เมื่อปฏิบัติไป เข้าถึง อุเบกขา
ความสงบตั้งมั่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงสอนให้ยิ่งขึ้นไปว่า
#เปลื้องจิต หรือ ทำจิตให้ปล่อยอยู่
เมื่อสามารถปล่อยวางจิตได้ เปลื้องจิตได้
ก็จะสามารถเข้าสู่วิปัสสนาญาณ
ธรรมทั้งหลาย ก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดการรู้เห็น ตามความเป็นจริง
ทำไม การเปลื้องจิต
จึงทำให้เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง?
เพราะว่า ในขณะที่จิตตั้งมั่น
เมฆหมอกแห่งอวิชชา ยังบดบังความเป็นจริงอยู่
ยังถูกเมฆหมอก แห่ง อวิชชา บดบังอยู่
แต่เมื่อใด ที่สามารถปล่อยวางจิต หรือ เปลื้องจิต ออกไปได้
แม้กระทั่ง เมฆหมอกแห่งอวิชชา ก็หลุดออกไป
กลายเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้ขึ้นมา
แต่ยังไม่ได้สลายไปนะ
แค่หลุดออกไป กลายเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้ขึ้นมา
จิตผู้รู้ ที่เป็น ผู้รู้อารมณ์ ก็หลุดออกไป
กลายเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้ขึ้นมา
นั่นคือ สภาวะของ วิปัสสนาญาณ
เกิด #การรู้เห็นตามความเป็นจริง
พระพุทธองค์
ทรงยกย่องการรู้เห็นตามความเป็นจริงไว้มาก
ทรงยกย่อง แม้กระทั่งพระตถาคตเอง ก็ทรงยกย่องพระองค์เองว่า
การเห็นอย่างนี้แหละ เป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยม
ไม่ใช่ ไปรู้เห็น นรก สวรรค์
รู้เห็นอดีต อนาคต ปัจจุบันที่ไหน
สิ่งที่ว่า เป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยมที่สุด ก็คือ
การเห็น ตามความเป็นจริง หรือ วิปัสสนาญาณ นั่นเอง
แม้กระทั่งพระองค์เอง ก็ทรงรับรองพระองค์เองว่า
สิ่งที่พระองค์เห็นแบบนี้แหละ คือ การเห็นที่ยอดเยี่ยม
ก็คือ
รูป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
เวทนา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
สัญญา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
สังขาร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
วิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
เกิดการรู้เห็น ตามความเป็นจริง
ทำไม การเห็นตามความเป็นจริง ตรงนี้
ทรงยกย่องว่าเป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยม?
เพราะว่า สามารถ ถอดถอนอุปาทาน
หลุดจากการยึดมั่น ถือมั่นได้
ตราบใดที่เรายังมองอยู่ภายใต้เมฆหมอก แห่ง อวิชชา
มันจะเห็นแต่ของปลอม
เห็นเป็นสมมติทั้งหมด
เป็นรูป เป็นร่าง เป็นแสง
เป็นสี เป็นตัว เป็นตน ต่างๆ
แต่เมื่อใดที่สามารถ เพิกเมฆหมอกแห่งอวิชชาออกไปได้
เกิดการเห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาได้
มันมีแต่ สิ่งที่แตกดับ ของรูปนาม ของสรรพสิ่ง ของขันธ์ทั้ง 5
เมื่อเกิดการเห็นตาม ความเป็นจริง
ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
จิตก็หลุดพ้น จากการยึดมั่นถือมั่น
สามารถที่จะสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้
......................................
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ถ้าเราพัฒนาสติได้ดี เราจะไม่เห็นคนอื่นชั่วเลย
จะเข้าใจด้วยว่า..ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้นกลับมาพัฒนาตัวของเรา
ด้วยการฝึกสติปัฏฐาน
ไม่งั้นนะ..นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี
คนทั้งโลกไม่ดีหมดแหละ
เราดีคนเดียว!
