คำว่า “สงบจิต และ สงบกิเลส” เป็นนิยามที่หลวงพ่อ
เลือกเฟ้นมาใช้แทนคำว่าสมถะและวิปัสสนาได้อย่างสม
เหตุสมผล เพราะสามารถชี้นำ เข้าถึงหัวใจแห่งการ
ปฏิบัติกรรมฐานได้เป็นอย่างดี
"ถ้าพูดถึงสมถะก็คือที่เรียกว่า มันสงบจิต
เมื่อเราทำสมาธิเราเข้าไปสงบจิต เรื่องสงบจิตนี้อายุมัน
น้อย อายุมันสั้น ตรงนี้มันไม่สบายมันถูกอารมณ์มาก เรา
ก็เข้าไปที่ใดที่หนึ่งที่มันสงบ
แล้วก็เข้าไปสงบจิตอยู่ตรงนั้น แต่ว่ากิเลสมันยังอยู่นะ
ไม่ใช่เรื่องสงบกิเลส
ตรงนี้มันแบ่งออกเสีย เรื่องสงบจิตมันเป็นอย่างหนึ่ง
เรื่องสงบกิเลสนั้นมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
เรื่องจิตมันสงบนั้น มันไม่ได้ยินอารมณ์อะไรมา
พลุกพล่าน จิตมันก็สงบไปได้ง่าย แต่หากว่ามีอะไรมา
คุกคามแล้วจิตมันสงบไม่ได้ อันนี้คือมันยังอยู่ มันปล่อย
ไม่ได้ มันวางไม่ได้ตรงนี้
เรื่องที่เขาสมมุติว่าเรื่องสมถะหรือวิปัสสนา
ถ้าเราพูดส่วนแยกออกมันก็แยกออก ถ้าพูดส่วนรวมมันก็
แยกของมันไม่ได้ มันติดกันอยู่อย่างนั้น มีญาติโยมหรือ
สหธรรมิกเคยมาเรียนถามว่า ทุกวันนี้ฝึกให้เขาทำ
วิปัสสนาหรือสมถะ
ผมไม่รู้ มันฝึกไปพร้อมๆกัน ถ้าตอบตามความเป็นจริงใน
เรื่องของจิตจะต้องตอบอย่างนี้
คือฝึกไปพร้อมๆกัน เพราะมันเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน
เมื่อมีความสงบถ้าไม่มีปัญญามันก็อยู่ได้ไม่นาน"
หลวงพ่อให้คำจำกัดความสรุปอย่างสั้นๆ แต่ชัดแจ้งใน
ตัวว่า
"ปัญญาคืออาการไหวตัวของสมาธิ เช่นเดียวกับคำว่า น้ำ
ไหลนิ่ง คือสมถะและวิปัสสนา”
ของผู้มีสัมมาปฏิบัติต้องประสานสอดคล้องไหลริน ดุจ
กระแสน้ำ จิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัตินี้ เหมือนน้ำนิ่งมัน
ไหล
ถ้าเปรียบเข้ามาในธรรมะก็คือสมาธิ ความสงบที่
ประกอบด้วยปัญญา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ไปนั่ง
ตรงไหนมันก็นิ่ง
และมันก็ไหลอยู่ มันเป็นน้ำไหลนิ่ง
ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา
มันจะบอกมันเลย มันอยู่ตรงนี้
“ธรรมะเป็นอย่างนี้ “
สมถะกับวิปัสสนาก็อาจจะพูดกันได้ว่าแยกออกจากกัน
ในทำนองเดียวกัน
หรือเปรียบเทียบอาหารกับอุจจาระ อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่ง
เดียวกัน และถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็น
คนละสิ่งกัน
โอวาทธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
" สำหรับอิริยาบถนั่งสมาธินั้น หลวงพ่อไม่พิถีพิถันมากนัก แต่ให้คำแนะนำสั้นๆ ง่ายๆ ว่านั่งตัวตรง ดำรงสติมั่น เอาขาขวาทับขาซ้าย ไม่นั่งหลังงอหรือหลังโกง ไม่เคร่งจนเกินไป ไม่เอียงไม่เอนไปทางซ้ายทางขวา ทำตัวให้สบายๆ นั่งเหมือนพระพุทธรูป
"เอาสติที่มันมีอยู่นี้ ตามลมเข้า ตามลมออก ตามลมเข้าไป ต้นลม กลางลม ปลายลม
ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ที่ลมเท่านั้น เมื่อเราฝึกเช่นนี้พอสมควรแล้ว สติก็มีอยู่ เข้าก็มีสติ ออกก็มีสติ กลางลมก็มีสติ ต้นลมก็มีสติ"
จิตใจหรือความรู้สึกของเรา มันไม่มีเวลาหลีกไปเก็บเอาอารมณ์อื่น เพราะมันรู้อยู่ตรงนี้
ทั้งลมเข้าลมออก ถ้าหากว่าจิตใจหรือความรู้สึกของเรา มันแส่ส่ายไปหาอารมณ์อื่น ก็แสดงว่าสติมันเผลอไปแล้ว ให้ตั้งสติขึ้นใหม่ ให้รู้จักว่ามันผ่านตรงนี้ๆ ดูไปเรื่อยๆ บางทีมันหนีไปไหนตั้งนานแล้วก็ยังไม่รู้ อ้าว! เผลอสติอีกแล้วก็ยกขึ้นมาใหม่ ถ้าเราทำอย่างนี้จะรู้จักต้นลม กลางลม ปลายลมได้พอสมควร ตอนแรกๆจะลำบากหน่อย ระยะต่อไปถ้าเรามีความชำนาญ รู้จักพอสมควรแล้ว เรางดก็ได้ ไม่ต้องกำหนดตามไปก็ได้ ไม่ต้องตามลมออกลมเข้า มันจะยาวจะสั้นเราก็รู้จัก เอาความรู้สึก มาอยู่ที่ปลายจมูกอย่างเดียว ให้หยุดอยู่ตรงนั้น ลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก การกำหนดลมเราไม่ต้องไปบังคับมัน
เมื่อเราจะนั่งสมาธิก็ลองดูอย่างนี้ก่อน คล้ายๆ กับการฝึกหัดเย็บผ้า เราจะต้องมีมือมีเท้าสัมพันธ์กัน เราหัดเย็บผ้าครั้งแรกจะต้องทำอย่างไรบ้าง เอาเท้าถีบจักรเปล่าๆเสียก่อน ไม่ต้องใส่ผ้าให้เท้ามันคล่องเสียก่อน เมื่อมันคล่องตัวดีแล้วเราจึงเอาผ้าเข้าไปเย็บ
ลมหายใจนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เราไม่ต้องกำหนดมัน ยาวหรือสั้นก็ตามให้มันสบายๆก็พอ
เมื่อมันสบายเราก็รู้จักว่า เออ! ความสบายมันถึงขนาดนี้ ลมนี้มันจะยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป
แรงเกินไป อย่าได้บังคับมัน ปล่อยมันให้ได้สัดส่วนพอดีๆ กำหนดลมเข้าลมออกเท่านั้นก็พอ ไม่ต้องไปพิจารณาอย่างอื่น ทำอันนี้ให้รู้จักลมก็พอแล้ว
เมื่อทำอย่างนี้ ความคิดบางส่วนจะเกิดขึ้นมา แหม! ทำอย่างนี้มันจะรู้อะไรหนอ ทำต่อไปอย่าได้สงสัยเลย ไม่ต้องพูด ไม่ต้องคิด ไม่ใช่หน้าที่การงานของเรา หน้าที่การงานของเราคือรู้ลมเข้ารู้ลมออกเท่านั้น"
(อุปลมณีหน้า๒๐๙-๒๑๐)
" วิธีปฏิบัติธรรม...
มีมากมายเป็นล้าน ๆ วิธี พูดเรื่องการภาวนา ไม่มีที่จบ สิ่งที่จะทำให้เกิดความสงสัยมีมาก
มาย หลายอย่าง
แต่...ให้กวาดมันออกไปเรื่อย ๆ แล้วจะไม่เหลือ ความสงสัย
เมื่อ...เรามีความเข้าใจถูกต้องเช่นนี้ ไม่ว่าจะ
นั่ง หรือจะเดิน ก็จะมีแต่ความสงบ ความสบาย
ไม่ว่าจะปฏิบัติภาวนาที่ไหน ให้มีความรู้สึกตัว
ทั่วพร้อม
อย่า...ถือว่า
จะปฏิบัติภาวนาแต่เฉพาะขณะนั่ง(สมาธิ)หรือ
เดิน(จงกลม)เท่านั้น
ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกหนทุกแห่งเป็นการปฏิบัติได้ ทั้งนั้น
ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ให้มีสติอยู่
ให้เห็นการเกิด-ดับของกาย และใจ
แต่...อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวาย
ให้ปล่อยวาง มันไป
ความรักเกิดขึ้น ก็ปล่อยวาง มันไป
มันมาจากไหน ก็ให้มันกลับไปที่นั่น
ความโลภเกิดขึ้น ก็ปล่อย มันไป
ตามมันไป
ตามดูว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วตามไปส่งมัน
ให้ถึงที่
อย่าเก็บมันไว้ สักอย่าง
ถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างนี้ ท่านจะเหมือนกับ
บ้านว่าง หรือ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
นี่คือ...ใจว่าง
เป็นใจที่ว่าง และอิสระจากกิเลสความชั่วทั้งหลาย เราเรียกว่า...ใจว่าง
แต่ ไม่ใช่ว่างเหมือนว่า ไม่มีอะไร
มันว่าง จากกิเลส
แต่ เต็มไปด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา
ฉะนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร
ก็ทำ ด้วยปัญญา
คิด ด้วยปัญญา
จะมีแต่ ปัญญาเท่านั้น
นี่เป็น คำสั่งสอนที่ผมขอมอบให้ใน วันนี้."
--------------------------------------------------------------
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
สมถะและวิปัสสนา
น้ำไหลนิ่ง
"สำหรับหลวงพ่อท่านมิได้แบ่งแยกสมถะและวิปัสสนาออกจากกัน หรือให้ความสำคัญระหว่างสองสิ่งมากน้อยต่างกัน
แต่ทว่าคำสอนของท่านโยงใยให้เห็นว่า ธรรมสองข้อนี้
มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และมีองค์คุณเกี่ยวเนื่องกัน
เช่นไร
"สมาธิ (สมถะ) และปัญญา (วิปัสสนา) นี้ต้องควบคู่กัน
ไป เบื้องแรกจิตจะเข้าถึงความระงับโดยอาศัยวิธีทำ
สมาธิภาวนา
จิตจะสงบอยู่ได้โดยเฉพาะขณะที่ท่านนั่งหลับตาเท่านั้น
นี่คือสมถะ
และอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐานช่วยให้เกิดปัญญาหรือ
วิปัสสนาได้ในที่สุด แล้วจิตก็จะสงบ ไม่ว่าท่านจะนั่ง
หลับตาอยู่หรือเดินอยู่ในเมืองที่วุ่นวาย เปรียบเหมือนกับ
ว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเด็ก บัดนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่ แล้ว
เด็กกับผู้ใหญ่นี้เป็นบุคคลเดียวกันหรือเปล่า ท่านอาจจะ
พูดได้ว่าเป็นคน คนเดียวกัน หรือถ้ามองอีกแง่หนึ่ง ท่าน
ก็จะพูดได้ว่าเป็นคนละคนกัน
สมถะและวิปัสสนาอยู่ด้วยกัน
"ตัวจิต" เป็นตัว "วิปัสสนา" และ เป็นตัว "สมถะ"เมื่อ "จิตสงบแล้ว" ความสงบเบื้องแรก สงบด้วย "สมถะ" คือ "สมาธิธรรม" ทำให้ "จิตเป็นสมาธิ" มันก็สงบ
ถ้า "ความสงบหายไป" ก็ "เกิดทุกข์" ทำไม "อาการ" นี้จึงให้เกิดทุกข์
“ตัวสมุทัย” แน่นอนมันจึงเป็น "เหตุให้เกิดทุกข์" เมื่อมีความสงบแล้วยังไม่จบ พระศาสดามองเห็นแล้วว่าไม่จบ "ภพยังไม่สิ้น" "ชาติยังมีอยู่" "พรหมจรรย์ไม่จบ"
"ความสงบ" ก็เป็น "สังขาร" อันหนึ่ง ก็เป็นสมมติ เป็นบัญญัติอีก ติดอยู่นี่ก็ติดสมมติ ติดบัญญัติ เมื่อติดสมมติติดบัญญัติ
ก็ติดภพ ติดชาติ ภพชาติก็คือ ความดีใจ ในความสงบ นี่แหละ เมื่อหายความฟุ้งซ่าน ก็ติดความสงบ ก็เป็นภพอีก เกิดอยู่อย่างนี้
ภพชาติเกิดขึ้นมาทำไมพระพุทธเจ้าจะไม่รู้ เพราะมันยังมีทุกข์อยู่ ท่านจึงเอาตัว "สมถะตัวสงบ" นี่พิจารณาต่อไปอีก ค้นหาเหตุผลจนกระทั่งท่าน "ไม่ติดในความสงบ" (ติดสุข)
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
" เมื่อ...จิตเคลื่อนเมื่อใด
ก็เป็นสมมุติสังขาร เมื่อนั้น
ท่านจึงให้ พิจารณาสังขาร
คือ จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง
เมื่อมันเคลื่อนไหวออกไป
ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เมื่อผู้รู้
รู้ตามความเป็นจริง ของจิต
หรือ เจตสิกเหล่านี้
จิต ก็ไม่ใช่เรา
สิ่งเหล่านี้ มีแต่ของทิ้งทั้งหมด
ไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่นทั้งนั้น
เหมือนกับตะเกียง เป็นตัวผู้รู้
แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่าง
ก็ช่างมัน
มันเกิดจากผู้รู้ อันนี้
ถ้าจิตนี้ ไม่มี
ผู้รู้ ก็ไม่มีเช่นกัน มันคืออาการของพวกนี้
ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด
ท่านว่าจิตนี้ ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล
มิใช่ตัว มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา
ธรรมนี้ ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตน เรา เขา
ไม่เป็นอะไร
(พระพุทธเจ้า)ท่านให้เอาที่ไหน
เวทนาก็ดี สัญญาก็ดีสิ่งทั้งหลาย เหล่านี้
ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า
ท่านให้...วาง
สิ่งทั้งหลาย ที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้
ล้วนแต่เป็นสังขาร ทั้งหมด
เมื่อรู้แล้วท่านให้...วาง
เมื่อรู้แล้วท่านให้...ละ
ให้รู้ สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง
ถ้า...ไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็ทุกข์
ก็ไม่วาง สิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อ...รู้ตามความเป็นจริงแล้ว
สิ่งเล่านี้ ก็เป็นของหลอกลวง
สมกับที่ พระศาสดาตรัสว่า
จิตนี้...ไม่มีอะไร
ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายตามใคร
จิตเป็นเสรี รุ่งโรจน์โชติการ
ไม่มีเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไปอยู่ในนั้น
ที่จะมีเรื่องราว...
ก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง หลงอัตตา นี่เอง
พระศาสดาจึงให้มองดู จิตของเรา
เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มีอะไรจริง ๆ
สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย
ถูกอารมณ์ดีมากระทบ ก็มิได้ดีด้วย
ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบ ก็มิได้ร้ายไปด้วย
เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดแจน
รู้ว่าสภาวะเหล่านั้น...
ไม่เป็น แก่นสาร
ท่านเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง
ผู้รู้ มิได้ดีใจไปด้วย มิได้เสียใจไปด้วย
อาการที่ดีใจไปด้วย นั่นแหละเกิด
อาการที่เสียใจไปด้วย นั่นแหละตาย
ถ้ามันตาย ก็เกิด ถ้ามันเกิด ก็ตาย
ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ
เป็นวัฏฏะ
เวียนว่ายตายเกิด อยู่ไม่หยุด
เมื่อจิต ผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่ต้องสงสัย ภพมีไหม ชาติมีไหม
ไม่ต้องถามใคร
พิจารณาอาการสังขาร เหล่านี้แล้ว
จึงได้ปล่อยวางสังขาร วางขันธ์เหล่านี้
เป็นเพียงผู้รับทราบไว้ เฉย ๆ
มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน
เป็นคนดูอยู่ เฉย ๆ
ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน
เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว
เมื่อรู้ ตามความเป็นจริง
ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิด ไม่มี
เมื่อ ถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบ
มันก็เกิดเป็นอาการ ขึ้นกับใจเรา
เรา ติดมันไหม
เรา วางมันได้ไหม
อาการ ที่ไม่ชอบใจนั้นเกิดขึ้นมา
เรา...รู้แล้ว
ผู้รู้ เอาความไม่ชอบไว้ในใจหรือเปล่า
หรือว่าเห็นแล้ว...วาง
ถ้า เห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้ว
ยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่
เพราะ ยังผิดอยู่
ยัง ...ไม่ยิ่ง
ถ้า มันยิ่งแล้ว
มัน ...วาง
ให้ดู...อย่างนี้."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
สำคัญที่สติ สติจึงเป็นธรรมมีอุปการะมาก
โอวาทธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
"สติเป็นธรรมอันเอก ที่จะคอยประคององค์สมาธิให้เดินไปในแนวสัมมาปฏิปทา ข้อนี้หลวงพ่อท่านเน้นไว้หนักหนา
"สิ่งที่รักษาสมาธิไว้ได้คือสติ สตินี้เป็นธรรม เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง สตินี้คือชีวิต ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เป็นคนประมาท ในระหว่างขาดสตินั้น
พูดไม่มีความหมาย การกระทำไม่มีความหมาย
ธรรมคือสตินี้ คือความระลึกได้ในลักษณะใดก็ตาม สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดขึ้นมาได้
เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้ ทุกสิ่งสารพัด
ธรรมทั้งหลายถ้าหากว่าขาดสติ ธรรมทั้งหลายนั้นไม่สมบูรณ์ อันนี้คือการควบคุมการยืน
การเดิน การนั่ง การนอน ไม่ใช่แต่เพียงขณะนั่งสมาธิเท่านั้น แม้เมื่อเราออกจากสมาธิไปแล้ว
สติก็ยังเป็นสิ่งประจำใจอยู่เสมอ มีความรู้อยู่เสมอ เป็นของที่มีอยู่เสมอ ทำอะไรก็ระมัดระวัง
เมื่อระมัดระวังทางจิตใจ ความอายมันก็เกิดขึ้นมา การพูด การกระทำอันใดที่ไม่ถูกต้อง เราก็อายขึ้น อายขึ้น เมื่อความอายมีกำลังกล้าขึ้นมา
ความสังวรก็มากขึ้นด้วย เมื่อความสังวรมากขึ้น
ความประมาทก็ไม่มี"
"นี่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น
เราจะไปไหนก็ตาม อันนี้มันอยู่ในจิตของตัวเอง
มันไม่หนีไปไหน นี่ท่านว่าเจริญสติ ทำให้มาก
เจริญให้มาก อันนี้เป็นธรรมะคุ้มครองรักษากิจการที่เราทำอยู่หรือทำมาแล้ว หรือกำลังจะกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นธรรมะที่มีคุณประโยชน์มาก ให้เรารู้ตัวทุกเมื่อ ความเห็นผิดชอบมันก็มีอยู่ทุกเมื่อ เมื่อความเห็นผิดชอบมีอยู่ เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ ความละอายก็เกิดขึ้น
จะไม่ทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่า
ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว"
แม้ในการเจริญปัญญา สติในแง่ของการระลึกรู้อยู่ในความไม่แน่ก็เป็นปัจจัยอันสำคัญอย่างหนึ่ง
"ก็ให้รู้ว่า อันนี้มันไม่แน่นอนอย่างนี้เรื่อยไปเถอะ แล้วปัญญามันจะเกิดหรอก แต่อย่าไปคิดออกหน้ามันนะ ให้ดูไปเถอะให้มันรู้ ถ้าหากเรารู้มันจะมารายงานเราหรอก มันก็คล้ายๆ คนเข้าไปในบ้านที่มีหน้าต่างอยู่๖ช่อง แล้วก็มีคนๆเดียวเข้าไปอยู่ในนั้น เราไปดูหน้าต่าง ก็มีคนโผล่ออกไป ทางโน้นก็มีคนโผล่ออกไป
มันก็ไอ้คนๆเดียวกันน่ะแหล่ะ ไม่ใช่คน๖คน
คนๆเดียวมันไปโผล่ทั่วถึงกันหมดทั้ง๖ช่อง
คนๆเดียวก็เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นของไม่แน่นอนทั้งนั้น นี้เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา จะตัดความสงสัยทั้งหลายออกไปได้"
ขอนอบน้อมสักการะบูชาธรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยเศียรเกล้าสาธุสาธุสาธุ
ขออนุโมทนากับท่านผู้มีส่วนเผยแผ่ธรรมทานสาธุสาธุสาธุอนุโมทามินิพพานะปัจจะโยโหตุ
(อุปลมณีหน้า๒๓๐)
" ถาม : ผมยังคงมีความนึกคิดต่างๆ มากมาย
จิตของผมฟุ้งซ่านมาก ทั้งๆ ที่ผมพยายามจะ
มีสติอยู่ ?
หลวงพ่อชา : อย่าวิตกในเรื่องนี้เลยพยายาม
รักษาจิตของท่าน ให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิด
รู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม
จงเฝ้าดูมัน และ ปล่อยวาง
แล้วจิตก็จะเข้าถึงสภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน
ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดี และ ความชั่ว
ร้อน และ หนาว ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตน
เลย อะไร ๆ ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
จงรู้จักตัวเอง
ด้วยการปฏิบัติตน เป็นปกติตามธรรมชาติ
และ เฝ้าดู
เมื่อเกิดสงสัย จงเฝ้าดู(ความสงสัย)มันเกิด
ขึ้น และ ดับไป มันก็ง่าย ๆ อย่ายึดมั่น ถือมั่น
กับ สิ่งใดทั้งสิ้น
เหมือนกับว่า ท่านกำลังเดินไปตามถนน
บางขณะ ท่านจะพบสิ่งกีดขวางอยู่ เมื่อท่าน
เกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมัน
และ เอาชนะมัน โดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย
อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวาง ที่ท่านได้ผ่านมา
แล้ว
อย่าวิตกกังวล กับ สิ่งที่ยังไม่ได้พบ
จงอยู่...กับปัจจุบัน
ไม่ว่าท่านจะผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้
ในที่สุด จิตก็จะบรรลุถึงความสมดุลตาม
ธรรมชาติของจิต
และ...เมื่อนั้น
การปฏิบัติก็จะเป็นเอง โดยอัตโนมัติ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้น และ ดับไปในตัว
ของมันเอง."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
“..ตามความเป็นจริงแล้วโลกที่เราอยู่นี้
ไม่มีอะไรทำไมใครเลย...
ไม่มีอะไรจะเป็นที่วิตกวิจารเลย
ไม่มีอะไรที่น่าจะร้องไห้หรือหัวเราะ
เพราะ มันเป็นเรื่องอย่างนั้น..ธรรมดา ๆ
แต่เราพูดธรรมดาได้
แต่มองไม่เห็นธรรมดา
แต่ถ้าเรารู้ธรรมะสม่ำเสมอ
ไม่มีอะไรเป็นอะไรแล้ว...
มันเกิด มันดับ ของมันอยู่อย่างนั้น..”
หลวงพ่อชา สุภัทโท
น้ำนิ่ง คือ … น้ำที่ไม่ไหล
น้ำไหล คือ … น้ำที่ไม่นิ่ง
แล้วโยมเคยรู้จัก …
น้ำที่ไหลนิ่งกันบ้างไหม
เป็นน้ำที่มีน้ำนิ่ง … และ … ก็มีทั้งไหล
อารมณ์ชนิดใด” ก็ตามเรา อย่าไปเอา “ชนะมัน”
เราอย่าไป “ยอมแพ้มัน”
ให้เรา “ตั้งอยู่ในความสงบ”...เรียกว่า "น้ำไหลนิ่ง"
ความสงบท่ามกลางความไม่สงบ …
"น้ำไหลนิ่ง"....หยุด...นิ่ง...รู้
"น้ำไหลนิ่ง" เป็น "ความสงบที่อยู่ท่ามกลางความไม่สงบ"
เปรียบเสมือน "น้ำไหลนิ่ง"
“อารมณ์” อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นภายในจิตเรา
ความพอใจ ความไม่พอใจ ความรัก ความชัง
ความดีใจ ความเสียใจ ความโกรธ ความพยาบาท
อะไรก็ตาม มันจะเป็น “อารมณ์ชนิดใด” ก็ตาม
เราอย่าไปเอา “ชนะมัน"
เราอย่าไป “ยอมแพ้มัน”
ให้เรา “ตั้งอยู่ในความสงบ”
"ความสงบที่อยู่ท่ามกลางความไม่สงบ …
"เปรียบเสมือน "น้ำไหลนิ่ง"....
หยุด...นิ่ง...รู้....
“ดู” ความ “เกิด- ดับ”...ของ “อารมณ์” ทั้งหลายทั้งปวง....
ไม่ไป “ข้องเกี่ยว” กับมัน
แม้แต่"ลมกับกาย"ความสงบนั้นก็ “มิได้ไปยุ่งเกี่ยว” อะไรด้วยเลย
แล้วเราจะ “พ้นจากบ่วงของมาร”
.
#พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
"ทิฏฐิ" คือความเห็นและความนึกคิด
เกี่ยวกับสิ่งทั้งปวง เกี่ยวกับตัวเขาเอง
เกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา เกี่ยวกับคำสอน
ของพระพุทธเจ้า
หลายๆ ท่านที่มาที่นี่ มีตำแหน่งการงานสูง
ในสังคม บางคนเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่ง หรือ
ได้ปริญญาต่างๆ ครูและข้าราชการ สมองเขา
เต็มไปด้วยความคิดเห็นต่อสิ่งต่าง ๆ เขาฉลาด
เกินกว่าที่จะฟังผู้อื่น
เปรียบเหมือนน้ำในถ้วย ถ้าถ้วยมีน้ำสกปรก
อยู่เต็ม ถ้วยนั้นก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
เมื่อได้เทน้ำเก่านั้นทิ้งไปแล้วเท่านั้น ถ้วยนั้น
ก็จะใช้ประโยชน์ได้
ท่านต้องทำจิตให้ว่างจากทิฏฐิ
แล้วท่านจึงจะได้เรียนรู้ การปฏิบัติของเรานั้น
ก้าวเลยความฉลาดหรือความโง่
ถ้าท่านคิดว่า " ฉันเก่ง ฉันรวย ฉันเป็นคนใหญ่
คนโต ฉันเข้าใจพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้ง
ทั้งหมด" เช่นนี้แล้ว
ท่านจะไม่เห็นความจริงในเรื่องของอนัตตา
หรือความไม่ใช่ตัวตน ท่านจะมีแต่ตัวตน
ตัวฉัน ของฉัน แต่พระพุทธศาสนาคือ
การละตัวตน เป็นความว่าง เป็นความไม่มีทุกข์
เป็นความดับสนิท คือ"นิพพาน"
#คำสอนหลวงปู่ชา สุภัทโท
จากหนังสือ เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต
🍁" ถ้าคนไม่รู้จักสุขไม่รู้จักทุกข์นั้น
ก็จะเห็นว่าสุขกับทุกข์นั้นมันคนละระดับ
มันคนละราคากัน
🍁ถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้ว ท่านจะเห็นว่า
สุขเวทนากับทุกขเวทนา มันมีราคาเท่าๆ กัน
🍁ถ้าไปยึดในสุขนั่นก็คือบ่เกิดของทุกข์
ทุกข์มันก็จะเกิดขึ้นมา
เพราะอะไร? นี้เพราะว่าสุขมันไม่เที่ยง มันแปรไปมา
เมื่อสุขนี้มันหายไป ทุกข์มันก็เกิดขึ้นมา ดังนี้เป็นต้น
🍁พระพุทธองค์ท่านทรงรู้ว่าสุขทุกข์นี้มันเป็นโทษ
สุขทุกข์จึงมีราคาเท่ากัน
🍁ดังนั้นเมื่อสุขทุกข์เกิดขึ้น ท่านจึงปล่อยวางไป
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันมีราคาเสมอเท่ากันทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจึงเป็นสัมมาปฏิปทา
เห็นสิ่งทั้งสองนี้มีทุกข์โทษเสมอกัน
มีคุณประโยชน์เสมอกันทั้งนั้น
และสิ่งทั้งสองนี้ก็เป็นของที่ไม่แน่นอน
ตกอยู่ในลักษณะของธรรมะว่า
ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เกิดแล้วดับไป
ทั้งหมดเป็นอย่างนี้."
หลวงปู่ชา สุภัทโท
เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.
มรรคเป็นเหตุ ความสงบเป็นผล.!
‘...ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี สิ่งทั้งสามประการนี้ท่านเรียกว่า มรรค อันมรรคนี้ยังมิใช่ศาสนา อีกซ้ำยังไม่ใช่สิ่งที่พระศาสดาต้องการอย่างแท้จริงเลย แต่ก็เป็นหนทางที่จะดำเนินเข้าไป เหมือนกับที่ท่านมหามาจากกรุงเทพฯ จะมาวัดหนองป่าพง ท่านมหาคงไม่ต้องการหนทาง ต้องการถึงวัดต่างหาก แต่หนทางเป็นสิ่งจำเป็นแก่ท่านมหา ที่จะต้องมา ฉะนั้นถนนที่ท่านมหามานั้นมันไม่ใช่วัด มันเป็นเพียงถนนมาวัดเท่านั้น แต่ก็จำเป็นต้องมาตามถนน จึงจะมาถึงวัดได้ ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ถ้าจะพูดว่านอกศาสนาแต่ก็เป็นถนนเข้าไปถึงศาสนา เมื่อทำศีลให้ยิ่ง สมาธิให้ยิ่ง ปัญญาให้ยิ่งแล้ว ผลคือความสงบเกิดขึ้นมา นั่นเป็นจุดที่ต้องการ เมื่อสงบแล้วถึงได้ยินเสียงก็ไม่มีอะไร เมื่อถึงความสงบอันนี้แล้วก็ไม่มีอะไรจะทำ ฉะนั้นพระศาสดาจึงให้ละ จะเป็นอะไรก็ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็นปัตจัตตังแล้วจริง ๆ มิได้เชื่อใครอีก หลักของพระพุทธศาสนาจึงมิได้มีอะไร ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีปาฏิหาริย์อย่างอื่นทั้งหลายทั้งปวง สิ่งเหล่านี้พระศาสดามิได้สรรเสริญ แต่มันก็อาจทำได้ เป็นได้ สิ่งเหล่านี้เป็นโมหธรรม พระศาสดาไม่สรรเสริญ ท่านสรรเสริญผู้ที่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้เท่านั้น ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติอุปกรณ์เครื่องปฏิบัตินั้นได้แก่ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จะต้องฝึกหัดอย่างนี้ อันนี้คือทางดำเนินเข้าไป ก่อนจะถึงได้ต้องมีปัญญามาก่อน นี้เป็นมรรค มรรคมีองค์แปดประการ รวมแล้วได้แก่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ากิเลสหุ้มขึ้นมาก็เกิดไม่ได้ ถ้ามรรคกล้าก็ฆ่ากิเลส สองอย่างเท่านี้ที่จะต่อสู้กันไปตลอดจนปลายทางทีเดียว รบกันไปเรื่อย ไม่มีหยุด ไม่มีสิ้นสุด..ฯ’
...
• ธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
อันนี้นะ..เราท่านทั้งหลาย คนเรานี้ หลงมากมายนะ หลงเจ้าของ ย่นย่อ เข้ามาเลยนะ ความรู้สึก ความคิด มันจะสำผัส ทางไหนก็ตามเถอะ มันไหลเข้ามาในนี้ ในใจ เป็นชอบเป็นชังตรงนี้แหละ เป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นมา แมงมุมนั้น เขาชักใยแยกสาชาออกไป แล้วถักเข้าเป็นวงๆ แล้วเขาก็สงบนิ่งตรงกลางบ้าน กลางใจนั้น..เราก็เห็นเลย เหมือนนักปฏิบัติเรา ต้องสงบนิ่งในใจกลางนั้น อะไรมาสำผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้เรื่องแล้วแมงมุมมันก็วิ่งไปกัดเลย เราก็วิ่งไปกัดเช่นกัน แต่เป็นปัญญาแมงมุมมีเขี้ยว เราก็มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขี้ยวมันสองกับพิษทำลาย แมลงที่บินมาชนใยของมัน แล้วมันก็เก็้บไว้ทำอาหาร เราก็เก็บไว้เป็นอาหารใจ อนิจจัง...มาทางไหน ก็ฟาดฟันด้วย อาวุธ สามอย่างนี้ เห็นบ่อยๆเห็นมากๆ ก็เบื่อหน่าย คลายออก จากกำหนัดยินดียินร้าย นี้แหละธรรมะ ธรรมชาติ เจริญมากๆบ่อยๆต่อเนื่องก็เห็นแต่ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เลยวาง เลยว่าง ไม่มีที่ยึด จะยึดตรงไหน ก็มีแต่ อนิจจังทุกขัง อนัตตา หมดเลย
·
# ...เลือกทางเดิน..!
"...ในชีวิตของเรา มีทางเลือกอยู่สองทางคือ คล้อยตามไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้อยู่ เหนือโลก
พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงปฏิบัติจนพระองค์เองทรงพ้นโลกด้วยการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
ในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสองคือ ปัญญาโลกีย์ กับปัญญาโลกกุตระหากเรา ไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบรมตนเองถึงจะมีปัญญาปานใดก็เป็นเพียง ปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัยจะหลุดพ้นโลก(พ้นทุกข์) ไปไม่ได้
...เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลก จิตก็เป็นโลก คิดอยู่แต่จะหามาใส่ตัวอยู่...ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ...
...วิชาโลกีย์ เลยกลายเป็นอวิชชาหาใช่วิชชาความรู้แจ้ง(พ้นไปจากทุกข์) ไม่มันจึงเรียนไม่จบสักที เพราะมัวไปตามลาภตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุขพาใจให้ติดข้อง เป็นกิ้เลสกองใหญ่ เมื่อได้มา ก็หึงหวง เห็นแก่ตัวสู้ด้วยกำปั้น ไม่ได้ ก็คิดสร้างเครื่องจักรเครื่องยนต์กลไก สร้างศรัตราอาวุธ สร้างลูกระเบิดขว้างใส่กันนี่คือ...โลกีย์ มันไม่หยุดสักที เรียนไปก็เพื่อ จะเอาโลกจะครองโลก ได้อะไร ก็หวงอยู่นั่นแล้วนี่คือ โลกียวิสัย เรียนไปแล้วก็จบไม่ได้...
...มาฝึกทางโลกุตระ โลกุตระนี้อยู่ได้ยาก ผู้ใดหวังมรรค หวังผลหวังนิพพาน จึงจะทนอยู่ได้ จงทำตนให้เป็นคน มักน้อย สันโดษ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำให้มันหมด..โลกีย์ ถ้าเชื้อโลกีย์ไม่หมด มันก็ยาก มันยุ่ง ไม่หยุดสักที...ฯ"
___
• ธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร[หลวงพ่อชา สุภัทโท]
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
" ความสุข...ถาวรอยู่ที่ไหน ?
อยู่ที่จิตใจ ของเราที่ถอนอุปาทาน
ถอนกิเลส
จิตใจ ที่มันพอแล้ว อิ่มแล้ว
สงบแล้ว เย็นแล้ว
ไม่ขาดอะไร
ไม่เอาอะไร
เมื่อ...ได้รับอารมณ์มาแล้ว
จิตที่หลง ที่ไม่มีความรู้ของมัน ก็ไปอย่างหนึ่ง
จิตที่รู้ มันก็ไปอย่างหนึ่ง
พอ...มีความรู้สึกเกิดขึ้น
จิตที่รู้ มันก็เห็นว่า...
ไม่ควรยึดมั่น ในสิ่งเหล่านั้น
ถ้าไม่มีปัญญา มันหลงไปด้วยความโง่
ไม่เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เห็นแต่ว่า...
เราชอบอันนี้ มันถูกแล้ว มันดีแล้ว
อันไหนเราไม่ชอบ อันนั้นมันไม่ดี
อย่างนั้น...จึงไม่ใช่ธรรมะ
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้
ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
พระพุทธเจ้าท่านให้เป็น...สักแต่ว่า
ให้ยืนอยู่ตรงนี้...เสมอ
ดังนั้น เราจะไปเลือกอารมณ์ ไม่ได้
ถ้าอารมณ์ มันวิ่งมาหาเรา
ทั้งทางดี ทางชั่ว ทางผิด ทางถูก
แล้วเราไม่รู้ เพราะ...ไม่มีปัญญา
เรา ก็จะวิ่งตามมันไป
ตามมันไปด้วยตัณหา
ด้วยความอยาก
แล้วเดี๋ยวก็ ดีใจ เดี๋ยวก็ เสียใจ
เพราะอะไร ?
เพราะเอาใจของเราเป็นหลัก
อะไรที่เรา ชอบใจ
เราก็เข้าใจว่า อันนั้นดี
อะไรที่เรา ไม่ชอบใจ
ก็เข้าใจว่า อันนั้นไม่ดี
อย่างนี้เรียกว่า...
ยังห่างไกล...ธรรมะ
ยังไม่รู้...ธรรมะ มันก็เดือดร้อน
เพราะ ...ความหลงมันเต็มอยู่."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
จิตหนึ่ง....
ทำ "จิต" ให้ สงบ ให้ "รู้อยู่" ใน "จุดรู้" อยู่อย่างเดียว ประคองเข้าสู่ ุ"จุดนั้น" รักษา "ความรู้สึก" ไว้ใน "จุดเดียว" ถือเอา "ความรู้สึก" นั้นให้ ไปรวม อยู่ในที่ "จุดเดียว"
หรือมิฉะนั้นให้ "กลั้นลมหายใจ" มันจะ "จดจ่อ" เป็น "ที่ตั้ง" ของใจ
เมื่อได้ที่ตั้งแล้ว ให้ "จำตรงนั้น" ประคอง "ความรู้สึก" ไว้ที่ ตรงนั้น ให้มันอยู่ ให้ มัน "ติดตรงจุดนั้น" ให้ได้
เมื่อ "ตั้ง" จนชำนิชำนาญ “จิต” มันจะ "ติด" ตรงนั้น เมื่อ “จิต” มันติดตรงจุดนั้นได้ มันก็ “วางข้างนอก” มันไม่ไปต่อข้างนอก “มันจะต่อจุดนั้นอย่างเดียว” เมื่อมันแน่วอยู่ใน “จุดเดียว” แล้วมันเป็น “สมาธิเบื้องต้น “
“รักษาจิต”ให้อยู่ใน “จุดนั้น” มากขึ้นเท่าใด ใจก็จะ “มั่นคง”มากขึ้น
เท่านั้น เป็น “เอกัคตาจิต” จิตมีอารมณ์เป็น “อันเดียว” อยู่ใน จุดที่ตั้ง นั้น เป็นสภาวะธรรมของ “จิตหนึ่ง”
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
ตามดูจิต
เวลาเรามีไม่มาก เรามาฝึกจิตก็ต้องดูจิต ดูอาการของจิต
ลองดูจิต ให้เห็นจิตเรา
อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
ถือมั่นก็เห็นสุขเป็นของจริง
สุขเป็นเรา สุขเป็นของเรา
ทุกข์เป็นเรา ทุกข์เป็นของเรา
มันคิดเช่นนี้
แต่ความเป็นจริง
สุขสักแต่ว่าสุข
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา
ทุกข์ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ตัวคนที่รู้ทุกข์หรือสุขนี้
ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ถ้าเราเห็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรจะเกาะ ติดสุขขึ้นมา สุขก็เกาะเราไม่ได้
เกิดทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ก็เกาะเราไม่ได้
เพราะว่ามันไม่แน่ เป็นของปลอมทั้งนั้น เป็นของไม่แน่นอน
ถ้าเราคิดเช่นนี้ จะภาวนาได้ร็ว
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะไปจะมา ทุกอย่างจิตกำหนดอยู่เสมอ ให้รู้อารมณ์มันเข้ามา
ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส อะไรต่างๆ นี้
มันจะเกิดความชอบ ไม่ชอบขึ้นมาทันที
มันจะเกิดสุข เกิดทุกข์ขึ้นมาทันที
อันนี้เราเรียกว่า อ่านดูจิตมันจะเห็นจิต เพราะมันเกิดจากจิตดวงเดียวเท่านี้ มันจะให้สุขให้ทุกข์ ทุกอย่างเกิดจากจิต
ถ้าเราตามดูจิตของเราอยู่เช่นนี้ มันจะเห็นกิเลส มันจะเห็นจิตของเราสม่ำเสมอเลยทีเดียว
อันนี้แหละ คือ การภาวนา
หลวงพ่อชา สุภัทโท
# ...รู้แล้วปล่อยวาง..!
"...รู้จักเจ็บไหม ..? รู้จัก..
รู้จักสบายไหม..? รู้จัก
แต่เราไม่ไปติดอยู่ตรงนั้น...!
• ถ้าจิตเราฉลาด เราก็ไม่ไปยืด แต่วาง เป็นผู้รู้เฉยๆ รู้เท่าแล้วปล่อยไปตามสภาวะ อันนั้นลักษณะของจิตกับเวทนาทั้งหลาย
ก็เป็นอย่างนี้
แม้ว่าเราเจ็บป่วยขึ้นมา เราก็ยังรู้สึกว่าเวทนามันก็เป็นเวทนา จิตมันก็เป็นจิต เป็นคนละอย่างกันอยู่ รู้จักเจ็บไหม ... รู้จัก รู้จักสบายไหม .. รู้จัก แต่เราไม่ไปอยู่ในความสบายและความไม่สบายนั้น อยู่แต่ในความสงบ
คือ หมายความว่า ท่านไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ท่านรู้ว่ามันสุข มันทุกข์อยู่เหมือนกัน แต่ท่านไม่ไปแบกมันไว้ เวทนานั้นมันก็ไม่เกิด..ฯ’
...
• ธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร [หลวงปู่ชา สุภทฺโท]
วัดหนองป่าพง จ. อุบลราชธานี
ในโลกนี้ไม่มีอะไรมาทำโทษเรา
นอกจากเราทำโทษเราเอง
ไม่มีอะไรนำความสุขมาให้เรา
ไม่มีอะไรนำความทุกข์มาให้เรา
นอกจากจิตของเราเห็นผิดเห็นถูกเอง
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"อัตตโน โจทยัตตานัง”
จงเตือนตนด้วยตนเอง
หลวงปู่ชา สุภทฺโท
" ให้เห็นว่า...
มัน...ไม่เที่ยง
(มัน)...ไม่แน่ เท่านี้แหละ
ถ้าเรา...เห็นชัดเจนอย่างนี้แล้ว
จิตใจเราก็...
...ปล่อยวาง."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
-การทำบุญคือการชำระชะล้างกิเลสในจิตใจ หลวงพ่อท่านถึงบอกว่า #การทำบุญคือการละบาป
-----กรณีที่บางแห่งแปลว่า บุญ คืิอความสุข เป็นการแปลที่ไม่ถูกต้อง ความสุขที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความหมายของบุญ เพราะไม่้เช่นนั้น ทำอะไรก็ตามทีีได้รับความสุขไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือชั่ว ควรหรือไม่ควรมันก็หมายความว่าเราได้บุญทั้งหมดน่ะสิ แต่ความสุขที่เกิดขึ้นจากการที่เราทำบุญ มันคือผลพลอยได้ กล่าวคือ เมื่อเราได้ชำระกิเลสในจิตใจ ผลที่ได้ก็คือความสุขใจนั่นเอง เมื่ิอกิเลสไม่มีมันก็ไม่มีทุกข์
----การทำอะไรก็ตามในทางพระพุทธศาสนา แล้วหวังหาความสุข นั่นไม่ใช่สาระสำคัญของหลักคำสอน เพราะไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุข พระพุทธองค์ก็ทรงให้ละทั้งหมด เมื่อไหร่ที่ยังมัวเมามุ่งหาแต่ความสุข จมปลักอยู่กับความทุกข์เมื่อนั่นก็ยังไม่ถึงฝั่งคือนิพพานฯ
Trader Hunter พบธรรม
"ผู้รู้ก็เกิดดับ สิ่งที่ถูกรู้ก็เกิดดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
.
ยิ่งเห็นบ่อยๆ ยิ่งแจ้งแก่ใจ มันไร้สาระไปหมด
.
มัวแต่ไปตามดูสิ่งเกิดดับ ใช้ชีวิตกับการเกิดดับ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย สุดท้ายสูญหมด
.
เห็นภายในใจ จึงแจ้งภายนอก
.
ดูกาย ดูจิตใจ ดูไปดูมา เห็นแต่สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกดู เกิดดับ อะไรก็เกิดดับ จะเรื่องราวสําคัญใหญ่โตเพียงใดในชีวิตก็เกิดมาเพื่อดับ สุดท้ายหมดประโยชน์ที่จะไปดู เพราะปลายทางยังไงก็ดับ ปัญญาใครแจ้งไวเห็นชัด ก็หมดเหตุที่จะตามไปดู ไปยุ่งเกี่ยว หมดค่าที่จะไปยึดถือ
.
ข้างในจิตใจมันว่าง ผลจากปัญญาที่เห็น หมดการเข้าไปยึดถือ สภาวะโล่งว่าง บังเกิดขึ้นชั่วขณะ เหมือนเพียงแว๊บเดียว แต่เห็นรายละเอียดมากมาย แล้วภายนอกเรื่องราวต่างๆในชีวิต ภายในดับ ภายนอกยิ่งดับ ยิ่งไร้สาระกว่าภายในจิตใจ เห็นภายนอกเป็นคลื่นเป็นกระแสพลังงานกระแสแห่งใจ หมดความยึดถือในรูป เห็นรูปแต่เห็นเป็นกระแสจิตใจ ที่หลงถูกเรื่องราวต่างๆ ที่จิตใจเราสร้างขึ้นมาเอง หลอกล่อให้ผูกพันพัวพัน เข้าไปอยู่ในเรื่องราวต่างๆ ซับซ้อนทับถมกันมากมายจนไล่หาต้นหาปลายไม่เจอ แค่เรื่องราวเดียวยังไล่ไปไม่สิ้นสุด ยิ่งหลายเรื่องราวมาพันผูกกันเป็นสังสารวัฎ จึงยิ่งยากที่จะบอกถึงความผูกพัน ถูกผิด ยุติธรรมหรืออยุติธรรม ตัดสินกันแทบไม่ได้เลย สุดท้ายดูเพลินไปก็รู้ ว่าจะไหลเข้าไปกลายเป็นตัวละครในเรื่องไม่จบไม่สิ้น
.
ละครชีวิตภายนอกก็เหมือนสภาวะภายในจิตใจ ตามดูไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งกลายเป็นโทษหากลงไปเล่นจนเกินบทบาท สุดท้ายก็ดับ ดังที่ไปตามดูจิต หมดประโยชน์ที่จะไปตามดูจิต ไปตามดูสิ่งที่มันดับสูญ เพราะสุดท้ายก็ดับเหมือนกัน ก็แจ้งแก่ใจว่าเรื่องราวภายนอก จะสําคัญเพียงใด สุดท้ายล้วนจบสิ้นสุดเหมือนกัน ไม่แตกต่างเลย
.
ไร้เรื่องราวภายใน ก็ไร้เรื่องราวภายนอก
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แจ้งแก่ใจตน แก่รอบขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงอย่างไร ชีวิตก็ยังต้องเลือก ถ้าเลือกย่อมเอาดี ดีกว่าเลว
สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้อยู่
ตัวรู้ก็คือตัวพุทโธ ตัวพระพุทธเจ้านั่นแหละ
พอมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่ ปัญญาก็วิ่งตามมาเท่านั้น
รู้เรื่องต่างๆ ตาเห็นรูป สิ่งนี้ควรไหม ไม่ควรไหม
หูฟังเสียง สิ่งนี้ควรไหม ไม่ควรไหม
มันเป็นโทษไหม มันผิดไหม มันถูกต้องเป็นธรรมะไหม สารพัดอย่าง
ดังนั้น ผู้มีปัญญาแล้วจึงได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา
แม้มองเห็นต้นไม้ ก็เป็นธรรมะ
มองเห็นสิ่งต่างๆ ก็เป็นธรรมะหมดทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักธรรมะ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญทางจิต ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอยู่ที่รู้จิต
ใจจะสงบได้ ก็ด้วยความเห็นที่ถูก
อะไรจะทำให้เราเสียหายไปไม่ได้ นอกจากจิตที่คิดผิดของเรา
การเฝ้าดูจิต นี่แหละคือ การปฏิบัติของเรา
ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัว
และความสงบสันติ
จิตของคนตามธรรมชาตินั้น ไม่มีความดีใจ เสียใจ
ที่มีความดีใจ เสียใจนั้น ไม่ใช่จิต
ธรรมชาติของจิตย่อมปล่อยวางทุกสิ่งเองอยู่แล้ว
โดยตัวของมันเองและไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด จงมองให้เห็น“ความรู้” ทุกชนิด เป็นเพียงสุสานของความคิด
อารมณ์นี้ ธรรมะนี้ มันเกิดที่จิต อารมณ์นี้แหละ เป็นครูสอนเรา ไม่หลงอารมณ์เพราะรู้อารมณ์ ดูจิตก็เห็นอารมณ์ เมื่อรู้จักผิด รู้จักถูกแล้ว ก็พยายามละมัน
การทำความเข้าใจให้รู้ชัดว่าทุกสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย นี่คือ ความรู้ตามความเป็นจริง
หลวงพ่อชา สุภัทโท