หลวงตา : ปล่อยวาง "สังขารกาย สังขารจิต และสังขารผู้รู้" ซึ่งรวมกิริยา อาการ หรือ ปรากฏการทั้งหมดดังต่อไปนี้
ไม่ว่าจะเกิดสภาวะอย่างใดทั้งทางกายและจิต... ปล่อยวางทั้งสิ่งที่รู้และผู้รู้ปัจจุบันขณะนั้น ๆ
ปล่อยวางตัวเราผู้คิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง ดิ้นรน ค้นหา สงสัย พยายาม... ในปัจจุบันขณะ
ปล่อยวางตัวเรา “ผู้รู้” ผู้พูดพากษ์ในใจในปัจจุบันขณะ
ปล่อยวางตัวเราผู้ยึดมั่นถือมั่น
ปล่อยวางตัวเราผู้ยึดผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ปล่อยวางตัวเราผู้ปล่อยวางสังขาร...
*** ไม่เหลืออะไรเลย (วิสังขาร)... ก็ปล่อยวางไป
ปล่อยวางตัวเราผู้ปล่อยวางวิสังขาร
*****ไม่เหลือผู้ได้อะไร ผู้เป็นอะไรเลย
(ไม่มีผู้ได้อะไร ไม่มีผู้เป็นอะไร ไม่มีผู้ไม่ได้อะไร ไม่มีผู้ไม่เป็นอะไร)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
พลังบริสุทธิ์จากธาตุรู้บริสุทธิ์ ตอนที่ 1/4 ความหลงยึดถือว่าเป็นเรา🕷️🕸️
ในขันธ์ห้าหรือร่างกายจิตใจของเรานี้ ประกอบไปด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุรู้หรือวิญญาณธาตุ ถ้ามีอากาศธาตุที่เป็นช่องว่าง มีความว่างด้วยก็รวมเป็น 6 ธาตุ ประกอบขึ้นมาเป็นชีวิต เป็นร่างกายจิตใจหรือเป็นขันธ์ห้า
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศนี้ไม่มีความรู้ เวลาตายแล้ว ธาตุดินก็กลับคืนไปเป็นธาตุดินในธรรมชาติ ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟก็กลับคืนไปสู่ธาตุในธรรมชาติ ธาตุอากาศก็กลับคืนสู่ความว่างในธรรมชาติ ที่สำคัญมันอยู่ตรงที่ “ธาตุรู้” หรือ “วิญญาณธาตุ”
ธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุนี้ ถ้ายังมี “อวิชชา” ยังอยู่ในธาตุรู้ คือเป็น “ความรู้หลง” ไม่ใช่เป็นความรู้แจ้ง เป็นความหลงอยู่ในธาตุรู้ ธาตุรู้นี้ก็จะกลับคืนไปสู่รวมกับความว่างในธรรมชาติในจักรวาลไม่ได้
ธาตุรู้ที่ไม่มีความหลงแล้ว คือไม่หลงว่ามีตัวมีตนเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเราอยู่ในขันธ์ห้านี้ หรือไม่ยึดเอาขันธ์ห้าทั้งตัวนี้ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา ที่เห็นมันเป็นของเที่ยงแท้มั่นคง จึงเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์
ท่านผู้ใดมีสติ สมาธิ ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่าสังขารร่างกาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นกายหยาบว่าเป็นของไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไปสู่ความเสื่อม ความแก่ ความเจ็บ ความตายตลอดเวลา ตัวตนที่คงที่ไม่มีอยู่จริง ก็จะสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นในสังขารร่างกายจิตใจ ที่เป็นรูปธรรมนามธรรมที่เป็นของหยาบนี้
แม้แต่ไม่ยึดถือร่างกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเราแล้ว แต่ก็จะยังหลงยึดถือ “จิต” หรือ “วิญญาณ” ที่มาเกิด ที่มาผสมกับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ว่าเป็นเราเป็นตัวเราเป็นตัวตนของเรา ก่อนที่จะมาเกิดผสมกันขึ้นมาเป็นขันธ์ห้า มีวิญญาณมาเป็นตัวเราลอยมา แล้วก็ตัวเราก็มาเกิด เลยยึดถือว่าภายในขันธ์ห้า ภายในตัวเรานี้มี “ตัวเรา” เป็นตัวเป็นตน
เมื่อยังมีความหลงยึดถือที่ผิด ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิแบบนี้ เป็นโมหะ เป็นความหลง เมื่อตายแล้วธาตุขันธ์แตกดับ ธรรมชาติ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศจะต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ธาตุรู้ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนกัน แต่ “ธาตุรู้” เมื่อความหลงยึดถือยังไม่สิ้น ยังเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเราที่คงที่ ยังยึดถืออยู่ในจิต ยึดถืออยู่ในความรู้สึก
พอธาตุขันธ์แตกดับแล้ว “ธาตุรู้” นี้ ซึ่งโดยธรรมชาติของเขาเป็นความว่างเปล่าเหมือนกับเป็นความว่างในธรรมชาติ เป็นอากาศธาตุเป็นเหมือนกัน มีสภาพเหมือนกัน เป็นความว่างเหมือนกัน แต่ธาตุอากาศไม่มีความรู้ เป็นแต่ความว่างหรือเป็นอากาศ หรือเป็นอวกาศที่ไม่มีความรู้ แต่ธาตุรู้เป็นความว่างเหมือนกับอากาศหรืออวกาศ แต่มีความรู้อยู่ในตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความรู้จากสิ่งใด เขาก็จะไปรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดเป็นอวิชชา หรือความโง่ไปหลงยึดถือในสิ่งที่ยึดถือไม่ได้ แต่ก็ยังหลงยึดถือให้มันได้ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา สิ้นความหลงโง่อยู่ในจิตเดิมแท้ หรือในวิญญาณที่มาเกิด ธาตุรู้นั้นก็จะไปรวมกับความว่างเปล่าในธรรมชาติที่เป็น “ความรู้” คู่ความว่าง คู่ธรรมชาติ
เมื่อความรู้นี้สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความรู้นี้จึงเป็น “ความรู้ที่บริสุทธิ์”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
บทอธิษฐานจิตและปรับธาตุขันธ์✨
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ รวมกับบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วทุกภพทุกชาติ ขอให้ธาตุทุกธาตุ ขันธ์ทุกขันธ์ สสาร พลังงาน ความว่าง ธาตุรู้ ภูมิคุ้มกัน พลังจิตที่บริสุทธิ์ พลังธรรมชาติที่บริสุทธิ์ จงสมดุลเป็นปกติธรรมชาติโดยอัตโนมัติตลอดเวลาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ
พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา ธัมโมพระอะระหัง ธัมมังรักษา สังโฆพระอะระหัง สังฆังรักษา ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไร เชื้อโรคร้าย สารพิษร้าย เซลเนื้อร้าย... ใด ๆ มีมา อนัตตาสูญเปล่า นะสูญ โมสูญ พุทสูญ ธาสูญ ยะสูญ สูญหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ สัมปะจิตโต ปัจฉามิ
💧พลังบริสุทธิ์จากธาตุรู้บริสุทธิ์ ตอนที่ 4/4 พลังจิตที่บริสุทธิ์💧
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์สาวกทุกพระองค์ ขณะที่มีชีวิตอยู่ขันธ์ห้ายังไม่แตกดับ มีพระเมตตาเป็น “อัปปมัญญา” ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ แผ่เมตตาไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี ไม่ใช่มนุษย์ก็ดี ตลอดจนเทพ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นาค ครุฑ มนุษย์ คนธรรพ์ สรรพสัตว์ในธรรมชาติ ในอนันตจักรวาล อันไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ
พลังแห่งความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่เป็นอัปปมัญญานี้ เป็น “พลังจิตอันบริสุทธิ์” ที่ออกมาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหมดก่อนที่จะดับขันธ์ปรินิพพานไป และพลังแห่งความเมตตานี้เป็น “พลังจิตที่บริสุทธิ์” พลังธรรมชาติที่บริสุทธิ์ รวมอยู่ใน “จิตที่บริสุทธิ์” ในธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ในธรรมชาติอนันตจักรวาล ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีวันสูญหายไป เป็นไปตามกฎวิทยาศาสตร์ที่ว่า... สสารและพลังงานย่อมไม่สูญหายไปจากธรรมชาตินี้ แต่เปลี่ยนรูปร่างไปเท่านั้นเอง
ท่านจงน้อมนำอธิษฐานให้เข้าถึง "ใจที่บริสุทธิ์ ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์" ให้สิ้นอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งหมดโดยถาวรสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อธิษฐานเอาไปใช้ให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง ให้ละบาป กรรมชั่ว
ไม่มีผู้ใดที่เกิดมาแล้วเป็นอรหันต์มาแต่แรก กรรมชั่วอันใดที่เคยผิดศีลห้า ก็สำนึกผิดเสียใจ ขอขมาต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ที่เราล่วงเกิน นับจากบัดนี้เป็นต้นไปจะตั้งจิตอธิษฐานว่าจะไม่ทำบาปกรรมชั่วทางกาย วาจา ใจด้วยเจตนาอีกต่อไป เมื่อละบาปแล้วให้บำเพ็ญบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา
ตั้งแต่ทานธรรมดาก็สละความโลภ ทานสูงสุดก็ตั้งแต่ให้อภัยทาน สละความโกรธ และอธิษฐาน "สละกิเลสเป็นทาน" ก็สิ้นทั้งหมด ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเรียกว่า “ให้ทาน” บำเพ็ญในฝ่ายกุศล
ใน “ศีล” เคยทำบาปกรรมชั่วมาก็สละเสียให้หมดสิ้น... ศีลก็บริสุทธิ์แล้ว แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า นับแต่นี้ไปจะไม่ทำผิดศีล ตั้งแต่ศีลห้าเป็นต้นไป ด้วยกาย วาจา ใจ ด้วยเจตนาอีกต่อไป
ถ้าพลาดพลั้งครั้งใดก็ขอขมา ขออโหสิกรรมต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ที่เราล่วงเกิน ให้มีหิริโอตตัปปะ ละอายแก่ใจ เกรงกลัวต่อบาป
แล้วก็ฝึกฝนจิตใจของตนเองให้เข้าถึง "ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์" สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นโดยถาวร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
🌀 ธรรมะเชิงอุปมา ว่าด้วยเรื่อง "ลูกน้อง และ เจ้านาย" 🌀
☀️หลวงตา : "จิต" มันเหมือนกรรมกร เราเหมือนเจ้านาย เจ้านายเนี่ยไม่ได้หมายถึง "ตัวเรา" หมายถึงว่าสติปัญญา
สติปัญญามันไม่ได้เจตนาที่จะไป แต่จิตมันเป็นลูกน้องกรรมกร จิตมีเจตนาไปมีกิเลสกับอะไร แต่เจ้านายมันไม่ได้ไปสมรู้ร่วมคิดกับจิตที่มันเป็นกรรมกร มันก็ไม่มีความผิด ไม่มีความผิดทั้งทางโลก ไม่มีความผิดทั้งทางธรรม ไม่ต้องไปรับกรรม คือ ไม่ต้องไปเป็น "อะวิชชาปัจจะยาสังขารา"
"อะวิชชาปัจจะยา สังขารา, สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง" คือ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารกรรม สังขารกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณกรรม
ก็ไม่ต้องมีคนไปรับกรรม
ปัญหาที่เราปฏิบัติกัน เราเข้าใจว่า "จิต" กับเรา (สติ ปัญญา) เป็นตัวเดียวกัน ความจริงจิตน่ะ ที่หลวงตาพูดว่าให้จิตมันเป็น "พุทโธ" ๆ ๆ เนี่ย เจ้านายมันคือ "สติ"
เจ้านายมันก็สั่งให้จิตพุทโธ แต่จิตมันไม่พุทโธแล้ว เจ้านายมันไม่อยู่ จิตมันก็ไม่พุทโธ มันก็หนีไปเที่ยว "สติ" มันต้องเป็นเจ้านาย มันต้องอยู่
จิตมันมีเจตนาไปมีกิเลสกับอะไร แต่เจ้านายสติ มันรู้อยู่ว่ามันไม่ได้ไปตามจิต มันไม่ไปสมรู้ร่วมคิดกับจิต มันก็ไม่ต้องรับกรรม
คนที่รับกรรมถูกจำคุกถูกลงโทษประหารชีวิต มันก็คือจิตอย่างเดียว จิตมันต้องไปรับกรรม คือมันต้องไปเวียนว่ายตายเกิดรับกรรม
แต่ถ้าเจ้านายมันไม่ไปสมรู้ร่วมคิด เจ้านายไม่ไปกับจิต พอตายแล้ว กายกับจิตดับ แต่เจ้านายไม่ดับ เจ้านายมัน "รู้แก่ใจ" ว่ามันบริสุทธิ์ มันมีความเป็นอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ตลอด
ทีนี้พอเราเข้าใจว่า จิตกับเจ้านายเป็นตัวเดียวกัน จิตกับเราเป็นตัวเดียวกัน เราก็คอยไปห้ามจิต ไปช่วยจิต หลงไปกับจิต วุ่นวายไปกับจิต มันก็เลยกลายเป็นไปสมรู้ร่วมคิดกับจิต ทำอะไรก็เลยสมรู้ร่วมคิดกับจิตตลอด
ในเมื่อสมรู้ร่วมคิดกับจิตตลอด "สติ" กับ "ปัญญา" โดนไปด้วยเลย ถือว่าเป็นผู้ไม่มีสติปัญญา ... มีเจตนา
พอมีเจตนาสมรู้ร่วมคิดด้วย ก็ต้องรับกรรม
ตอนนี้ก็คือ...
