หลายคนฟังธรรมะจนจิตตื่น
คําว่า “จิตตื่น” ของหลวงพ่อ
หมายถึง จิตซึ่งมันรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกกาย รู้สึกใจ
ไม่ไปหลงเพลิดเพลินอยู่ในโลกของความคิด
ในโลกนี้หาคนที่ตื่นขึ้นมายากที่สุด
เราตื่นเฉพาะร่างกายแต่จิตใจไม่ตื่นหรอก นับตัวได้เลย
ตอนแรกๆที่หลวงพ่อพูดอย่างนี้ คนไม่เชื่อ
หาว่าดูถูกเหยียดหยามเสียอีก
บอกว่าถ้าไม่ตื่นแล้วจะขับรถมาวัดได้อย่างไร
ไม่ตื่นแล้วจะทํามาหากินได้อย่างไร
.
มันตื่นแต่ร่างกาย จิตใจไม่ตื่น
จิตใจหลงไปในโลกของความคิดความฝันตลอดเวลา
ความทุกข์ทั้งหลายหรือกิเลสทั้งหลาย
เกิดตอนที่ใจเราหลงไปอยู่ในโลกของความคิดนั่นเอง
คิดดีๆขึ้นมามีความสุข คิดไม่ดีขึ้นมามีความทุกข์
หลงไปอย่างนี้เรื่อยๆ แต่ถ้าเราภาวนาจนใจเราตื่น
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ตื่นแบบแห้งแล้งด้วยนะ
ตื่นขึ้นมาแล้วจิตใจนี้นุ่มนวล อ่อนโยน
จิตใจสว่างไสว มีความสุข
มีความเบิกบานผุดขึ้นมาเอง
.
ความสุขที่เราเคยรู้จักนี่
มันต้องเป็นความสุขที่มีสิ่งเร้า มีอะไรมายั่ว
เช่น หนุ่มๆไปจีบสาวได้แล้วมีความสุข
หรือว่าร่ำรวยขึ้นมาแล้วมีความสุข
ได้อยู่กับคนนี้มีความสุข ได้กินอาหารนี้มีความสุข
ความสุขอย่างโลกๆ
เป็นความสุขที่ต้องอาศัยสิ่งเร้าภายนอก
แต่ถ้าเรามีสติขึ้นมา
เรามีความสุขเกิดขึ้นจากภายใน
มันสุขขึ้นมาเอง ไม่ต้องทําอะไร
ทันทีที่จิตหยุดความปรุงแต่ง
จิตก็มีความสุขผุดขึ้นมาเลย
จิตที่มันทุกข์ทุกวันนี้เพราะมันปรุงไม่เลิก
หลงไปในโลกของความปรุงแต่ง
ให้เราหัดรู้สึกนะ รู้สึกอยู่ในกาย รู้สึกอยู่ในใจ
จนสติมันเกิด พอจิตจําสภาวะ
ของรูปธรรมของนามธรรมได้แม่นแล้ว
สติจะเกิดเอง ทันทีที่สติเกิด
จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู มีสัมมาสมาธิ
.
พอจิตเราตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว
เราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าความสุขหรือความทุกข์
ไม่ว่ากุศลหรืออกุศลทั้งหลาย
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป
.
เหมือนเรานั่งสบายๆ
นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในบ้านเรา
มองออกไปทางประตู มองออกไปทางหน้าต่าง
เห็นคนเดินผ่านหน้าบ้าน ความรู้สึกทั้งหลาย
ความสุขความทุกข์ กุศลอกุศลทั้งหลายก็เหมือนมัน
เดินผ่านหน้าบ้าน เราอยู่ในบ้านสบายๆ
ไม่เดือดร้อนอะไรกับใครเขา
สิ่งที่ผ่านหน้าบ้านเราบางทีก็เป็นของสวยของงาม
บางทีก็เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว
เช่น หมาขี้เรื้อนวิ่งมา หมาบ้าวิ่งมาผ่านหน้าบ้านไป
อารมณ์ก็เหมือนกัน บางทีก็อารมณ์ที่ดี
บางทีก็อารมณ์ที่เลวผ่านมา
.
แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่ดีหรืออารมณ์ที่เลวก็ตาม
นักปฏิบัติที่แท้จริงจะเหมือนคนที่นอนเล่นในบ้าน
ไม่วิ่งตามไป ไม่ใช่เห็นสาวสวย
เดินผ่านหน้าบ้านก็วิ่งตามเขาไป
เห็นหมาบ้าวิ่งมาก็วิ่งออกไปไล่ตีกับมัน
จิตใจนักปฏิบัติจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น
จิตใจจะแค่เป็นคนรู้ คนดู
แล้วสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่แอบเข้ามาในบ้านเรา
เหมือนผู้ร้ายไม่กล้าเข้าบ้านถ้าเจ้าของบ้านยังตื่นอยู่
ถ้าใจเราตื่นขึ้นมา ผู้ร้ายคือ กิเลสเข้ามาไม่ได้
แต่ถ้าใจเราหลับเมื่อใด มันย่องมา
ย่องเบา เบาจริงๆนะ ย่องเข้ามาไม่ทันรู้สึกหรอก
กว่าจะรู้สึกตัวก็คือมันขึ้นไปขี่คอเรียบร้อยแล้ว
ฉะนั้นให้คอยรู้สึกตัวนะ
.
ถามว่าความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร
ความรู้สึกตัวก็คือ ความไม่หลงไป ไม่เผลอไป
ไม่ลืมกาย ไม่ลืมใจ พวกเราสังเกตไหม
พวกเราจะลืมกายลืมใจแทบทั้งวัน
โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เรียนธรรมะ
ไม่ได้ฟังธรรมะจนกระทั่งสติเกิด
คนทั้งโลกจะลืมกายลืมใจทั้งวัน
ตื่นขึ้นมาก็ดูคนอื่น จะคิดก็คิดเรื่องคนอื่น
จะอยู่ในโลกของความคิดความฝันตลอด
ถึงจะคิดเรื่องตัวเองก็คิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต
อะไรอย่างนั้นไปเรื่อยๆ
เราไม่สามารถอยู่กับโลกปัจจุบันได้
.
เพราะฉะนั้นให้คอยรู้สึก
รู้สึกไว้ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก
จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก รู้สึกไปเรื่อยๆ
ต่อไปจิตมันจะจําสภาวะได้
ร่างกายเคลื่อนไหวมีอาการอย่างนี้
จิตใจเคลื่อนไหวมีอาการอย่างนี้
ความรู้สึกทั้งหลายแต่ละอย่างๆมีอาการอย่างนี้
พอจิตมันจําได้แม่นแล้ว ต่อไปสติจะเกิดเอง
เช่น มันจําได้ว่า ความใจลอยแอบไปคิด
ใจจะค่อยๆไหลไป ไหลๆไปคิด ไปรู้เรื่องที่คิด
พอใจลอยไปแล้วมันจําได้ สติก็เกิด
.
ขณะรู้เรื่องที่คิดก็ลืมกายลืมใจเรียกว่า ขาดสติแล้ว
เมื่อไรลืมกายลืมใจ เมื่อนั้นเรียกว่า “ขาดสติ”
บางทีความโกรธผุดขึ้นมา
คนทั้งหลายพอโกรธขึ้นมานั้น
จะไปดูคนที่ทําให้เราโกรธ
ส่วนผู้ปฏิบัติ ผู้มีสติจะเห็นความโกรธนี้ผุดขึ้นมา
มันจะผุดขึ้นมากลางอก
ถ้าผุดขึ้นมาเล็กๆ ก็จะแค่ขัดใจนิดๆ
แค่ขุ่นๆอยู่กลางอก แต่ถ้ามันรุนแรง
มันพุ่งขึ้นหน้าเรียกว่า เลือดขึ้นหน้า
เห็นช้างเท่าหมู เห็นอะไรไม่ตรงตามความเป็นจริง
.
ก่อนที่กิเลสจะเป็นกิเลสตัวใหญ่นั้น
มันเป็นกิเลสตัวเล็กมาก่อน
ถ้ากิเลสตัวใหญ่แล้วจะสู้ยาก
เหมือนคู่ชกเราตัวโตแล้ว
เราต้องชกตั้งแต่มันยังไม่โต ชกเด็กๆได้เปรียบ
.
