🍁ถ้าปฏิบัติตรงต่อธรรม
จะเป็นไป เพื่อละ เพื่อสละ เพื่อวาง
ตัวนี้เป็นตัวชี้วัด
ความโลภลดลง ความโกรธลดลง
ความหลงความเพลินในโลกลดลง
ถ้าปฏิบัติแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ลดลง
ตรงกันข้ามกลับเพิ่มขึ้น
ก็ต้องพิจารณาตนเองว่า
เราปฏิบัติได้ตรงต่อธรรมหรือเปล่า?
การปฏิบัติที่ถูกต้อง
ใจนิ่งขึ้น เย็นขึ้น เบิกบานขึ้น เป็นตัวชี้วัด
.
.
🍃ถ้าปฏิบัติไปแล้วตัวตนมันเยอะ ไม่ฟังใคร
ทิฐิเยอะ มานะเยอะ ความถือตัวถือตนมาก
อย่างนี้มันยังไม่ตรงต่อธรรม
เป็นไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่นมาก
อย่างนี้มันไม่ตรงต่อธรรม
.
.
🌹ถ้าปฏิบัติตรงต่อธรรมต่อการปล่อยการวาง
ทิฐิก็ลดลง มานะความถือตัวถือตนก็ลดลง
อัตตาตัวตนก็ลดลง
จะเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ
ไม่ถือตัวถือตน เป็นคนธรรมชาติ
ปฏิบัติแล้วเป็นคนธรรมดา
.
.
🌿ถ้าคนปฏิบัติตรงต่อธรรมของพระพุทธองค์
จะเป็นไป เพื่อละ เพื่อสละ เพื่อวาง
จะกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เป็นคนธรรมดา
ปฏิบัติไม่ได้ให้เป็นคนเหนือธรรมดา
..........................
🙏พระมหาวรพรต กิตติวโร
♥️ความรู้สึกตัวมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
แล้วทำไมความรู้สึกตัวหายไป
ใครขโมยไป? เพราะว่าอะไร ?
เพราะว่าเราเพลินอยู่กับความคิด
พอเราหลงอยู่กับความคิด
เพลินอยู่กับความคิด
ความรู้สึกตัวจึงหายไป !!
ความคิดนี่แหละที่ก่อให้เกิดความเร่าร้อนต่างๆ
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
♥ความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร
ความรู้สึกตัวนั้นมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
แต่เพราะว่าใจของเรา
เพลิดเพลินไปในอารมณ์ต่าง ๆ
เพลินไปกับความคิดปรุงแต่ง
ความรู้สึกตัวจึงหายไป
การปฏิบัติธรรมคือ
การให้เรากลับมาใหม่ ระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
♥โยมลองขยับมือดู เอามือลูบตัว
มันก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมา แค่รู้สึกรู้สึก
ลองทำดูนะ เอามือลูบตัว
แค่รู้สึกๆ รู้สึกแบบสบาย ๆ
เมื่อเราทำไปเรื่อย ๆ จะพบว่า
ขณะที่เรารู้สึกตัวอยู่ เราจะหลุดจากความคิด
หลุดจากความคิดปรุงแต่ง มันจะรู้สึกตัวอยู่
♥สะบัดมือก็มีความรู้สึกตัวอยู่ แค่รู้สึกๆ
เดี๋ยวมันก็เผลอไป ก็กลับมารู้สึกตัวใหม่
ใครไม่มีความรู้สึกบ้าง ด้านชา มันมีความรู้สึกอยู่
แล้วขณะที่เรารู้สึกอยู่
มันจะหลุดจากความคิดปรุงแต่ง
บีบมือ รู้สึกไหม รู้สึกตัว แค่รู้สึก ๆ
ไม่ต้องไปพากย์ว่ามันคืออะไร
แค่รู้สึก ขยับมือรู้สึก รู้กายที่เคลื่อนไหว รู้สึกตัวอยู่
ลองทำไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะเริ่มพบว่า
เราจะเริ่มรู้สึกตัวได้ดีขึ้น
เดี๋ยวมันเผลอไปก็กลับมารู้สึกตัวใหม่
♥สะบัดมือรู้สึกตัวไหม แรงหน่อยจะได้กลับมารู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวมันมีอยู่แล้วทั้งตัว
นั่งอยู่รู้สึกไหม ความรู้สึกที่สัมผัส ที่ก้นกระทบ
ความรู้สึกสบายไม่สบาย
ถ้าเรามีสติมันก็จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา
แล้วถ้าเรารู้สึกตัวมันจะหลุดจากความคิดปรุงแต่ง
แต่ถ้าเราเผลอไปกับความคิดปรุงแต่ง
ความรู้สึกตัวก็จะหายไป
.........................
🙏พระมหาวรพรต กิตติวโร
♥️เมื่อดำรงอยู่กับสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ก็จะพบว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเรา เป็นของเรา
เป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
การยึดมั่นว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
♥เป็นเรื่องของความหลง หลงรู้ หลงดู
หลงปรุง หลงแต่ง หลงติดอยู่วัฏสงสาร
ก็จะต้องเกิดตัวตน เกิดภพ เกิดชาติ
เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอยู่ร่ำไป
#การเจริญสติปัฏฐาน4 เป็นทางสายเดียว
ที่จะหลุดออกจากวังวนเหล่านี้ได้
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
.........................................
เมื่อเราเจริญสติ จนมีความละเอียดขึ้น
เราจะพบเลยว่า ความสุขเป็นอย่างไร ?
#ความสุขของชีวิต เป็นอย่างไร ?
.
เมื่อเข้าถึงความสุขจากภายใน
ใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ของข้างนอกเป็นสมมติชั่วคราว
.
ทุกคนเกิดมาก็ปรารถนาที่จะพบความสุขทั้งนั้น
ตั้งแต่เราเกิดมาต้องแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่าง
ศึกษาเล่าเรียน ทำมาหากิน มีครอบครัว
สะสมสิ่งต่างๆในโลก เพลินอยู่กับสิ่งต่างๆในโลก
ก็เพราะเราหวังว่าจะทำให้ชีวิตของเรามีความสุขได้
.
แต่เมื่อเรามาเจริญ #สติปัฏฐาน4
เข้าถึงความสุขเบาสบายที่แท้จริง
เราจะพบว่าที่จริงแล้ว
ความสุขไม่ต้องไปแสวงหาจากภายนอกที่ไหน
อยู่ภายในใจของเรานี่เอง
.
มีเงินมีทองเท่าไร
ก็ไม่สามารถพบกับความสุขระดับนี้ได้
แต่สามารถพบได้จากการเจริญสติปัฏฐาน
.
จะยืน จะเดิน จะนั่ง
จะนอน จะทำอะไร ก็เบาสบาย
.
มีเงินเราก็เบาสบาย มีความสุข
ไม่มีเงินเราก็มีความสุข
ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกบำรุงบำเรอ
ก็มีความสุขได้
.