"อะวิชชาปัจจะยา สังขารา, สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง" คือ เพราะ "อวิชชา" ความสมรู้ร่วมคิด ความไม่รู้นี่เป็นอวิชชา มีกิเลสก็เลยสมรู้ร่วมคิดด้วย ตอนนี้ก็เลยต้องไปรับกรรมกับจิต
🙏โยม : งั้นเราก็ต้องเพียรมีสติปัญญาควบคู่ไป
☀️หลวงตา : สติปัญญามันต้องรู้ว่าเราบริสุทธิ์นะ ไม่ใช่ว่ามีเจตนากับอะไร จิตมันจะไปอะไรมันเป็นเรื่องของจิต มันต้องรู้เท่าทันตลอด
เพราะเรายังไม่ตาย จิตกับสติมันเป็นลูกน้องกับเจ้านายกัน ถ้าสติไม่รู้เท่าทันจิต เราไปสมรู้ร่วมคิดกับมันเลยจริง ๆ เราต้องรับโทษรับกรรม ถ้าไม่มี "เจตนาสมรู้ร่วมคิด" เป็นผู้มีสติปัญญาอยู่ ไม่มีเจตนาสมรู้ร่วมคิดกับจิตมันต้องรู้เท่าทันจิต
จิตมันไปทำอะไร จิตมันไปโน่นไปนี่ มันอยากไปมีอะไรกับใคร ไปโกรธ ไปเกลียด ไปรักไปชัง แต่เราไม่ได้อยากโกรธ เราไม่ใช่ไปอยากโกรธเมื่อไหร่ เราไม่ใช่ไปอยากมีกามราคะอะไร เราไม่อยากไปคิดถึงใคร เราไม่ได้ไปอยากชังใคร จิตมันไปของมันเอง เราไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับมัน
ความที่ "รู้แก่ใจ" ว่าบริสุทธิ์ คือไม่ไปสมรู้ร่วมคิดกับจิต ก็เลยเรียกว่าบริสุทธิ์ ที่เรารู้ตัวเราว่าเราบริสุทธิ์ คือไม่ได้เจตนาไปร่วมกระทำผิดกับจิต ไปกระทำผิดกับใคร
"ความรู้" ที่รู้ว่าบริสุทธิ์ ความรู้ที่บริสุทธิ์นี่เป็นอมตะ เป็น "นิพพานธาตุ" ความรู้อันนี้ ไม่ใช่ว่าไปรู้ทางอายตนะคาเอ๋อ ๆ ไว้อะไรนะ หรือว่ารู้ว่าง ๆ รู้เฉย ๆ มันไม่ใช่
ความรู้ที่รู้ว่าบริสุทธิ์เนี่ย เหมือนกับว่า เราถูกตัดสินประหารชีวิต โดนถูกตัดสินประหารชีวิต ตัวขันธ์ห้าตายแล้วนะ แต่ความรู้แก่ใจว่าบริสุทธิ์ มันไม่ตาย
ความที่รู้อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ อันนี้เป็นอมตะ ไม่ตายตามขันธ์ห้า และก็ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์
แล้วก็จะเป็น "ความรู้ที่บริสุทธิ์" รู้ว่าบริสุทธิ์อย่างเป็นอมตะ
ที่ท่านบอกว่าพระอริยเจ้าทั้งหลาย พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็อยู่กับรู้นี้แหละ
ใจรู้ว่าใจบริสุทธิ์
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
🌡ทางปฏิบัติเพื่อห่างไกลจากโรคภัย🌡
🌬ตอนที่ 1/5 "อานาปานสติกับพลังลมปราณ"
ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยการละบาปบำเพ็ญบุญกุศล แล้วก็ฝึกฝนจิตใจของตัวเองให้ปราศจากกิเลส และความทุกข์เศร้าหมอง
แล้วก็แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรสรรพสัตว์ทั้งหลาย กรรมหนักมันก็จะลดน้อยลงไป กรรมกลาง ๆ ก็จะเบาบางลงไป ถึงแม้จะได้รับบ้างแต่ไม่ถูกกรรมหนักมาตัดรอนจริง ๆ มันก็ยังไม่ถึงแก่ความตาย ก็พอที่จะบรรเทาไป ทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานไปก่อนที่จะตาย ด้วยคุณงามความดีที่คุ้มครองเอาไว้
แต่ก็ยังไงก็ต้องแพ้กรรม แต่ถ้ากรรมหนักมาตัดรอนก็ไม่เหลือเหมือนกัน งั้นเมื่อท่านละบาปบำเพ็ญบุญแล้วก็ฝึกฝนจิตใจ พอใจสงบแล้วก็เอามาอธิษฐานจิตเข้า
หลวงตาก็โพสต์ไปในไทม์ไลน์ มีภาพที่ว่าในไทม์ไลน์ของหลวงตาที่เป็นภาพ "โรค COVID-19" แล้วก็ไปเปิดดูวิธีการปฏิบัติตามนั้น
ก็เป็นไปตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นแหละ คือปฏิบัติใน "อานาปานสติ" ให้มี "สติสัมปชัญญะ" มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ระลึกรู้อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมหายใจทั้งเข้าและออกมีความหยาบ ละเอียด ปานกลาง นุ่มนวล กระแทกกระทั้น มันเป็นอย่างไรก็รู้เขาตามความเป็นจริง
ลมหายใจนี่เป็นเครื่องปรุงแต่งกาย ลมหายใจเคลื่อนไหวแต่ "ผู้รู้" ไม่ปรากฏตัวตน ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว
แต่มันจะต้องปรากฏก่อน ที่ลมหายใจเคลื่อนไหวแล้วมันจะต้องปรากฏผู้รู้ตัวปลอมก่อน ผู้รู้ตัวปลอมผู้รู้ลมหายใจเคลื่อนไหว ผู้รู้น่ะคือตัวจิต (ผู้รู้ตัวปลอม) มันก็จะพูด
แล้วก็เห็นจิตเคลื่อนไหวแต่ "ผู้รู้ตัวจริง" จะไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว แล้วก็ปรากฏการณ์เคลื่อนไหวแต่ผู้รู้ตัวจริงจะไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว
เราก็จะเห็นปรากฏการณ์เคลื่อนไหว จิตเคลื่อนไหว แต่ผู้รู้ตัวจริงไม่เคลื่อนไหว
แล้วก็ฝึกอย่างนี้ของเราไปเรื่อย ๆ อานาปานสติได้แต่ "สักแต่ว่า" รู้กายรู้จิตที่เคลื่อนไหว แต่ผู้รู้ไม่เคลื่อนไหวไม่ปรากฏตัวตน
เมื่อฝึกแล้วก็ฝึกให้มันเกิดพลังมาด้วย มาคุ้มครองรักษาตัวเองเหมือนกับออกกำลังกาย แทนที่จะหายใจมาแค่ถึงปอดก็หายใจมันไปถึงท้องนู่น บางคนก็หายใจเข้าท้องแฟบบางคนก็หายใจเข้าท้องพอง คือให้มันไปถึงท้องก็แล้วกัน หายใจให้มันไปถึงท้องนู่น แล้วก็จะหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ บางทีก็เถียง ๆ กันอยู่ว่าหายใจเข้าท้องพอง หรือหายใจเข้าท้องแฟบ คือให้มันไปถึงท้องก็แล้วกัน อย่าให้ไปถึงแค่ลิ้นปี่ มันจะได้มีกำลัง
แต่หลักมันคือ... เอาของเสียออกหมดก่อน!!!