เพราะฉะนั้นกิเลสตอนมันเป็นเด็กๆ
มันจะค่อยๆไหวยิบยับๆขึ้นมา ให้เรารู้ทันมัน
แต่ก่อนที่เราจะเห็นกิเลสตัวเล็กได้
เราก็ต้องหัดเห็นกิเลสตัวใหญ่ก่อน
เพราะกิเลสที่ละเอียดมันดูยาก
หัดที่แรกจะเห็นของหยาบก่อน
เช่น โทสะเกิดแล้วถึงจะเห็น
ต้องโมโหแรงๆก่อนจึงจะรู้ว่าโมโห
ส่วนที่ขัดใจเล็กๆจะยังไม่รู้ว่าขัดใจ
พอฝึกมากๆเข้า หัดสังเกตใจของเราไปเรื่อยๆ
ต่อไปความขัดใจเล็กนิดเดียวเกิดขึ้นก็เห็นแล้ว
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
จาก หนังสือนาทีทองในสังสารวัฏ เล่ม ๓ หน้าที่ ๗๖-๘๐
จิตตื่น
การเจริญปัญญา
ค่อยๆ ฝึกทุกวันๆ ค่อยๆ แยกไป
จะทำงาน จะกวาดบ้าน จะถูพื้น จะซักผ้า
จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน
คอยดูร่างกายมันทำงานไปเรื่อย
มันเจ็บมันปวดขึ้นมาก็คอยรู้เอา
มันสุขมันสบายก็คอยรู้เอา
มันดีใจมันเสียใจ
มันจะมีความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น
คอยรู้เอา
สุดท้ายเราจะแยกธาตุแยกขันธ์ออกไป
เราจะเห็นเลยร่างกายไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่งเดินไปเดินมา
ไม่มีตัวเราในร่างกายนี้
ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้น
ก็เป็นแค่สภาวธรรมอันหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเรา
สั่งให้เกิดก็ไม่ได้ เช่น สั่งให้มีความสุขก็สั่งขึ้นมาไม่ได้
ห้ามไม่ให้มีความทุกข์ก็ห้ามไม่ได้
พอมันสุขแล้วรักษาเอาไว้ก็ไม่ได้
มีความทุกข์ขึ้นมา ไล่มันก็ไม่ไป
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
นี่ดูของจริงเข้าไป ดูมันเข้าไป
จะเห็นเลยว่าร่างกายก็ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายนี้ไม่เที่ยง
เดี๋ยวหายใจออก เดี๋ยวหายใจเข้า
เดี๋ยวยืน เดี๋ยวเดิน เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวนอน
ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง
ร่างกายมีแต่ความทุกข์
นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินอยู่ก็ทุกข์ นอนอยู่ก็ทุกข์
กลางคืนนอนพลิกซ้ายพลิกขวาประมาณ ๔๐ ครั้ง
คืนหนึ่งๆ มันปวดมันเมื่อยมันทุกข์นะ
เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เรานึกว่าร่างกายเราไม่ทุกข์
ความจริงทุกข์ตลอดเวลาเลย
ร่างกายเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง
เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ ไม่ใช่ตัวเรา
เป็นก้อนดินก้อนน้ำก้อนไฟก้อนลม
มันเป็นอนัตตา
ความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์ก็เป็นของไม่เที่ยง
มีแล้วไม่มี
อย่างความสุขมีแล้วก็หายไป
ความทุกข์ก็หายเหมือนกันไม่ใช่ไม่หาย
ทุกอย่างเกิดแล้วดับทั้งสิ้น
เฝ้ารู้ลงไปนะ
จะเป็นหายใจออกเกิดแล้วก็ดับ
หายใจเข้าเกิดแล้วก็ดับ
ยืนเกิดแล้วก็ดับ นั่งเกิดแล้วก็ดับ
นั่งแล้วก็ไม่ได้นั่งตลอด เดี๋ยวก็เปลี่ยนอิริยาบถ
ความสุขความทุกข์ สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว
กุศลอกุศลที่เกิดขึ้น เช่น
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ชั่วคราวอีก
มีใครโกรธตลอด มีไหม
มีใครโลภตลอดไหม ไม่มี
มีแต่เกิดแล้วดับ ๆ อยู่ตลอดเวลานะ
เนี่ยเฝ้าดูของจริงลงไป
ส่วนตัวจิตตัวใจดูยังไง ต้องค่อยๆ หัดดูนะ
จิตเดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา วิ่งไปดู
เดี๋ยววิ่งไปทางหู วิ่งไปฟัง
วิ่งไปดูอย่างเดียวไม่พอ
สังเกตให้ดีตอนที่นั่งฟังหลวงพ่อเทศน์
ดูหน้าหลวงพ่อบ้างใช่ไหม ตั้งใจบ้างใช่ไหม
หนีไปคิดบ้างใช่ไหม สลับกันตลอดเวลานึกออกไหม
ไม่ได้ฟังอย่างเดียว ฟังไปคิดไปนึกออกไหม
แล้วบางทีก็ดูหน้าหลวงพ่อหน่อยหนึ่ง แล้วก็ตั้งใจฟัง
ตอนที่ตั้งใจฟังไม่ได้ดูหน้าหรอก
ฟังนิดหนึ่งก็หนีไปคิด ฟังแล้วก็หนีไปคิด
นี่จิตมันเปลี่ยนนะ
เดี๋ยวจิตก็ดู เดี๋ยวจิตก็ฟัง เดี๋ยวจิตก็คิด
จิตเกิดดับเหมือนกัน
เกิดดับอยู่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
จิตจะเกิดที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ
สั่งไม่ได้ มันเกิดเองนะ
เดี๋ยวก็ไปดู เดี๋ยวก็ไปฟัง เดี๋ยวก็ไปคิด
พวกเราตอนนี้ดูของจริงลงไปเลย
จริงหรือเปล่า ฟังไปคิดไป จริงไหม
หัดรู้ตรงนี้เลยนะ
เราจะเห็นเลยว่า เดี๋ยวก็ฟังเดี๋ยวก็คิดๆ
จิตจะไปฟัง ไม่ได้เจตนาฟัง
จิตจะไปคิด ไม่ได้เจตนาคิด
มันเป็นของมันเอง
ตรงที่เห็นมันเกิดดับทางอายตนะนี่
มันเป็น "อนิจจัง" คือไม่เที่ยง
ตรงที่เห็นว่ามันทนอยู่ในสภาวะอันใดอันหนึ่ง
เช่น อยู่ทางตาไม่ได้ตลอดไป นี่เรียกว่า "ทุกขัง"
ตรงที่เห็นว่าเราบังคับไม่ได้นี่เรียกว่า "อนัตตา"
เนี่ย เรามาดูสิ่งที่เรียกว่าตัวเรานะ
ขันธ์ ๕ ตัวรูป ตัวเวทนา ตัวสัญญา ตัวสังขาร
ตัวจิตคือตัววิญญาณ
ดูก็เห็นมีแต่เกิดดับ เกิดดับไปเรื่อย
ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ จะเห็นเลย
ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่เรา
ความสุขความทุกข์ไม่ใช่เรา
กุศลอกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา
ตัวจิตก็ไม่ใช่เรา
ฝึกไปแล้วมันจะเห็นเองนะ
จะพบว่าไม่มีตัวเราในกายนี้ ไม่มีตัวเราในจิตนี้
ตัวเราเกิดจากความคิด ต้องหลงไปก่อนถึงจะคิดนะ
จิตหลงเมื่อไหร่จิตก็ไปคิด
จิตไปคิดก็เกิดตัวเกิดตนขึ้นมา
ถ้าจิตมีสติรู้สึกอยู่ จิตไม่หลงไปอยู่ในความคิด
ตัวตนจะไม่มี
ตัวตนมันเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง
เหมือนคำว่า "รถยนต์"
เราคิดว่ามีรถยนต์ คือคิดขึ้นมา
ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันเป็นอะไหล่หลายร้อยหลายพันชิ้นมารวมกัน
ตัวนี้ก็เหมือนกัน เราคิดว่าเป็นตัวเรา
แต่พอเราแยกธาตุแยกขันธ์ออกไปแล้ว
มันไม่ใช่ตัวเราหรอก
หัดดูอย่างนี้นะ เรียกว่า "การเจริญปัญญา"
ฟังเหมือนยาก แต่ไม่ยากนะ
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
_/|\_ _/|\_ _/|\_
Cr.หนังสือจิตตั้งมั่น หน้าที่ ๓๘-๔๓
ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเรียนหลักให้แม่น
...แต่ละวันๆ #กิเลสมันพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
อุบายธรรมะทั้งหลายใช้ซ้ำซาก
ไม่ได้กินหรอก มันดื้อยา
เราต้องเรียนหลักให้แม่น
สติปัญญามันจะพัฒนาอุบายขึ้นมาต่อสู้กับกิเลสเอง
พัฒนามากไปก็กลายเป็นฟุ้งซ่านในธรรมะ ก็ผิดอีก
ฉะนั้นเราต้องเรียนหลักให้แม่น
หลวงพ่อพากเพียรเหลือเกิน
ที่จะบอกให้พวกเรารู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
ให้มีสติรู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน
ให้รู้กายรู้ใจอย่างที่เขาเป็น
รู้ไปทุกวันๆ รู้แล้วอย่าไปแทรกแซง
มันเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
นี่พูดทุกวัน พูดด้วยภาษาต่างๆ กันมากมาย
เนื้อหาอันเดียวกัน
คือให้รู้ทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
ด้วยจิตที่เป็นกลางเท่านั้นแหละ
ต่อไปไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะ
จับหลักนี้เอาไว้ให้แม่นเราก็ช่วยตัวเองได้
ไม่มีโอกาสถามหลวงพ่อ
ก็ไม่ต้องไปเที่ยวถามใครให้มันวุ่นวาย
ใช้หลักนี้แม่นๆ ช่วยตัวเองได้แน่นอน...
.................................................................................
☇ฝึกเอานะ ไม่ได้ยาก
หลวงพ่อพยายามสอนหลักให้พวกเราทุกคน
บอกหลักให้ทุกวันๆ หลักสำคัญที่สุด
อุบายวิธีต่างๆ เป็น tactics (กลยุทธ์) เฉพาะตัว
ใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว
เช่น วันนี้ใจเราฟุ้งซ่าน เราไปหัดพุทโธๆ ก็สงบ
อีกวันหนึ่งฟุ้งซ่าน พุทโธไม่ลงแล้ว หายใจๆ แล้วสงบ
อีกวันหนึ่งพุทโธก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ได้
ไปคิดแยกธาตุแยกขันธ์แล้วสงบ อะไรอย่างนี้
แต่ละวันๆ กิเลสมันพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
อุบายธรรมะทั้งหลายใช้ซ้ำซาก
ไม่ได้กินหรอก มันดื้อยา
เราต้องเรียนหลักให้แม่น
สติปัญญามันจะพัฒนาอุบายขึ้นมาต่อสู้กับกิเลสเอง
พัฒนามากไปก็กลายเป็นฟุ้งซ่านในธรรมะ ก็ผิดอีก
ฉะนั้นเราต้องเรียนหลักให้แม่น
หลวงพ่อพากเพียรเหลือเกิน
ที่จะบอกให้พวกเรารู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
ให้มีสติรู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน
ให้รู้กายรู้ใจอย่างที่เขาเป็น
รู้ไปทุกวันๆ รู้แล้วอย่าไปแทรกแซง
มันเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
นี่พูดทุกวัน พูดด้วยภาษาต่างๆ กันมากมาย
เนื้อหาอันเดียวกัน
คือให้รู้ทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
ด้วยจิตที่เป็นกลางเท่านั้นแหละ
ต่อไปไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะ
จับหลักนี้เอาไว้ให้แม่นเราก็ช่วยตัวเองได้
ไม่มีโอกาสถามหลวงพ่อ
ก็ไม่ต้องไปเที่ยวถามใครให้มันวุ่นวาย
ใช้หลักนี้แม่นๆ ช่วยตัวเองได้แน่นอน
เช่น เราภาวนาแล้ว เอ้ ใจเราว่างตั้ง ๓ วัน ๓ คืนแล้ว
ใจมันว่าง มันถูกหรือไม่ถูกนะ
ถ้าจับหลักให้แม่น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ดูว่างนี่
ท่านให้รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ความว่างมันไม่ใช่กายไม่ใช่ใจของเรานี่
มันเป็นสิ่งแปลกปลอมเข้ามาเท่านั้นเอง
ไปดูอะไรมันน่ะ
ไปติดอยู่ในความว่างก็หลงอยู่ในโลกของความสุข
นี่เราช่วยตัวเองได้แล้ว
ค่อยๆ สังเกตเอา จิตใจของเรา
มันเดินอยู่ในหลักที่ครูบาอาจารย์สอนไหม
พระพุทธเจ้าสอนหรือเปล่า
เรามีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงหรือเปล่า
ถ้ามีล่ะก็เราช่วยตัวเองไปได้เรื่อยๆ
ประคองตัวเองไป
อะไรๆ ก็สู้โยนิโสมนสิการไม่ได้
ไม่ใช่อยู่ที่วิ่งไปถามคนอื่น
เพราะฉะนั้นเรียนกับครูบาอาจารย์แล้วภาวนาเอา
คอยสังเกตจิตใจของเรา
มันเป็นสภาวะอย่างนี้ๆ ในหลักการมันเป็นอย่างไร
อย่างเวลาหลวงพ่อตรวจการบ้าน
สังเกตให้ดีเถอะ ไม่ว่ามาถามเรื่องอะไร
หลวงพ่อก็จะตอบเพื่อลากเข้าหาหลักการนั่นเอง
กลับไปจูงเข้ามาสู่หลัก เธอเดินพลาดไปจากหลักแล้ว
เช่น เธอไม่ได้มีสติ เธอนั่งกำหนดเอาเองอย่างนี้
ผิดหลักใช่ไหม ให้มีสติต่างหาก
มีสติแล้วไปเพ่งความว่าง เอ้า ไม่ถูกหลักอีกแล้ว
มีสติแล้วต้องรู้กายรู้ใจสิ
รู้กายรู้ใจแล้วเห็นใจแล้วก็ไปเพ่งกายเพ่งใจเอาไว้นิ่งๆ
เอ้า ให้รู้นะไม่ใช่ให้เพ่ง
นี่กลับมาสู่หลักคือให้รู้กายรู้ใจ
เห็นกายเห็นใจมันทำงานแสดงไตรลักษณ์
ถึงจะเห็นความจริง ไปเพ่งนิ่งๆ อยู่ ไม่เห็นความจริง
เห็นไหม คำตอบของหลวงพ่อ
คือการลากพวกเรากลับมาสู่หลักของการปฏิบัติ
ที่ถูกต้องเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีโอกาสถามหลวงพ่อ
หรือไม่เจอหลวงพ่อ สงสัยอะไรขึ้นมานะ
สังเกตเอา ใช้โยนิโสมนสิการช่วยตัวเอง
การปฏิบัติที่ทำอยู่นั้นถูกหลักถูกเกณฑ์หรือไม่
หรือว่านอกลู่นอกรอยไปแล้ว
สังเกตเอานะ สงสัยจริงๆ ก็ไปเปิดซีดีฟัง
มีทุกคำตอบอยู่แล้วในซีดีของหลวงพ่อ
เปิดสุ่มเอาตรงไหนก็ได้ กล้าท้าเลย
เปิดสุ่มเอาเลยก็ได้ เอ้า ฟังตรงนี้แล้วจะมีคำตอบ
เพราะทุกคำตอบมีคำตอบอย่างเดียวกันทั้งสิ้น
#คือรู้ตามความเป็นจริง ตอบได้ทุกเรื่องเลย
⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
..................................