แต่ถ้าฝึกสติดี ๆ เราไม่ดีคนเดียว!
คนอื่นดีหมดเลยอันไหนดีกว่ากัน?
ถ้าเราไม่ดีคนเดียว คนอื่นดีหมดนี่
อยู่ที่ไหน..ก็อยู่ได้
แต่ถ้าคนอื่นไม่ดีนี่ เอาแล้ว!นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี
อยู่ที่ไหน..ก็อยู่ไม่ได้!!
เพราะฉะนั้นมาฝึกที่ตัวเรา
จะทำให้เราอยู่ที่ไหนก็มีความสุข
..............................
ธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
มูลนิธิเดินจิต
ลำดับ พัฒนาการของสภาวะรู้
ถ้าเรารับรู้ความรู้สึกตัวสบายๆ
สภาวะรู้ตื่นขึ้น จิตไม่ส่งออก
มันก็จะเกิดสภาวะที่เรียกว่า รู้ธรรมเฉพาะหน้า
อันนี้เป็นหัวใจของการฝึกเลย
.
ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด
จะมีสภาวะที่เรียกว่า รู้ธรรมเฉพาะ
.
เพียงแค่เรารักษาการรู้ธรรมเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ
วิวัฒนาการของสติก็จะละเอียดลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
.
จาก #สัมมาสติ เข้าสู่สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
จาก #สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
ก็เข้าสู่ #วิปัสสนาญาณ
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
.
เมื่อเกิดการรู้เห็นตามความเป็นเนืองๆ
เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
จิตก็หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น
เข้าสู่ #สัมมาวิมุตติ การหลุดพ้นที่ถูกต้อง
.
เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์ ที่พ้นจากอวิชชา
พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
นี่คือวิวัฒนาการของสภาวะรู้
ตั้งแต่เราปลุกสภาวะรู้ขึ้นมาจากการ
.
รู้สึกกาย รู้สึกใจเนืองๆจนรับรู้ได้ทั่วทั้งตัว
สภาวะรู้ก็จะตื่นขึ้นๆๆเรื่อยๆ
จนสภาวะรู้มีความทรงตัวตั้งมั่น
ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะพัฒนาไปโดยธรรมชาติ
เรียกว่า ตกกระแส กระแสของธรรม
ที่จะหลุดออกจากทุกข์ทั้งปวงได้
เดินจิต
----------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ก็ให้เข้าใจว่า..
การฝึกในช่วงแรก
จะเป็นช่วงการค่อย ๆ
ชำระอารมณ์หยาบ ๆ ออกไป
เปรียบเหมือนเรามีบ้าน
ไม่เคยทำความสะอาดเลยนะ
มีฝุ่น มีหยากไย่เต็ม รกรุงรังไปหมดเลย
อยู่ๆเราไปปัดกวาดเช็ดถูเป็นไง?
ก็ต้องฟุ้งขึ้นมาเป็นธรรมดา
แล้วจิตเราล่ะ? เราได้เคยชำระกันบ้างหรือเปล่า?
สะสมอารมณ์ สะสมต่าง ๆ ที่คั่งค้าง
เวลาเรามาฝึกปฏิบัติช่วงแรกเนี่ย
จะค่อย ๆ ชำระล้างอารมณ์หยาบ ๆ ต่าง ๆ
เพราะฉะนั้นวางใจให้ถูก
การฝึกช่วงแรกเนี่ย
หลายคนก็อยากจะสงบ
อยากตั้งมั่น อยากนิ่งนะ
แต่ยิ่งพยายามให้มันสงบ
กลับไม่สงบ มันยิ่งฟุ้งนะ
อย่างเวลาเรานั่งใหม่ ๆ
นั่งไม่ได้นานหรอก 3นาที 5นาที
จิตก็กะสับกะส่ายแล้ว
ก็ค่อย ๆ ฝึก ใหม่ ๆ ก็ค่อย ๆ ทำไป
กระสับกระส่ายแล้วก็ลุกไปยืน ไปเดินบ้าง
เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ต้องค่อย ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ นะ
ค่อย ๆ ขัดเกลาอารมณ์หยาบ ๆ ต่าง ๆ
แต่ให้เข้าใจว่าช่วงแรกเนี่ย
จะเป็นช่วงของการขัดเกลาอารมณ์หยาบ ๆ
สิ่งที่คั่งค้างต่าง ๆ
ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้.
