พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 26 เมษายน 2561
ตอนที่ 323 **พระอรหันต์ละตัวตน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ สวนธรรมิกราช
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกมีคำถามที่ปรารถนาจะถามถึงเรื่องของสังโยชน์ 10 ประการของ *องค์พระอรหันต์* น่ะเจ้าค่ะ
จากที่ลูกได้ฟังธรรม สภาวธรรมขององค์พระอรหันต์แล้ว ทำให้ลูกรู้ว่า องค์พระอรหันต์นั้น ต้องละสังโยชน์ได้ 10 ประการ
ลูกจึงมีข้อสงสัยว่า.. สังโยชน์ 10 ประการนั้น มีอะไรบ้าง และแต่ละข้อ แต่ละอย่าง ที่ละได้นั้น
ละได้แบบไหน ในความละเอียดของการละ น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังธรรมให้ดี
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงทำจิตทำใจของลูก ดังนี้เถิด
ปล่อยใจให้ว่าง อย่าไปนึกไปคิด ไปสนใจกับสิ่งอื่นๆ
ทำใจให้สงบ
น้อมเอาดวงแก้วดวงธรรม จากคลื่นพลังงานของพุทธบารมี เข้าสู่ศูนย์กลางกาย
น้อมพลังแล้ว.. เพื่อที่จะได้ฟังธรรมอย่างเข้าใจ เข้าถึงลูก
ก็จงให้จิตใจของลูก พิจารณาตรึกตรองตามธรรม ที่ได้ยินได้ฟัง
เพื่อให้ลูก จะได้เข้าถึงธรรมเหล่านั้นอย่างแท้จริง ด้วยจิตด้วยใจเถิด
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึง ความเป็น*องค์พระอรหันต์* นั้น
สามารถที่จะละสังโยชน์ได้ 10 ประการ ดังนี้คือ
* 1. สามารถที่จะมองเห็นตามความเป็นจริงว่า..
กายนี้ แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ตัวใช่ตนของตน
กายนี้ เกิดขึ้นมาจากผลของกรรมที่ตนได้ทำเอาไว้ ทั้งดี และไม่ดี
กายนี้ เป็นของหนัก เป็นของที่มันไม่เที่ยงแท้ เป็นสิ่งที่มันทำให้เราต้องเกิดทุกข์มากมาย
ทุกข์ เพราะต้องดิ้นรนขวนขวาย แสวงหาสิ่งต่างๆทั้งหลาย มาสนองความต้องการของกาย
มาสนองความจำเป็น ในสิ่งที่กายนี้ จำเป็นต้องมี ต้องเป็น ต้องใช้
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่เขานั้น เป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติ จนรู้แจ้งแล้ว.. เขาก็จะเห็นความจริงของร่างกาย ว่า
กายนี้ เป็นของหนัก
กายนี้ ไม่ใช่ตัวใช่ตนของตน
กายนี้ ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และไม่สวยไม่งาม ไม่น่าลุ่มหลง
เกิดแล้ว.. ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายไป
กายนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าครอบครอง ทั้งกายของตน และกายของบุคคลผู้อื่น
เขาสามารถที่จะรู้เท่าทัน เรื่องของกาย
ถอดถอน จนเขานั้น..ไม่มีความยึดติดในร่างกายอีกต่อไป..
เขาจะสักแต่ว่า อยู่กับกายนี้ เพื่อที่จะได้ทำความเพียร ชำระสิ่งที่เขานั้นควรจะชำระ
ให้จบกิจในชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย
เขาจะยินดีใช้กายนี้ ในการประกอบกิจต่างๆ ที่เกิดประโยชน์แก่ตัวของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เขานั้นควรจะทำ ควรจะใช้ ควรจะล้างสิ่งเหล่านั้นให้หมด ให้ดับจากความเป็นตัวของเขา..
จิตของเขาย่อมสว่างไสว มองเห็นได้ชัดเจนว่า กาย ก็คือกาย จิต ก็คือจิต
จิตของเขานั้นสว่างไสว เป็นแก้วประกายพรึก
จิตของเขานั้น เป็นผู้ไม่ทุกข์
จิตของเขานั้น เป็นผู้ไม่ตาย และไม่เกิด
สิ่งที่ต้องเกิดอยู่ มีอยู่ ทุกข์อยู่ ก็เป็นเพียงแค่กิเลสตัณหา กรรม และกาย
ซึ่งกายนี้ ก็ก่อเกิดมาจากกิเลสตัณหา ที่เขานั้นได้สร้างได้ทำ
ซึ่งกายนี้ ก็ก่อเกิดมาจากผลของกรรม ที่กิเลสตัณหาสั่งให้ทำกรรมดีบ้าง -ชั่วบ้าง
.. ส่งผลมาให้เป็นกาย
กายมีเชื้อแห่งการเกิด - จึงงอกขึ้นมา โผล่ขึ้นมาเป็นกาย
ไม่ต่างจากเห็ด ที่มีเชื้อของเห็ดนั้น
และมีอากาศ ของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อบอ้าว.. จนมันนั้น สามารถเกิดขึ้นได้
ถึงเวลา.. มันก็ดับไป หายไป
กายของเราก็เช่นเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว.. มันก็เกิดขึ้น
เพราะมีเชื้อ มีเหตุที่จะให้มันเกิด คือ ผลของกรรม และกรรมวิบาก ที่เราได้ทำความยึดติด
สิ่งต่างๆเหล่านี้ รวมตัวกันมา ส่งผลให้มันต้องเกิดมา
แท้ที่จริงแล้ว กาย ก็คือ กาย เรา ก็คือ เรา
จิต คือ จิต
กาย คือ กาย
ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันเลย..