หายใจออกเอาของเสียออกให้หมด หมดร่างกายเลย ก็คือเวลาหายใจออกมา เอาของเสียออกได้มันก็ต้องช่วยเอามือกดหน้าท้องตัวเอง ให้มันแห้งจนไปติดซี่โครงข้างหลังนั่นแหละ แล้วก็เอาลมออกทางปากออกทางจมูกให้หมด เอาเชื้อโรคออกไปเอาอะไรออกไปหมด เอาของเสียออกไป เหมือนกับว่าน้ำในแก้วมันสกปรกคว่ำออกไปเลย เทออกไปให้หมดก่อน แล้วก็เติมออกซิเจนสะอาดเข้าไป มันก็เติมน้ำสะอาดเข้าไป
ที่ถูกต้องมันน่าจะหายใจออกท้องแฟบก่อน โดยหลักต้องหายใจออกก่อนนะ อย่าไปหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปในขณะที่ยังไม่เอาของเสียออก เราต้องหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ทิ้งไปก่อนให้หมดท้องก่อน ให้เอามือกดท้องให้มันแปบไป ถ้าอ้วนนักนั่งแล้วมันกดไม่ค่อยลงก็นอนหงายก็ได้ แล้วก็เอามือกดท้องให้มันแปบ แล้วก็เอาลมออกปากจมูกก่อน แล้วเดี๋ยวเวลาหายใจเข้าท้องมันก็พองเอง
ก็ฝึกอย่างเนี้ยแล้วก็รู้ด้วยลมมันเคลื่อนไหวยังไงให้มันรู้ "สติ" อย่าขาด ความรู้ในลมเนี่ยอย่าให้สติขาดอย่าให้ฟุ้งซ่านไป ลมมันเคลื่อนไหวยังไงให้รู้ แล้วก็หายใจอย่างนี้ให้มันชำนาญ หายใจออกให้ท้องมันแฟบนะ หายใจเข้าให้ท้องมันพอง ไม่ใช่ไปท่อง "พองแฟบ แฟบพอง" ไม่ต้องท่องนะ แค่รู้เฉย ๆ ไม่ต้องไปนั่งท่องพองยุบ ๆ อะไรหรอกให้มันแค่รู้เฉย ๆ
แล้วพอเราฝึกชำนาญแล้วเนี่ยก็ลองกักไว้ที่ท้องน้อย แล้วเอาหน้าไปจุ่มดูในกะละมังน้ำก็ได้ กักดูซิว่ามีลมรั่วออกมั้ย ถ้าลมไม่รั่วออกจมูกไม่มีอากาศมาอุดที่รูจมูกก็ใช้ได้แล้ว ฝึกกักลมไว้ที่ท้องน้อย หายใจเข้าจนกระทั่งกักลมไว้ที่ท้องน้อย
กักแล้วต้องไม่รั่ว จะดูว่าลมรั่วมั้ยก็ต้องเอาจมูกน่ะกักไว้ แล้วก็เอาลมมากักไว้ที่ท้อง แล้วก็เอาจมูกไปจุ่มน้ำ ถ้าไม่มีลมรั่วไม่มีฟองอากาศมาอุดที่รูจมูก แสดงว่ากักลมอยู่ได้แล้วใช้ได้แล้ว เหมือนกับยางล้อรถยนต์ หรือว่ายางล้อเครื่องบินน่ะ เวลาเขาเติมลมเข้าไปถ้ามันไม่มีลมรั่วนะ ยางเส้นเล็กนิดเดียวมันสามารถรับน้ำหนักเครื่องบินลำเบ้อเร่อนะ เพราะว่าลมนี่มันมีแรงดันมันมีอำนาจมากเลย มันสามารถรับน้ำหนักเครื่องบินยังได้เลย ขอให้ลมไม่รั่วอย่างเดียว ยางน่ะ งั้นในท้องเราถ้าลมไม่รั่วแล้ว ก็จะมีฤทธิ์เดชมีอำนาจมากเลยเขาเรียกว่า "พลังลมปราณ"
แล้วเวลาอธิษฐานจิต ก็อธิษฐานตอนที่กักลมไว้อย่าให้ลมรั่ว เพราะว่าถ้าไปอธิษฐานตอนลมรั่วมันก็จะเหมือนกับว่าเราอัดลมสูบลมใส่ยางแล้วลมมันรั่ว มันก็ไม่มีกำลัง เวลาอธิษฐานก็ต้องอธิษฐานตอนที่ลมไม่รั่ว
เราก็ฝึกให้มันชำนาญซะก่อน ว่าเวลาพอกักลมแล้วเอาจมูกไปจุ่มน้ำดูซิ ถ้าเอาจมูกไปจุ่มน้ำแล้วไม่มีลมรั่วออกมาแสดงว่าใช้ได้แล้ว แต่ถ้ากักแล้วลมมันออกมาบุ๋ง ๆ ๆ ที่จมูกก็แสดงว่ายังใช้ไม่ได้... ลมรั่ว ต้องฝึกจนกระทั่งลมไม่รั่ว
กักได้แล้วก็อธิษฐาน อธิษฐานนึกถึง พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ แล้วก็อธิษฐานด้วยบุญบารมีของเราความดีที่เราทำมาแล้ว รวมกับ "พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ" ขอให้ธาตุทุกธาตุขันธ์ทุกขันธ์ ธาตุทุกธาตุก็คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุรู้ ที่มารวมกันหกธาตุ หรือว่าแค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็ธาตุรู้ ไม่รวมกับอากาศก็ห้าธาตุ มารวมกันเป็นชีวิตเป็นขันธ์ห้าขึ้นมา
ขันธ์ทุกขันธ์ ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์ห้า) หรือสสารพลังงานและความว่าง หรือธาตุรู้ ให้กลับคืนสู่ความเป็นปกติตามธรรมชาติสมดุลตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติตลอดเวลาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ อันนี้อธิษฐานในขณะที่กักลมได้ก็อธิษฐาน
อย่าลืมนะ! ต้อง "พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ"
และ...สำคัญที่สุด ต้องบวกคุณงามความดีบุญบารมีที่เราได้ทำมาแล้ว
อันนี้ไม่ใช่ว่าเราไปขอแต่คนอื่น แต่ไม่มีบุญวาสนาของเราบวกไป นี่คือตัวสำคัญ ที่จะทำให้สำเร็จได้ในแรงอธิษฐานทุกชนิด บวกของเราเข้าไป มันจะได้มากได้น้อยมันก็อยู่ตรงบวกนี่แหละสำคัญ
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ มีอำนาจอานุภาพไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ แต่ตัวบวกเนี่ยสำคัญ ที่จะสำเร็จไม่สำเร็จได้ คือมีบุญวาสนาน้อยแต่ขอมากปรารถนามากมันก็ไม่ได้ มันต้องสมดุล
ถ้าแค่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ทำบาปกรรมหนัก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตัดรอนชีวิตอื่น เบียดเบียนชีวิตอื่นสัตว์อื่นมาหลายภพหลายชาติ ทำกรรมมาน้อยในชาตินี้ก็ทำมาน้อย สุขภาพมันก็ดีนะ แล้วก็อย่างอื่นที่จะมาให้ผลร้ายมันก็จะหลุดรอดไปได้ แคล้วคลาดไปได้
ทั้งความดีเราด้วย ด้วยอำนาจ พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ และบุญกุศลคุณงามความดีบุญบารมีที่เราได้ทำแล้ว มันก็จะปัดเป่าทำให้มันแคล้วคลาดไปได้
เราก็อธิษฐาน บทสวดที่หลวงตาให้ไปเนี่ย เพราะได้มาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์สมัยรุ่นเก่าอายุท่านร้อยกว่าปี ได้มาจากหลวงปู่องค์หนึ่ง ตอนสมัยหลวงตาไปเป็นผู้พิพากษา ท่านอายุร้อยกว่าปี จำไม่ได้ ร้อยกว่า ๆ ไม่รู้ร้อยเท่าไหร่ ท่านก็เป็นพระรุ่นเก่าโบราณมากแล้ว ก็เรียกไปตอนท่านจะมรณภาพ เรียกหลวงตาเข้าไปเมตตาว่าจะให้ของดีให้ของวิเศษ เรียกเข้ามาใกล้ ๆ แล้วท่านก็กระซิบคาถาบทนี้ให้
หลวงตาก็มาเพิ่มดัดแปลงขึ้นมานิดหน่อย ทำให้มันสามารถรักษาตัวเองได้ด้วย เพราะว่าท่านก็ให้มา
"พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา ธัมโมพระอะระหัง ธัมมังรักษา สังโฆพระอะระหัง สังฆังรักษา ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไรใด ๆ มีมา"
ทีนี้ก็ถ้าเราจะรักษาสุขภาพด้วยเราก็เพิ่มเข้าไป...
“พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา ธัมโมพระอะระหัง ธัมมังรักษา สังโฆพระอะระหัง สังฆังรักษา ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไร เชื้อโรคร้าย สารพิษร้าย เซลเนื้อร้าย... ใด ๆ มีมา อนัตตาสูญเปล่า นะสูญ โมสูญ พุทสูญ ธาสูญ ยะสูญ สูญหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ สัมปะจิตโต ปัจฉามิ”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ธาตุรู้ สู่พระนิพพาน
การที่จะไปเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนก็ต้องเข้าใจในสิ่งง่ายๆ ก่อน เมื่อเข้าใจไปจนถึงที่สุด แม้แต่ตัวตนก็ไม่มี เขาถึงเรียกว่าอนัตตา ในที่สุดจิตมันถอดถอนตัวเองออกมาจากความคิดหมดแล้ว จิตมันก็จะมาดูตัวมันเอง พอมาดูตัวเองแล้วจะรู้ว่าแม้แต่ตัวจิตเองก็ไม่มี
มันถอดถอนความเป็นเจ้าของจิตออกเมื่อไหร่ มันก็ไม่มีตัวตน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้เปล่าๆ
ทีนี้ธาตุรู้ที่มันรู้ว่าจิตของเรา วิญญาณของเรา เพราะเราไปคิดว่ามันเป็นของของเรา ยังไปแสดงความเป็นเจ้าของนี้อยู่
ต่อเมื่อถึงที่สุด เราถอดความเป็นเจ้าของออก ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมัน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ต่อไปเราไม่เป็นเจ้าของนี้
เจ้าจิตของเรา วิญญาณของเรามันเริ่มไม่มีเจ้าของ มันเป็นจิตเฉยๆ มันก็กลับไปรวมกับมโนธาตุ มโนวิญญาณแบบเดิมๆ กรรมต่างๆ ที่จิตดวงนี้คิดว่าเป็นของตนก็หมดไปด้วย เพราะว่ามันไม่มีเจ้าของ มันกลายเป็นของกลางๆ เป็นมโนธาตุเฉยๆ สิ่งนี้จะซับซ้อน แต่ก็ไม่ถึงกับยาก
ภาวะพระนิพพานนั้น ถ้ารู้และเข้าใจธาตุรู้อย่างถ่องแท้แล้ว เกิดปัญญาจากธาตุรู้ และถอนความเป็นตัวตนเจ้าข้าวเจ้าของธาตุรู้ได้ ธาตุรู้นั้นก็สอนเราให้รู้จักพระนิพพาน เพราะในที่สุดเราได้คืนธาตุรู้นี้กลับไปสู่ความเป็นเดิมแท้ของมัน
เพราะตอนแรกธาตุรู้ก็เป็นความเดิมแท้ แต่ต่อมาเกิดเป็นอวิชชาขึ้น เกิดมีเจ้าของขึ้นมา คิดว่าเป็นของของมัน ก็เลยเริ่มมีจิตของเรา วิญญาณของเรา
หลังจากนั้นจิตวิญญาณของเราที่ไปครอบครองธาตุรู้ ก็เริ่มสะสมกรรมต่างๆ ต่อจิตเมื่อเท่าทันถึงที่สุด ก็จะรู้ว่าธาตุรู้นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
แต่เราเองที่หลงผิดคิดว่ามันเป็นของของเรา ต่อเมื่อความรู้สูงสุดตรงนี้ แล้วมันปล่อยวางธาตุรู้นี้ไป เพราะธาตุรู้ไม่ใช่ของมัน ไม่มีตัวตนจริง ไม่ใช่ของของมัน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้ ไม่มีเจ้าของ เมื่อปล่อยธาตุรู้อันนั้นไปซะ ความเป็นเจ้าของธาตุรู้ไม่มีเมื่อไหร่ ธาตุรู้นั้นก็เป็นปัญญาพระนิพพาน
การเจริญสติจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไรนั้น มาจากการเจริญสติจนมีกำลังสติมาก เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน จะมีกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งมหาสติมันก็ดำเนินไปใน 4 อย่างนี้
กาย คือการรู้ทางกายทั้งหมด ถ้าสติแข็งแรงจนเป็นอภิมหาสติแล้วนอกจากกายหยาบแล้ว มันยังรู้ไปถึงกายละเอียดที่ละเอียดลงไปอีก เพราะเป็นการตั้งมั่นมาก มันก็จะรู้ลึกลงไปเกินกว่าที่กายปกติ คือจะไปรู้ถึงกายละเอียดด้วย
รู้ในเวทนานอกจากเป็นเวทนาที่จิตปกติจะรู้แล้ว พอจิตที่เป็นมหาสติมันก็จะรู้เวทนาที่ละเอียด เป็นเวทนาที่สูงขึ้นไปอีก และจิตก็เหมือนกัน
จิตที่เป็นมหาสติก็เท่าทันจิตทุกอย่าง ก็เป็นจิตที่ละเอียดเข้าไปในจิตอันเป็นนามธรรม และข้อสำคัญที่สุดก็คือตอนที่มันเวียนไปเกิดความรู้ในธรรม
มันจะไปรู้ธรรมที่สูงขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก คือธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันนี้ก็เป็นการเข้าถึงพระนิพพานด้วยการเจริญสติ อันเป็นสติปัฏฐาน 4
คือจะรู้ละเอียดลงไป คือนอกจากในธรรมที่เวียนไปเกิดความรู้ในธรรมแล้ว มันยังไปรู้ถึงว่ามันยังไม่มีรูป เรียกว่าธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันเป็นธรรมหลุดพ้น สามารถยึดจับสติเข้าไปถึงภูมิธรรมในแก่นของมันด้วยวิธีการนี้ก็ได้
เมื่อจิตตั้งมั่นสูงสุดแล้ว เพราะสติปัฏฐานสติมันจะเวียนไป 4 อย่าง เช่น รู้ว่าทำอะไร ยืน เดิน นั่ง นอน สติปัฏฐานจะรู้ในนี้ แต่พอมันเป็นมหาสติปัฏฐานขึ้นมา นอกจากกายที่รู้ในสิ่งที่กายกระทำ มันยังรู้ไปถึงกายละเอียด คือมันตั้งมั่นแล้วมันเลยไป
ทีนี้มันเวียนไปที่จิต มันก็จะไปรู้จิตในจิต ซึ่งมันก็สูงกว่าจิตปกติ พอไปธรรมมันก็ไปรู้ธรรมในธรรม คือนอกจากการพิจารณาธรรมนี้แล้ว มหาสติปัฏฐานยังไปรู้ธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรธรรม คือธรรมที่ไม่มีสมมติบัญญัติ มันก็เลยไปถึงแก่นของแก่นที่เป็นธรรมที่สูงสุดได้เช่นกัน
วิธีนี้ก็ไปบรรจบกันกับการถอดความคิดออกเป็นส่วนๆ และจิตพรากออกจากความคิด จนเข้าสู่จิตเดิมแท้
ไม่ทราบผู้แต่งชัดเจนครับ
ทุกอย่างที่เป็นตัวเรา... แท้จริง คือ ธรรมชาติโดยแท้จริง
ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง มันเป็นภาพมายาลวงตาเสมือนจริง แต่ความจริงไม่มีใครสักคนที่ยึดถือเอาไว้ได้จริง
เพราะทุกสิ่งมันเป็นของธรรมชาติ ยืมธรรมชาติเขามาใช้เป็นขันธ์ห้าชั่วคราว ให้ได้โลดแล่นในโลกนี้ทั้งสุข ทุกข์ ปนเศร้า เมื่อหมดเวลาธรรมชาติเขาก็ทวงคืนจนหมด
ทุกคนนี่ก็แปลก!!!