ชำระอารมณ์ต่าง ๆ ที่คั่งค้างนะ
หลายคนสะสมอารมณ์ไว้มาก
ทั้งความเครียด ความกดดัน ความเศร้า
ความโกรธต่าง ๆ ไว้มากนะ
คั่งค้างอยู่ภายใน
ก็ให้เราเข้าใจว่า..
อย่างน้อยเราก็ได้ชำระล้างสิ่งที่คั่งค้างต่าง ๆ
ดีกว่าปล่อยให้มันสะสมอารมณ์ภายในไว้มาก
บางทีเราสะสมความเครียด
ความกดดันมาก ๆ จนถึงจุดหนึ่งมันไม่ไหว ก็ปะทุออกมา
แต่ถ้าเราปฏิบัติก็จะค่อย ๆ ชำระกันไป
เหมือนร่างกายเนี่ย
เรายังต้องอาบน้ำทุกวันเลย เช้าค่ำ
จิตใจเราก็ต้องชำระเช่นกัน
ก็ชำระด้วยการปฏิบัติ
ด้วยการฝึก #สติปัฏฐาน นี่แหละ
หมั่นระลึกรู้สึกตัวขึ้นมาก็ค่อย ๆ ฝึกปฏิบัติไป
......................................
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
“พบผู้รู้ ให้ฆ่าผู้รู้” หมายถึง ?
ผู้รู้ คือ สภาวะของจิตตั้งมั่น หรือ จิตผู้รู้อยู่
เมื่อเราเจริญสติ ทำความรู้สึกตัว
จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
ก็จะเริ่มเข้าถึงเอกภาวะ คือ ภาวะของจิตตั้งมั่น
....จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่
ซึ่งสภาวะตรงนี้ เป็นสภาวะที่สำคัญในพระพุทธศาสนา ก่อนจะเข้าสู่ภาคปัญญาญาณ
คือ ต้องมีสภาวะที่จิตตั้งมั่นก่อน
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงเจริญสัมมาสมาธิเถิด
เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
การที่เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
โดยที่จิตไม่ตั้งมั่น ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
เพราะว่า ในขณะที่ภาวะสติละเอียด
จนเห็นการเกิดดับของรูป ของนาม
ในทุกๆขณะจิต
....มันเหมือนไปเห็นการแตกดับทีละขณะๆ
ต้องระดับฌานเป็นต้นไป ถึงจะพลิก
แล้วเห็นการแตกดับระดับนั้นได้
การที่เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
โดยที่จิตตั้งมั่น เป็นฐานะมีได้
....ต้องเข้าสู่ภาวะจิตตั้งมั่นก่อน
หรือ เอกัคคตาจิตก่อน
เมื่อเข้าสู่ภาวะจิตตั้งมั่น
ตรงนี้แหละ ที่ครูบาอาจารย์เรียกว่า
....จิตผู้รู้ หรือ ฐานของจิต
ตัวรู้ ที่ตั้งมั่นอยู่
ภาวะตรงนี้... สติมันวางฐานกายแล้ว
มันจะเห็นว่ากายไม่ใช่ตัวเราแล้ว
เป็นแค่เหมือนหุ่นยนต์
แต่ว่าจิตผู้รู้ ยังมีความเป็นอัตตาตัวตนอยู่
ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า...