อยู่บ้านหลังใหญ่
อยู่บ้านหลังเล็ก
อยู่ป่าอยู่โคนไม้
ก็มีความสุข เมื่อสติพัฒนาขึ้นมา
จนเข้าถึงความสุขเบาสบาย
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
♥️เพียงแค่เราผ่อนคลายสบายๆ
รู้กายทั้งกายไปเรื่อยๆ
สติมีความนิ่งขึ้น มั่นคงขึ้น
กายสังขารก็จะระงับลงไป
.
สติวางจากฐานของกาย
เข้าสู่ ฐานของเวทนา
จาก #สัมมาสติ เข้าสู่ #สัมมาสมาธิ
.
สภาวะก็จะเกิดอาการของ #ปีติ
เข้าสู่การที่เรียกว่ารู้ปีติ
เป็นสภาวะเดียวกับ #ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
#ฌานที่1 เริ่มจากตรงนี้
พระองค์สอนให้รู้ปีติ ก็คือรู้ทั้งตัว
.
บางที่จะเกิดอาการ ขนลุกทั้งตัวบ้าง
อาการคันยุบยิบ ยุบยับเหมือนมดไต่ทั้งตัวบ้าง
ตัวโยกโคลงไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง
ตัวโยกโคลงไปทางซ้าย ขวาบ้าง หมุนควงบ้าง
.
เกิดอาการโยกโคลงแต่ข้างในรู้สึกนิ่งดีขึ้น
บางทีก็เกิดอาการเหมือนตัวลอยขึ้นไปบ้าง
บางทีก็เกิดการขยายตัวออกไปบ้าง ตัวใหญ่บ้าง
บางทีก็หดเป็นตัวเล็กข้างในบ้าง
บางทีก็เกิดเหมือนตัวเบาบ้าง เหมือนตัวหนักบ้าง
บางทีก็เกิดอาการชาๆตามตัว ซ่านๆหนึบๆหยุ่นๆ
คล้ายสนามพลังแผ่ออกซ่านออกทั้งตัวบ้าง
.
ใหม่ๆบางทีเกิดไม่ทั่วตัว เกิดเป็นส่วนๆบ้าง
ปฏิบัติไปก็จะเกิดความรู้สึกทั่วทั้งตัวขึ้นมา
เป็นสภาวธรรมของการปฏิบัติ
สภาวะตรงนี้จะชัดที่ความรู้สึกของร่างกายทั้งตัว
.
ตัวซ่านๆนี่เป็นผรนาปีติ เป็นปีติตัวสุดท้าย
ผรณาปิติจะเกิดเมื่อเข้าถึง #ฌานที่2
.
เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี่
เป็นสภาวะระดับสมาธิโดยธรรมชาติ
เป็นสภาวะของฌานที่1 ฌานที่2 จะรู้สึกทั้งตัว
.
ถ้าเราสามารถทำความรู้สึกทั้งตัวได้ และแช่อยู่ได้
เราจะเข้าถึงสภาวะชั้นสมาธิได้โดยตรง
เป็นสัมมาสมาธิด้วย ที่เรียกว่า ความตั้งมั่นถูกต้อง
สติสัมปชัญญะจะพัฒนาได้เต็มฐาน
.
ตรงนี้ลมหายใจจะกลายเป็นพี่เลี้ยง
แต่ความรู้สึกตัวจะเด่นชัดขึ้นมา
ให้อยู่กับความรู้สึกตัวเป็นหลัก
ลมหายใจก็ถูกรู้เบาๆ จะเบาลงเรื่อยๆ
รูปร่างกายก็จะหายไป
สติจะเข้ามาสู่ฐานของความรู้สึก
.
ฐานของความรู้สึกเป็นฐานที่ใหญ่มากในการปฏิบัติ
ถ้าเราเข้าถึงสภาวะนี้ได้โดยตรง
การปฏิบัติของเราจะพัฒนาได้เร็วมาก
เรียกว่าตรงทาง
เรียกว่าความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
.
#สติปัฏฐาน4 พระองค์ทรงสอนไว้ว่า
มีความเพียร มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มีสติ ละความพอใจ ไม่พอใจในโลก
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
สติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม
เป็นสมาธิของพระพุทธศาสนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
.
.
ใน #ปฐมฌาน พระองค์ทรงตรัสว่า
มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูปนามขันธ์ 5 ในระดับปฐมฌานตรงนี้
จะเป็นขันธ์ที่ละเอียด ที่เรียกว่า กายในกาย
.
.
สติปัฏฐานที่พูดถึง
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ เป็นต้นไป
.
.
กายภายใน กับ กายภายนอก เป็นคนละกายกัน
ภูมิซ้อนภูมิ ภพซ้อนภพ เป็นคนละมิติกัน
ขันธ์หยาบภายนอกกับขันธ์ภายในเป็นคนละขันธ์กัน
เป็นเรื่องของนามกาย
เป็นสภาวะที่ละเอียดในชั้นสัมมาสมาธิ
.
.
ภายในสภาวะของปฐมฌาน
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณา
เป็นดุจโทษ ดูจหัวฝี
เป็นของน่ากลัว
เป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์
ทรงพิจารณาไป 11 อย่าง
.
.
จากนั้นก็ทรงตรัสว่า
จงน้อมจิตเข้าสู่ #อมตะธาตุ
นั่นสงบ นั่นระงับ นั่นปราณีต ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ตรงนี้แหละคืออย่างเดียวกันกับการเปลื้องจิต
หรือสิ่งที่เรียกว่าสภาวะรู้กับจิตแยกออกจากกัน
ในหลายๆพระสูตรพระองค์จะใช้คำว่า
น้อมจิตเข้าสู่อมตะธาตุ
.
.
♥️♥️วิธีทำตรงนี้ คือการแผ่ขยายการรับรู้ออกไปคลุมทั้งตัว
เรียกว่า ทำความรู้สึกทั้งตัวให้ถูกรู้
ขยายการรับรู้ออกไป
การรับรู้ตรงนี้จะเป็นเรื่องของสติตัวจริงหรือสภาวะรู้
ซึ่งสามารถขยายออกไปได้
.
.
เมื่อเราพัฒนาสติมีความมั่นคงในระดับสัมมาสมาธิ
ที่เรียกว่าสภาวะรู้เริ่มทรงตัว
แล้วแช่อยู่กับสภาวะนั้นไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
ทุกสิ่งทุกอย่างในข่ายของการรับรู้
จะเกิดการแยกธาตุแยกขันธ์ มิติใครมิติมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของใครของมัน
เกิดสภาวะที่เรียกว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง
.
.
เสียง สภาพแวดล้อม
อุณหภูมิ ความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น
จะเกิดการแยกออกไปเป็นของใครของมัน
มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน ทุกอย่างจะถูกรู้
ภายใต้ข่ายของการรับรู้ ข่ายของสติทั้งสิ้น
.
.