จากไม่มีตัวตน... ก็เริ่มมีตัวตนขึ้นมา
จากไม่มีครอบครัว... ก็เริ่มมีครอบครัวขึ้นมา
จากไม่มีตำแหน่ง ลาภ ยศ ทรัพย์สิน... ก็เริ่มมีตำแหน่ง ลาภ ยศ ทรัพย์สินขึ้นมา
จากไม่แก่... ก็เริ่มแก่ขึ้นมา
จากไม่เจ็บป่วย... ก็เริ่มเจ็บป่วยขึ้นมา
จากไม่ตาย พลัดพรากจากทุกสิ่งที่มี... ก็ตาย พลัดพรากจากทุกสิ่ง
จากไม่มี... มีแล้ว... ก็กลับคืนสู่ความไม่มี
แต่ทุกคนเหมือนกับจะไม่ตาย ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่มี
ทั้งชีวิตหมดไปกับการแสวงหาให้ได้มา แล้วยึดถือ หวงแหนไว้ จนตาย แทบไม่มีเวลาหาความสุข ความสงบให้ใจของตนเองเลย
จนถึงวาระสุดท้าย... 👺👺👺
ธรรมชาติเขาก็ทวงคืนจนหมดสิ้น
อุตส่าห์ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา มีไตรสรณคมณ์ครบ และมีผู้ชี้แนะทางพ้นทุกข์
แต่มีชีวิตอย่างเป็นโมฆะจนตาย
*** หากมีความเป็นอยู่โดยไม่ประมาทในกิเลส ไม่ประมาทในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้ว ก็มีโอกาสพ้นทุกข์ในปัจจุบัน ได้
สาธุ สาธุ สาธุ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
🌼👥“รู้” ประกบหลัง “สังขาร” ตลอด👥🌼
ความดิ้นรนจะไปเอาอะไรนั้นเป็นทุกข์ (ความดิ้นรนเป็นสิ่งที่ถูกรู้... เป็นสังขาร) ถ้ามี “เรา” ไปเป็นตัวที่ดิ้นรนจะไปเอาอะไร นั่นคือหลงอยู่ในกองทุกข์ แต่ถ้าอยู่กับ “รู้” ที่ว่า “รู้ว่ามันดิ้นรนจะไปเอาอะไร” อันนั้นไม่ทุกข์
แค่ “รู้เท่าทันสังขาร” ไม่หลงดิ้นรนไปตามสังขาร ไม่หลงพยายามผลักไสหรือดับสังขาร และไม่หลงรักษาตัวเองไว้ไม่ให้หลงไปกับสังขาร... แค่รู้ที่ไม่มี “กิริยา” ต่อจาก "รู้" นั้น... นี่คือ รู้สักแต่ว่ารู้... ไม่ทุกข์
เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า ถ้าปรากฏสังขารกระดุกกระดิกอะไรขึ้นมา จะมี “รู้” ประกบหลัง เหมือนกับอยู่ด้านหลังสังขารตลอด เช่น สมมุติว่าตัวเราพยายามหารู้ รู้มันอยู่ไหน รู้มันเป็นอย่างไร พยายามไปหา... “ผู้ที่พยายามไปหารู้” นี่เองมันเป็น “สิ่งที่ถูกรู้” ทันที แต่ “รู้” มันก็รู้ทันทีว่า... สังขารกำลังไปหารู้
เพราะอะไร? สมมุติว่าพอเราหันไปหารู้ เช่น หันไปหารู้ข้างซ้าย ผู้รู้ก็มาอยู่ด้านหลังเรา เราหันไปหาผู้รู้ ผู้รู้ก็มาอยู่ด้านหลังเรา เราไม่มีทางพบผู้รู้ได้หรอก แต่รู้ว่ามันมีอยู่ เพราะอะไร... เพราะว่า “มันมีสิ่งที่ถูกรู้” คือเราหันไปปุ๊บ เราถูกรู้ทันทีเลย
เราหันขวา... รู้ไหมว่าหันขวา?... ตอบว่ารู้
เราหันซ้าย... รู้ไหมว่าหันซ้าย?... ตอบว่ารู้
เราหันจะไปหาผู้รู้... รู้ไหม?... ตอบว่ารู้
ภายในจิตใจดิ้นรนค้นหาผู้รู้ ดิ้นรนค้นหาธรรม ดิ้นรนค้นหาพระนิพพาน... รู้ไหม?... ตอบว่ารู้
“ความดิ้นรนค้นหาพระนิพพาน” เป็นสังขาร เป็นทุกข์
แต่... ที่ “รู้ว่ากำลังดิ้นรนค้นหาพระนิพพาน” อันนั้นน่ะ ไม่ทุกข์
มันจะประกบ มันจะอยู่ด้านหลังสังขารตลอด แต่หามันไม่เจอหรอก ไม่ว่ากายเราจะหันไปหาอะไร จะทำอะไร มันอยู่ด้านหลังเราตลอด
จิตก็เช่นกัน จิตเรามีความเคลื่อนไหว กระดุกกระดิก มันอยู่ด้านหลังจิตตลอดเลย แต่เราไปหาผู้รู้ไม่เจอ เราหามันไม่ได้ เพราะ “ผู้รู้ไม่ปรากฏ” สิ่งที่ปรากฏคือ “สิ่งที่ถูกรู้” หรือ “สังขาร” เท่านั้น
แต่... มันอยู่กับ “รู้” ได้ สักแต่ว่ารู้ หรือ “เป็นรู้” นั้นซะเอง “สักแต่ว่ารู้” ไม่ไปเป็นสังขารที่ถูกรู้... อยู่กับรู้ได้... รู้อะไร? ก็รู้สังขารนี่แหละ!!!
“รู้เท่าทันสังขาร” ไม่ทุกข์ แต่ถ้า “ไปเป็นสังขาร” ทุกข์ทันที!!!
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
บทพุทโธพระอะระหังฯ (บทเต็ม)☀️
พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา ธัมโมพระอะระหัง ธัมมังรักษา สังโฆพระอะระหัง สังฆังรักษา
ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไรใด ๆ มีมา
ความผิดปกติธรรมชาติ ความไม่สมดุลธรรมชาติในธาตุทุกธาตุ ขันธ์ทุกขันธ์ สสาร พลังงาน และความว่างใด ๆ มีมา
ความผิดปกติธรรมชาติ ความไม่สมดุลธรรมชาติในสติ สมาธิ ปัญญาใด ๆ มีมา
เซลล์เนื้องอก เซลล์เนื้อร้าย เซลล์เนื้อที่ผิดปกติ เชื้อโรคร้าย สารพิษร้ายใด ๆ มีมา
มิจฉาทิฏฐิ นิวรณ์ ๕ กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาและสังโยชน์ ๑๐ ใด ๆ มีมา
อนัตตาสูญเปล่า นะสูญ โมสูญ พุทสูญ ธาสูญ ยะสูญ สูญหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ สัมปะจิตโต ปัจฉามิ
🔶หมายเหตุ : บทพุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษาฯ บทเต็มนั้น จัดพิมพ์อยู่ในหนังสือปฏิบัติธรรมเล่ม 1 หน้า 17 องค์หลวงตาได้มาจากหลวงปู่พ่อแม่ครูบาอาจารย์รุ่นเก่า สมัยที่องค์ท่านยังเป็นผู้พิพากษา องค์หลวงตามาดัดแปลงนิดหน่อยเพื่อให้สามารถรักษาตัวเองได้ด้วย
ท่านใดสามารถกลั้นลมหายใจและสวดบทพุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษาฯ บทเต็ม (ด้านล่างนี้) ก็สามารถทำได้ แต่หากยาวเกินไป ก็สามารถใช้บทสั้นสวดได้เช่นกัน
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
💡คำแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล💡
พุทธัง เมตตัง จิตตัง มะมะ พุทธะ พุทธานุภาเวนะ
ธัมมัง เมตตัง จิตตัง มะมะ ธัมมะ ธัมมานุภาเวนะ
สังฆัง เมตตัง จิตตัง มะมะ สังฆะ สังฆานุภาเวนะ
เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง
ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน
สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เต รักขันตุ สุรักขันตุ
สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพพะยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
ความรู้อันบริสุทธิ์ ตอนที่ 2/2 ☀️
👨🍳โยม 2 : หลวงตาเทศน์เมื่อกี้บอกว่า จริง ๆ แล้วธาตุรู้มันอยู่ในอากาศธาตุ แทรกอยู่ในทุกอณู
ผมก็เลยมานั่งคิดว่า เอ๊ะ ... ถ้ามันแทรกอยู่ในทุกอณู ถ้ามันไปอยู่ในระหว่างเม็ดเลือด ... สมมุตินะครับ มันก็น่าจะรู้ว่าถ้าเกิดเม็ดเลือดผิดปกติ หรือระบบในร่างกายผิดปกติมันก็น่าจะรู้
ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่า ... ไม่ใช่
ความรู้ก็คือรู้ว่ามันเป็นหลง รู้ว่าอวิชชา รู้ตัวมันเองว่าเป็นอวิชชา ไม่รู้อย่างอื่นเลย
☀️หลวงตา : ถ้าไปรู้อย่างอื่นเป็นอายตนะ
ที่เราบอกว่า รู้จัก รู้จากใจ รู้จักตัวมันเอง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
👤โยม 3 : สิ่งที่รู้ที่เห็น ก็คือมันเป็นวิญญาณขันธ์ ขาดจากผู้ที่ยึดถือเท่านั้นเอง มันก็ใช้ความรู้นี้ ในการทำให้มันพ้นทุกข์ แต่เพียงไม่ยึดถือ หมายถึงว่ารู้ที่มันเป็นของสังขาร
☀️หลวงตา : รู้ตามอายตนะ ... เป็นขันธ์ห้า
👤โยม 3 : รู้ตามอายตนะ มันเป็นสังขารเป็นขันธ์ห้า แต่ไม่ยึดถือรู้ตัวนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้พ้นทุกข์
☀️หลวงตา : พอไม่ยึดถือตัวนี้แล้ว มันก็จะไปเป็นใจ เป็นใจที่พ้นอายตนะ พ้นขันธ์ห้า แต่ใจนี้จะยังไม่บริสุทธิ์
👨⚖โยม 4 : ขนาดว่ามันเป็นใจแล้ว แต่ใจมันก็ยังไม่บริสุทธิ์
☀️หลวงตา : เป็นใจที่ยังไม่บริสุทธิ์
ไม่บริสุทธิ์เพราะว่ามันเป็นใจที่มันมี "อวิชชา" ติดมา ก่อนที่มันจะมารวมกับขันธ์ห้า
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
👤โยม 3 : เหมือนอวิชชามันหดลงมาชั่วคราวหรือเปล่าครับ เวลาไม่ยึดถือ มันเหมือนหดชั่วคราว แล้วก็ยึดใหม่มันก็มีมาใหม่ ก็เกิดขึ้นมา
☀️หลวงตา : ก็คือว่า มันรู้หมดเลย รู้เข้าใจหมดว่านี่ขันธ์ห้า อะไรที่สังขารได้เป็นขันธ์ห้าหมด แล้วมันก็รู้ว่ามันไม่ใช่ขันธ์ห้า แต่... เราเนี่ยคือเป็นคนรู้เอง เราเป็นคนรู้ทุกอย่างเลย
เรารู้แล้วว่าสังขารทุกปัจจุบันขณะ อายตนะทั้งหมด มันเป็นสังขารทั้งหมดเลย
แต่ความรู้อย่างนี้มันกลายเป็นว่ามันเป็น "เรารู้"
ไม่ใช่รู้ตามอายตนะ แต่เป็นความรู้ออกมาจากใจว่าเนี่ยมันไม่ใช่เลย มันเป็นใจ ไอ้เนี่ยมันเป็นสังขาร นี่เป็นใจไม่สังขาร แต่ความรู้อันนั้นน่ะยังเป็นเราอยู่ ยังเป็นอวิชชาเหมือนเดิม
เพราะว่า มันเป็นอวิชชาที่มารวมกับขันธ์ห้า พอเวลามันรู้ในขันธ์ห้า ถึงแม้มันจะไม่ได้เป็นขันธ์ห้าแล้ว มันก็ยังเป็นความรู้ที่เป็นอวิชชา