ผู้รู้ ที่มีความเป็นจุดเป็นหย่อมอยู่
เมื่อใดที่สามารถ "เปลื้องจิต หรือ ปล่อยวาง"
ผู้รู้ สิ่งนี้ได้ สภาวะตรงนี้ถึงจะสลายไป
ตรงนี้แหละที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า...
วิญญาณขันธ์ที่มันตั้งอยู่ไม่ได้
มันสลายไป หรือละอวิชชานั่นเอง
เพราะฉะนั้น พบผู้รู้ สลายผู้รู้เนี่ย
มันเป็นภาวะที่ "หลุด" ออกจากอุปาทาน
เปลื้องออก คลายออก หลุดออก
จนวิญญาณขันธ์ตั้งอยู่ไม่ได้ มันสลายไปเอง
แล้วถึงจะเข้าถึงสภาวะรู้ของจริงที่ไร้ตัวตน
ทีเป็นเรื่องของวิสังขารธรรม
....นั่นคืออาการรู้ตัวจริง
อาการรู้ตัวจริง
จะไม่มีการยึดติด ไม่มีการปรุงแต่ง
ไม่อะไรกับอะไรเลยทั้งปวง
....เป็นเนื้อธรรมที่ลอยบุญลอยบาป
พ้นดีพ้นชั่ว พ้นจากการปรุงแต่ง
สิ่งที่ปรุงแต่ง เป็นเรื่องของสังขตธรรมทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าปฏิบัติไปแล้ว จิตมันพากย์ให้เราฟังว่าเราเป็นโสดาแล้ว ควรเชื่อมันไหม ?
สกิทาคาหล่ะ อนาคาหล่ะ อรหันต์หล่ะ
ของจริง เป็นวิสังขารธรรม
ไม่มีอะไรเป็นอะไรเลย มีแต่สภาวะที่มันไร้การยึดติด
เป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ
ผู้ที่จะพยากรณ์ความเป็นอริยะตรงนี้ได้
มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้น
พระพุทธองค์ทรงประกาศศาสนา
ทรงบัญญัติต่างๆขึ้นมา
แล้วถึงทรงบัญญัติภาษา บัญญัติสภาวะ
แล้วเรียกออกมาเป็น "สมมุติ"
สภาวะอันนี้ โสดาบัน สภาวะนี้ สกิทาคา
แล้วทรงรับรอง ทรงพยากรณ์
เราสามารถตรวจสอบกับสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้ได้ว่า...
สภาวะของ
โสดาบัน สังโยชน์ 3 ประการ > ไม่เกิด
สังโยชน์ 5 ประการ > ไม่ก่อตัวขึ้น
สังโยชน์ 10 ประการ > ไม่ก่อตัวขึ้น
แต่จะเป็นสภาวะที่หลุดพ้นชั่วคราว
เมื่อเข้าถึง รู้อันบริสุทธิ์ ที่ปราศจากการปรุงแต่ง
ภาวะตรงนั้น สังโยชน์ 10 ประการ
....จะไม่ก่อตัวขึ้นเลย
และเมื่อใดที่ จิตเกิดขึ้นปุ๊บ
มันก็จะหลุดจากสภาวะตรงนั้น
แต่ถ้าดับวางขันธ์โดยสมบูรณ์
จะเข้าถึงภาวะนั้นได้โดยสมบูรณ์
ภาวะนั้นถึงจะเรียกว่า "สมุจเฉท" ตัวจริง
ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ไร้เครื่องร้อยรัดทั้งปวง
เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นเรื่องของสภาวธรรม
ไม่ได้มีอะไรเป็นอะไร
ปฏิบัติแล้วความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความยึดมั่นถือมั่นมันลดลง
นั่นแหละ คือ แนวทางที่ถูกต้อง
ทรงจำกัดความของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ไว้ว่า
สิ่งใดเป็นไปเพื่อความสงบ ระงับ เพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อการคลายกำหนัด เพื่อการสลัดคืน
เพื่อความดับไม่เหลือ ....สิ่งนั้นเรียกว่า ธรรม
น้อมไปเพื่อการปล่อยวาง สลัดคืน แล้วก็ลงที่
ธรรมทั้งปวงใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ทรงตรัสว่า... แม้กระทั่ง พระนิพพาน
พระองค์ก็ยังไม่ยึดมั่นถือมั่น
จะกล่าวไปใยถึงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมเล่า
ภาวะตรงนั้น มันไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว
อย่างนี้เมื่อเราปฏิบัติแล้ว เราจะได้ไม่หลงสังขาร
#เดินจิต #สติปัฏฐาน4 #อานาปานสติ16ขั้น
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
การดับความคิด หรือการหยุดความคิด
มันเป็นผลจากการที่เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา
.