ก็จะเห็นจิตตามความเป็นจริงได้
สภาวะตรงนี้แหละที่พระสูตรหนึ่ง
พระองค์ทรงตรัสว่า
เมื่อรูปกระทบตา
เกิดจักษุวิญญาณ เกิดการเห็น
เกิดจักษุสัมผัส เกิดความรู้สึก
ไม่เกิดความพอใจ ไม่พอใจ
เรียกว่าสติตัดตรงนี้
สภาวะนี้เรียกว่า สักแต่ว่าเห็น
.
.
สิ่งเดียวเท่านั้นที่เห็นการทำงานตรงนี้ได้ทั้งหมด
คือ ข่ายการรับรู้ตรงนี้นี่แหละ
ที่เรียกว่าญาณทัสสนะหรือ #ปัญญาญาณ
.
.
ในระดับชั้นความรู้สึกตัว
ถ้าพลิกมาเห็นจิตได้
ก็ยังไม่สามารถเห็นจิตเกิดดับได้
เพราะสติยังมีความละเอียดไม่พอ
จะเห็นจิตเกิดดับได้
ต้องมีความละเอียดในระดับวาระจิต
.
.
เป็นการเข้าถึงสภาวะ #ญาณทัสสนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏตามความเป็นจริง
ผู้ปฏิบัติที่สามารถทรงอยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
แล้วขยายการรับรู้ออกไปคลุมได้
จะประจักษ์สภาวะนี้ได้ด้วยตนเอง
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
❤️ซ้อมตาย...ก่อนตาย
จะช่วยให้เราวางได้ดีขึ้น
ถ้าเราตายตอนนี้!!
ก็คือตาย ก็จบกัน
หมดห่วง หมดกังวล
ไม่อะไรกับอะไร
วางได้เลย
อะไรที่ห่วงหาอาวรณ์เยอะ
ทำยังไงให้ไม่ห่วง
นั่นแหละวิธีแก้
ทำให้เราพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ
เดินจิต
13 ตุลาคม เวลา 17:05 น. ·
❤️จิตของปุถุชนที่ยังไม่รับการฝึกฝน
ก็จะไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
เกิดความชอบ ความชัง ความทุกข์
ความกังวลความเร่าร้อน ทุกข์กาย ทุกข์ใจต่างๆ
เกิดตัวตน เกิดภพ เกิดชาติ ในทุกๆขณะจิต
❤️❤️(#สัมมาสติ/#สติ)
แต่เมื่อมารู้จักการเจริญสติ รู้สึกกาย รู้สึกใจ
ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อสภาวะรู้ เริ่มตื่นขึ้น
ในขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น
กระแสของจิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ ก็จะถูกตัดลงไป ถูกละลงไป
อุปาทาน ความยึดมั่น
ตัณหา ความยึดติด
ก็จะถูกละออกไป ณ ขณะนั้นๆ ที่สภาวะรู้ ตื่นขึ้นมา
ใหม่ๆ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา เดี๋ยวจิตมันก็ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
นึกคิดปรุงแต่ง เพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ต่างๆ
เมื่อผู้ปฏิบัติหมั่นเจริญสติระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น ตื่นได้บ่อยขึ้น ต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ
ณ ขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น จิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ ก็จะถูกละลงไป ธรรมชาติของจิตในชั้นของกามาวาจร
ก็จะเกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดทางตา เกิดการเห็น
เกิดทางหู เกิดการได้ยิน
เกิดทางจมูก เกิดการได้กลิ่น
เกิดทั้งลิ้น เกิดการลิ้มรส
เกิดทางกาย เกิดสัมผัสทางกายขึ้นมา
เกิดผัสสะ เกิดเวทนา
เกิดความชอบ ความชัง ความติดใจ ความไม่พอใจ
ในขณะที่มีสติ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา
กระแสของจิตเมื่อเกิดตามอายตนะต่างๆ ก็จะถูกละลงไป
ไม่เกิดความชอบ ไม่เกิดความชัง
เหลือแค่รู้ แค่รู้สึก ณ ขณะนั้นๆขึ้นมา
❤️❤️❤️(#สัมมาสมาธิ/#สมาธิ)
เมื่อผู้ปฏิบัติเพียรเจริญสติ ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น มีกำลังขึ้น เมื่อสภาวะรู้มีความตั้งมั่น
มีกำลังพอ จิตก็จะถูกละออกไป ไม่ส่งออกไปในอารมณ์ต่างๆ
เกิดที่อายตนะใจอย่างเดียว
ก็จะเข้าสู่สภาวะของชั้นสมาธิรูปาวาจร สติมั่นคง จิตตั้งมั่น
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกละลงไป
เหลือแค่เกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
ก็จะเกิดสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกทวนกระแสออกมาเรื่อยๆ
จากปกติที่จิตไหลไปกับอารมณ์
เกิดตัณหาอุปาทาน ตัณหาอุปาทานก็ถูกละออกไป
จากจิตที่เกิดตามอายตนะ
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
อายตนะทั้ง 5 ก็ถูกละลงไป เกิดที่ใจอย่างเดียว
ในสภาวะของสัมมาสมาธิ ชั้นรูปาวจร
เมื่อผู้ปฏิบัติพัฒนากำลังสติไปเรื่อยๆ
สภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
จิตซึ่งเกิดจากอวิชชา ซึ่งบดบังสภาวะรู้อยู่
ก็จะเริ่มเกิดการหลุดออก แยกออกจากกัน
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังพอ เมื่อจิตกับสภาวะรู้
ถูกแยกออกจากกัน
สิ่งที่บดบังสภาวะรู้อยู่ถูกละออกไป
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
รูปนามขันธ์ 5 ก็จะเกิดการแตกดับตามความเป็นจริง เห็นจิตเกิดดับตามความเป็นจริง
เข้าสู่วิปัสสนาญาณเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
❤️❤️❤️❤️❤️(#สัมมาวิมุตติ/ #วิชชา #วิมุตติ)
เมื่อเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เนื่องๆ
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัดจากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่
ปล่อยวางอารมณ์ภายนอก ปล่อยวางกาย ปล่อยวางใจ
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง สลัดคืน
ก็จะคืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์
เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
พบกับความสงบสุขที่แท้จริง
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความสงบระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
♥️ #สภาวะรู้ ซื่อ ๆ ใส ๆ
ไม่อะไรกับอะไรเลย ปราศจากการยึดติด
นั่นคือ เนื้อธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
.
เป็นสิ่ง ๆ หนึ่งที่บุคคลควรรู้แจ้ง
สิ่ง ๆ นั้นพบได้ในกายนี้แหละ
สิ่ง ๆ นั้นนอกเหนือ #กาย นอกเหนือ #จิต
นอกเหนือ #รูปนามขันธ์5
เป็นสภาวะที่พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
.
♥เมื่อเข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์ ก็จะพบว่า
กองทุกข์ไม่ก่อตัวขึ้น
#ราคะไม่เกิดขึ้น
#โทสะไม่เกิดขึ้น
#โมหะไม่เกิดขึ้น
ปราศจากความเป็นอัตตาตัวตน
เหลือแต่เพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
นั่นคือ สภาวะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
และทรงสอนให้สรรพสัตว์ได้พ้นจากทุกข์ตาม
.