กายนั้น เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ยิ่งนัก เป็นสิ่งที่สกปรก ไม่น่าคบหา
การที่เราปล่อยให้จิตของเรา ถูกกายครอบงำ
เป็นสิ่งที่ทำให้เราเร่าร้อนนัก
เป็นทุกข์หนักนัก
.. สุดแสนจะยากลำบาก กับการครอบครองกายนี้..
เขาจะเห็นอย่างชัดเจน เช่นนี้ละ พระยาธรรม
ในเรื่องของร่างกาย ตัวของเขาก็ดี ตัวของบุคคลผู้อื่นก็ดี
เขาย่อมรู้ดีว่า.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่ตัว ใช่ตนของเขา
เขามั่นใจอย่างแน่แท้ในการที่เขานั้น
จะต้องทิ้งกาย
ทิ้งสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยกาย
ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป โดยไม่อาลัย ไม่ยึดติดกับมัน
เปรียบเสมือนคนที่เคยสกปรก เมื่ออาบน้ำแล้วจนสะอาด ย่อมไม่ต้องการกลับไปสกปรกอีก
พระยาธรรมเอย.. การที่จิตนั้นครองกายอยู่ นั่นมันเป็นเรื่องของการทุกข์ทรมานยิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตที่รู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งที่ซ่อนอยู่แล้วด้วยนั้น
ก็ยิ่งจะไม่มีความเสียดาย อาลัยอาวรณ์กับกายนี้ อีกต่อไปเลย..
พระอรหันต์ท่าน เป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติตน จนรู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้
จนสามารถถอดถอนความยึดติด ลุ่มหลง ในร่างกาย
จนไม่มีเราในกาย ไม่มีกายในเรา
ไม่เกิดความยึดถือในกายของตน และบุคคลผู้อื่น อีกต่อไป..
ท่านจะสักแต่ว่า อยู่ไปตามเหตุ และปัจจัย
ปล่อยให้กายนี้ เขาค่อยๆสิ้นไป ดับไป ตามเหตุของเชื้อที่มันจบลง
ตายชาตินี้แล้ว ชาติหน้าไม่ต้องมีอีก
* จิตเป็นอิสระ ไม่หลงยึดว่า นี่คือเรา คือ ตัวตนของเรา
* จิตเป็นอิสระ เพราะได้ชดใช้กรรมที่ตนทำเอาไว้ จนหมดสิ้นในชาตินี้
* จิตเป็นอิสระ เพราะไม่ได้สร้างกรรมที่ไม่ดีเพิ่ม
รวมถึงได้ละกรรมดีทั้งปวง ทิ้งไป - โดยไม่มีความยึดติด ลุ่มหลง
* จิตเป็นอิสระ เพราะว่าจิตนั้น ปราศจากเชื้อแห่งกิเลสตัณหา อย่างแท้จริงแล้ว..
เมื่อไรที่กายนี้ เน่าไป เปื่อยไป กลับคืนสู่พื้นดิน
จิตหลุดออกจากกาย.. จิตนั้นย่อมเป็นผู้ไม่เกิด ไม่ตายอีกต่อไป
เขาจะเห็นชัดเจน ในสภาวธรรมของการครองกาย ว่าเป็นของหนัก เป็นทะเลทุกข์ เป็นที่ที่ผูกมัด รัดดวงจิตเอาไว้ในวัฏสงสารนี้
เขาจะมองดูทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นเป็นธรรมดา
ปล่อยวางจิตใจของเขาว่าง - ว่างจากทุกสิ่ง
แม้แต่กายของตน ก็ไม่มีความยึดติดอะไรอีกต่อไปแล้ว..
กายของผู้อื่น ก็เช่นเดียวกัน ย่อมเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่สวย ไม่งาม
ไม่น่าปรารถนา ลุ่มหลง
ทุกสิ่ง เกิดขึ้นตามเหตุ - เป็นไปตามเหตุ - และจะดับไปตามเหตุ
ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ในกายของบุคคลทั้งหลาย..
ต่อให้เป็นบุคคลที่เคยรัก
ต่อให้เป็นบุคคลที่ใกล้ชิด และผูกพัน ก็จะสักแต่ว่า เห็นว่า..
กายทั้งหลายเหล่านี้ ก็มีเหตุให้เกิดมา..
เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก
เป็นญาติ เป็นพี่น้อง
เป็นพวกพ้อง บริวาร..
เพราะมันมีเหตุมาจากผลของกรรม ที่มีร่วมกันมา.. ทั้งดี และไม่ดี
ถึงเวลา เหตุนั้นมันหมดลง..