พอรู้สึกตัวขึ้นมา จิตที่ไหลไปกับความคิดปรุงแต่ง
มันจะถูกละออกไป
เพราะฉะนั้นบางทีที่ปฏิบัติแล้วเราอยากสงบ
ยิ่งอยากมันยิ่งไม่สงบ
เพราะว่าความสงบตั้งมั่นมันเป็นผลของการเจริญสติสัมปชัญญะ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำก็คือ สร้างเหตุที่ถูกต้อง
..ก็คือ ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
................................................
เผยแผ่จัดทำโดย ทีมงานมูลนิธิเดินจิต
สภาวะรู้
ให้สังเกตสภาวะ...
เวลาที่จิตตั้งมั่น แต่ยังมีตัวรู้อยู่
ยังมีการยึดเกาะกับธาตุขันธ์อยู่
.
กับการที่เห็นสภาวะที่แตกดับ
แม้กระทั่งตัวรู้ก็แตกดับ
ไม่ได้ยึดเกาะวิญญาณขันธ์
.
ตรงเห็นจิตตั้งมั่น แต่มีตัวรู้อยู่
เป็นโลกียธรรม
คือสภาวะของสมาธิ
.
แต่พอตัวรู้หลุดออกไป
เห็นการแตกดับของวิญญาณขันธ์
อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ
เห็นการแตกดับของขันธ์ 5
.
แต่เมื่อสลัดคืน...
แม้กระทั่งวิญญาณขันธ์ก็สลายไป
เข้าถึงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
.
จะเป็นภาวะ...
รู้ที่บริสุทธิ์ที่ไม่ยึดเกาะกับสิ่งใดๆเลย
อันนี้คือภาวะรู้ที่เป็นอมตธรรม
เป็นโลกุตรธรรม
.
ให้สังเกต 3 สภาวะนี้ เวลามีตัวรู้
เวลาเห็นการแตกดับของตัวรู้
หรือวิญญาณขันธ์
.
แล้วก็เป็นภาวะรู้ที่ไม่มีตัวตน
ไม่อะไรกับอะไรเลย
เป็นภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ในแต่ละวันก็จะอยู่ 3 สภาวะนี้
เวลาเราปฏิบัติละเอียดน่ะ
.
แล้วถ้าละเอียดพอ..
จะเห็นที่เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท"
สิ่งที่มันเข้ามาบดบัง แล้วเกิดสังขาร
แล้วก็เกิดวิญญาณขันธ์ หรือเกิดตัวรู้
มันเกิดได้อย่างไร?
.
เราจะเริ่มสังเกตตรงนี้
มันเป็นการพลิก
ระหว่างโลกียธรรม กับโลกุตรธรรม
.
เพราะว่าเรา...
ไม่สามารถอยู่ในโลกุตรธรรม
ได้ตลอดเวลาหรอก
ผู้ที่อยู่ได้มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น
ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
เป็นผู้ที่มีสติสมบูรณ์
.
เพราะฉะนั้นมันพลิกไปพลิกมาได้
ยิ่งปุถุชน อย่างมากก็หลุดได้ชั่วคราว
แล้วก็หลุดออกมา
เพราะฉะนั้น...