ใจเป็นที่รองรับธรรมะ
ธรรมะไม่เข้าที่อื่นหรอกเข้าที่ใจที่เดียว
ถ้าใจเราแกว่งไปแกว่งมา ธรรมะก็ลงไปไม่ได้
พยายามฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวไว้
หายใจออก หายใจเข้า รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ
จิตของเราสมาธิมันน้อย
งั้นเราต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่
จะอยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้
อยู่กับพุทโธ ก็พุทโธๆไป ท่องอยู่ในใจ
ช่วงไหนกิเลสแรงก็ท่องเร็วๆ พุทโธๆๆ
ช่วงไหนกิเลสเบา ใจเริ่มสงบ ก็พุทโธ พุทโธไป
ไม่ได้พุทโธเพื่อให้เกิดความดี ความสุข ความสงบ
อันนั้นกระจอก
เราพุทโธเป็นแค่ที่สังเกตจิตใจของเราเท่านั้นเอง
อย่างเราพุทโธ พุทโธเนี่ย
จิตเราไหลไปคิด.. เรารู้ทัน
พุทโธไปจิตสงบ.. เรารู้ทัน
พุทโธแล้วรู้ทันจิตไป
พุทโธแล้วจิตสุข ก็รู้ทัน
พุทโธแล้วจิตทุกข์ ก็รู้ทัน
(พุทโธ)เอาเป็นแค่เครื่องอาศัยรู้ทันจิตตัวเอง
.
พุทโธมันดียังไง ?
พุทโธเป็นความคิด
แต่สิ่งที่เราจะดู เราจะดูจิต
พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ่งที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็คือจิต
งั้นที่เราบริกรรมพุทโธนะ
เพื่อเตือนตัวเองให้รู้ทันจิตตัวเอง
ไม่ใช่เพื่อบังคับจิตให้นิ่ง
ถ้าทำไปเพื่อบังคับจิตให้นิ่งนี่ตื้นเกินไป
ธรรมะอย่างนั้นพัฒนาไม่ได้หรอก พัฒนายาก
.
ถ้าไม่ชอบพุทโธ ใช้ลมหายใจก็ได้
หายใจไปแล้วก็รู้ทันจิต
เคยใช้ท้องพองยุบ
ดูท้องพองยุบก็ได้ แล้วก็รู้ทันจิต
เช่นท้องพองท้องยุบ
จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นลืมเรื่องท้องแล้ว
ก็รู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว
.
ในการปฏิบัติธรรมนั้นจิตเป็นใหญ่
จิตเป็นหัวหน้านะ
จิตเป็นประธานของธรรมะทั้งปวง
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
ในธรรมทั้งหลายนั้นจิตเป็นใหญ่
เป็นหัวหน้า เป็นประธาน
หลวงปู่มั่นท่านสอน บอก
"ได้จิตคือได้ธรรม เสียจิตคือเสียธรรม"
.
งั้นที่เราหัดพุทโธ
หัดหายใจ
หัดดูท้องพองยุบ
เดินจงกรม
(กรรมฐาน)อะไรก็แล้วแต่
จุดสำคัญเนี่ยทำไปเพื่อจะได้รู้ทันจิต
อย่างเราดูท้องพองยุบอยู่ จิตหนีไปคิด
อย่างนี้จะได้รู้ไวๆหน่อย
ถ้าเราไม่มีที่อยู่ของจิตเลย
เนี่ยจิตร่อนเร่ ไม่รู้ว่าจิตร่อนเร่
เหมือนคนไม่มีบ้านอยู่ก็เที่ยวไปตามถนนนะ
เพราะไม่รู้จักเลยว่าความฟุ้งซ่านเป็นยังไง
ใจมันไหลไปเรื่อยๆ มันดูไม่ออก
แต่ถ้าใจมันมีที่อยู่แล้ว
มันเคลื่อนออกจากที่อยู่ปุ๊บ เราจะเห็น
ไม่ได้ฝึกไม่ให้เคลื่อนด้วย
อย่างพุทโธ ๆ ไม่ได้ฝึกให้จิตนิ่งๆ
พุทโธ พุทโธไป พอจิตเคลื่อนแล้วรู้
หายใจไป จิตเคลื่อนแล้วรู้
ดูท้องพองยุบไป จิตเคลื่อนแล้วรู้
ขยับมืออย่างหลวงพ่อเทียนนะ จิตเคลื่อนแล้วรู้
จิตเคลื่อนไปคิดบ้าง เคลื่อนไปเพ่งใส่มือบ้าง
เวลารู้ลมหายใจนะ บางทีจิตก็เคลื่อนไปที่ลมหายใจ
บางทีก็เคลื่อนไปคิด
จิตก็เคลื่อนไปสองอย่าง
อันนึง เคลื่อนไปคิด
อีกอันนึงเคลื่อนไปแนบอยู่ที่ตัวอารมณ์กรรมฐาน
อย่างบางคนพุทโธ พุทโธ
จิตไปแนบอยู่กับคำว่าพุทโธไม่กระดุกกระดิกเลย
.
ถ้าจิตไปแนบอยู่ในอารมณ์เดียว"ได้สมถะ"
แต่ถ้าเราจะฝึกให้ได้สมาธิชนิดที่จะใช้ทำวิปัสสนา
"ให้รู้ทันจิต" ไม่ใช่ทำจิตให้แนบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
สงบอยู่แค่นั้นตื้นเกินไป
เอาไว้ชาติที่ไม่มีพุทธศาสนา
ค่อยไปทำกรรมฐานแบบนั้น เพราะทำได้แค่นั้นแหละ
แต่ชาตินี้เราได้เจอพุทธศาสนาแล้ว
ต้องทำสมาธิชนิดที่สูงกว่าการทำจิตให้นิ่ง
.
ตอนที่หลวงพ่อเด็กๆ ตั้งแต่ ๗ ขวบ
หลวงพ่อทำสมาธิ ทำอานาปานสติ
จิตเป็นผู้รู้ ขันธ์นี่แยกตั้งแต่เด็กแล้ว
จิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
แต่ว่าไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร
จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านสอน
จิตเราที่เป็นผู้รู้ผู้ดูนั้น เราเอาไว้ใช้เดินปัญญา
เราก็เห็นว่าจิตมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
หลวงพ่อดูไปที่จิตตรงๆเลย
หลวงปู่ดูลย์สอนหลวงพ่อนะ
ไม่ได้เริ่มจากพุทโธ ไม่ได้เริ่มจากหายใจ
เพราะหลวงพ่อทำสมาธิมาเยอะแล้ว
ท่านให้ดูเข้าไปที่จิตตรงๆ
เราก็จะเห็นเลย จิตเดี๋ยวก็สุข จิตเดี๋ยวก็ทุกข์
จิตเดี๋ยวก็ดี จิตเดี๋ยวก็ร้าย
เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลง
เห็นจิตมันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง
เนี่ย(หลวงพ่อ)ดูอย่างนี้นะ ไม่ต้องใช้สมาธิช่วย
ไม่ต้องทำสมถะช่วยเลย
เพราะจิตมันมีพลัง มันดูอยู่ได้โดยอัตโนมัติ
แต่อยู่อย่างนี้ได้สองปีเท่านั้น
สมาธิที่(หลวงพ่อ)ฝึกมา ๒๒ ปีนั้น กำลังมันหมด
เอามาใช้เดินปัญญาอยู่ได้ ๒ ปีเอง
(ฝึกสมาธิ) ๑๑ ปีนะ (เดินปัญญา)ได้ปีหนึ่ง
พอ(พลัง)สมาธิหมดเนี่ย สมาธิไม่พอแล้ว
เราก็ดูจิตอยู่ เรายังไม่รู้ว่าสมาธิไม่พอ
พอเห็นกิเลสโผล่ขึ้นมานะ ดูปุ๊บ กิเลสไม่ขาดสะบั้น
กิเลสเนี่ยยักย้ายถ่ายเทหนี หนีออกไปอยู่ข้างนอก
ใจเราก็ไหลตามออกไป ตามดู
คล้ายๆ ศัตรูรบอยู่กับเราไล่ฟาดฟันกันอยู่
มันถอยๆๆ เราเดินตามมันไป
เราไม่รู้ว่าเราเดินตามมันออกไปแล้ว
เสร็จแล้วฆ่ามันตาย ม้นหายวั๊บไป
มันสลายไป เราก็นึกว่าจิตเรายังอยู่ที่ฐาน
ความจริงจิตออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว
เรียกว่าไม่รู้ทันมัน
.
อีกทีนึงจิตก็เคลื่อนไปเหมือนกัน
แต่เคลื่อนเข้าไปข้างใน
เราเห็นว่าหลวงปู่ดูลย์สั่งว่า
"อย่างส่งจิตออกนอก"
งั้นส่งจิตเข้าข้างในไม่เป็นไร
นี่คิดอย่างนี้นะ
เห็นกิเลสมันผุดขึ้นมาจากกลางอกเนี่ย
(กิเลส)มันผุดขึ้นมา พอเราดูมันสลายไป
วันนึงก็เกิดสงสัยขึ้นมา
ว่ารากเหง้าของมันอยู่ที่ไหน
ทำไมมันผุดขึ้นได้เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นเวลามันผุดขึ้นมานะ
จะดูมันแบบแตะนิดเดียว จะดูแบบแค่รู้สึกว่ามันมีอยู่
ถ้าดูมันแบบจิตใจมีพลังเข้มแข็งนะมันขาดสะบั้นเลย
นี้ดูแบบเลี้ยงมัน มันก็ค่อยๆหดตัวนะ
หดๆๆลงไปข้างใน เข้าไปในจิตข้างล่าง
เราก็ตามไปเรื่อยๆๆ สุดท้ายมันสลายตัวหายไป
หามันไม่เจอ หลวงพ่อก็กลับขึ้นมาใหม่
เดี๋ยวรอให้มันโผล่ใหม่นะแล้วตามดูลงไป
พอดีไปเจอหลวงปู่สิม
หลวงปู่สิมเห็นหน้าเท่านั้นแหละกวักมือเรียก
ผู้รู้ ๆ ออกมาอยู่ข้างนอกนี่ กิเลสไม่ได้อยู่ข้างใน
เนี่ยครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปเรียนด้วย
ท่านแต่ละองค์นะน่าดูมากเลย
เราไม่ต้องส่งการบ้านหรอก
ถึงเวลาท่านก็บอกเองเราพลาดตรงไหน
ท่านรู้ว่าหลวงพ่อจะเข้าไปดูกิเลสข้างใน
ว่ามันเกิดที่ไหน ท่านเลยบอกว่าไม่ต้องเข้าไป
เนี่ยจิตมันเคลื่อนทั้งนั้นเลยนะ
เคลื่อนไปข้างนอก เคลื่อนไปข้างใน
คราวนี้นึกขึ้นได้
(ว่า)หลวงปู่ดูลย์ไม่ให้ออกข้างนอก
หลวงปู่สิมก็ไม่ให้ส่งเข้าข้างใน
หลวงปู่เทสก์เคยสอนว่า
ผู้ใดเข้าถึงความเป็นกลางจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
งั้นจะรักษาจิตไว้กลางๆ เนี่ยรักษา(จิต)ไว้อีก
แค่ไหนถึงจะเรียกว่ากลาง ?