คือวิญญาณ หรือ จิต ที่บวก "อวิชชา"
👤โยม 3 : คือ ถ้าหลงไปรองรับอันนั้นมันก็คือหลง
☀️หลวงตา : ก็หลงไปเป็นความรู้ที่มัน "มีเรา" นั่นแหละ
ก็เลยยังเป็น "จิตอวิชชา" พอตายแล้วขันธ์ห้าดับ ความรู้อันนี้มันกลายเป็นตัวเราออกไปอีก
เพราะว่าตัวเราเป็นคนรู้ "ผู้รู้เป็นตัวเรา"
ความรู้นี้ มันจะไม่ใช่รู้อะไรอายตนะแล้ว มันรู้ตัวมันเองว่า มีเราอยู่ในความรู้
มีเราในความรู้ยังไง ... มันมีความคิด หรือความรู้สึกว่า เรา ตัวเรา ของเรา
ไปรู้อะไรก็ เรารู้แล้ว ๆ ... อย่างนี้ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ อุ๊ย... อย่างนี้เป็นสังขาร อย่างนี้วิสังขาร
แต่ในความรู้ มันมี "ปัญญากระเพื่อมไหว" เป็นปัญญาที่กระดุกกระดิกกระเพื่อมไหว
ความรู้เป็นปัญญากระดุกกระดิก ว่า ... เรารู้ .... เราชัดมากเลย เราเห็นชัด เรารู้ชัด เราเห็นแล้ว ความเป็นเราในเราเนี่ย แท้จริงมันเป็นสังขารปนอยู่ในความรู้
ความรู้สุดท้าย ไม่รู้อะไรหรอก ก็มารู้ "ความเป็นเรา" ที่ปนอยู่ในความรู้นั้น แล้วมันก็แยกเราออกจากความรู้ มันเลยเหลือความรู้ที่ไม่มีเรา
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
👩โยม 1 : แล้วมันไปแยกตอนไหนคะหลวงตา
☀️หลวงตา : แยกตอนมันเห็นเราอยู่ในความรู้ ทุกครั้งที่รู้อะไร มันมีเราอยู่ในรู้
"เรา" เนี่ยเป็นสังขาร
👨🍳โยม 2 : เห็นความไม่บริสุทธิ์
👩โยม 1 : มันเห็นบ่อย ๆ ๆ จนมันรู้ได้ด้วยตัวมันเอง
☀️หลวงตา : มันเห็นว่า ความไม่บริสุทธิ์ เกิดจากมีเราอยู่ในรู้ คือ มันเป็นตัวกระดุกกระดิกได้ มีตัวปรุงแต่ง มีความดิ้นรนทะยานอยากได้ มีความกระเพื่อมมีความไหวตัวได้
ความเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเราในความรู้เนี่ย มันมีการกระเพื่อมได้ในความรู้นั้น มันมีความตรึกตรอง ประมวลผล ... ไม่ใช่ไปรู้ตามอายตนะแล้วนะ แต่ความรู้นี้เป็นการตรึกตรองประมวลผลในตัวมัน มันยังเป็นคล้าย ๆ กับ "เครื่องประมวลผล" น่ะ
มันไม่ใช่ว่าไปรู้ตามอายตนะแล้วตอนนี้ รู้ตามอายตนะนี่เป็นขันธ์ห้า ความรู้ที่มันพ้นอายตนะแล้วเนี่ย เรียกว่าไม่ใช่ขันธ์ห้าแล้ว แต่ความรู้ที่พ้นอายตนะเนี่ย มันเหมือนเครื่องประมวลผลที่มันดัง แก๊ก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ .....
บางทีปัญญา รู้ได้ว่า ... ไอ้เครื่องนี่มันดังเหลือเกิน เครื่องประมวลผลมันดังเหลือเกิน มันยังไม่เงียบ มันไม่ใช่เงียบแท้
👨🍳โยม 2 : มันก็ยังมีกิริยาอยู่
☀️หลวงตา : ใช่
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
👩โยม 1 : คือเครื่องประมวลผลของหลวงตา หมายถึงว่าเป็นเครื่องประมวลผล ที่รู้ว่าผู้รู้ตัวนี้มันยังมีตัวเราผสมเข้าไปอีก
☀️หลวงตา : แม้แต่มันจะรู้ว่าผู้รู้ตัวนี้ มีเราผสมนะ แต่ความรู้นี้ก็ยัง ... แก๊ก ๆ ๆ ๆ อยู่ดี
คือมันยังเหมือนเครื่องประมวลผลที่มันดังน่ะ
👧โยม 5 : มันยังมีปัญญาแทรกอยู่ใช่มั้ยคะ?
☀️หลวงตา : เป็นปัญญาแทรกอยู่ในความรู้ แต่เป็นปัญญาที่เป็นสังขารที่ทำให้เครื่องประมวลผลดัง
👧โยม 5 : เหมือนมันยังมีการแยกแยะอยู่
☀️หลวงตา : ยังมีการแยกแยะ มันยังมีการแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร
👨🍳โยม 2 : มันต้องถึงจุดที่ไม่ต้องแยกแยะอะไรเลย ใช่มั้ยครับหลวงตา
☀️หลวงตา : ถึงตอนนั้นไม่มีใครแยกแยะแล้ว เพราะว่า มันพ้นการแยกแยะ
👧โยม 5 : อันนั้น คือที่หลวงตาบอก "หลุดแล้วรู้" คือมันหลุดจากการแยกแยะเหล่านั้น
☀️หลวงตา : ใช่ ๆ ... มันไม่มีใครแยกแยะแล้ว มันไม่มีใครแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร
👩โยม 1 : ซึ่งการหลุดตรงนี้มันก็เหมือนกินข้าวอิ่ม ๆ เมื่อไหร่ มันก็รู้ของมันเอง คือมันหลุดของมันเอง ถูกมั้ยคะหลวงตา
☀️หลวงตา : มันหลุดของมันเอง เหมือนผลไม้หลุดจากขั้ว มันไม่ได้แยกแยะว่า เราจะหลุด ตอนนี้เราจะหลุด มันไม่มีแยกแยะเพื่อจะหลุดไม่หลุด
คล้าย ๆ อย่างนี้ ผลไม้ลูกนี้เราเห็นว่ามันสุกงอมมากเลย มันต้องหลุดแน่นอนเลยวันนี้ เราไปจ้องดูมัน
จะหลุดแล้ว ๆ เดี๋ยวหลุดแน่นอนเลยวันนี้ หลุดแน่นอน จะหลุดแล้ว ... มันไม่หลุด! เพราะอะไร?
มันไม่ได้หลุดเพราะว่าเราอยากให้มันหลุด พอเราหันหลังแค่นั้นแหละ มันหลุดปุ๊บ! อ้าวเฮ้ย หลุดแล้วเว้ย มันหลุดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันหลุดแล้ว รู้ว่ามันหลุดแล้ว โดยที่ไม่มีคนแยกแยะ แต่ตอนที่มีคนแยกแยะเนี่ยไม่หลุด
เพราะว่ามันมี "เรา"
👧โยม 5 : มันจึงเป็นของเป็นเองเพราะเหตุนี้
☀️หลวงตา : มันเป็นเอง
เพราะว่ามีเราแยกแยะอยู่มันไม่หลุด มันหลุดเพราะไม่มีเราไปแยกแยะ มี "เราอยู่ในรู้" คือไปแยกแยะ
มันยังเป็นปัญญาขั้นแยกแยะอยู่ ก็เห็นว่าปัญญาแยกแยะมันยังเป็นสังขาร มันยังแยกแยะ มันยังทำงาน มันยังมีการทำงานไม่หยุดอยู่ คล้าย ๆ กับว่า เครื่องประมวลผลมันยังมีเสียงดัง แก๊ก ๆ ๆ ๆ .....
มันรู้ จับได้ว่าเครื่องมันยังทำงานอยู่ มันยังไม่ได้หยุดทำงาน
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
👧โยม 5 : หลวงตาคะ อันนี้มันใช่ไล่รู้หรือเปล่าคะ ก็คือที่ว่าไล่ดูทุกปรมาณู ที่หลวงตาเคยบอก
☀️หลวงตา : ใช่ ๆ นั่นแหละ การไล่รู้ มันเป็นปัญญาแยกแยะ
รู้หมดเลย แหม ... ละเอียดมากเลย ไอ้นี่เป็นไอ้นั่น ไอ้นั่นเป็นไอ้นี่ ไอ้นี่เป็นไอ้นั่น ไอ้นั่นเป็นไอ้นี่ ก็แสดงว่าเครื่องนี้ยังทำงานอยู่
👧โยม 5 : อันนี้ไม่ใช่รู้ตามอายตนะแล้วเหรอคะหลวงตา
☀️หลวงตา : ไม่ใช่แล้ว มันเป็น "ญาณ" แล้ว
อายตนะมันได้แต่รู้แล้วมันวิพากษ์วิจารณ์ แต่อันนี้มันเป็นปัญญาแล้ว
👧โยม 5 : แต่อันนี้มันก็เหมือนเห็นในจิตนี่คะหลวงตา
☀️หลวงตา : เห็นในจิตแต่มันขั้นปัญญา การเห็นเห็นแล้วมันเอามาตรึกตรองแค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเฉย ๆ แต่นี่มันเป็นขั้นปัญญาวิเคราะห์แล้ว
คล้าย ๆ กัน แต่รู้อายตนะนี่มันเพียงแค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่นี่เป็นปัญญาขั้นวิเคราะห์
👩โยม 1 : มันเหมือนกับว่าปัญญามันวิเคราะห์ของมันเองโดยมันไม่ได้สนอายตนะภายนอก
☀️หลวงตา : ใช่ ๆ มันไม่สนอายตนะภายนอกที่มันไปรู้ แล้วไม่สนอายตนะภายในด้วย แต่มันวิเคราะห์ตัวมันเอง มันวิเคราะห์ทำงานขึ้นมาเอง
👧โยม 5 : อันนี้คือ สติปัฏฐานหมวดธรรมใช่มั้ยคะหลวงตา คือมาวิเคราะห์ธรรมในใจ
☀️หลวงตา : ใช่ ๆ มันวิเคราะห์ธรรมในใจ
มันเลยกลายเป็นมีธรรมสังขาร ปนกับธรรมที่ไม่สังขาร
พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า "นิพพาน" คือ จิตมันว่างงาน
นี่มันยังไม่ว่างงาน นิพพานมันคือจิตว่างงาน มันไม่ว่างงาน ไอ้เครื่องประมวลผลมันยังดังอยู่ แสดงว่ามันยังเสียบปลั๊ก แล้วมันยังเดินเครื่องอยู่ มันยังประมวลผลอยู่
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
👩โยม 1 : หลวงตาคะ อย่างนี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นแล้ว ก็คือเครื่องตัวนี้มันไม่ทำงานแล้วเหรอคะ
☀️หลวงตา : ไม่ทำงาน
👤โยม 3 : คือมันรู้แจ้งแก่ใจแล้วใช่มั้ยครับว่า เครื่องนี้มันหมดอายุประมวลผลแล้ว
☀️หลวงตา : มันรู้ว่าเครื่องนี้มันยังทำงานอยู่ แล้วมันยังไม่หายเหนื่อยจริง เพราะว่าเครื่องมันยังทำงานอยู่ มันยังเหมือนคนปลดเกษียณ แต่จริง ๆ ใจ ยังไม่ได้ปลด ยังไปดูงานอยู่เลย มันจะรู้เองว่ามันปลดเกษียณจริงหรือปลดเกษียณหลอก สุดท้ายมันปลดเกษียณหลอก มันไม่มีงานอะไรทำ กลับไปด้อม ๆ มอง ๆ อีก มีงานอะไรให้ผมทำหรือเปล่า
มันจะรู้แก่ใจตัวเองว่ามันไม่ได้ปลดจริง
ปลดจริง คือ มันว่างงานเลย
👩โยม 1 : แสดงว่าก็ไม่มีการประมวลผลในใจอีกเลย
☀️หลวงตา : ไม่มีประมวลผลแต่รู้ไง
รู้อะไร ... ก็รู้ว่าว่างงานแล้ว
แต่ไม่ใช่รู้ไปประมวลผลแล้ว ไม่ใช่รู้ว่าสังขาร วิสังขาร สังขาร วิสังขาร ไม่มีแล้ว อันนี้ยังทำงานอยู่ ไม่มีการไล่รู้ ไล่ละ ไล่ปล่อย ไล่วางแล้ว
เหลือความรู้สุดท้าย ... รู้ว่าปลดเกษียณจริง ปลดเกษียณทางใจจริง ไม่ใช่ว่าปลดเกษียณแล้วไปของานเขาทำ คือไม่มีงานอะไรทำ ขอทำหน่อย ๆ ขอทำ ทำไปเรื่อย คิดวิเคราะห์ไปเรื่อย แล้วยังไม่เห็นว่าการวิเคราะห์เนี่ยมันยังไม่ปลดเกษียณจริง ยังไม่หายเหนื่อยจริง มันยังไม่วางจริง ๆ