เราจะสังเกตเวลามันมีรู้เนี่ย
รู้ที่มันยังมีอุปาทาน
กับรู้ที่มันไร้อุปาทาน
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
#ปุจฉา :
หากปฏิบัติเกิดอาการเพ่งจ้อง
จะแก้ไขได้อย่างไร?
.
#วิสัชนา :
เมื่อใดเพ่งโฟกัสจดจ่อ
เมื่อนั้นความรู้สึกตัวก็หายไป
ลืมกาย ลืมใจ
สติ ก็คือ การระลึกรู้
สัมปชัญญะ ก็คือ ความรู้สึกตัว
2 สิ่งนี้คือเป็นสิ่งที่เราควรรู้จัก
แล้วฝึกพัฒนา 2 สิ่งนี้อยู่เสมอ
ระลึกรู้สึกตัว
คำว่า สัมมาสติ หรือ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
ก็คือการระลึกรู้กาย ระลีกรู้ใจขึ้นมา
หัวใจของการเจริญสติ ก็คือ..
"ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า"
ถ้าท่านสามารถรู้ธรรมเฉพาะหน้าได้
• สัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้องก็เกิดขึ้น
• สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้องก็เกิดขึ้น
• สัมมาญาณ วิปัสสนาญาณ
การรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็เกิดขึ้น
• สัมมาวิมุตติ การหลุดพ้นที่ถูกต้องก็เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นหัวใจของการเจริญ สติปัฏฐาน
"ตั้งกายตรงดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า"
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจ
เข้าถึง และฝึกหัดได้ถูกต้อง
ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติ
ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด
หัวใจก็อยู่ที่การดำรงสติมั่น
รู้ธรรมเฉพาะหน้า
ใหม่ๆจะให้วิธีการฝึก
ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า
แบบในเบื้องต้นก่อน
ก็ให้เรามองกว้างๆ สบายๆ
การที่เรามองกว้างๆสบายๆ
มันจะวางอาการเพ่งจดจ่อออกไป
ปกติการมอง เราจะมองแบบโฟกัสจดจ่อ
เช่น เรามองโฟกัสไปที่ข้างหน้า
จิตเราไปอยู่ที่ไหน?
ก็ไปอยู่กับสิ่งที่เรามอง
ผลที่ตามมาคืออะไร?
ขาดความรู้สึกตัว ลืมกาย ลืมใจ
นั่นคือกระบวนการจิตส่งออก
ภาษาพระท่านเรียกว่า "เกิดนันทิ"
หรือ ความเพลินในอารมณ์
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ละนันทิ
ความเพลินในอารมณ์ จิตหลุดพ้น
วิธีทำง่ายๆ ก็คือ
ให้เรามองกว้างๆสบายๆ
ไม่ได้มองแบบโฟกัสจดจ่อ
วิสัยทัศน์การมองจะกว้าง
มองเป็นไหม การมองกว้าง
จากนั้นรับรู้ความรู้สึกของร่างกาย
รู้สึกถึงกายที่ยืนอยู่ ขยับมือรู้สึกตัว
รับรู้ความรู้สึกของร่างกาย
ปกติจิตมันจะไหลไปกับอารมณ์
ไหลไปกับความคิดปรุงแต่ง
การฝึกสติปัฏฐาน ให้เราเปลี่ยนจากการที่เราอยู่กับความคิด มาอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกตัว
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ตราบใดที่ยังแสวงหา ไขว่คว้าความสุขจากสิ่งต่างๆ ภายนอก
ก็ไม่สามารถที่จะพบเจอ..
ความสงบสุขที่แท้จริงได้เลย
เพราะที่จริงแล้ว #ความสงบสุขที่แท้จริง
มันไม่ได้อยู่ภายนอกที่ไหนเลย
อยู่ภายในใจของพวกเราทุกคนนี่เอง
#สติ เป็นกุญแจ..