ทุกคนก็ต้องดับคืน สลายคืนกลับไป ตามผลของกรรมแห่งตน ที่ก่อที่ทำเอาไว้
กายนี้ไม่มี กายของบุคคลผู้อื่นก็ไม่มี
กายทั้งหลาย ต้องดับ ต้องเสื่อมไปตามเหตุของมัน
จะไม่มี ญาติพี่น้อง
จะไม่มีครอบครัว
จะไม่มีบุคคลที่รัก ไม่มีพ่อ มีแม่ มีลูก มีสามี หรือภรรยา อยู่ในที่ไหนเลย
ทุกอย่าง แค่เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา
จิตของเรา หลงทางมาอยู่ในโลกของสิ่งสมมุติ
และเหตุที่ทำให้เราหลงทางอยู่.. ก็เป็นเพราะว่า มีเชื้อแห่งกิเลสตัณหา คือ
ความหลง - หลงยึดว่า นี่คือตัวเรา คือของเรา
จึงเกิดเป็นความรัก - รักสิ่งนั้น สิ่งนี้
เกิดเป็นความโลภ -โลภอยากได้สิ่งนั้น สิ่งนี้
เกิดเป็นความโกรธ - เมื่อไม่ได้ดังที่ใจปรารถนา
จึงเกิดเป็น ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น
ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
- กลายเป็นกิเลส ตัณหา ขึ้นมา...
จิตของเราไปจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เลยพาให้เราสร้างเวร สร้างกรรม สร้างดี สร้างชั่ว
จนจิตของเรานั้น.. ก็ต้องสมมุติเกิด สมมุติดับ ตามสิ่งเหล่านั้น มาแล้วไม่รู้กี่ภพชาติ.. จนนับไม่ถ้วน
เราเคยสมมุติเกิดขึ้นมา อยู่ในกาย
ของทั้งสัตว์ และมนุษย์
ของทั้งเทวดา
ของภูมิต่างๆมากมาย
เวียนตายเวียนเกิด หลงทางอยู่ในป่านี้ ก็เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง
ยึดถือในกายตน ยึดถือในสิ่งของข้าวของทั้งหลาย ว่านั่นคือ ของตน
บุคคลที่รักทั้งหลาย ว่าคือ ตัวเรา ของของเรา
วันนี้ เราเป็นผู้รู้แจ้ง ประพฤติ ปฏิบัติ จนเห็นแจ้งตามความเป็นจริงแล้ว..
จิตหลุดจากการครองกาย
จิตหลุดจากการยึดติด ในกายตน กายของผู้อื่น
ตัวเราเล่า มีอยู่ที่ไหน ?
ตัวเขาเล่า มีอยู่ที่ไหน ?
สิ่งของ ข้าวของทั้งหลาย มีอยู่ที่ไหนกันเล่า ?
มันล้วนแล้วแต่ เป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น !
ความหลง พาให้เพลิดเพลิน
พาให้ นึก ยึด คิด ว่า.. เป็นเรา เป็นตัวของเรา
วันนี้ ดวงจิตสว่างไสว รู้แจ้งตามความเป็นจริงของทุกสิ่งแล้ว..
ความยึดติด ไม่มี
ความลุ่มหลง ไม่มี
จบการเวียนว่ายตายเกิด
จิตของพระอรหันต์ ผู้ที่สามารถประพฤติตน จนเข้าถึงความรู้แจ้งเป็น *พระอรหันต์*
คิดเช่นนี้ เห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้ เข้าใจในเรื่องของร่างกายอย่างนี้
จนสามารถละสังโยชน์ ข้อที่ 1 คือ การยึดว่านี่คือเรา ตัวตนของเรา
สามารถอยู่เหนือกายได้ ละกายได้.. ไม่ยึดติดอีกต่อไป
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. จึงเป็นการถอดถอนเชื้อกิเลส อย่างแท้จริง
และละเอียดที่สุด.. จนไม่มีทางที่จะกลับมาเกิดอีก ++
ละสังโยชน์ ข้อที่ 1 คือ การเห็นว่ากายนี้ดี การยึดติดในกาย การลุ่มหลงในกาย
ละได้แล้ว.. อย่างสิ้นเชิง
ไม่มีทางที่จะหลงยึดในตัวของมันอีก !
พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น ละสังโยชน์ข้อนี้ได้ เช่นนี้หละ.. พระยาธรรม
คือ ความละเอียดที่จิตของพระอรหันต์ มองดูกาย เห็นความจริงในกาย ในสังโยชน์ข้อนี้
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง พิจารณาตาม
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่า..
พระอรหันต์นั้น ละสังโยชน์ข้อที่ 1 แบบไหน ?
ความละเอียดของการละสังโยชน์ เป็นยังไง ?
ทำไมถึงละได้ ว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ?
พระอรหันต์ เป็นผู้รู้แจ้งในกาย เช่นไรบ้าง.. จึงเป็นผู้ไม่มาเกิดอีก ?
.. เข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
ไว้วันพรุ่งนี้ ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในสังโยชน์ข้อต่อไป นะเจ้าคะ..