♥การเจริญ #สติปัฏฐาน4
เป็นทางสายเดียวที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หมดจดได้
.
รู้ทั้งภายในและภายนอก
ภายใน นิ่ง ว่าง สงบ ไร้การปรุงแต่ง
ภายนอกสรรพสิ่งถูกรู้
เป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
#เดินจิต
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
♥️เราพัฒนา #สติ #ความตื่นรู้ #ความรู้สึกตัว
ไม่จำเป็นว่าเราต้องนั่งนิ่งๆเสมอไป
เราขยับตัวทําอะไรก็ทําความรู้สึกตัวได้
คู้เยียดเคลื่อนไหว เราก็ทําความรู้สึกตัวได้
รู้กายที่เคลื่อนไหว รู้ใจที่รับรู้
.
.
ในเบื้องต้นเราจะเลือกหลายข้อมาปรับใช้
หรือเลือกข้อใดข้อหนึ่งก็ได้
หัวใจมันก็คือการเจริญสติ
.
.
อุปกรณ์ก็ต่างๆกันไปได้
บางคนก็ถนัดบริกรรมพุทโธ
หรือว่ากําหนดพองหนอยุบหนอ
ถ้าเราคล่องตัวแบบไหนก็ใช้แบบนั้น
เป็นอุปกรณ์ในเบื้องต้น
แต่ถ้าละเอียดขึ้นไปแล้ว
คำบริกรรมจะหลุดหมดเลย
จะเหลือแต่ความรู้สึกล้วนๆ
.
.
เพราะฉะนั้นถ้าเราตรงกับความรู้สึกล้วนๆได้เลย
จะเข้าไปสู่สมาธิ สติชั้นละเอียดได้เลย
ที่เรียกว่า #ปรมัตถธรรม
.
.
จะแนะนําให้อยู่กับความรู้สึกตัวไปเลยตรงๆ
อย่างเช่น เราเจริญ #อานาปานสติ ก็ดี บริกรรมพุทโธก็ดี
อาจจะทํามาหลายเดือนหรือเป็นปี
สุดท้ายแล้ว ก็ส่งที่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี่แหละ
.
.
#สติปัฏฐาน 4 ทุกข้อ
ส่งเหมือนกันหมด
เข้าถึง #ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ที่เรียกว่า #สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
.
.
แต่สัมมาสมาธิหรือความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
ถ้าเรารู้วิธีนี่เราสามารถเข้าถึงสภาวะนั้นได้โดยตรง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจะย่นระยะเวลาลงไปมาก
เรียกว่าเข้าสู่สภาวธรรมโดยตรง
.
.
การกําหนดบริกรรมต่างๆจะเป็นของหยาบ
เป็นเบื้องต้น เป็นเปลือกนอก
ถ้าเราอยู่ที่ตัวสภาวะได้โดยตรงเลย
คือตัวความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
จะเป็นสมาธิชั้นละเอียดไปเลย
ทีเรียกว่า เข้าสู่สัมมาสมาธิได้โดยตรง
.
.
♥️♥️ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
วิธีเข้าถึงง่ายๆก็อย่างที่แนะนําไป
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
กลั้นลมหายใจสักเล็กน้อยพอสบายๆ ไม่อึดอัด
ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกสบายๆ
จะมีความนิ่งรู้อยู่ภายใน
.
.
แล้วจะเกิดการ #ดํารงสติมั่น เลย
ตรงนี้แหละ ที่หยุดรู้สึก
โดยที่ไม่มีการจดจ่อเพ่งเล็งที่จุดใดจุดหนึ่ง
นั้นแหละ คือ #สัมมาสติ คือ สัมมาสมาธิ
ถ้าทําได้ก็ทําไปเรื่อยๆ
หรือว่าลืมตาภายในนั่นแหละ อย่างเดียวกัน
ใครถนัดแบบไหนก็ทํา ไม่ต้องสับไปสับมา
เพราะว่าให้ผลเหมือนกัน
.
.
วิธีต่างๆในเบื้องต้นนี้เยอะ
แต่ต่อยอดเหมือนกันได้ทั้งนั้น
เหมือนแม่นํ้าหลายสาย
สุดท้ายก็รวมลงมหาสมุทรเหมือนกัน
สติปัฏฐานทุกข้อไม่ว่าจะด้านกาย ด้านเวทนา
ด้านจิต ด้านธรรมก็เช่นกัน
.
.
เพราะหัวใจคือสภาวะความตื่นรู้
โดยอาศัยฐานทั้งสี่เป็นเครื่องระลึกรู้
เป็นอุปกรณ์เท่านั้นเอง
เลือกเอาได้
ลมหายใจ
อิริยาบถใหญ่
อิริยาบถย่อย
สัมปชัญญะ
หรือบางคนอาจจะรู้จิตรู้ใจได้เลยก็ได้
.
.
ความสําคัญคือความตื่นรู้
โดยอาศัยความรู้สึกตัวเนี่ยเป็นบาทฐาน
.
.
เพราะฉะนั้้นในเบื้องต้นก็เลือกอิริยาบถนั่ง
พยายามขยายการรับรู้ทั่งตัวไว้
จะคลุมหมดแหละหมวดกาย ลมหายใจ
อิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย สัมปชัญญะ
แผ่การรับรู้ออกไปทังตัว
.
.
จากที่เราเคยจดจ่ออยู่ทีจุดใดจุดหนึ่ง
ก็ลองขยายทั้งตัวดู
นั่นคือสภาวะของสัมมาสมาธิ
เป็น #ฌานในพระพุทธศาสนา
.
.
♥️♥️♥️ฌานในพระพุทธศาสนากับนอกพระพุทธศาสนา
มีความต่างกัน
เรียกว่าสัมมาสมาธิความตั้งมั่นทีถูกต้อง
.
.
บางคนก็ใช้การแสกนความรู้สึกทัั่งตัว
ขยายการรับรู้ทั่วทั้งตัว
ไม่ต้องไปจดจ่อที่จุดใดจุดหนึ่ง
ขยายออกไปทั้งตัว รู้แบบ compound รู้กว้างๆ รู้ทั้งตัว
จะพัฒนา #สติสัมปชัญญะ ได้เต็มฐาน
.
.
ถ้าเราไปจดจ่อ สติจะหดตัว
จิตก็จะไปจดจ่ออยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง
.
.
แต่ถ้าเราทําให้มันกว้างๆทั้งตัวไว้
จิตจะเป็นกลางตั้งมั่น พอสติละเอียด
จะวางจากฐานกาย จากฐานเวทนา
เข้าสู่การรู้จิต รู้ใจได้โดยตรงเลย
.
.
ทําเหตุถูกต้อง ผลถูกต้อง
หัวใจคือฝึกเบื้องต้นให้ถูกต้อง
.
.