เหมือนท่านยังไม่วางขวดน้ำไปกับพื้นจริง ๆ มันก็เลยยังมีการกระเพื่อม แต่ถ้าท่านวางจริงแล้ว การกระเพื่อมทั้งหมดมันก็หยุดของมันเอง
แล้วเหลือแต่ความรู้สุดท้ายว่า ... บัดนี้สิ้นสุดแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว รู้แต่เพียงอย่างเดียวว่าบัดนี้สิ้นสุดแล้ว
สุดท้ายเหลืออันเดียว ความรู้ว่าจบแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
ไม่มีการไล่รู้แบบวิเคราะห์อะไรเลย ว่าอะไรเป็นสังขารอะไรเป็นวิสังขาร คือเกษียณแล้ว
บัดนี้ตื่นแล้ว... เราหลับไหลมาหลายภพหลายชาติ
เราเหนื่อยมามากเหลือเกิน เราทุกข์มามากเหลือเกิน
บัดนี้จบแล้ว ... เราตื่น ... ตื่นจากความหลับไหลมายาวนาน
เหมือนกับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านเขียน
เราทุกข์มามากเหลือเกิน ... ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่เกิดมาให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
เหลือความรู้อันเดียว! ไม่ใช่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย
เหลือความรู้ว่าบัดนี้มันจบหมดแล้วสิ้นสุดแล้ว
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
การเวียนว่ายตายเกิดอีก ... ไม่มี
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
🌡ทางปฏิบัติเพื่อห่างไกลจากโรคภัย🌡
🌬 ตอนที่ 3/5 รักษาโรคด้วยพลังลมปราณ และอธิษฐานจิต
มันรักษาตัวเองก็ได้นะ รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ตัวเอง รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนอื่นก็ได้ คุ้มครองป้องกันภัยก็ได้ เชื้อโรคร้ายพิษร้ายใด ๆ ก็กำจัดได้
มันจะแพ้เฉพาะบาปกรรมเวรหนักมาตัดรอน ถ้าไม่มีบาปกรรมเวรหนักมาตัดรอน หรือว่าร่างกายไม่อ่อนแอเกินไป อย่างหมอที่เมืองจีนที่ตาย เข้าใจว่าเขารักษาคนไข้จนไม่มีเวลาพัก หมอพยาบาลรักษาคนไข้จนไม่มีเวลาพัก ร่างกายอ่อนแอ
เราก็ต้องฝึกอย่างนี้ฝึก "พลังลมปราณ" อย่างถ้าพวกหมอนรองกระดูก หรือแคลเซียมเกาะกระดูกทับเส้นประสาท ส่วนใหญ่จะเกาะที่บริเวณเอว เอวด้านหลังเนี่ยส่วนใหญ่ คนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตแล้วก็ปวดร้าวลงขาปวดร้าวขึ้นสมอง ที่เขาเรียกว่าโรคกระดูกทับเส้น คือยกของหนักบางทีก็กระดูกทับเส้น หมอนรองกระดูก ความจริงน่ะมันเหมือนกับเป็นคล้าย ๆ หมอนรองกระดูก
เดี๋ยวนี้เขาว่าแคลเซียมเกาะกระดูกทับเส้นประสาท แต่บางทีกระดูกมันทรุดลงไป แล้วหมอนรองกระดูกมันปลิ้นมาจี้ที่เส้นประสาท แล้วปวดมากเลย เพราะว่ามันปลิ้น มันจี้ที่เส้นประสาทไม่หลุด ปวดร้าวลงขาปวดขึ้นสมอง
แล้วบางคนเนี่ยมันใกล้เส้นประสาทมาก หมอก็ไม่กล้าผ่ากินยาแก้ปวดตลอดเลย กินจนกระดูกทรุดหมดเลย ขาเป๋ไปข้างนึง กระดูกมันทรุด กินหลายปีจนกระดูกมันผุไปหมดน่ะ
รักษาตัวเองได้นะ พอเราหายใจออกให้ท้องมันแฟบ มีความรู้สึกว่าของเสียในร่างกายเรา ของเสียในจิตใจเรา ราคะ โทสะ โมหะ ความโลภความโกรธความหลง ความวิตกกังวลความเศร้าหมอง ความซึมเศร้าความอาฆาตแค้นพยาบาท การไม่ให้อภัย ก็ปล่อยมันออกไปหมดเลย เป็นของเสียในร่างกายจิตใจ ออกไปทางลมให้หมด
แล้วหายใจเข้ามีความรู้สึกว่าเวลามันเข้าจมูกเนี่ย ให้มีความรู้สึกว่ามันเข้าไปถึงผ่านสมอง แล้วก็ไหลลงไปทั่วตัว ไปถึงท้องน้อยโน่น แล้วกักไปให้กระจายลมไปทั่ว แล้วก็กักลมไว้อย่าให้ลมมันรั่ว ฝึกไปไม่ใช่ว่าฝึกจนลมมันไม่รั่ว แล้วค่อยอธิษฐานจิตนะ ก็ฝึกไปอย่างเนี้ย จนกระทั่งอธิษฐานจิตแล้วลมมันก็ไม่รั่ว อธิษฐานไปด้วยนั่นแหละฝึกอธิษฐานไปด้วย ฝึกจนกระทั่งลมไม่รั่ว
เราจะรู้ได้ยังไงว่าลมไม่รั่ว? เราก็เอาจมูกไปจุ่มในน้ำแล้วก็อธิษฐานจิตในน้ำ สวดมนต์ในน้ำ กลั้นลมหายใจ ถ้าเกิดบทคำสวดสั้น ๆ เราสวดได้เร็วก็ได้ 3 จบ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา 3 จบต่อหนึ่งกลั้นลมหายใจ
ถ้ามันยาวหน่อยก็สวดหนึ่งคาบ คือให้ได้กลั้นลมหายใจหนึ่งจบพอดี แล้วก็ถ้าให้ตัวเองก็กลืนน้ำลายกลืนลมลงท้อง เหมือนกับเสกน้ำ ธาตุน้ำ (น้ำลาย) เสกธาตุลม เสกธาตุไฟพร้อมกับลมเนี่ย ดินน้ำลมไฟให้ลงไปในท้องลงไปในตัวเรา เนี่ยเสกธาตุกิน
ถ้าให้คนอื่นก็เอาลมที่กลั้นเนี่ย เป่าใส่คนอื่น เพี้ยง! ที่เราอธิษฐานจิตแล้วสวดเสร็จแล้วนี่ก็กลั้นลมแล้วก็อธิษฐานให้คนอื่นนะ แต่ตอนนี้โรคไวรัส COVID-19 มันระบาด อย่าไปเป่าใส่ใคร
เราก็กลั้นลมหายใจ ถ้าเป็นโรคแคลเซียมเกาะกระดูกทับเส้นประสาท หรือหมอนรองกระดูกมันแลบทับเส้นประสาทตรงบริเวณเอว เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตที่ไม่ได้เกิดจากเส้นโลหิตในสมองแตก หรือว่าไม่ได้เกิดจากไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นแคลเซียมเกาะกระดูกทับเส้นประสาท หรือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทกดที่บริเวณหลังเอวแล้วมันจะปวดร้าว เราก็เบ่งท้องเบ่งลมไว้ กักลมไว้ในท้องแล้วก็เบ่ง... ใช้กระบังลมเบ่งให้ลมเนี่ยมันไปอัดที่หน้าท้องให้ท้องเป่ง....
แล้วพลังลมมันจะสะท้อน สะท้อนไปจี้ใส่ที่กระดูกสันหลังตรงที่แคลเซียมเกาะกระดูก หรือหมอนรองกระดูกแลบไปกดทับเส้นประสาท อาศัยพลังลมที่มันสะท้อนจากเวลาเราอัดลมเนี่ย
ลมด้านหน้ามันก็จะไปอัดท้อง ลมด้านหลังมันจะอัดกระดูกสันหลัง เราให้มีความรู้สึกว่ามันไปอัดที่กระดูกสันหลัง ลมทั้งหมดไปอัดรวมที่กระดูกสันหลังจุดเดียวเลย เหมือนกับเป็นจุดเม็ดไข่ปลาตรงนั้นเลย จี้ที่จุดเดียว รวมสมาธิความรู้สึกทั้งหมดและลมนั้นน่ะไปรวมจี้ไว้ตรงที่ที่เป็น แม้แต่เป็นเซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้อร้ายตรงไหนในร่างกายเรา ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นตรงไหน เราไปเอกซเรย์มาเรารู้ก็จี้ใส่ตรงนั้นเลย แล้วก็เผา เผาให้มันทำลายไป
เซลล์เนื้องอก เซลล์เนื้อร้าย เผาให้มันทำลายไป จี้ใส่ตรงนั้นแหละเผาเลยถ้ายิ่งได้เป็นนิมิตได้ยิ่งดี คือขณะที่เผาจี้เนี่ยเราเห็นเป็นนิมิตในใจเลย เช่น เป็นมะเร็งที่ตับ ที่ปอด ก็ให้เห็นตับขึ้นมาเห็นปอดขึ้นมา เห็นมะเร็งที่ตับเห็นมะเร็งที่ปอดขึ้นมา ถ้าไม่เห็นก็เอาฟิล์มเอกซเรย์มาดู เห็นมะเร็งที่ตับที่ปอดแล้วก็จี้ใส่ตรงนั้นเลย อัดลมแล้วมีความรู้สึกว่าลมทั้งหมดที่เราอัดไว้น่ะเคลื่อนเป็นเหมือนกับเป็นพลังจี้ใส่ เป็นหัวสว่านไฟฟ้าจี้ใส่ตรงนั้นเลย จี้แล้วก็อธิษฐานจิตทำลายตรงนั้น
พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา... ฯลฯ นี่แหละ บทสวดอันนี้ก็ใช้ได้แล้ว
ก็ "อธิษฐานจิตปรับธาตุขันธ์" ให้ธาตุทุกธาตุขันธ์ทุกขันธ์
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ ด้วยอำนาจและพุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ และบุญกุศลผลบุญบารมีคุณงามความดีที่เราได้กระทำมาแล้วทั้งหมดเนี่ยก็อธิษฐานปรับธาตุทุกธาตุ ขันธ์ทุกขันธ์ สสารพลังงานและความว่าง และร่างกายจิตใจ หรือสติ สมาธิปัญญาด้วย ให้กลับคืนสู่ความเป็นปกติตามธรรมชาติ สมดุลตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติตลอดเวลาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ
ก็ใช้ พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา.....ฯลฯ ควบคู่ไปด้วยก็ได้
เราก็รักษาตัวเองนะ หลวงตาก็รักษาตัวเอง เวลามันปวดมากเลย ปวดร้าวลงขาเลย แล้วมันก็ปวดร้าวสันหลังขึ้นกระโหลกศรีษะนี่เลย เขาบอกว่าเป็นแคลเซียมหรือหมอนรองกระดูกมันกดไปทับเส้นประสาท แล้วกระดูกสันหลังมันคด ก็รักษาตัวเองทำแบบเนี้ย หลวงตาก็ทำแบบนี้แล้วสอนพวกท่าน
แล้วก็พอกักลมอยู่จริง ๆ แน่วแน่สมาธิมั่นคงแล้วก็ลมไม่รั่ว เราก็ฝึกจากอธิษฐานในใต้น้ำเนี่ย แล้วลมมันไม่รั่วคือไม่มีฟองอากาศมาอุดที่รูจมูก ก็แสดงว่าลมมันไม่รั่ว แล้วกำลังลมมันจะสมบูรณ์เต็มที่ ลมไม่รั่วเราก็อธิษฐานจิตแล้วก็พร้อมกับสมาธิให้มันแน่วแน่อยู่ตรงนั้นแล้วก็จี้ใส่ไปที่หมอนรองกระดูก หรือว่าแคลเซียมเกาะกระดูกทับเส้นประสาท จี้ใส่แน่วแน่ตรงนั้นให้มั่นคงให้สมาธิไม่เคลื่อนเลย ลมก็ไม่เคลื่อน เสียงมันดัง ครึด! ครึด! ครึด! สามครั้ง เราก็อธิษฐานบอก แยกออกจากกันเดี๋ยวนี้!!
