านั้น แล้วปล่อยวางมันไปเสีย กายหรือขันธ์ทั้ง ๕ ก็จะไม่นำทุกข์มาให้ ไม่ว่าจะเป็นอาการของขันธ์เราหรือขันธ์ของคนอื่นก็ตาม
.......ขออวยพร........
บรรยายธรรมโดย คุณตานิพนธ์ ทอดทอง
ระลึกถึงสิ่งที่สำคัญว่า
.....เป็นเรา
แล้วรู้ตามจริงลงไปว่า
สิ่งนั้นถูก รู้ อยู่
......ไม่ใช่เรา
หากเอาความยึดถือ...ออกทั้งหมด
จิตล้วนๆก็จะเป็นจิตบริสุทธิ์
จิตชนิดนี้ จะไม่เที่ยวออกรับเอาอะไรเป็นของตน เพราะไม่มี "ตัวมันเอง"สำหรับเป็นเจ้าของสิ่งใด
.
...จิตเดิมแท้นี้ ไม่ต้องการพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะภาวะความบริสุทธิ์นี่แหละ คือ พระรัตนตรัยอันแท้จริง
แต่หากเกิดความคิดอันใดขึ้นมา นั่นไม่ใช่จิตเดิมแท้
แม้จะคิดนึกในทางดี คือบุญกุศลก็ตาม มันก็ยังเกิดความเป็นตัวตน ที่ต้องการไป หรือ ทำอะไรให้ตนเองสักอย่างตามความต้องการอยู่ดี
.....เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความคิดชนิดใดเกิดขึ้นในจิต ไม่ว่า อิริยาบถใด ให้พิจารณาว่า นี่คือภาวะเดิมแท้หรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องไปยินดี ไม่ต้องไปยินร้าย ไม่ต้องไปกำหนด ให้ค่า หรือขัดเคือง
.
....ปัญญาชนิดนี้ จะเท่าทันสิ่งปรุงแต่ง ไม่ต้องไปจมปลัก เวียนว่ายในมายาแห่งธรรม ในทะเลแห่งบุญ-บาป อย่างมิรู้จักจบสิ้น และไม่มีความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน ก็จะสามารถสงบ ดับเย็น และสว่างไสว เข้าสู่อนันตกาลในที่สุด
ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นพึงดำรงจิตภายใน
ให้จิตภายในสงบ ทำจิตภายใน
ให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในให้มั่น
ในสมาธินิมิตข้างต้นนั้นแล
เธอย่อม ใส่ใจความว่างภายใน
เมื่อเธอกำลังใส่ใจความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป
เลื่อม ใส ตั้งมั่น นึกน้อมไปในความว่างภายใน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่าง นี้ว่า
เมื่อเรากำลังใส่ใจความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป
เลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อม ไปในความว่างภายใน
ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัว
ในเรื่องความว่าง ภายในนั้นได้ ฯ