เจริญสัมมาสติรู้กายทั้งกาย ที่เรียกว่ารู้ตัว รู้ตัวทั้งตัว
ถ้าคนที่ทําละเอียดแล้วก็รู้ความรู้สึกตรงๆได้เลย
ที่เรียกว่าความรู้สึกตัว รู้สึกตัวทั่วพร้อม
จะเหลือแต่ความรู้สึกทั้งตัว
จะเป็นสมาธิที่ไวมาก
และเป็นสมาธิที่ประกอบด้วย #ปัญญาญาณ
ฝึกรู้ทั้งตัว รู้สึกตัวทั้งตัว
จะเป็นแค่สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้สึก
แค่รู้สึกๆทั่วพร้อมอยู่
.
.
เมื่อเราเจริญสติไปเรื่อยๆ
ระลึกรู้ รู้สึกตัว ทําไปเรื่อยๆสบายๆ
ความรู้สึกตัวก็จะต่อเนื่องขึ้นไปเรื่อยๆ
.
.
แต่เดี๋ยวจิตมันก็เผลอ ไหล หลงคิด หลงปรุง
เพลินไปกับอารมณ์ภายนอก
ก็หมั่นกลับมาระลึกรู้รู้สึกตัว
ทําอย่างนี้ไปเรือยๆ รู้สึกตัวๆ แค่กลับมารู้สึกตัว
แค่กลับมาอยู่กับตัวเอง อยู่กับความรู้สึกตัว
จะหลุดจากอารมณ์ จะหลุดจากความปรุงแต่ง
สติสัมปชัญญะก็จะละเอียดขึ้น มีความตั้งมั่นขึ้น
.
.
เมื่อสติมีความมั่นคง
จิตจากที่เคยไหลไปในอารมณ์ต่างๆ
กระแสจิตถูกตัดแล้วไม่ส่งออก
จะเกิดความตื่นรู้อยู่ภายใน
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
สภาวะตรงนี้แหละที่ เหลือแต่ความรู้สึกทั้งตัว
รู้สึกตัวทั่วถึงทั้งกายทั้งใจ รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
♥️♥️♥️ใครปฏิบัติแล้วมีประสบการณ์
ที่รู้สึก #โปร่งโล่ง มากๆ เบามากๆ
เราก็สุข โปร่งโล่งอยู่ดีๆ
แต่ทำไมบางทีเดี๋ยวก็มีความโกรธขึ้นมา
มีความหงุดหงิดขึ้นมา มีอารมณ์ต่างๆขึ้นมา
ทั้งๆที่เราก็โปร่งโล่งอยู่ดีๆแท้ๆ
ถ้ารู้กลไกจะพบว่าเป็นกระแสจิตของคนอื่นที่ส่งเข้ามา
#กระแสจิตของปุถุชน ก็จะส่งออกกระจัดกระจาย
ต่างคนต่างปรุง ต่างคนต่างคิด
เป็นกระแสที่จิตส่งออกตลอดเวลา
ทีนี้เมื่อเราฝึกดีแล้ว จิตของเราไม่ส่งออก
แต่เราจะเปิดรับเลย!!
รู้ ตื่น เบิกบาน เวลาเปิด เบิกบาน
โปร่งโล่ง ขยายออกไป
เราจะรู้สึกถึงเนื้อบรรยากาศที่เบา แผ่ออกไป
ยิ่งแผ่ออกไปกว้างเท่าไหร่
ก็ไปรับอารมณ์คนอื่นเท่านั้น
เหมือนเรดาร์
ถ้าสติละเอียดพอจะรู้สึกถึง
กระแสธรรมอารมณ์ที่ผุดขึ้นจากใต้ลิ้นปี่
ผุดขึ้น ผุดขึ้น เวลารับปุ๊บ ก็จะผุดเลย
แนะนำ คือ ปรับความละเอียดมาอยู่ที่ชั้นรู้สึกตัว
ก็จะไม่ไปเปิดรับอารมณ์คนอื่น จะอยู่แค่ตัวเอง !!
จะมีการ "รับรู้แบบที่มีจิตอยู่" กับ "ที่ไม่มีจิต"
ถ้ามีจิตอยู่ จิตจะไปรับอารมณ์ จิตจะเป็นตัวConnect
แต่สำหรับผู้ที่เข้าสู่สภาวะ #สุญญตา
แผ่ได้แต่ไม่มีการรับเลย
ทุกอย่าง สรรพสิ่งจะเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
ต่างกัน!!
เพราะฉะนั้นเวลาที่เปิดรับ
เราสามารถลดกระแสสภาวะตรงนี้
ให้อยู่แค่ภายในตัวเราได้
ก็จะกลับมาแค่ #จิตตั้งมั่น
ก็จะไม่ไปรับอารมณ์คนอื่น
อยู่ที่ชั้น #ความรู้สึกตัว
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
♥️ถ้าสติละเอียดพอจะเริ่มรู้สึกถึง
กระแสธรรมอารมณ์ที่ผุดขึ้นจากใต้ลิ้นปี่
กระแสพลังงานที่ผุดตรงนี้ นั่นแหละคือ
สิ่งที่ในอภิธรรมเรียกว่า
จริงๆกระแสที่ผุดขึ้นมาตรงนี้เป็น #ธรรมารมณ์
เวลากิเลสก่อตัวขึ้น จะเป็นคลื่นพลังงาน
มวลที่ก่อขึ้นมาจะผุดตรงนี้
#เกิดราคะ #โทสะ #โมหะ ดี ไม่ดี
อะไรก็ผุดจากตรงนี้
กระแสที่ผุดขึ้น ผุดขึ้น จะใสเป็นคลื่นพลังงาน
กระแสที่ผุดขึ้นมานี้เป็นธรรมารมณ์
เป็นจิตตสังขารที่ผุดขึ้น
ส่วน #จิต เกิดช่วงบน จะเกิดดับ ช่วงบน
ปกติฐานจิตจริงๆอยู่ช่วงบน
แต่บางคนก็อยู่ช่วงกลางอกได้
เพราะมันเคลื่อนขึ้นเคลื่อนลงได้
เพราะฉะนั้น
ธรรมารมณ์เป็นสิ่งหนึ่ง กับ จิตเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
กระบวนการจะเป็นอย่างนี้
เวลากิเลสก่อตัวขึ้นปุ๊บ เราไปดูปุ๊ป
จิตจะเกิดการส่งออกเข้าไปรับธรรมารมณ์
จากนั้นจิตที่ใสๆจะกลายเป็นจิตที่มีกิเลส
แล้วมีอัตตาตัวตนขึ้นมา
วิธีที่ถูกต้อง คือ ปล่อยวาง ไม่เข้าไป
"ผู้เข้าหาไม่หลุดพ้น ไม่เข้าไปหาจึงหลุดพ้น"
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
♥️เมื่ออยู่กับสภาวะรู้ที่มีความละเอียดสูงมากๆ
ก็จะรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า "#วิบากกรรม" ได้
เจตนาเป็นตัวกรรม
จิตเกิดขึ้นแล้วดับไป
กรรมเกิดขึ้นแล้วจบไป
แต่สิ่งที่คงอยู่คือ วิบากกรรม
จิตกุศลก็ตาม
จิตอกุศลก็ตาม
บางทีเกิดขึ้นครั้งเดียว
แต่ให้ผลสืบต่อยาวนานมาก
ตราบใดที่ยังมีรูปนามขันธ์ 5
ตราบใดที่ยังอยู่ในวัฏฏะ
วิบากกรรมก็จะให้ผลสืบต่อตลอดเวลา
ร่างกายนี้เป็นกรรมเก่า
เกิดขึ้นมาจากกรรมเก่าที่เราทำไว้
บางอย่างเราก็รู้ว่าไม่ดี แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้!!