อะไรก็ตามไม่รู้ว่าคืออะไรหรอก ที่มันกดทับเส้นประสาท ทำให้ปวดหลังปวดกระดูกสันหลังปวดลงมาที่ร้าวต้นขา ร้าวมาทั่วขาร้าวไปทั่วตัว อะไรก็ตามที่ไปกดน่ะขอให้แยกออกจากกันเดี๋ยวนี้
ด้วยอำนาจพุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ และกุศลบุญบารมีที่เราได้ทำมาแล้วเนี่ยก็แยกเลย กำหนดแยก แยกไอ้ที่มันไปกดทับเส้นประสาทให้มันออกจากกันเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้!! แล้วมันเสียงดัง ครึด! ครึด! ครึด! ดังลั่นเลยแล้วก็หายเลย ตั้งแต่นั้นมาก็หาย ไม่เป็นอีกเลย
หลวงตาก็ไปสอนเมื่อก่อนผู้พิพากษาท่านเป็น แล้วก็บอกว่านั่งร้องไห้อยู่เรื่อย แล้วบอกว่าหมอผ่าไม่ได้มันแทบจะกอดรัดเส้นประสาทเลย ถ้าผ่าแล้วมีสิทธิ์พลาดพลั้งไปเป็นอัมพาตได้ ก็กินยาแก้ปวดมาเป็นปี ๆ เราบอกว่า อุ๊ย... อย่างนี้อันตรายมากเลยเนี่ย ก็สอนให้ทำ...
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
“รู้” ของธาตุรู้บริสุทธิ์✨
💠การบ้านคุณไม่พักไม่เพียร วันที่ 31 พ.ค.2563 เรื่อง "พบธาตุรู้แท้"💠
👤โยม : กราบนมัสการครับ หลวงตาครับ ได้ฟังไฟล์ “รู้จักธาตุรู้และรู้จิตที่คิด”
เมื่อเช้ากำลังล้างชาม โดยไม่ได้พยายามทำอะไร ๆ อยู่ๆก็มีความรู้ที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุโพล่งขึ้นมาเอง ว่า
✔️“ธรรมชาติเขารู้ตัวเขาเอง ธรรมชาติเขาเป็นของเขาเอง ไม่เคยมีเราไปรู้ธรรมชาติได้”
แล้วรู้ขนลุกเอง และรู้เห็นความรู้สึกทุกขเวทนาที่ร่างกายที่กำลังเจ็บป่วยอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงมาก ๆ หายไปเอง... รู้เงียบรู้ไม่มาไม่ไป ไม่บอกว่ารู้
เหมือนเส้นเชือกตึง ๆ ขาดออกจากกัน เห็นอะไรก็เหมือนเห็นกลางอวกาศ ได้ยินเสียงก็เหมือนได้ยินกลางอวกาศ ขณะเดี๋ยวนี้ก็เป็นเช่นนั้นครับ
ไม่ทุกข์ขณะที่ร่างกายเจ็บป่วย ที่เมื่อก่อนที่จะรู้และเข้าใจโพล่งมาเอง ยังมีความรู้สึกเป็นทุกข์กับร่างกายมาก ๆ ครับ
กราบ กราบ กราบ
☀️หลวงตา : สาธุ มันเป็นเช่นนั้น เป็นธรรมชาติที่เป็นเอง
👤โยม : ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ มันเป็นแต่หลงเป็นตัวเราไปรู้ โดยไม่รู้เห็นว่าเป็นเลยครับหลวงตา ทุกข์เพราะหลงมีตัวเรารู้
☀️หลวงตา : ใช่แล้ว
👤โยม : กราบในพระเมตตาครับ
อาการที่จะรอฟังไฟล์หลวงตาอย่างก่อนเพื่อเป็นแฟนพันธุ์แท้ และกัดติดจดจ่อเพื่อตัวเรา รู้หายสงสัยหมดไป แต่ก็ฟังครับ
กราบ กราบ กราบ
🔸️ดูดและผลักเป็น “กิเลสตัณหา🔸️
พระพุทธเจ้าปางปฐมเทศนาที่พระองค์แสดง "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" น่ะ ปางปฐมเทศนาเนี่ย เราสังเกตให้ดีสิ
มือสองข้างของพระองค์ยกขึ้นเห็นมั้ย มือข้างหนึ่งเนี่ยหงายออกนอกตัว อีกมือข้างหนึ่ง คว่ำเข้าหาตัว แล้วก็สองมือเกี่ยวพันกัน รั้งกันอยู่ สองมือแตะกัน รั้งกันอยู่
อันนี้หมายถึงว่า ถ้าเรายังปฏิบัติด้วยความ...
มีอะไรที่เราชอบใจถูกใจจะดูดเข้าหาตัว "จะเอา" ถ้าเรายังมีดูดมีผลักเนี่ย มันเป็น "กิเลสตัณหา"
มันจะเกาะเกี่ยวกันอยู่อย่างงั้นแหละ มันเป็นกิเลสตัณหา ยึดกันอยู่อย่างงี้ มันเป็นทุกข์
มือขวามือซ้ายที่แตะกัน คือ แสดงถึงการยึด มันมีความยึดแล้วมันเป็นทุกข์ ๆ มันจะไปไหนไม่รอดหรอก มันจะดันรั้งกันอยู่อย่างนี้
เพราะว่าสองมือนี้ มันจะรั้งกันอยู่นี่แหละ ดีรักชั่วชัง เกลียดทุกข์รักสุข ดีรักชั่วชัง เกลียดทุกข์รักสุขอยู่นั่นแหละ อันไหนชอบก็จะเอา อันไหนไม่ชอบก็จะผลักทั้งวันทั้งคืนอยู่อย่างเนี้ย
มันก็เลยมีแต่ทุกข์ ๆ มันเกี่ยวรั้งกันอย่างนี้
พระองค์ก็เลยวางซะมือหนึ่ง แล้วก็เหลือมือข้างหนึ่ง มือข้างหนึ่งเอานิ้วหัวแม่โป้งกับนิ้วชี้นี่จีบกันเป็นวงกลม แล้วก็นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วก้อย สามนิ้วเนี่ยชูขึ้น แล้วเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้เนี่ยทำกลม ๆ ขึ้นอย่างนี้
ยกข้างหนึ่งเหลือมือข้างหนึ่ง ทีนี้หมายถึงอะไร... ?
ต้องใช้ปัญญาของเรา ไม่มีเขียนที่ไหนหรอก
พวกนี้จากรูปธรรมต้องเป็นปัญญา เป็นนามธรรมเป็นปัญญาที่จะต้องเข้าใจด้วยตนเอง ด้วยใจของเรา
สามนิ้วชี้ต้องเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ปล่อยวางความหลงยึดมั่นถือมั่น.. จึงพบความว่าง
นิ้วชี้กับนิ้วโป้งที่จีบกันเป็นความว่าง ต้องเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสังขารทั้งมวล เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ยึดถือไม่ได้ แล้วก็จึงพบความว่าง
แล้วสุดท้าย มือของพระองค์ที่ยกขึ้นมามือเดียว ก็วางลงเป็นปางตรัสรู้ วางลงทั้งสองมือบนหน้าตักของพระองค์สบาย ๆ
หมายถึงอะไร มืออีกข้างหนึ่งพอแสดงธรรมเสร็จ นิ้วที่จีบกันเป็นวงกลม แล้วก็สามนิ้วที่ชูขึ้น พอเข้าใจแล้วก็วางลง แล้วก็ตรัสรู้
หมายถึง ปล่อยวางทั้งสังขาร และ ปล่อยวางความว่างที่เป็น "วิสังขาร" วางลง
วางสองมือลง "สิ้นความยึดมั่นถือมั่น"
วางสังขารที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก่อน
แล้วเจอความว่าง แล้วความว่างก็ไม่ยึดอีก
จึงเป็นนิพพาน
*******
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
“ตัวเรา” เป็นความปรุงแต่ง (สังขาร) เป็นธรรมชาติที่เกิดดับ ตกอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ “รู้” ที่มารู้ตัวเรา ที่ไม่ปรากฏตัวตนของผู้รู้ ไม่ปรากฏอาการรู้ ไม่ปรากฏอะไรเลย เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร) เป็นธรรมชาติรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นอมตะ เป็นอนัตตา ธรรมชาติทั้งสองต่างทำหน้าที่คู่กันอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่เคยมีเรา ตัวเรา ของเราอยู่ในธรรมชาติทั้งสองนั้น
การเอาตัวเราไปรู้ (เรารู้) กับ การรู้ตัวเรา (รู้เรา) เป็นธรรมชาติสองชนิดที่ต่างกันสุดขั้ว “เรารู้” เดินทางในฝ่ายทุกข์กับสมุทัย ส่วน “รู้เรา” เดินทางในฝ่ายมรรคกับนิโรธ ในการปฏิบัติหากไม่เข้าใจธรรมชาติทั้งสองนี้อย่างถ่องแท้ ก็มีโอกาสที่จะปฏิบัติกลับด้านด้วยความหลงเข้าใจผิด จะพาตัวเราไปได้ ไปถึง ไปเป็น ไปบรรลุ ไปสำเร็จอะไร
การปฏิบัติธรรมเพื่อให้สิ้นหลงว่ามี “ตัวเรา” เป็นตัวเป็นตนอยู่จริง เพราะความเป็นเรา ตัวเรา ของเรานั้นเป็นเพียงสังขารปรุงแต่ง “รู้จักตัวเรา” โดยแท้แล้ว คือ รู้ว่าไม่มีตัวตนของเราอยู่ในธรรมชาติของสังขารและวิสังขาร
❄️พลังบริสุทธิ์จากธาตุรู้บริสุทธิ์ ตอนที่ 2/4 ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์❄️
ความไม่รู้ตรงนี้ เวลาปฏิบัติธรรมจึงพาตนไปยุ่งวุ่นวายกับธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ พยายามจะทำให้จิตบริสุทธิ์ ทำใจให้บริสุทธิ์ เมื่อเราพยายามอยู่เช่นนี้ พยายาม ๆ อย่างนี้ด้วยความโง่ มันจึงทำให้เสียความบริสุทธิ์ทันที ด้วยความพยายามและความโง่ของเรา
เมื่อหายโง่แล้ว ก็ปล่อยให้ความบริสุทธิ์คงเป็นความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ เมื่อตายแล้วธาตุรู้ก็เป็นความว่างเปล่าไปรวมกับธาตุในธรรมชาติ เป็นความรู้คู่กับธรรมชาติในจักรวาล มีอยู่ในทุกที่อยู่ในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ในอวกาศ ในต้นไม้ในภูเขา ในร่างกายจิตใจของดวงจิตวิญญาณทุกดวงอยู่ในธรรมชาตินี้ อยู่ในร่างกายจิตใจของเรา
เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้เราก็สามารถเข้าถึงใจที่เป็น “ธาตุรู้” ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ที่สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ที่เคยอยู่ในขันธ์ห้าของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกที่ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เป็นธาตุรู้ที่เป็นอมตะ อยู่ในธรรมชาตินี้ไม่มีวันแตกดับทำลาย