ที่จะทำให้เราไขเข้าสู่ความสงบสุข
ที่แท้จริงของชีวิตได้
จึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนพึงให้ความสำคัญ
ฝึกฝนพัฒนาตนเอง
อบรมสติปัฏฐาน ๔ อยู่เนืองๆ
เพราะสิ่งนี้แหละ..
ที่จะเป็นสาระประโยชน์อันสูงสุดของชีวิต
เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขตลอกกาลนานได้
.
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
มูลนิธิเดินจิต
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสิ่งที่ เรียกว่า
#อริยทรัพย์ ไว้ มีอยู่ 7 ประการด้วยกัน
ถ้าเราเป็นผู้ที่มีทรัพย์ภายใน 7 ประการตรงนี้
เราไปเกิดชาติใด ก็ไม่ตกต่ำ
ก็จะไปในทางที่ถูกที่ควร
มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปตลอดกาล
และนำทางเราไปในวิถีที่ถูกต้อง
1.“#ศรัทธา” ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อเราเกิดศรัทธา การน้อมมาเพื่อฟังธรรม
เพื่อปฏิบัติธรรมต่างๆ
ย่อมตามมาเองโดยธรรมชาติเลย
ถ้าเราขาดข้อแรกนี่มันไปต่อไม่ได้
2. “#ศีล” ความเป็นผู้มีปกติ
ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน
เป็นผู้ที่มีปกติ กาย วาจาใจ ที่เป็นปกติ
3. “#หิริ” ก็คือความละอายใจ
ความละอายก็เป็นอริยทรัพย์อย่างหนึ่ง
เมื่อเรารู้สึกละอายใจ เราก็จะไม่หลงทำสิ่งที่ไม่ดี
สิ่งนี้เป็นอริยทรัพย์
4. “#โอตัปปะ” จะมาคู่กับสิ่งที่เรียกว่า“หิริ”
“หิริ และโอตัปปะ”
คือความละอายใจ และการเกรงกลัวต่อบาป
ตรงนี้สำคัญมากเลย
การที่บุคคลจะทำความชั่วขึ้นมาได้
ก็เพราะว่าขาดหิริ และโอตัปปะ
5. “#สุตะ” การเป็นผู้ที่สะสมสุตะ
คือ คำสอนต่างๆ พระสูตรต่าง ๆ
พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ความเป็นผู้ที่มีสุตะมาก
ได้ยินได้ฟัง ทรงจำพระพุทธพจน์
อันนี้มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า อริยทรัพย์ประเสริฐ นั่นเอง
6. “#จาคะ” ก็คือ จากความเป็นผู้ที่สละออก
ละความตระหนี่นั่นเอง
เป็นปฏิปทาของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
7. “#ปัญญา” ก็จะตามมาจากเจ็ดข้อนี้
ปัญญาจะทำให้เราเกิดความตระหนักรู้ว่า
อะไรคือสิ่งที่เราควรละ อะไรคือสิ่งที่เราควรเจริญ
เมื่อเรารู้สิ่งที่ควรละ ทำสิ่งที่เจริญ
ความเจริญงอกงามไพบูลย์
ทั้งทางโลกและทางธรรม
ย่อมเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ
เพราะว่าเราสร้างเหตุที่ถูกต้องนั่นเอง
......................................
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ขณะจิตเกิดความหลง
ส่งผลให้จิตเกิดความทะยานอยาก
จิตจึงรู้สึกอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น
ด้วยขณะนั้นเกิดพลัง #อกุศลครอบงำจิต
ขณะจิตเกิดสติปัญญา
ส่งผลให้จิตเกิดความรัก ความเมตตา
จิตจึงเห็นคุณค่าของการสละความยึดมั่นออกเสีย
ด้วยขณะนั้นเกิดพลัง #กุศลคุ้มครองจิต
สุขจากการให้อย่างแท้จริง
คือ การให้คืนทุกสิ่งกลับคืนสู่ธรรมชาติ
.
วิมุตติธรรม