เคยเป็นไหม? รู้สึกว่าแรงกรรมเยอะ
ทำไมเราต้องคอยไปทำสิ่งนี้ ทั้งที่ไม่อยากทำ
แต่ก็ต้องทำ เพราะแรงกรรมพาไป
แรงกรรมก็เกิดจากกรรมที่เราทำไว้
ในแต่ละภพแต่ละชาติ เป็นเหมือน DNA
เป็นพลังงานที่ละเอียดมาก ลอยอยู่ในมิติอวกาศ
รายล้อมตัวเราอยู่ หนีไม่พ้น
มีแต่เนื้อธรรมบริสุทธิ์เท่านั้น
ที่วิบากกรรมไม่ปรากฏ หลุดออกจากวังวนนี้ได้
ถ้าพัฒนาสติ สภาวะรู้ได้ละเอียดถึงขีดสุด
จะรู้กลไกการทำงานของสิ่งที่เรียกว่า "#กฎแห่งกรรม"
ทั้งกฎแห่งกรรมที่เป็นวงจรเฉพาะตัวเรา
และกฎแห่งกรรมที่เป็นวงจรหมู่ในระดับมหภาคได้
เราจะรู้เลยว่า ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นมาแบบบังเอิญ
หรือลอยๆ ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดขึ้น
เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรมต่างๆ
เกิดขึ้นมาทั้งที แทนที่เราจะใช้กรรมให้หมด
ตรงข้าม..ยิ่งสร้างกรรมสร้างวิบากขึ้นเรื่อยๆ พอกพูน
ก็ไม่สามารถที่จะหลุดออกจากวังวนนี้ได้
#สติปัฏฐาน4 พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าเป็นทางสายเดียว
ที่จะหลุดออกจากสิ่งเหล่านี้ได้
ที่จะสามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ หมดจด
ชำระบาปและอกุศลให้หมดสิ้นไปได้
นั่นคือเนื้อธรรมสุดท้ายที่บริสุทธิ์
วิบากกรรมเข้าไม่ถึง จิต รูปนาม ขันธ์ 5 ก็ไม่ปรากฏ
มีแต่อมตธรรมล้วนๆ เรียกว่า #นิพพานธาตุ
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
♥️เพียงแค่ผ่อนคลายสบายๆ
ก็จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา
เมื่อความรู้สึกตัวเกิดขึ้น
การที่จิตไหลไปกับความคิดปรุงแต่ง
ก็จะหลุดออกไป เรียกว่า
ละความเพลินในอารมณ์ ละนันทิ
เกิดความรู้สึกตัว นี่คือการปล่อยวางเบื้องต้น
ละนันทิก็ดี การสำรวมอินทรีย์ก็ดี
การปล่อยวางก็ดี ความรู้สึกตัวก็ดี
จริงๆแล้วคือสิ่งเดียวกัน
เรียกตามองค์ธรรม เป็นเรื่องของสมมุติภาษา
เพียงแค่รู้สึกตัว
การปล่อยวางก็เกิดขึ้น
ละความเพลินในอารมณ์ก็เกิดขึ้น
#สติ ก็เกิดขึ้น
#ศีล ก็เกิดขึ้น
#สมาธิ ก็เกิดขึ้น
#ปัญญา ก็เกิดขึ้น
#วิชชา ก็เกิดขึ้น
#วิมุตติ ก็เกิดขึ้น
ตายก่อนตายยิ่งฝึกก็ยิ่งจะมีประโยชน์มาก
ทำให้เราไม่ประมาทในชีวิต
ทำให้วางเป็น
เมื่อวางเป็นก็อยู่เย็นเป็นสุข
ทีนี้เราอยู่ที่ไหนเราก็มีชีวิตที่มีความสุข
เพราะเราวางเป็น
คนที่เขาวางเป็น
ไม่ใช่เขาไม่ทำอะไรเลย
อันนั้น ปล่อยปละละเลย
ไม่ใช่เขาทิ้งโลก
ไม่ใช่ว่าเขาทอดธุระ
เขาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ตามภาระหน้าที่ แต่วางที่ใจ !!
คนที่ใจวางได้กลับมีพลังที่จะต่อสู้กับชีวิตมากกว่าเดิม
เพราะทำด้วยความไม่ยึดติด
ไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกท้อ
ตราบใดที่ยังมีหน้าที่ มีร่างกายอยู่
ก็ทำไปตามสมควร
แต่ใจ จะเรียกว่า "ไร้ในท่ามกลาง"
คือไร้ตัวตนเลย จิตว่างจากตัวตน
ภายนอกจะวุ่นวายอย่างไรก็วุ่นไป
ข้างในไม่วุ่นด้วย จะเป็นแค่ #ตื่นรู้
ไม่อะไรกับอะไรเลย นั่นแหละ
สภาวะของการปฏิบัติธรรม
แล้วเราก็สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติแต่ทำโดยไม่ยึดติด ทำได้เป็นปกติ
ทำด้วยใจที่ปล่อยที่วาง
ในทางกลับกันคนที่เขาแบกไว้ วางไม่เป็น
ไม่ใช่ว่าเขาจะแก้ปัญหาได้
แต่ใจกลับทุกข์เข้าไปอีก
เพราะแบกทั้งหมด
อดีต อนาคต ปัจจุบัน
เดี๋ยวก็คิดก็วนไปเรื่อยไม่จบ
บางทีผ่านมาแล้วตั้งนานก็เก็บมาคิดอยู่นั่น
บางทีเรื่องยังไม่มาก็คิดกังวลไปก่อน
แบกทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ถ้าวางไม่เป็นอยู่ที่ไหนก็ทุกข์
ทุกข์เพราะการแบก ถ้าวางได้ก็หลุด
เพราะถ้าเราตายตอนนี้จริงๆ จะทำอะไรได้!!
มีแต่ต้องปล่อยไปเท่านั้น วางเท่านั้น
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
.........................................