“พุทธะ” หรือ “ธาตุรู้ที่สิ้นยึดมั่นถือมั่น” สิ้นอวิชชาตัณหา อุปาทาน มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด อวิชชา ตัณหา อุปาทานดับสนิทหมดแล้ว เป็นความบริสุทธิ์กลืนหายไปในธรรมชาติในจักรวาล แต่ไม่ใช่ว่าหายสาบสูญ ไปกลายไปเป็น “ธาตุอมตะ” แต่ไม่ใช่มีตัวตนคงที่อยู่ตลอดไป กลายไปเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างในจักรวาล อยู่ในทุกที่อยู่ในร่างกายจิตใจของท่าน
ธาตุรู้นี้ซึ่งเป็นความรู้ที่สิ้นหลงสิ้นยึดมั่นถือมั่นแล้ว เป็นผู้รู้แจ้ง รู้ตื่น รู้พ้น รู้สิ้นยึด รู้เบิกบาน ไม่มี “ตัวตน” ของผู้รู้แจ้ง รู้ตื่น รู้พ้น รู้สิ้นยึด รู้เบิกบาน แต่เป็น “ความรู้คู่ธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน” อย่างเป็นอมตะตลอดกาล แทรกซึมอยู่ในธาตุทุกธาตุ แทรกซึมได้ในทุกสรรพสิ่งเพราะเป็นความว่าง
“พุทธะ” จึงไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้หายสาบสูญ และ “พุทธะ” จึงไม่ได้มีตัวตนมีรูปร่างอยู่ตลอดกาล แต่รวมอยู่ใน “ธาตุ” อยู่ในธรรมชาติ “พุทธะ” จึงอยู่ในทุกที่
ผู้ใดมีศรัทธา มีสติ มีสมาธิ มีวิริยะ ผู้นั้นก็เข้าถึง “พุทธะ” ซึ่งมีอยู่แล้วในธรรมชาติ จงนำศรัทธาของท่านน้อมนำเข้าถึงธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็น “พุทธะ”
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ก็คือ “ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์” นี้เอง
จงน้อมนำด้วยความศรัทธาของท่านเชื่อมต่อเข้ามา ในธาตุรู้ที่บริสุทธิ์นี้ก็รวมพุทธะบารมี ธัมมะบารมี สังฆะบารมีไว้ครบถ้วน รวมไว้ใน “พลังจิตที่บริสุทธิ์” รวมกับ “พลังธรรมชาติที่บริสุทธิ์” ในธรรมชาติในอนันตจักรวาล ในร่างกายในจิตใจของเราทั้งหมดอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา รอผู้มีบุญวาสนาบารมีมาค้นพบสิ่งนี้ และน้อมนำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน พาตนให้หายโง่ไป ดับมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ดับอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ความหลงยึดมั่นถือมั่นเสียหมดสิ้นแล้ว เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ ที่เคยอยู่ในธาตุขันธ์ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหมดเป็น “เอโกธัมโม หรือ เอกะธัมโม” เป็นหนึ่งเดียวตลอดกาล เป็นอมตะ หรือเรียกว่า “จิตหนึ่ง” หรือ “พุทธะ” ซึ่งไม่มีตัวจิตตัวใจแต่เป็น “ความรู้ที่บริสุทธิ์คู่ธรรมชาติ” ที่ไม่มีตัวจิตตัวใจ ไม่มีตัวตนของผู้รู้
ท่านก็สามารถที่จะเข้าถึงธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ เมื่อธาตุขันธ์แตกดับแล้ว ก็จะไม่มีตัวตนของเราที่เป็นกายโปร่งแสงกระเด็นออกมา ทุกข์โศกเศร้าเสียใจคับแค้นใจร้องห่มร้องไห้หน้าศพตัวเอง แล้วถูกยมทูตเขาลากเอาไปลงโทษ จิตวิญญาณที่เป็นตัวตนเป็นกายโปร่งแสงดับหายไปเหมือนดั่งเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
191230A1-1 พลังบริสุทธิ์จากธาตุรู้บริสุทธิ์
30 ธันวาคม 2562
🌡ทางปฏิบัติเพื่อห่างไกลจากโรคภัย🌡
🌬 ตอนที่ 2/5 ฝึกพลังลมปราณด้วย "อานาปานสติ"
ตอนอธิษฐานจิต พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา... ฯลฯ แม้แต่เราเอาหน้าจุ่มไปในน้ำแล้ว ก็อธิษฐานจิตแล้วก็สวด
“พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา ธัมโมพระอะระหัง ธัมมังรักษา สังโฆพระอะระหัง สังฆังรักษา ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไร เชื้อโรคร้าย สารพิษร้าย เซลเนื้อร้าย... ใด ๆ มีมา อนัตตาสูญเปล่า นะสูญ โมสูญ พุทสูญ ธาสูญ ยะสูญ สูญหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ สัมปะจิตโต ปัจฉามิ”
แล้วก็กลืนลมกลืนน้ำลายลงไปในท้องแล้วค่อยหายใจ ตอนสวดตอนอธิษฐานก็ให้เอาหน้าจุ่มในน้ำ ถึงแม้มันจะลมออกน่ะ เราก็ต้องอธิษฐานแล้วสวด ฝึกไปอย่างนี้จนกว่าจะลมไม่รั่วเลย ไม่ใช่ว่ามันยังรั่วอยู่เราเลยสวดอย่างเดียว มันต้องฝึก ฝึกไปพร้อมกันเลย คือถึงแม้มันจะรั่วเราก็อธิษฐานแล้วก็สวดด้วย สวดกลั้นในน้ำนี่แหละ กลั้นลมหายใจในน้ำ เอาหน้าจุ่มน้ำแล้วก็กลั้นลมหายใจแล้วก็สวดอธิษฐาน
หายใจออกให้ท้องแฟบก่อน เอามือกดหน้าท้องให้หนังท้องมันแฟบไปจนเหมือนติดกระดูกสันหลัง แล้วเวลาหายใจเข้าท้องมันจะพองเอง แต่ไม่ต้องท่องว่า พองยุบ พองยุบ ให้เอามือกดท้องให้ท้องแฟบ เวลาหายใจเข้าท้องมันพองเอง
แล้วก็ไม่ต้องไปรอว่า พอเราเอาหน้าจุ่มน้ำกลั้นลมหายใจในน้ำลมก็ยังรั่ว เราก็สวดอย่างเดียวไม่ต้องกลั้นลม ไม่ใช่นะ!!
อย่างนี้มันก็จะไม่ได้ซะที มันต้องกลั้นลมไปด้วย กลั้นลมหายใจได้ พอหายใจเข้าท้องพองแล้วกลั้นลมแล้วก็แม้แต่พอจุ่มหน้าไปในน้ำลมมันจะรั่ว ก็อธิษฐานนั่นแหละ ฝึกอธิษฐาน
แล้วก็สวด พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา... ฯลฯ เนี่ยคือมันจะรั่วก็ฝึกไป ฝึกไปจนกระทั่งลมไม่รั่ว สวดก็ต้องสวด
กว่าจะฝึกกลั้นลมหายใจลมไม่รั่ว พอดีแหละเกิดอุบัติเหตุเภทภัย ภยันตราย ไวรัสจัดการเรียบแล้ว กว่าจะฝึกกลั้นลมหายใจอยู่น่ะ ก็กลั้นอยู่ไม่อยู่สวดไป อธิษฐานจิตไป ปรับธาตุขันธ์ ก็ทำฝึกบ่อย ๆ ๆ ทั้งวัน เดี๋ยวมันก็เป็น
หายใจออกเอามือกดท้องให้ท้องมันแฟบ หายใจเข้าแล้วท้องมันพองเอง แล้วก็หายใจอย่างเนี้ยฝึกหายใจออกท้องแฟบ หายใจเข้าท้องพอง ถ้ามันนั่งมันจะทำไม่ค่อยสะดวกเวลาฝึกใหม่ ๆ เนี่ยให้ฝึกท่านอนหงายก็ได้ แล้วเอามือแตะที่ท้อง แต่ต้องไม่ใช่ตอนกินอิ่มนะ กินอิ่มมันแฟบไม่ลงหรอก ก็ให้มันตอนที่ท้องมันไม่อิ่มน่ะ
เรานอนหงายเนี่ย เอามือกดท้องแล้วก็แขม่วช่วยด้วยก็ได้ แขม่วท้องพร้อมกับให้ลมหายใจออกทางจมูกปากให้หมดเลย จนกระทั่งหนังท้องเนี่ยมันแฟบไปจนถึงเหมือนกับติดกระดูกสันหลังเลย อดข้าวหน่อยก็ได้
แล้วก็ให้ท้องมันแฟบตอนหายใจออกเอาลมออกทางจมูกปาก ทำความรู้สึกเหมือนกับเชื้อโรคของเสียในร่างกายเราทั้งหมด แล้วก็ของเสียในจิตใจ คือ ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสตัณหา ความเศร้าหมอง ความทุกข์ใจ ความไม่สบายใจ ความอาฆาตแค้นพยาบาทผู้ใด ความยึดมั่นถือมั่น เอาออกไปพร้อมกับลมหายใจออกนี่แหละ ออกไปให้หมดสิ้น
ของเสียในร่างกายในจิตใจเอาออกไปให้หมด แล้วก็หายใจเอาความบริสุทธิ์มีความรู้สึกว่าหายใจเอาความบริสุทธิ์เข้ามา
เวลาหายใจเข้าเนี่ย เข้าทางจมูกอย่างเดียวไม่ต้องเข้าทางปาก มีความรู้สึกว่าหายใจเข้าเนี่ย ให้มันเข้าทางจมูกแล้วมันขึ้นเพดานขึ้นไปถึงสุดศรีษะเลย แล้วมันก็ลงไปจนถึงท้องนู่น แล้วท้องพอง แล้วก็กักลมไว้
เวลาปล่อยออก อย่าปล่อยออกทางจมูกพรวดไปเลย... เสียของ กักลมแล้วเวลาลมมันจะออกเนี่ย ให้มันมีความรู้สึกว่าออกทุกรูขุมขน ออกทุกรูเส้นผมบนหนังศีรษะ ออกที่ปลายมือปลายเท้า ให้ลมมันค่อย ๆ ซึมออก ให้ลมหายใจค่อย ๆ ซึมออกไปตามรูขุมขนไปตามผิวหนังไปตามปลายมือปลายเท้า อย่าปล่อยออกทางจมูกพรวดไปเลยมันจะเสียของ มันไม่ได้ใช้ประโยชน์
เราก็อธิษฐานแล้วก็กักลม แล้วก็ให้ลมมันกระจายไปทั่วตัว เพื่อให้เลือดลมเนี่ยมันสูบฉีดโลหิตไปทุกเซลล์ของร่างกาย มันไปให้ถึงปลายสูงสุดที่ปลายสมองสูงสุด แล้วก็ไปที่ปลายร่างกาย
มันไปไม่ค่อยถึงมันไปไม่สุดปลายมือ ไปไม่สุดปลายเท้า เวลาเราหายใจน้อย ๆ เนี่ย หายใจแค่ลิ้นปี่หายใจลิ้นปี่ ตึ๊กตั๊ก ๆ นิดเดียวเนี่ยเลือดลมมันไปไม่ถึงปลายมือปลายเท้า ไปไม่ถึงปลายหนังศรีษะไปไม่ถึงผิวหนัง มันทำให้ผิวหนังไม่สดชื่นผิวหนังมันไม่เฟรช (fresh) มันไม่สดชื่น ก็ให้มันซ่านไปทั่วเลย ให้มันซ่าน...
ให้ลมหายใจเนี่ยมันซ่าน... ไปจนขนลุกไปทั้งตัวเลย มันซ่านไปทั้งตัวเลยตั้งแต่หัวจรดเท้า ให้มันซ่านไปให้ทั่วอย่าทิ้งลมไปฟรี ๆ แล้วก็หายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้าให้ท้องมันพองไว้ หายใจออกให้ท้องมันแฟบ เอากระบังลมช่วย เวลาหายใจออกนี่แขม่วท้องเอากระบังลมช่วยด้วย เวลาหายใจเข้าเนี่ยเอากระบังลมช่วยกักลมไว้ให้ท้องมันป่องไว้
อย่าปล่อยออกพรวดไปเลย เอากระบังลมกักลมไว้ แล้วก็เบ่งลมให้มันกระจายไปทั่วตัว ให้มันออกไปมีความรู้สึกว่าลมนั้นค่อย ๆ ซึมออกไปทั่วตัว ไม่ให้มันออกทางจมูก ให้มันซึมไปให้ขนลุกทั้งตัวเลย
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย