การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
“ธรรมทานนั้นมีผลมากกว่าทานอื่นจริงๆ วัตถุทาน ก็ช่วยกันแต่เรื่องมีชีวิตอยู่รอด, อภัยทาน ก็เป็นเรื่องมีชีวิตอยู่รอด แต่มันยังไม่ดับทุกข์ มีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์น่ะ! มันดีอะไร, ให้เขามีชีวิตอยู่ แต่เขาได้รับทุกข์ทรมานอยู่ นี้มันดีอะไร?
.
เมื่อรอดชีวิตอยู่ แล้วมันจะต้องไม่มีความทุกข์ด้วย จึงจะนับว่าดีมีประโยชน์ ข้อนี้สำคัญกว่าด้วยธรรมทาน มีความรู้ธรรมะแล้วรู้จักทำให้ไม่มีความทุกข์ รู้จักป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ รู้จักหยุดความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่ ธรรมทานจึงมีผลกว่าในลักษณะอย่างนี้ มันช่วยให้ชีวิตไม่เป็นหมัน
.
วัตถุทาน และ อภัยทาน ช่วยให้เรารอดชีวิตอยู่ บางทีก็อยู่เฉยๆ มันสักว่ารอดชีวิตอยู่เฉยๆ แต่ถ้ามีธรรมทานเข้ามาก็จะสามารถช่วยให้มีผลถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะฉะนั้น ขอให้สนใจในเรื่องธรรมทาน
.
ทีนี้ ให้ธรรมทานมีจิตใจอยู่เหนือกิเลส ไม่ประกอบไปด้วยกิเลส มันก็ไม่มีปัญหา มันก็เสวยความสุขชนิดที่ไม่เกี่ยวกับกิเลส ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าเป็นของเหนือกว่า เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนพยายามให้ธรรมทาน คือทำให้บุคคลอื่นมีธรรมะแล้วก็จะได้ผลชนิดที่ละเอียด ลึกซึ้ง ประณีต ประเสริฐ ยิ่งกว่าให้วัตถุทาน.
.
ให้วัตถุทาน ชื่อว่าให้กำลังแรงกาย ส่งผลให้ร่ำรวย เป็นสุขในสวรรค์
ให้อภัยทาน ชื่อว่าให้ความไม่มีเวร ส่งผลให้ชีวิตสงบ เป็นสุขในสวรรค์
ให้ธรรมทาน ชื่อว่าให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ส่งผลให้มีสติปัญญาเห็นแจ้งในมรรค ผล เข้าถึงสุขสูงสุดในนิพพาน”
พุทธทาสภิกขุ
---------------------------------
“สร้างโรงเรียน
โรงพยาบาล สร้างวัด
ก็ยังไม่ใช่กุศลอันสูงสุด
ถ้าไม่ได้ทำให้ใครฉลาดขึ้น
เกี่ยวกับ "ความดับทุกข์"
การกระทำใดๆ
ที่ทำให้เกิดความสว่างไสว
“ในทางธรรมะ”แก่เพื่อนมนุษย์
นั่นแหละ! “กุศลอันสูงสุด”
พุทธทาสภิกขุ
----------------------------------
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
พุทธศาสนสุภาษิต
-------------------------
"การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง"
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสพระคาถานี้แก่ ท้าวสักกะจอมเทพ และเหล่าเทวดา
สักกเทวราชวัตถุ
พระไตรปิฎกภาษาไทย ( มจร. )
ขุ. ธ. ๒๕/๓๖๔/๑๔๔
มีเรื่องมาว่า คราวหนึ่ง เทวดาทั้งหลายในดาวดึงส์เทวโลก ประชุมการตั้งปัญหาขึ้น ๔ ข้อว่า บรรดาทาน ทานอะไรหนอประเสริฐ บรรดารส รสอะไรประเสริฐ บรรดาความยินดี ความยินดีอะไรประเสริฐ เหตุใดความสิ้นตัณหาจึงเรียกว่า ประเสริฐ ดังนี้ ฯ ไม่มีเทวดาสักองค์นึงอาจตัดสินปัญหาเหล่านั้นได้ ฯ เทวดาทั้งหลายถามกันอย่างนี้ คือ เทวดาองค์หนึ่งถามเทวดาองค์หนึ่ง ถึงเทวดาองค์นั้น ก็ถามองค์อื่นต่อไป ดังนี้ แล้วพาเที่ยวกันไปในหมื่นจักรวาลตลอด ๑๒ ปี ฯ เทวดาในหมื่นจักรวาล ไม่เห็นความหมายแห่งปัญหาทั้งหลาย ตลอดเวลาถึงเพียงนั้น จึงพากันไปหาท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถามว่าเหตุใดจึงมีการประชุมเทวดาใหญ่ ก็ตอบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งปัญหาขึ้น ๔ ข้อ เมื่อไม่อาจตัดสินได้จึงได้มาหาท่านทั้งหลาย ฯ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงถามว่า ปัญหาว่าอย่างไร ก็แจ้งให้ทราบว่า พวกข้าพเจ้าไม่อาจตัดสินปัญหาเหล่านี้ว่า บรรดาทานและรส และความยินดี ทานรสและความยินดีชนิดไหนประเสริฐสุด เหตุไรความสิ้นตัณหาจึงประเสริฐสุด ดังนี้ จึงได้พากันมา ฯ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็ตอบว่า ถึงพวกเราก็ไม่รู้จักความหมายแห่งปัญหาเหล่านี้แต่พระราชาของพวกเรา คิดความหมายที่บุคคลตั้งพัน คิดแล้วก็รู้ได้ในขณะนั้นืพระราชาของพวกเหล่านั้นวิเศษกว่าพวกเราด้วยปัญญาและบุญทพวกเราพากันไปเฝ้าพระองค์เถิดแล้วพาหมู่เทพเจ้าเหล่านั้นไปเฝ้าท้าวสักกะเทวราช เมื่อท้าวสักกเทวราชตรัสถามว่า เหตุไรทจึงมีการประชุมเทวดาใหญ่ แล้วก็ทูลแจ้งเรื่องนั้น ฯ ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสว่า ปัญหาเหล่านี้ผู้อื่นไม่อาจรู้ความหมายได้ เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นวิสัยพระพุทธเจ้า แล้วก็ถามว่า ก็เวลานี้สมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ได้ทรงสดับว่า ที่พระเชตวัน ก็ตรัสว่า พวกเราพากันไปเฝ้าองค์พระศาสดาเถิด แล้วก็ทำให้พระเชตวันทั้งสิ้นสว่างไสวในเวลาราตรี เข้าไปเฝ้าองค์พระชินศรีศาสดาพร้อมกับหมู่เทพเจ้า ถวายบังคมแล้วก็ยืนอยู่ เมื่อองค์พระบรมครูศาสดาตรัสถามว่า มหาราช เหตุไรพระองค์จึงเสด็จมากับหมู่เทพเจ้าเป็นอันมาก ก็กราบทูลว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่เทพเจ้าได้ตั้งปัญหาเหล่านี้ขึ้น ผู้อื่นที่ชื่อว่า สามารถจะรู้จักความหมายแห่งปัญหาเหล่านี้ไม่มี ขอพระองค์จงทรงประกาศความหมาย แห่งปัญหาเหล่านี้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า ฯ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดีแล้วมหาราช เราได้ทำบารมี ๓๐ ให้เต็ม ได้บริจาคมหาทาน แล้วแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ก็เพื่อตัดความสงสัยของผู้เช่นพระองค์ ขอพระองค์จงทรงฟังปัญหาที่พระองค์ทูลถามเถิด คือ ธรรมทานประเสริฐกว่าทานทั้งปวง ธรรมสรประเสริฐกว่ารสทั้งปวง ความยินดีในธรรมประเสริฐกว่าความยินดีทั้งปวง ส่วนความสิ้นตัณหาชื่อว่าประเสริฐสุด โดยเหตุให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถาว่า สพฺพทานํง ธมฺมทานํ ชินาติ ธรรมทาน คือ การให้ธรรมชนะทานทั้งปวง สพฺพรติ ธมฺมรโส ชินาติ รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง สพฺพรติ ธมฺมรติ ชินาติ ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกขํ ชินาติ ความสิ้นตัณหาชนะทุกข์ทั้งปวง ดังนี้
ในค่ำเหล่านั้น คำว่า ทานทั้งปวง คือ ถ้าบุคคลถวายไตรจีวรอันเช่นกับใบตองกล้วยอ่อนแก่พระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพทั้งหลายผู้นั่งติดกันไปในห้องจักรวาล ตลอดถึงพรหมโลก วาจาอนุโมทนาที่กระทำด้วยคาถาเพียง ๔ บาท ในที่ประชุมนั้น ก็ยังประเสริฐกว่า ทานนั้นไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งคาถานั้น เป็นอันว่าการแสดงธรรม การบอกธรรม การฟังธรรม ย่อมเป็นของใหญ่อย่าง นี้บุคคลผู้ใดให้มีการฟังธรรม อานิสงส์ใหญ่ย่อมมีแก่บุคคลผู้นั้น ธรรมทานที่บุคคลให้เป็นไปแม้ด้วยอำนาจแห่งคำอนุโมทนาด้วยคาถา ๔ บาท เป็นอย่างต่ำ ก็ยังประเสริฐกว่าการทำบาตรให้เต็มด้วยบิณฑบาต แล้วถวายแก่ที่ประชุมเช่นนั้นบ้าง กว่าการถวายเภสัชที่บุคคลทำบาตรให้เต็มด้วยเนยใสและน้ำมันเป็นต้นแล้วถวายบ้าง กว่าการถวายเสนาสนะที่บุคคลสร้างวิหารเช่นกับมหาวิหาร สร้างปราสาท เช่นกับโลหปราสาทหลายแสนหลังแล้วถวายบ้าง กว่าการบริจาคที่คนทั้งหลายมีอนาถบิณฑิกะเป็นต้นกระทำเพราะปรารภวิหวรทั้งหลายบ้าง ฯ มีคำถามว่า เพราะอะไร มีคำแก้ว่า เพราะคนทั้งหลายจะทำบุญเห็นปานนั้นได้ ก็ทำได้เพราะได้ฟังธรรม ไม่ได้ฟังธรรมก็ทำไม่ได้ ถ้าบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ฟังธรรม เพียงข้าวต้มสักกระบวย ข้าวสวยสักทัพพีก็ให้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงชื่อว่าธรรมทานประเสริฐกว่าทานทั้งปวง ฯ อีกอย่างหนึ่ง ยกพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าเสียแล้ว ถึงบุคคลทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ที่ประกอบด้วยปัญญา สามารถนับเมล็ดฝนที่ตกลงมาตลอดกัลป์ได้ก็ยังไม่อาจสำเร็จมรรคผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้นโดยลำพังตนเองได้ ต่อเมื่อได้ฟังธรรมที่พระอัสสชิเถรเจ้าเป็นต้นแสดง จึงกระทำให้แจ้งโสดาปัตติผล กระทำให้แจ้งซึ่งสาวกบารมีญาณ ด้วยการแสดงธรรมขององค์พระศาสดาจารย์ด้วยเหตุแม้อันนี้ ธรรมทานก็ชื่อว่า ประเสริฐสุด ฯ เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ธรรมทานชนะทานทั้งปวง
ก็รสทั้งหลาย มีรสอันเกิดจากลำต้นเป็นต้นทั้งสิ้น มีรสอาหารทิพย์ของเทวดาเป็นอย่างสูง ก็เป็นปัจจัยแห่งการให้ตกอยู่ในสังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์เหล่านั้น ส่วนรสแห่งธรรม อันได้แก่โพธิปักขิยธรรม ๓๗ และโลกุตรธรรม ๙ ประเสริฐกว่ารสทั้งปวง ฯ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
ก็ความยินดีต่างๆ มีความยินดีในบุตร และธิดา ทรัพย์สมบัติ สตรี การฟ้องรำ ขับร้อง ดีดสี ตีเป่าเป็นต้น ล้วนแต่เป็นปัจจัยแห่งการให้ตกอยู่ในสังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์ทั้งนั้น ส่วนปิติอันเกิดในภายในของผู้แสดงธรรม หรือฟังธรรม หรือบอกธรรมย่อมนำความฟูขึ้นแห่งใจให้เกิดขึ้น ทำให้น้ำตาไหลทำให้ขนชูชัน ย่อมกระทำที่สุดแห่งสังสารวัฏ มีพระอรหันต์เป็นที่สุด ความยินดีในธรรมเห็นปานนี้ประเสริฐกว่าความยินดีทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง
ส่วนความสิ้นตัณหา คือ ความเป็นพระอรหันต์ อันเกิดในที่สุดแห่งความสิ้นตัณหา ชื่อว่า ดีกว่าสิ่งทั้งปวง โดยเหตุที่ครอบงำวัฏฏทุกข์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงตรัสไว้ว่า ความสิ้นตัณหาชนะทุกข์ทั้งปวง
เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดา ทรงแสดงความหมายแห่งคาถานี้อย่างนี้อยู่ การสำเร็จธรรมก็มีแก่บุคคล ๘ หมื่น ๔ พัน ฯ ฝ่ายท้าวสักกะ ได้ทรงฟังธรรมกถาขององค์พระศาสดาแล้ว ก็กราบทูลองค์พระศาสดาว่า เมื่อธรรมทานประเสริฐถึงเพียงนี้ เหตุไร พระองค์จึงไม่ให้พุทธบริษัทให้ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์จำเดิมแต่นี้ไป ขอพระองค์จงตรัสบอกภิกษุสงฆ์ ให้ๆส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์ พระเจ้าข้า ฯ องค์พระศาสดาได้ทรงสดับถ้อยคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว จึงโปรดให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เริ่มแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเธอให้มีการฟังธรรมใหญ่ หรือการฟังธรรมตามปกติ หรือการประชุมสนทนากัน โดยที่สุดแสดงอนุโมทนาแล้ว ก็ควรให้ส่วนบุญแก่สัตว์ทั้งปวงเหล่านี้ ฯ จบเรื่องท้าวสักกเทวราชเพียงเท่านี้
ในเรื่องท้าวสักกเทวราชนี้ เป็นเรื่องชี้ให้เห็นว่า การให้ธรรมเป็นทาน ซึ่งได้แก่การแสดงธรรม การบอกธรรม การฟังธรรม การให้มีการฟังธรรม คือ การนิมนต์พระมาแสดงธรรมนั้น เรียกว่าการให้ธรรมเป็นทาน อันดีกว่าทานทั้งปวง และรสแห่งธรรมก็ดีกว่ารสทั้งปวง ความยินดีในธรรม ก็ดีกว่าความยินดีทั้งปวง ความสิ้นตัณหาเป็นการสิ้นทุกข์ทั้งปวง ดังนี้ สิ้นเนื้อความในเทศนากันฑ์นี้เพียงเท่านี้.
เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ ฯ
_______________________________
พระสุตตันตปิฎก คัมภีร์ที่ ๕ ขุททกนิกาย พระธรรมบทเล่ม ๕ หน้า ๑๖๗ - ๑๗๑
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน
เรื่องท้าวสักกเทวราช
ต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวท้าวสักกเทวราชว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวนาราม ทรงปรารภท้าวสักกเทวราช ให้เป็นต้นเหตุจึงตรัสพระธรรมเทศนาอันนี้ไว้ว่า สพฺพทานํ ดังนี้