💻ช่องทาง Social Media ของ เดินจิต DUENJIT
📘Facebook: facebook.com/duenjitpage
📗Line@ : http://line.me/ti/p/%40ejp1764v
📗Lineกลุ่ม: https://line.me/R/ti/g/xsMhFwbkv8
📙Instagram: instagram.com/duen_jit
🎬YouTube: www.youtube.com/c/DUENJIT
📚website: https://www.duenjit.com
♥️เมื่ออยู่กับ #ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
สติสัมปชัญญะก็จะละเอียดขึ้นโดยลำดับ
ก็จะเข้าสู่ #ฌานสมาบัติ
หรือ #สัมมาสมาธิ ที่ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อย ๆ
♥จากความรู้สึกทั้งตัว
เกิดความซาบซ่านเอิบอาบทั่วทั้งตัว
จนเกิดความสุขโปร่งโล่งเบาสบาย
อยู่กับความสุขเบาสบายทั่วทั้งตัวไปเรื่อย ๆ
สติสัมปชัญญะก็จะละเอียดขึ้นโดยลำดับ
♥เมื่อละเอียดขึ้น ความรู้สึกตัวก็จะจางคลายลงไป
แต่ความรู้สึกของจิตใจกับเด่นชัดขึ้นโดยลำดับ
ผู้ปฏิบัติที่พัฒนาสติมาถึงระดับนี้
ลมหายใจก็จะละเอียดมากจนหายไป
ถ้าอาศัยกำหนดบริกรรมต่าง ๆ ก็จะหลุดออกไปทั้งหมด
♥สติจะวางจากฐานของ #เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เข้าสู่ฐาน #จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
รู้จิต รู้การทำงานของจิต
ผู้ปฏิบัติที่พัฒนาสติมีความละเอียดระดับนี้
โปร่งโล่งเบาสบายมาก ๆ
กำลังของสติตรงนี้จะสูงมาก
จะมีความตื่นรู้ขึ้นมาก
สติจะมีความละเอียดในระดับของวาระจิต
สามารถเห็นจิตเกิดดับได้
♥สติกับจิต เกิดการแยกตัวออกจากกัน
ก็จะเริ่มเกิดสิ่งที่เรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง
จะเริ่มเห็นจิตเกิดดับตามความเป็นจริงได้
ถ้าเราไม่พัฒนาสติมีความละเอียดระดับนี้
จะไม่สามารถเห็นการทำงานตรงนี้ได้เลย
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
.........................................
❤️เมื่อสติมีกำลังพอเข้าสู่สภาวะ #รู้ตื่นเบิกบาน
เราจะรู้สึกว่าความที่มันนิ่งรู้อยู่ภายใน
จะเริ่มขยายการรับรู้ให้แผ่กว้างออกไป
เหมือนดอกไม้บาน
❤️คำว่าพุทธะ สภาวะเหมือนดอกบัว
จากอยู่โคลนตม
ขึ้นมาอยู่ใต้น้ำ
ขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำ
เป็นดอกบัวตูมขึ้นมา
นี่คือสภาวะตื่นรู้
และเมื่อเกิดการเติบโตเต็มที่
จะเกิดการเบิกบาน
สภาวะของสภาวะรู้ก็เช่นกัน
❤️เมื่อเกิดการเบิกบานนั่นคือวิธีการเข้าสู่ #วิปัสสนาญาณ
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏขึ้นตามความเป็นจริง
กายก็ถูกรู้ เกิดการ #แยกธาตุแยกขันธ์
แตกดับของใครของมัน
สติต้องค่อนข้างมีกำลังที่สูงขึ้นระดับหนึ่ง
ถึงจะเข้าสู่สภาวะของวิปัสสนาญาณได้
ดั่งที่พุทธองค์ทรงตรัสว่า
"การที่เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงโดยที่
#จิตตั้งมั่น เป็นฐานะที่มีได้
แต่การที่เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงโดยที่
จิตไม่ตั้งมั่นไม่ใช่ฐานะที่จะเกิดขึ้นได้เลย"
ต้องมีสติมั่นคง
จิตตั้งมั่นก่อน เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เกิดความตื่นรู้ก่อน
ถึงจะเข้าสู่ปัญญาญาณวิปัสสนาญาณได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอจงเจริญ #สัมมาสมาธิ เถิด
เมื่อจิตตั้งมั่นธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
นี่คือกระบวนการ วิวัฒนาการของสติ
เมื่อเกิดการเบิกบาน
ก็จะเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
กายก็ถูกรู้ ความรู้สึกนึกคิดก็ถูกรู้
แม้กระทั่งจิตใจก็ถูกรู้ ถูกเห็น แตกดับของใครของมัน
ก็จะเริ่มเข้าใจสภาวะธรรม
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่กระบวนการตรงนี้เป็นต้นไป
จนเข้าไปถึงสภาวะที่พ้นจากการปรุงแต่ง
พ้นจากการเกิดดับ ก็จะลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มต้นจากความรู้สึกตัว
กลับมารู้สึกกาย รู้สึกใจ
ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ
ที่เหลือเป็นผลของการปฏิบัติ
สติก็จะพัฒนาไปเองตามธรรมชาติ
เรียกว่าเดินตามมรรค
ก็จะเข้าสู่ทางที่หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้
🚩 พระมหาวรพรต กิตฺติวโร #เดินจิต
♥️สังเกตไหม..เวลาดูตรงไหน
จิต ก็จะไปรวมอยู่ที่ตรงนั้น
นั่นคือกระบวนการที่เรียกว่า #จิตส่งออก
เพียงแค่ เราวาง "#อาการดู"
จะเข้าถึง "#อาการรู้"
แล้วทุกอย่างจะเป็นสิ่งที่ถูกรู้
เกิดขึ้นแล้วก็ดับ
จะไม่มีการที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
"ผู้เข้าไปหาไม่หลุดพ้น
ไม่เข้าไปหาจึงหลุดพ้น"
อาการดูนี่แหละคือเหตุของวัฏสงสาร
เพียงแค่วางอาการดูเท่านั้นเอง หลุดหมดเลย
ยากง่ายก็ตรงนี้
ส่วนใหญ่ติดดู
ก็คืออาการเพ่ง
ดูกาย ดูจิต
พอเริ่มต้นด้วยดูก็เป็นกระบวนการจิตส่งออก
ลองดูง่ายๆ เราดูตรงไหน
จิตก็ไปที่ตรงนั้น
ลองดูที่เท้า ก็ไปอยู่ที่เท้า
ดูที่ปลายจมูก ก็อยู่ที่ปลายจมูก
ที่นี้ลองวางอาการดู
แล้วมารู้ทั้งตัว
อันไหนสบายกว่ากัน ?
เป็นปกติกว่ากัน ?
อาการดูหรืออาการรู้
เราจะพิสูจน์ได้
#พระพุทธเจ้า สอนคำเดียวคือ รู้
#อานาปานสติ ที่ถูกต้องคือ อาการรู้
เมื่อรู้ขึ้นมา
จะรู้สึกถึงการหายใจได้เอง
ไม่ว่าจะลมเข้าลมออก ลมยาวลมสั้น
ลมหยาบลมละเอียด มันจะรู้สึกได้เอง
แล้วเมื่ออาการรู้ทรงตัว
ลมหายใจก็จะถูกแยกออกไปกลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้
กายก็จะแยกออกไปกลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้
จิตก็จะแยกออกไปกลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้
จะเกิดการเห็นตามความเป็นจริง
แล้วทุกอย่างจะหลุดออกไป
จนเหลือแต่รู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นรูปพ้นนาม พ้นการเกิดดับทั้งปวง
เป็นแค่อาการรู้คำเดียว
ที่พระพุทธเจ้าสอนทั้งหมดเลย
จะว่าด้วยหมวดธรรมหมวดไหนก็ตาม
คือการเข้าถึงสภาวะรู้
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า #พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
🚩 พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
♥ฝึกแยกให้ออกระหว่างอาการดูกับอาการรู้
ถ้ารู้เป็นเมื่อไรนั่นแหละการปฏิบัติที่เรียกว่า
สามารถพ้นจากทุกข์ได้
อาการดูมันเป็นอาการของจิต
มันเหมือนไฟฉายนะ
ฉายไปตรงไหนมันก็ส่องแค่นั้น
มันก็เห็นแค่ตรงนั้นมันก็รู้แค่ตรงนั้น
นั่นคืออาการของจิต
♥แต่อาการของสติที่เป็นสภาวะรู้
มันเหมือนแสงเทียนมันเหมือนแสงไฟ
มันจะสว่างออกรอบตัว
ทุกสิ่งที่อยู่ในข่ายของมันจะถูกรู้ทั้งหมด
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจึงเกิดขึ้น
จิตมันรู้ได้ทีละอารมณ์ใช่ไหม
นั่นมันคือสภาวะของจิตเกิดดับรู้ได้ทีละอารมณ์
แต่สภาวะของสติไม่ใช่
#สภาวะของสติมันเหมือนเรดาร์(Radar)
#ทุกอย่างที่อยู่ในข่ายของสติจะถูกรู้ทั้งหมด
เกิดพร้อมกันก็รู้พร้อมกัน
สติที่พูดถึงนี่คือสติตัวจริงนะ
...........................
พระมหาวรพรต กิตติวโร
♥️เพียงแค่เรารู้สึกตัวอยู่เสมอ
ก็จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้
ผ่อนคลาย สบายๆ ปล่อยวางสิ่งต่างๆ เบา สบาย อยู่
เบากาย เบาใจ โปร่ง โล่ง เบา สบาย อยู่
ตื่นรู้
♥️นั่งเล่นๆ สบายๆ ผ่อนคลาย ไร้ความกังวล
มองออกไปกว้างๆ สบายๆ
รู้สึกถึงการหายใจ
หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย
รู้สึกถึงตาที่กระพริบอยู่
รู้สึกถึงการกระเพื่อมของหน้าอก หน้าท้อง
รู้สึกถึงก้นที่สัมผัสพื้น
รู้สึกถึงลมที่กระทบผิวกาย
รู้สึกถึงกายที่กำลังนั่งอยู่
✔️เมื่อสติมีกำลัง ตื่นตัว ตื่นใจ
จะรู้สึกขึ้นมาได้ทั้งตัว
ใจจะนิ่งตั้งมั่น อยู่ภายใน
✔️จากการระลึกที่ถูกต้อง (สัมมาสติ)
เข้าสู่ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ)
#เดินจิต #ตื่นรู้
♥️เมื่อสติละเอียดเบาสบาย
มีความนิ่ง ตั้งมั่นขึ้น
จะเห็นสิ่งที่เรียกว่า #จิตตสังขาร ได้
.
จะเป็นความคิดปรุงแต่งละเอียดภายในจิตใจ
ต่างจากความคิด ความฟุ้งซ่านของนิวรณ์
เป็นความคิดปรุงแต่งละเอียดข้างใน
บางทีไม่พูดกับใครก็พูดกับตัวเอง
.
ตัวจิตตสังขารเป็นตัวพูดมาก
จะพูดอยู่อย่างนั้นในใจ
เมื่อจิตใจสงบเราจะเจอประสบการณ์นี้
ตัวนี้แสบนะ พาเราหลงง่าย
.
ถ้าหยาบหน่อยจะปรุงออกมาเป็นเสียง
คือเสียงพูดในใจ
ถ้าละเอียดขึ้นมาอีกนิดจะปรุงเป็นภาพ
เป็นมโนภาพในใจ
ถ้าละเอียดกว่านั้นจะปรุงเป็น
วูบเดียวแห่งความเข้าใจ
.
นักปฏิบัติก็ชอบอินกับมันด้วย
มันปรุงออกมาได้หมดทั้งดี ทั้งชั่ว
จิตปรามาสพระ บางทีก็ตัวนี้ละตัวปรุง
บางทีแม่นด้วยนะ รู้นู่น รู้นี่หมด
นักปฏิบัติก็ติดใจหลงไปกับมัน
.
ตัวจิตตสังขารมีขีดความสามารถของมันอยู่
ตัวนี้ถ้าเราจัดการได้ เราจะใช้ประโยชน์กับมันได้
แต่ระหว่างนี้วางมันไว้ก่อน
ไม่อย่างนั้นมันจะหลอกใช้เรา ไม่ใช่เราใช้มัน
.
ถ้าเจอสภาวะพวกนี้ให้วางทั้งหมด
แม่น ไม่แม่น ก็วางทั้งหมด
ไปอินกับมันเมื่อไหร่ มันพาเราวนไปเรื่อย
เกิดเสียงพูดในใจ เกิดมโนภาพในใจให้วางทั้งหมด
.
จนกว่าเราจะมีขีดความสามารถ
ในการเช็ควาระจิตแล้วจะสอนต่อไป
.
จิตตสังขารตัวแสบของการปฏิบัติ
.
ถ้าเราพลิกเป็นญาณทัสสนะในสภาวะนี้
เราจะเห็นเลยว่าตัวพูดมันพูดออกมาเป็นดวงดวงเลย
แต่ถ้ายังพลิกไม่เป็นก็จะเหมือนเสียงพูดในใจเฉยๆ
.
วางไว้ก่อน ยังจัดการกับมันไม่เป็นก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ
อยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปเรื่อย ๆ
พัฒนาสติสัมปชัญญะของเราไป
มันจะพูดอะไรก็ปล่อยมันพูดไป
มันก็ปรุงของมันไป
มันก็ทำหน้าที่ของมันไป
ที่เรียกว่า จิตปรุงแต่งของมันไป
.
สติก็จะละเอียดขึ้น พอละเอียดถึงจุดหนึ่ง
จิตไม่สามารถปรุงออกมาเป็นเสียงพูดในใจได้
จึงเรียกว่า #จิตตสังขารระงับ
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
♥️สังเกตว่าการอยู่กับฐานเวทนาความรู้สึกตัวนี้
สบายกว่าอยู่กับฐานกาย
ฐานกายการรับรู้ระบบการทำงานต่างๆบางที
ก็จะเกิดการรบกวน รู้สึกเหนื่อย
แต่ถ้าอยู่กับฐานเวทนา ใจมีความนิ่งตั้งมั่น
และเป็นพื้นฐานการเดินจิตเข้าสู่สภาวธรรมที่สูงกว่า
อาศัยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นบาทฐาน
เป็นฐานที่เราควรจะฝึกจนชำนิชำนาญ
เป็นฐานที่เหมาะกับการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้
ทั้งในภาคของ #สมถะ ฌานสมาบัติ
จนหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้
🚩พระมหาวรพรต กิตฺติวโร