กลางหน้าอก ก็ไม่ใช่
ก็พบอย่างนึงว่า เวลาเราภาวนาเนี่ย
มีผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ มีสองอย่าง
เราอยู่กลางระหว่างผู้รู้กับสิ่งถูกรู้ดีกว่า
ไม่จับเข้าที่ผู้รู้ ไม่จับเข้ากับสิ่งที่ถูกรู้
ดูลีลาของหลวงพ่อเยอะมั้ย
ทำได้ประหลาดๆมากมายกรรมฐาน
งั้นเวลาเราดูอารมณ์
เราเห็นความไหวอยู่ที่กลางอกเนี่ย
จิตมันไหวยิบยับๆอยู่กลางอก ส่งจิตไป
พอจิตจะแตะตรงเข้าที่มันไหวนะ ไม่แตะ
ถอนขึ้นมาทวนกลับเข้าหาตัวผู้รู้
พอมันจะมาจับแตะที่ตัวผู้รู้
ก็ไม่แตะนะ ทวนกลับไปหาความรู้สึกอีก
เนี่ย ทวนไปทวนมานะ มันรวมพรึ่บลง
สลายตัวลงตรงกลางเลย โลกธาตุนี้ดับไป
ร่างกายหายไป ความคิดนึกปรุงแต่งทั้งหลาย
หายไปหมดเลย เหลือแต่ธาตุรู้ตัวเดียว
เหลือธาตุรู้อยู่ตัวเดียว
เราถอยออกมาแล้วตอนจิตมันถอน
จิตมันถอนเองนะ เพราะความคิดไม่มี
พอจิตถอนออกมา
โอ้ ตรงนี้ไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม
มีแต่ธาตุรู้เฉยๆ ไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม
ไม่มีเวลา ไม่รู้เวลาเลยนะ
ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์
(คิดว่า)นี่ละมั้งนิพพาน
ถ้าเราอยู่ตรงนี้เรื่อยๆ มันคงจะนิพพาน
คิดอย่างนี้ ก็ฝึกเล่นอยู่ตรงนี้นะ
แล้ววันนึงก็พบว่า"ไม่ใช่นะ"
จิตยังเคลื่อนนะ เคลื่อนไปเคลื่อนมา ๆ ไม่ใช่
.
ขึ้นไปหาหลวงปู่เทสก์
บอกหลวงปู่ครับ ผมสงสัยว่า
ที่ผมฝึกอยู่เนี่ย มันจะเป็นสมาธิเฉยๆ
หลวงปู่หัวเราะ ท่านบอกว่าฉลาด
ตรงเนี้ยเป็นสมาธิจริง แต่ไปฝึกไว้
ฝึกสมาธิชนิดต่างๆไว้ให้ชำนาญ
เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาเล่นกันแล้ว
เรื่องสมาธิไม่มีคนเล่น
หลวงพ่อก็เรียนท่าน
บอกว่า ผมกลัวติดครับ
ท่านบอกไม่ต้องกลัว
ท่าทางท่านคึกคักมากนะ
(ท่านบอก)ไม่ต้องกลัวนะ
ถ้าติดอาตมาจะแก้ให้ ท่านว่าอย่างนี้
โหเรา ครูบาอาจารย์ให้ท้ายเราเอาเลย
เล่นทุกวันเลยคราวนี้นะ
จนไปเจอหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร (วัดถ้ำผาผึ้ง)
หลวงปู่บุญจันทร์ให้พระมาเรียกหลวงพ่อไปหา
ไม่รู้จักท่านนะ แต่ท่านฤทธิ์เยอะ
อนาคตังสญานท่านเก่ง
ท่านให้พระไปดักรอหลวงพ่อ
หลวงพ่อจะไปหาอาจารย์ทองอินทร์ที่วัดสันติธรรม
ท่านให้พระไปเฝ้าที่ประตูเอาตัวเราไปจนได้
ไปถึงก็ชี้หน้าเลย ตะคอกเรา(ว่า)ภาวนายังไง?!
เล่าให้ท่านฟังนะ (ว่า)ไม่จับผู้รู้ ไม่จับสิ่งที่ถูกรู้
ไม่ยึดถืออะไรเลย
โดนท่านตวาดเอา
เฮ้ย!นิพพานอะไรมีเข้ามีออก
เดิมเราคิดว่าทำอย่างนี้แล้วมันจะนิพพานนะ
ต่อมารู้ว่านี่มันเป็นสมาธิ
พอท่านตวาดเอา เลิกเลย
โดนท่านตวาดไปสองรอบ
ตวาดว่า นิพพานอะไรมีเข้ามีออก
(ก็)รู้ว่าไม่ใช่
.
... งั้นเวลาที่เราภาวนานะ
เราส่งจิตไปข้างนอกก็ไม่ใช่
ส่งจิตเข้ามาข้างในก็ไม่ใช่
รักษาจิตเอาไว้กลางๆ ก็ไม่ใช่
มีแต่ของผิดทั้งนั้นเลย ของถูกไม่มี
มีแต่ของทำผิดทั้งนั้นเลย
ของถูกมันอยู่ตรงไหน ?
อยู่ที่ว่า" รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น"
.
รู้อย่างที่มันเป็น
งั้นจิตเราจะเคลื่อนไปข้างนอก เราก็รู้ทัน
จิตเราจะไหลเข้าไปข้างใน เราก็รู้ทัน
เราประคองรักษาจิตเอาไว้ตรงกลาง เราก็รู้ทัน
"จิตทำงานยังไง รู้ไปเรื่อยๆ "
จิตที่ไหลไปนะ เป็นจิตที่ตามกิเลสไป
ส่วนจิตที่เราประคองไว้
เป็นจิตที่เราพยายามจะสร้างความดี
ตรงที่จิตไหลไปไหลมาเนี่ย
เรียกว่า"อปุญญาภิสังขาร"
(คือ)ความปรุงที่ไม่ใช่บุญ-อปุญาภิสังขาร
ตรงที่เราประคองรักษาจิตเอาไว้
เป็นความปรุงแต่งเรียกว่า "ปุญญาภิสังขาร"
.
ยังมีอีกอย่างหนึ่งนะ
ก็คือความปรุงแต่งที่จะไม่ปรุงแต่ง
เรียกว่า"อาเนญชาภิสังขาร" พยายามจะไม่ปรุงแต่ง
อย่างพยายามทำจิตให้ว่าง
พยายามทำจิตไม่รับรู้อารมณ์
(เข้ารูปฌานที่๔)เป็นพรหมลูกฟัก
หรือตั้งใจไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
ไอ้โน่นก็ไม่ยึด ไอ้นี่ก็ไม่ยึด
พยายามจะไม่ให้ยึดไม่ให้แต่ง
อันนี้แหละเรียกว่า"อาเนญชาภิสังขาร"
ความปรุงแต่งอีกชนิดหนึ่ง
(คือ)แต่งที่จะไม่แต่ง แต่งที่จะไม่ยึด
.
ความปรุงแต่งมี ๓ อย่างเอง
หมุนอยู่ในใจเราทั้งวันของนักปฏิบัติ
ถ้าคนไม่ปฏิบัติเนี่ยส่วนใหญ่มีอันเดียวแหละ
ปรุงชั่ว ปรุงบาปทั้งวัน ปรุงกุศลไม่ค่อยมี
เพราะจิตหลงตลอด
ส่วนเรานักปฏิบัตินะ เราก็มีปรุงดีด้วย
คือประคองรักษาจิตไว้ (เป็นการ)ปรุงดี
หรือบางคนก็ชอบปรุงว่าง ปรุงใจให้ว่าง
นิ่งๆ ว่างๆ ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง
อันนั้นก็เป็นความปรุงแต่งชนิดที่ ๓
ชื่อ"อาเนญชาภิสังขาร"
.
ความปรุงแต่ง
จะปรุงชั่ว ปรุงดี ปรุงว่าง
เกิดจากรากเหง้าอันเดียวกันนะ คือ"อวิชชา"
ความไม่รู้ความจริงของรูปนาม/กายใจ
ว่า กายนี้คือทุกข์ ใจนี้คือทุกข์
เพราะไม่รู้ความจริงมันก็เลยอยากมีความสุข
ที่เราปรุงชั่ว เพราะอะไร ?
เพราะอยากมีความสุขนะ
เราไม่ได้อยากมีความทุกข์
คนที่ทำความชั่ว เพราะอยากมีความสุข
คนที่ทำความดี ปฏิบัติกรรมฐาน
ก็เพราะอยากมีความสุข
คนที่พยายามฝึกจิตให้ว่างๆ นิ่งๆ
ก็เพราะอยากมีความสุข
มันไม่เห็นความจริง
ว่ากายนี้คือตัวทุกข์ ใจนี้คือตัวทุกข์
เพราะอวิชชายังอยู่มันก็จะปรุงแต่ง ๓ แบบ
.
ถ้าเป็นพวกไม่เคยเรียนกรรมฐาน
ก็จะปรุงชั่วเป็นหลัก
ถ้าพวกเรียนกรรมฐานเริ่มต้น
เรียนกรรมฐานปานกลาง
ก็จะปรุงดี ปรุงจิตให้นิ่งๆ
ถ้าพวกลีลามากชั้นเชิงมากทำกรรมฐานเก่ง
ก็จะปรุงจิตให้ว่างๆ
(จิต)มันปรุงได้ ๓ แบบ
อวิชชาเป็นรากเหง้าของสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
อยู่ๆ เราจะไปสั่งจิตว่าอย่าปรุง
มันจะไปตกเข้าการปรุงอันที่ ๓
คือจะปรุงความไม่ปรุง-ไปตกอาเนญชาภิสังขาร
.
งั้นหน้าที่เราไม่ใช่อยู่ดีๆ จะไปสั่งจิต
ว่าจงอย่าปรุงชั่ว จงปรุงดี จงทำจิตให้ผ่องแผ้ว
สั่งมีคำว่า จงอย่างนี้ๆ อย่างนี้
จิตเป็นอนัตตา-"สั่งไม่ได้"
"แต่(จิต)เรียนรู้ได้"
.
เราค่อยๆเรียนรู้ไป
จิตเราไหลไป-หลงไป-ลืมตัว (จิต)ไหลไป "รู้ทัน"
พอรู้ทัน ความปรุงแต่งที่เรารู้ทันแล้วมันจะดับ
จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
.
เราเพ่งอยู่ เรารู้ทัน หายมั้ย
เวลาเพ่งแล้วรู้ว่าเพ่ง หายมั้ย ?
ไม่หาย เพราะการที่เราเพ่งอยู่เนี่ย
เป็นปุญญาภิสังขาร ไม่ใช่อปุญญาภิสังขาร
แต่จิตหลงเนี่ยเป็นจิตมีอุทธัจจะ-มีโมหะ
ทันทีที่รู้ว่าจิตมีกิเลสนะ กิเลสจะดับทันที
แต่ถ้าเราปรุงขึ้นมาเพราะความดี
เราอยากเป็นคนดี อยากเป็นนักกรรมฐาน
เรารักษาจิตประคองอยู่ รู้ว่าเพ่ง ไม่หายเพ่งหรอก
จนกว่าจะทำลายรากเหง้าของการเพ่ง
รากเหง้าของการเพ่งอยู่ที่ไหน ?
"อยู่ที่อยากดี"
อยากดี อยากพ้นทุกข์ อยากได้มรรคผลนิพพาน
.
ถ้าเมื่อไหร่รู้เข้าไปที่"อยาก"
รู้ทันใจที่อยากนะ ความอยากดับปุ๊บ
การเพ่งจะดับ พอความเพ่งดับ
ความอึดอัดซึ่งเป็นวิบากก็จะดับ
ด้บตามกันเป็นลำดับ
.
ถ้าเราเพ่งแรงเนี่ยมันจะอึดอัด
หลังจากเลิกเพ่งแล้วเนี่ยมันจะอึดอัดไปอีกช่วงหนึ่ง
แต่ถ้าเราเพ่งไม่แรงเนี่ย พอเราเลิกเพ่งแล้ว
เพราะเรารู้ทันตัณหาที่ผลักดันให้เพ่ง
รู้ทันความอยากที่ผลักดันให้เกิดการเพ่งมันก็จะดับ
ความทุกข์มันก็ดับเร็ว(คือ)ความแน่นๆ
เวลาที่จงใจปฏิบัติ รู้สึกมั้ยจะแน่น
นั่นแหละเรากำลังปรุงดีอยู่ ปรุงดี แน่นๆ
แล้วให้แน่นให้ตายก็ไม่บรรลุมรรคผลหรอก
เพราะสิ่งที่ทำให้แน่นเนี่ย
ก็คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน
"เรากำลังสนองกิเลสอยู่นะด้วยการทำความดี"
ฟังแล้วแปลกดีมั้ย
สนองกิเลสด้วยการทำความดี
รักตัวเองนั่นแหละ อยากให้ตัวเองดี มีความสุข
อยากให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
เพราะรักตัวเองเราก็พยายามตอบสนอง
ด้วยการสร้างคุณงามความดี
งั้นต้องดูนะ
ไอ้ที่ทำดีบางทีทำเพื่อกิเลสน่ะ
กิเลสเป็นปัจจัยของกุศลก็ได้
แต่เป็นกุศลที่ไม่ฉลาด กุศลที่โง่
จะว่ากุศลที่โง่ก็เป็นคำที่ไม่สุภาพไปนิดนึงนะ
ต้องเรียกว่าจิตเป็นกุศล แต่ว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา
เป็นมหากุศลจิต แต่เป็นญาณวิปยุต
(คือ)ไม่ประกอบด้วยปัญญา
จะบอกโง่ มันก็ไม่เชิงโง่นะ (เพราะ)ยังรู้จักทำกุศล
เรียกว่าฉลาดน้อยก็แล้วกันสุภาพหน่อย
.
งั้นถ้าเราภาวนานะแล้วใจเราแน่นขึ้นมา
รีบรู้เลย นี่ฉลาดน้อยแล้ว ฉลาดน้อยไปหน่อย
ถ้าฉลาดมากจะทำยังไง ?
(วิปัสสนา)"ทำ" ไม่ได้
(ให้)รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช
"การปฏิบัติธรรม เราต้องรู้ว่าเราจะปฏิบัติเพื่ออะไร!
ใจเป็นที่รองรับธรรมะ
อันแรกเลย
เราต้องปฏิบัติเพื่อให้เห็นความจริง
ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา"ตัวเราไม่มี"
ถ้าเมื่อไหร่เห็นว่าตัวเราไม่มีนะ
วันนั้นจะได้พระโสดาบัน
เพราะพระโสดาบัน
คือผู้ที่รู้ความจริงว่าตัวเราไม่มี
กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา
ฉะนั้นการปฏิบัติ
ไม่ว่าจะปฏิบัติกรรมฐานแบบใด ถ้าถูกต้องนะ
จะต้องเป็นการเรียนรู้กายเรียนรู้ใจตัวเองเท่านั้น
เรียนรู้แล้วก็เรียนรู้ความจริงด้วย
ไม่ใช่เรียนรู้สิ่งที่เหนือความจริง
"ความจริงของกายของใจ คือไตรลักษณ์"
.
เพราะฉะนั้น
กรรมฐานจริงๆที่เราฝึกกันแทบเป็นแทบตายเนี่ย
"เพื่อให้เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์ "
ถ้าไปเห็นกายเห็นใจ
แล้วไม่เห็นไตรลักษณ์..ก็ใช้ไม่ได้
ถ้าไม่เห็นกายไม่เห็นใจ.. ใช้ไม่ได้เลย
งั้นต้องรู้กายรู้ใจ
แล้วก็เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์
.
การรู้กายรู้ใจ.. รู้ด้วยสติ
การเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์.. รู้ด้วยปัญญา
เครื่องมือก็คือ สติ กับ ปัญญา
เนี่ยกรรมฐาน
จะใช้รูปแบบอะไรไม่สำคัญหรอก
ต้องฝึกให้(จิต)มันมีสติมีปัญญาขึ้นมาให้ได้
ถ้าขาดสติขาดปัญญาก็ไร้สาระแล้ว.. ใช้ไม่ได้
นี้พวกเราฝึกกรรมฐานเนี่ย
เรามักจะมีแต่สติ ไม่มีปัญญา
ในความเป็นจริง
คือเราฝึกแล้วเรามักจะมีแต่สติ ไม่มีปัญญา
เช่นเรารู้ลมหายใจเข้า เรารู้ลมหายใจออก
สติเราจับอยู่ที่ลมหายใจไม่หนีไปไหนเลย
แต่ไม่มีปัญญา มันจับนิ่งๆอยู่กับลม
หลายคนดูท้องพองยุบ
สติจับอยู่ที่ท้องไม่เคลื่อนไปไหนเลย นิ่งๆอยู่ที่ท้อง
ก็เห็นแต่ท้องพองท้องยุบอยู่อย่างนั้นเอง
ไม่มีปัญญา-ไม่เห็นมีไตรลักษณ์ตรงไหนเลย
บางคนเดินจงกรม ยกเท้า ย่างเท้า
สติแนบอยู่ที่เท้า สติเพ่งจ่อนิ่งๆอยู่กับเท้า
เท้าจะยก เท้าจะย่าง เท้าจะเหยียบ
อะไรเนี่ยรู้หมดเลย แต่สติแนบอยู่ที่เท้า
อันนี้ก็จะไม่มีปัญญา
มันมีแต่สติอย่างเดียว ขาดปัญญาเนี่ย
สิ่งที่ได้นะ คือ"สมถะ"
ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์นะ
เห็นกายเห็นใจจริง
แต่ว่าไม่เห็นกายเห็นใจแสดงไตรลักษณ์
อันนั้นเป็นสมถกรรมฐานทั้งหมดเลย
พวกเราอย่านึกว่าแค่รู้กายรู้ใจแล้วก็เป็นวิปัสสนา
ไม่เป็นหรอก
วิปัสสนาจริงๆ ไม่ใช่การรู้กายรู้ใจ
วิปัสสนาจริงๆ
*** คือการรู้ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ ***
ต้องชัดเจนขนาดนี้นะ เพราะอะไร ?
เพราะว่าวิปัสสนา ทำไปเพื่อถอนความเห็นผิด
เพื่อละความเห็นผิด ว่ากายกับใจเป็นตัวเรา
ถ้าเราเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์
เราก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ละความเห็นผิดได้
.
ลำพังเห็นกายเห็นใจ แล้วก็ทื่อๆ นิ่งๆ
ทื่อ ๆ อยู่นะ สามวันสามคืน
หรือทำสมาบัตินิ่งไม่กระดุกกระดิก
ไม่กินข้าวอยู่ ๗ วัน ๗ คืน
อะไรอย่างนี้มันไม่มีปัญญา
มันไม่สามารถถอดถอนความเห็นผิด
ว่ากายกับใจเป็นตัวเราได้
ฉะนั้น เราต้องมีทั้งสติ มีทั้งปัญญา
มีสติรู้สภาวะ คือรู้กายรู้ใจที่กำลังปรากฏ
มีปัญญา เข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ
ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ไม่ใช่เป็นตัวเรา
บางคนเห็นว่า
มันไม่เป็นตัวเราเพราะ.. มันไม่เที่ยง
บางคนเห็นว่า
มันไม่ใช่ตัวเราไม่เป็นตัวเราเพราะ.. มันเป็นทุกข์
บางคนเห็นว่า
มันไม่ใช่ตัวเราเพราะ.. มันบังคับไม่ได้
มันเป็นวัตถุมันเป็นก้อนธาตุ
มันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพียงอันใดอันหนึ่ง
ย้ำคำว่าเพียงอันใดอันหนึ่ง
ก็สามารถละความเห็นผิด
ว่ากายกับใจเป็นตัวเราได้
นี้แล้วแต่บุคคล
หน้าที่ของเราแค่มีสติรู้กายรู้ใจ
มีปัญญาเข้าใจความเป็นจริง
ของกายของใจไปเรื่อยๆ
ตรงที่อริยมรรคจะเกิดนะ
บางคนเกิดเพราะ เห็นอนิจจังของกายของใจ
บางคนเห็นทุกข์(ทุกขัง)ของกายของใจ
บางคนเห็นอนัตตาของกายของใจ
แล้วก็ละความเห็นผิดว่ากายกับใจเป็นเรา
.
หลวงพ่อขอวิจารณ์ตรงๆนะว่า
ผู้ปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยมีแต่..สติ
อย่างมากก็มีสติ แต่ไม่มีปัญญา
สังเกตง่ายๆเลย
ภาวนาไปนะ สงบขึ้นมาเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านใหม่ ๆ
ตลอดชีวิตทำได้แค่เนี้ย
ได้แค่สงบแล้วก็ฟุ้ง ๆ ไปเรื่อยๆ
หรือยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งผิดมนุษย์ปกติ
ยิ่งปฏิบัติก็ซึมๆ เซื่องๆนะ
ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ผิดปกติ
ถ้าปฏิบัติแล้วผิดปกติ ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว
ไม่ถูกต้องแล้ว
"เพราะธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา"
เราปฏิบัติเพื่อให้เห็นธรรมดาของกาย
เพื่อให้เห็นธรรมดาของใจ
ไม่ใช่ปฏิบัติจนกายก็ผิดธรรมดา ใจก็ผิดธรรมดา
หลวงพ่อเคยรู้จักผู้หญิงคนนึง
แปรงฟันนะ (หลัง)กินข้าวเช้า
แปรงฟันจนกระทั่งเพื่อนกินข้าวเสร็จแล้ว
ยังแปรงฟันไม่เสร็จเลย
ซึมๆไปนะ วันนึงก็สติแตก มันเครียดเกินไป
.
หลวงพ่อก่อนจะบวชนะ
เที่ยวตระเวนไปเยอะเลย
เข้าไปดูแต่ละสำนักเขาเรียนอะไรกัน
สิ่งที่พบในแต่ละแห่งๆนะ
ก็คือผู้ปฏิบัติส่วนมากติดสมถะ
ทั้งๆที่บอกว่าทำวิปัสสนานะ.. แต่ติดสมถะ
ยกตัวอย่าง
บางคนเดินจงกรมกำหนดรูปนามไปเรื่อย
เดินจงกรมไป ยกเท้า ย่างเท้า ก็รู้นะ
เสร็จแล้ว ก็เกิดตัวลอย ตัวเบา ตัวโคลงขึ้นมา
เกิดขนลุกขนชัน เกิดความรู้สึก
เหมือนแมลงมาไต่ตัวเล็กบ้างตัวใหญ่บ้าง
รู้สึกเหมือนฟ้าแลบ แปร๊บๆ ปร๊าบๆ
อันนั้นสอนกันบอกว่า มีวิปัสสนาญาณ
ในความเป็นจริงไม่ใช่วิปัสสนาญาณ
วิปัสสนาญาณเป็นชื่อของ"ปัญญา"
ไม่ใช่ชื่ออาการทางร่างกาย
อาการทางร่างกายที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวงนั้น
ล้วนแต่เป็นเรื่องของปีติตั้งสิ้นเลย
มันเกิดจากการทำสมถะ
"โดยที่ไม่รู้ตัวว่าทำสมถะอยู่"
การที่เราเดินจงกรม
แล้วจิตของเราแนบ สติของเราแนบอยู่ที่เท้านั้น
ไม่เคลื่อนไปไหนเลย มันคือ"การเพ่งอารมณ์"
(อารมณ์คือสิ่งที่จิตไปรู้เข้า)
การเพ่งตัวอารมณ์เนี่ย
ภาษีบาลีเรียกว่า
อารัมมณูปนิชฌาน-การเพ่งตัวอารมณ์
อารัมมณูปนิชฌานเนี่ย
เป็นการทำสมถกรรมฐานนั่นเอง
เพราะฉะนั้น
ทำสมถกรรมฐานเพ่งรูปไปเรื่อย
เช่นเพ่งลมหายใจ เพ่งท้องพองยุบ
เพ่งเท้าเวลาเดินจงกรม เพ่งมือเวลาขยับมือ
รวมความแล้วก็คือเพ่งได้ทั้งนั้นเลย
ทำกรรมฐานอะไรก็มาเพ่งได้ทั้งนั้นเลย
ถ้าลงไปเพ่งตัวอารมณ์เมื่อไหร่นะ
ก็เป็นอารัมมณูปนิชฌาน
นั่นคือการทำสมถกรรมฐาน
เพ่งแล้วตัวลอย ตัวเบา ตัวโคลง
ขนลุกขนชันอะไรอย่างเนี้ย
ทำสมถะจิตสงบขึ้นมาช่วงหนึ่งก็ฟุ้งขึ้นมาอีก
เพราะสมถะเอาเป็นที่พึ่งที่แท้จริงอะไรไม่ได้หรอก
หรือเข้าสมาธิได้ เข้าสมาบัติหลายๆวัน
ออกมากิเลสก็ฟุ้งกลับมาได้อีก
*** ละกิเลสไม่ได้จริง ไม่ใช่วิปัสสนาแท้ๆ ***
.
นี่เที่ยวไปดูนะ
เจอ(คนฝึกกรรมฐาน)อย่างนี้เยอะมากเลย
หลวงพ่อก็มาพิจารณาว่าอะไร
ทำให้พวกเราที่ปฏิบัติที่อยากพ้นทุกข์
อยากทำวิปัสสนาพยายามรู้รูปรู้นามเนี่ย
ไม่เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม
หลวงพ่อก็พบว่า
มันมีเงื่อนไขที่สำคัญอันนึง
ที่จะทำให้เกิดปัญญา"คือสัมมาสมาธิ"
ในพระอภิธรรมสอนไว้นะ
พระอภิธรรมสอนไว้ชัดเจนเลย
บอก.. " สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา"
ถ้าขาดสัมมาสมาธิสักอย่างเดียว ปัญญาจะไม่เกิด
เกิดแต่สติ
เอาสติกำหนดกาย กำหนดใจ กำหนดเวทนา
กำหนดลมหายใจ กำหนดท้องพองยุบ
กำหนด มือกำหนดเท้า กำหนดกายทั้งกาย
กำหนดลงไป กำหนดลงไปนะ มันได้แต่สติ
มันไม่มีสัมมาสมาธิ
.
กรรมฐานหลายๆแห่ง ปฏิเสธสมาธิ
เห็นว่าไม่ต้องทำ(สมาธิ)หรอก
มีสติแล้วก็เกิดสมาธิเอง
ถ้ามี.."สัมมาสติ"..จะเกิดสมาธิเอง
แต่สติที่พวกเรามี
มันไม่ใช่สัมมาสติ มันเป็นมิจฉาสติ
บางคนบอกว่า คำว่ามิจฉาสติไม่มี
มีนะ ลองไปsearch ดู
ในพระไตรปิฎกมีคำว่ามิจฉาสติจริงๆ
สัมมาสติ กับมิจฉาสติ ไม่เหมือนกัน
มิจฉาสติเกิดจากการกำหนด
การเพ่ง การจ้อง การกำหนด"ทำด้วยโลภเจตนา"
มีโลภเจตนา
อยาก ..อยากปฏิบัติก็กำหนดมือ
กำหนดเท้า กำหนดท้อง กำหนดลมหายใจ
กำหนดอิริยาบถไปเรื่อยๆ จงใจกำหนดนะ
มีโลภะแทรกอยู่ งั้นทำไปด้วยกิเลส
ไม่ใช่ทำด้วยสติแท้ๆ
.
สติแท้ๆ เป็นความระลึกได้
สติมันระลึกถึงรูปธรรมนามธรรม
สติ ทำหน้าที่ระลึก สติไม่ได้ทำหน้าที่กำหนด
งั้นสติคือความระลึกได้
สติไม่ได้แปลว่าความกำหนดได้
"สติเป็นความระลึก"
.
อะไรทำให้สติเกิดขึ้น ?
ในพระอภิธรรมก็สอนนะ "ถิรสัญญา"
คือการที่จิตจำสภาวธรรมได้แม่นยำ
เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ
ถิรสัญญา คือ"การที่จิตจำสภาวะได้แม่น"
หน้าที่เราต้องหัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆนะ
ความโกรธเกิดขึ้น..ก็รู้
ความโลภเกิด..ก็รู้
ความหลงเกิด..ก็รู้
ร่างกายยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้ นั่งอยู่ก็รู้ นอนอยู่ก็รู้
เป็นสุข ก็รู้ เป็นทุกข์ ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้
อะไรเกิดขึ้นในกายในใจ คอยรู้ไปเรื่อยๆ
อย่าไปแทรกแซง
ให้ตามรู้ไปเรื่อยๆ ต้องตามรู้นะ
ในสติปัฏฐานท่านถึงใช้คำว่ากายานุปัสสนา
กายานุปัสสนา.. การตามเห็นกายเนืองๆ
เวทนานุปัสสนา.. การตามเห็นเวทนาเนืองๆ
จิตตานุปัสสนา.. การตามเห็นจิตเนืองๆ
ธัมมานุปัสสนา..การตามเห็นสภาวธรรมเนืองๆ
ตามเห็นเนืองๆ
ตามเห็นบ่อยๆ มันก็จะจำสภาวะได้แม่น
พอ(จิต)มันจำสภาวะได้แม่น สติจะเกิดเอง
สติจะเกิด โดยที่ไม่ได้จงใจให้เกิด ไม่ได้กำหนด
ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น มันเกิดเอง
.
ถ้าสติตัวจริงตัวแท้เกิดเนี่ย
สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิชนิด"ขณิกสมาธิ"
ก็จะเกิดได้ เพราะอะไร..?
เพราะทันทีที่สติเกิดเนี่ย จิตจะเป็นกุศล
จิตที่เป็นกุศลเนี่ย มันมีความสุขอยู่ในตัวเอง
"ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ"
ใจมันจะเกิดสมาธิขึ้นมาอัตโนมัตินะ
แต่อยู่ชั่วขณะเรียกว่าขณิกสมาธิ
นี้บางคน
อยากฝึกให้ได้สัมมาสมาธิ ที่มันลึกซึ้งกว่านี้
ก็ยังทำได้อีก โดยการฝึกเข้าสมาธิฝึกเข้าฌาน
นี้พวกเราละเลย
การเรียนกรรมฐานอย่างเป็นขั้นตอนที่ถูกต้อง
ที่พระพุทธเจ้าวางหลักสูตรไว้ให้
หลักสูตรของพระพุทธเจ้าชื่อว่า"ไตรสิกขา"
ไตรสิกขาแปลว่า เรื่องที่ต้องเรียน ๓ เรื่อง
เรื่องศีลสิกขา.. เรียนเรื่องศีล
ทำยังไงจะเกิดความเป็นปกติในกายวาจาใจ
เรื่องจิตตสิกขา
ทำยังไงจิตของเราจะมีกำลังตั้งมั่นขึ้นมา
มีสัมมาสมาธิตั้งมั่นขึ้นมา
ปัญญาสิกขา
ทำยังไงจิตที่มีสัมมาสมาธิแล้วตั้งมั่นแล้ว
จะเกิดปัญญา คือเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ
นี่บทเรียนมี ๓ บท
.
แต่บทเรียนที่อาภัพที่สุดนะ
คือบทเรียนชื่อ"จิตตสิกขา"
พวกเราแทบจะไม่เคยเรียนเลย
แต่พอไปเรียนเข้าจริง
แทนที่จะเป็นสัมมาสมาธินะ
ส่วนใหญ่กลายเป็นมิจฉาสมาธิไปอีกแล้ว เพราะว่า
ไม่ได้เรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดีซะก่อน
อยู่ๆ ก็เชื่ออาจารย์ หรือว่าลุยเข้าไปเลยนะ
ไปรู้ลมหายใจ รู้ไปเรื่อยมันก็เคลิ้มลงไป
ขาดสติลืมเนื้อลืมตัว
อย่างนั้นก็ใช้ไม่ได้ มันไม่ใช่สัมมาสมาธิ
มันเป็นสมาธิที่ประกอบด้วยโมหะ
สมาธิประกอบด้วยโลภะ
มันไม่ใช่สัมมาสมาธิ
หรืออย่างบางคนนะ
พอมีศรัทธาแก่กล้าก็เข้าคอร์ส
กำหนดเลยนะ ยกเท้า ย่างเท้า
งั้นพยายามจะเจริญปัญญาสิกขา
แต่ไม่ได้เรียนจิตตสิกขา ไม่เรียนเรื่องจิต
บางคนประกาศวาทะด้วย
ว่าจะไม่เรียนเรื่องจิต จะเจริญปัญญาเลย
นั่นข้ามบทเรียนสำคัญนะ
คือบทเรียนของจิตตสิกขาไป
ถ้าเราไม่ข้ามบทเรียนเนี่ย
เราค่อยๆเรียนเป็นลำดับไป เราจะเข้าใจว่า
จริงๆแล้ว จิตชนิดไหนที่ควรแก่การเจริญปัญญา
จิตชนิดไหนที่ใช้ทำสมถะ
จิตชนิดไหนไม่ควรแก่สมถะและวิปัสสนา
เนี่ยเราต้องเรียนจนเราแจ่มแจ้งตรงนี้
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ที่จริงแล้วถ้ารู้หลักของการปฏิบัตินะ
อยู่ที่ไหนเราก็ภาวนาของเราได้
คำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้
ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดให้ไว้นะ
นำทางให้เราไปได้
อย่างหลวงพ่อสอนพวกเรานะ
ว่าอันแรกถือศีล ๕ ไว้
ต้องถามมั้ย ถือศีล ๕ ทำยังไง
ถือศีล ๕ ไว้
ทุกวันปฏิบัติในรูปแบบ
-วันไหนจิตฟุ้งซ่านทำความสงบ(สมถกรรมฐาน)
-วันไหนสงบแล้วเจริญปัญญา(วิปัสสนากรรมฐาน)
ทำความสงบทำยังไง สอนอีก
ถ้าจะทำความสงบ
ก็น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว
ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง
น้อมใจไปอยู่ในอารมณ์
ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง
เราก็ไปดู เราอยู่กับอารมณ์ชนิดไหนมีความสุข
อยู่กับพุทโธมีความสุข
เราก็น้อมใจไปอยู่กับพุทโธ ไม่บังคับใจนะ
ถ้าบังคับแล้วใจเครียด ไม่สงบน่ะ
.
มันจะยากอะไรนักหนาถ้ารู้หลักแล้ว
พวกที่ทำสมาธิไม่ได้ (เพราะ)ไม่รู้หลัก ไม่รู้วิธี
ใช้ใจที่มีความสุข ไปรู้อารมณ์ที่มีความสุข
รู้สบายๆ แค่นั้นแหละ
แล้วอารมณ์นั้นต้องไม่ยั่วกิเลสด้วยนะ
ถ้าเป็นอารมณ์ที่กระตุ้นกิเลสเนี่ยใช้ไม่ได้
อย่างด่าคนแล้วมีความสุขอย่างนี้นะ ใช้ไม่ได้
หรือเล่นหุ้นแล้วมีความสุข ใช้ไม่ได้หรอก
เพราะเวลาเล่นหุ้นไม่ได้มีความสุขอย่างเดียว
กิเลสเกิดขึ้นเยอะแยะเลย เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ
โกรธใคร ? โกรธตัวเอง
โกรธตัวเองแล้วรู้สึกว่าไม่ดี
เราเป็นคนดีไม่ควรโกรธตัวเอง
โกรธรัฐบาล หรือโกรธอเมริกา
เนี่ยมีข่าวอย่างโน้นอย่างนี้ทำให้หุ้นตก
ใจเนี่ยแกว่ง ใช้ไม่ได้
มันต้องเป็นอารมณ์ที่ดีนะ ไม่ยั่วกิเลส
อย่างพุทโธเนี่ยเป็นอารมณ์ที่ดี
อานาปานสติเป็นอารมณ์ที่ดี
ดูท้องพอง-ยุบไป ถ้าเราชอบดูท้องพอง-ยุบ
เราก็ดูท้องพอง-ยุบไป ด้วยใจที่มีความสุข
ถ้าดูแบบเคร่งเครียด จิตไม่สงบ
.
เนี่ยหลวงพ่อให้หลักไว้แล้ว
แล้วเวลาเราจะปฏิบัติ ช่วงนี้ต้องการความสงบแล้ว
เราก็ใช้หลักของการทำสมถะ
ใช้ใจที่สบายไปรู้อารมณ์ที่สบายนะ
รู้อย่างต่อเนื่องไป แป๊บเดียวสงบ
ถ้าใจเราสบายมีเรี่ยวมีแรงแล้ว
เราเจริญปัญญา(วิปัสสนากรรมฐาน)
สงบอยู่ตลอดชาติใช้ไม่ได้
เรียกว่ามักน้อย สันโดษ แบบโง่ๆ
สันโดษแล้วพอใจ วันๆมีแต่เรื่องสงบ
อย่างนั้นไม่ฉลาดแล้ว
ของดีกว่าความสงบยังมีความรู้จริง-ความรู้แจ้ง
หลักของการจะให้เกิดความรู้จริง-ความรู้ถูก
หรือเกิดสัมมาทิฏฐิ คือ"วิปัสสนากรรมฐาน"
หลักของการทำวิปัสสนากรรมฐานก็สั้นๆ
ที่หลวงพ่อสรุปให้ว่า
*.. มีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง
ด้วยจิตที่ตั้งมั่น แล้วก็เป็นกลาง.. * เท่านี้เอง!
.
รู้กาย รู้ใจ
อันแรกเลย ต้องมีอะไร ? มีสติ
สติเป็นคนรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกาย-ในใจ
สติตัวนี้เรียกว่า"สติปัฏฐาน" ไม่ใช่สติธรรมดา
ทำยังไงสติถึงจะเกิด ?
นี่สอนละเอียดยิบเลย
สติเกิดจากจิตจำสภาวะได้แม่น
งั้นเราจะรู้กาย-รู้ใจเรา
เราต้องหัดเห็นกาย-เห็นใจ บ่อยๆ จนสติเกิดเอง
อย่างเราหายใจออก "เรารู้สึก" หายใจเข้า "เรารู้สึก"
อย่างนี้พอเราหลง กิเลสเกิด
จิตหลงไป จังหวะการหายใจมันจะเปลี่ยน
เวลาที่กิเลสเกิดนะมันจะหายใจแรงขึ้น
เป็นมั้ย เวลาโกรธหายใจแรงขึ้นมั้ย ?
เวลามีราคะหายใจแรงขึ้นมั้ย ?
เนี่ยจังหวะการหายใจมันเปลี่ยน
นี่ถ้าเราเคยหายใจออก "รู้สึกตัว"
หายใจเข้า "รู้สึกตัว"
พอจังหวะ(หายใจ)มันเปลี่ยน
แป๊บเดียวมันจะรู้สึกเลย สติมันก็จะเกิด
มันจำได้แล้วว่าปกติจิตใจเราเป็นอย่างนี้
หรือร่างกายเราเคยหายใจอย่างนี้
จังหวะเป็นอย่างนี้จำได้
พอมันคลาดเคลื่อนไปจากตรงนี้ "สติเกิดเอง"
.
ให้มีอะไร ? มีสติ
สติเกิดได้ยังไง มีได้ยังไง ?
มีได้โดยที่เราหัดรู้สภาวะบ่อยๆ
รู้กายบ่อยๆ รู้ใจบ่อยๆ แล้วสติจะเกิดเอง
ภาษาสมัยนี้เรียก รู้บ่อยๆ
ภาษาโบราณเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเรียก รู้เนืองๆ
เดี๋ยวนี้ใช้คำว่ารู้เนืองๆ เนี่ยต้องแปลอีกทีแล้ว
เป็นยังไง รู้เนืองๆ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้เนืองๆ
รู้บ่อยๆ รู้จักมั้ย รู้บ่อยๆ รู้ถี่ๆ รู้เรื่อยๆ
แค่ร้อยปีภาษาก็เปลี่ยนแล้ว
.
มีสติ เกิดจากการที่เราเห็นสภาวะบ่อยๆ
อย่างเราขี้โกรธอย่างเนี้ย เราคอยดูความโกรธไว้
จิตโกรธก็รู้ จิตหายโกรธก็รู้ ฝึกแค่นี้แหละ
จิตมันจำหน้าตาของความโกรธได้
เวลาความโกรธเกิดนะ มันพุ่งขึ้นมาจากกลางอก
ถ้าโกรธแรงนะพุ่งขึ้นหัวเลย
ราคะก็เหมือนกัน แต่ราคะมันนุ่มนวลกว่าโทสะ
พอมันพุ่งขึ้นมาอย่างนี้ เราจำได้แล้วว่า
ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าโทสะ
พอโทสะเกิดปุ๊บ สติระลึกได้เอง
หรือที่หายใจ เราหายใจจนกระทั่งเคยชิน
พอจังหวะการหายใจเปลี่ยนนะ สติเกิดเอง
ต้องฝึกจนสติเกิดเองถึงจะมีสติ
พอมีสติแล้ว รู้อะไร ? สติทำหน้าที่"รู้"นะ
"รู้กาย-รู้ใจ" ทำหน้าที่ระลึกรู้
สติแปลว่า ความระลึกได้
.
ในภาษาเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน
สติแปลว่า"ความระลึกได้"
สัมปชัญญะ แปลว่า "ความรู้สึกตัว-- รู้ตัว"
มาถึงยุคนี้ก็แปลไม่ออกอีกแล้ว
ยุคของเราเนี่ย
รู้สึกกาย-รู้สึกใจเนี่ย เราเรียกว่า"มีสติ"
อย่างขับรถไม่ตกถนน อะไรอย่างนี้เรียกว่ามีสติ
แล้วรู้สึกตัวเป็นยังไง ?
รู้สึกตัว(สัมปชัญญะ)หมายถึง "รู้ด้วยปัญญา"
รู้ว่า อะไรมีประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์
อะไรที่เหมาะกับเรา อะไรไม่เหมาะกับเรา
แล้วก็ไม่หลงลืม
อย่างอารมณ์กรรมฐานที่เหมาะกับเราคืออะไร
เราไม่หลงไม่ลืมมัน-สนใจ-ใส่ใจ
อย่างนี้ เรียกว่ามีสัมปชัญญะ
ฟังแล้วมันไม่แปลออกมาว่ารู้สึกตัว
ฟังแล้วเหมือนคนละเรื่องเลย ภาษามันเปลี่ยน
.
งั้นเราคอยรู้สึกไปนะ
ร่างกายเคลื่อนไหว "รู้สึก"
จิตใจเคลื่อนไหว "รู้สึก"
ไม่ต้องรู้ทั้งหมด เอาที่เราถนัด
ถนัดรู้กาย เราก็รู้กายไป
แล้วพอกิเลสมันเกิดนะ
อาการทางกายมันจะเปลี่ยน เราก็จะรู้สึกได้
อย่างเวลาโกรธขึ้นมาตัวมันเกร็ง รู้สึกมั้ย
เวลาโกรธ จะเอาเรื่องแล้ว ร่างกายมันเกร็งขึ้นมาเลย
ถ้าเราคอยรู้สึกกายนะ พอร่างกายมันเกร็งปุ๊บ
รู้สึกเลย โอ้ โกรธแล้ว จะรู้ทันขึ้นมา
เราเคยดูจิตใจ จิตใจเราราบเรียบ
ความโกรธพุ่งขึ้นมามันจะรู้สึก
มีอะไรแปลกปลอมเข้ามา
มีสติเป็นตัวรู้ทันสิ่งที่แปลกปลอมในกาย-ในใจ
รู้ทันความแปลกปลอมที่เกิดขึ้น
งั้นบางทีท่านเปรียบสติเหมือนยาม
ยามเฝ้าอยู่หน้าบริษัทอย่างเนี้ย
คนเดินไปเดินมาทั้งวัน ยามดูทุกคนมั้ย ?
ไม่ดูหรอก มีคนไหนที่แปลกๆมาเนี่ย ยามถึงจะดู
งั้นสตินี่ก็เหมือนกัน
ไม่ได้ว่าเกิดจนเหน็ดเหนื่อยนะ
เวลามันมีอะไรที่ไม่น่าไว้ใจเกิดขึ้นน่ะ
สติมันจะเข้าไปดู เข้าไประลึก
แล้วก็รีบรายงาน รายงานใคร ? รายงานจิต
จิตก็จะมีฝ่ายเสนาธิการ-ตัวปัญญา
วิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น ดี-ไม่ดี อะไรอย่างนี้
พิจารณาสั่งการให้จัดการ อย่างนี้ ๆ
บางทีเสนาธิการไม่อยู่-ที่ปรึกษาใหญ่ไม่อยู่
ไปปรึกษาไอ้คนไม่เอาไหนเข้า-ปรึกษากิเลส
แล้วก็ตัดสินใจผิดๆไป
เนี่ยมันทำงานนะเป็นกระบวนการของเรา
สติ เป็นคนรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกาย-ในใจ
โดยเฉพาะถ้าผิดปกติขึ้นมาเนี่ย จะรู้ไว
ถ้ามันรู้ปกติไปเรื่อยนะ อันนั้นเป็นการหัดนะ
เช่นหายใจออก"รู้สึก" หายใจออก"รู้สึก"
เป็นหัดให้มีสติ
แต่พอโกรธปุ๊บเนี่ยสติระลึกได้เอง
อย่างนี้สติเกิดแล้ว อัตโนมัติ
.
มีสติ รู้กาย รู้ใจ ..รู้ยังไง ?
รู้ "ตามความเป็นจริง"
กายเป็นยังไง.. "รู้ว่าเป็นอย่างนั้น"
ใจเป็นยังไง.. "รู้ไปอย่างนั้นแหละ"
ไม่ใช่มีสติแล้วเข้าไปแทรกแซงกาย แทรกแซงใจ
อย่างเรารู้กาย-รู้ใจอย่างนี้ บางทีก็รู้ บางทีก็ไม่รู้
งั้นสติบางทีก็เกิด บางทีก็ไม่เกิด
ไม่ต้องเกิดตลอด
ถ้าอยากให้สติเกิดตลอดทำได้อย่างเดียว.. คือเพ่ง
เพ่งกาย-เพ่งใจไว้ "มันไม่ขึ้นวิปัสสนา"
เรารู้สบายๆ รู้ตามความเป็นจริง
ความเป็นจริงของเราก็คือ ...
จิตนี้ดีบ้าง เลวบ้าง
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
รู้สึกตัวบ้าง หลงบ้าง
ร่างกายนี้หายใจออกบ้าง หายใจเข้าบ้าง
ยืน เดิน นั่ง นอนบ้าง อะไรอย่างนี้เคลื่อนไหว
รู้อย่างที่เขาเป็นไปเรื่อยๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง
ไม่อยากรู้ตลอดเวลา
อยากรู้ตลอดเวลาก็จะกลายเป็นเพ่งเอา
แล้วก็ รู้แล้วก็ไม่แทรกแซง
กิเลสเกิด ก็รู้ว่ามีกิเลส
ไม่ใช่กิเลสเกิดแล้วทำยังไงจะไม่เกิด
เกิดแล้วทำยังไงจะละเสีย
อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่หน้าที่ของสติ
สติเป็นตัวรู้เท่านั้น ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
.
งั้นเรามีสตินะคอยรู้กาย คอยรู้ใจ
มีอะไรเกิดขึ้นในกาย"ก็รู้" มีอะไรเกิดขึ้นในใจ "ก็รู้"
แต่มันมีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง
จะรู้ได้ต้องมีองค์ธรรมอีกชนิดหนึ่งคือ"สมาธิ"
ลักษณะของสมาธิคือ"ความตั้งมั่นของจิต"
สมาธิอย่าไปแปลชุ่ยๆ ว่าสงบนะ
*สมาธิคือความตั้งมั่น-ไม่คลอนแคลน*
จิตเราไม่ค่อยตั้งมั่น รู้สึกมั้ย ไหลตลอดเวลา
เวลาเราดูเนี่ยจิตเราไหลมั้ย มันไหลไปเห็นมั้ย
เวลาเราฟังจิตไหลมั้ย
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์นะ
จิตไหลตลอดเลย อย่างนี้เรียก"จิตไม่ตั้งมั่น"
.
จิตตั้งมั่นเนี่ย
เวลาดู มันจะเห็นรูปอยู่โน่นนะ ใจเป็นคนดู
ดูสบายๆ เหมือนเราอยู่บนหอคอย
แล้วมองลงมาข้างล่าง
หรืออยู่บนตึกแล้วมองลงมาที่สนาม
เราเป็นคนดู ดูห่างๆ ดูสบายๆ
หรือเหมือนเรายืนอยู่บนตลิ่ง
แล้วมองสิ่งที่ผ่านมาในน้ำ
เราไม่ตกลงไปในน้ำ
งั้นใจเราตั้งมั่นอยู่ต่างหากนะ เป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่
.
ทำไยังไงจะได้ใจที่ตั้งมั่น มันก็มีวิธีฝึกอีก
ทำยังไงจะมีสติ แล้วก็ทำยังไงจะมีใจตั้งมั่น
วิธีให้มีสติก็คือ หัดรู้สภาวะบ่อยๆ
วิธีจะให้ใจตั้งมั่น ก็คือ
รู้สภาวะอันนั้นแหละ แต่รู้ทันจิต
เช่นเราหายใจไป เราพุทโธไปนะ
แล้วเราคอยรู้ทันจิตตัวเอง
จิตหนีไปคิด ..ก็รู้
จิตไปแนบกับพุทโธ ..ก็รู้
จิตไปแนบอยู่ที่ลมหายใจ ..ก็รู้
จิตไปแนบอยู่ที่ท้อง ..ก็รู้
จิตไปแนบอยู่ที่เท้า ..ก็รู้
*รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป*
เคลื่อนไปคิดก็มี
เคลื่อนไปเพ่งนิ่งๆอยู่เฉยๆ ก็มี
ถ้าเรารู้ทันจิตที่เคลื่อนนะ
พอรู้ทันจิตที่เคลื่อน จิตจะตั้งมั่น-จิตจะไม่เคลื่อน
จิตที่เคลื่อนนั้นมันจิตหลง-จิตฟุ้งซ่าน
งั้นถ้าเมื่อไหร่เรามีสติ
รู้ทันว่าจิตหลงไป จิตฟุ้งซ่านไปนะ
จิตจะตั้งมั่น โดยที่ไม่เจตนา
เหมือนสติก็ต้องฝึกจนกระทั่งอัตโนมัตินะ
ไม่เจตนารู้ มันก็รู้
อะไรเกิดขึ้นในกาย รู้โดยไม่ได้เจตนา
อะไรเกิดขึ้นในใจ รู้โดยไม่เจตนา
อย่างนี้เรียกว่ามีสติที่ดีแล้ว
แล้วถ้าใจไหลปุ๊บไป
มีสติรู้ว่าใจไหล ใจก็ตั้งมั่นขึ้นมา
มีสมาธิที่ดีขึ้นมา
งั้นสมาธิเนี่ย คือความตั้งมั่นของจิต
วิธีจะได้ความตั้งมั่นคือ ...
"รู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น-รู้ทันจิตที่ไหลไป"
จิตที่ไหลมันเป็นจิตอกุศล
ทันทีที่เรามีสติรู้ทัน ว่าจิตไหลแล้วนะ จิตตั้งมั่นเลย
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
เราอย่าปรุงแต่งจิตใจ
แต่เราให้รู้ทันจิตใจมันปรุงแต่ง
เรารู้ทัน เราอย่าไปแต่งมันซะเอง
นักปฏิบัตินะเกือบร้อยละร้อย
พยายามแต่งจิตตัวเอง
ธรรมชาติของจิตนั้นมันปรุงอยู่แล้วล่ะ
เพราะมันมีอวิชชา/มันไม่รู้แจ้งในขันธ์ ๕
พอมันไม่รู้แจ้งในขันธ์ ๕ นะ
มันก็อยาก เกิดความอยาก
อยากให้ขันธ์มีความสุข
อยากให้ขันธ์ไม่ทุกข์
เนี่ยใจมันก็ดิ้นรน
เนี่ยอวิชชาเป็นปัจจัย
ให้เกิดความปรุงแต่ง-เกิดสังขาร
ตรงนี้จะดูยากนิดนึง
ค่อยๆ ภาวนาแล้วจะเห็น
ความปรุงของจิตมันมี ๓ แบบ
อันแรกปรุงชั่ว(อปุญญาภิสังขาร)
ไม่ต้องเจตนาปรุงนะ มันปรุงเก่ง
อันนี้มันเคยชินปรุงชั่ว
คนทั่วๆไปที่ไม่ได้เรียนกรรมฐาน
หรือไม่ได้ปฏิบัติธรรม
จิตมันชอบปรุงชั่ว
ส่วนคนที่เรียนกรรมฐานปฏิบัติธรรมเนี่ย
ชอบปรุงดี(ปุญญาภิสังขาร)
ปรุงดีกับปรุงชั่วนั้น
รากเหง้ามันอันเดียวกัน คืออวิชชา
ความไม่รู้แจ้งแทงตลอด
ในขันธ์ ๕ /ในรูปในนาม/ในกายในใจนี้
เราไม่รู้แจ้ง เราก็อยากให้มันดี
อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ
มันก็เลยเกิดการกระทำทางใจขึ้นมา
ไปแต่งจิตขึ้นมาให้มันดี
ให้มันสุข ให้มันสงบ
งั้นความปรุงแต่งของคนซึ่งไม่ได้ภาวนานะ
ก็จะปรุงชั่วโดยพื้นฐาน
ส่วนนักปฏิบัติ ก็จะปรุงดี
เวลาเผลอไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไปปรุงชั่วต่อ
.
มีความปรุงอีกชนิดหนึ่ง
เรียก อาเนญชาภิสังขาร มันปรุงความว่างๆ
มันเห็นว่าตราบใดที่จิตยังกระทบอารมณ์อยู่
จิตก็ไม่เลิกปรุงแต่งหรอก
เพราะฉะนั้น ต้องหนีการกระทบอารมณ์ให้ได้
วิธีหนีการกระทบอารมณ์
ก็คือหนีเข้าอรูปฌาน
เข้าอรูปไป งั้นจะเรียกว่า ทำอาเนญชาภิสังขาร
(คือ)ปรุงแต่งความว่างๆ ไม่ต้องกระทบอารมณ์
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
กระทบแต่อารมณ์ทางใจอันเดียว
อันนี้พวกเราปรุงไม่ค่อยเป็นหรอก
แต่บางที่เขาสอนกรรมฐานกัน
เขาก็สอนให้ปรุงว่างๆ
สอนว่า อย่าคิดอย่านึก อย่าปรุงอย่าแต่ง
ทำจิตให้ว่าง อะไรๆ ก็ว่าง เน้นแต่คำว่า ว่างๆ
อันนั้นก็คือปรุงว่างขึ้นมา
ปรุงอาเนญชาภิสังขารขึ้นมา
ไม่พ้นหรอก!
หมดแรงปรุงเมื่อไหร่
มันก็กลับมาปรุงชั่ว-ปรุงดีต่อ
(เมื่อ)หมดแรงที่จะปรุงว่าง
.
งั้นเราไม่ปรุงแต่งนะ
"แต่เรารู้ทันเวลาจิตมันปรุงแต่ง"
จิตมันปรุงชั่ว ให้รู้ทัน
จิตมันปรุงดี ให้รู้ทัน
จิตมันไปปรุงความว่างๆ ให้รู้ทัน
อย่าไปเอามัน
บางสำนักสอนกันนะ
สอนเอาความว่าง
ไอ้โน่นก็ไม่ยึด ไอ้นี่ก็ไม่ยึด
ที่จริงก็คือยึดความไม่ยึดอะไร
(ก็)ยึดอยู่ดี
.
มันเหมือนมีสมัยพุทธกาลนะ
มีคนหนึ่งเป็นหลานพระสารีบุตร
ชื่อนายเล็บยาว ทีฆนข(แปลว่า)นายเล็บยาว
ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ถ้ำ
ใครเคยไปภูเขาคิชฌกูฏบ้าง
มีถ้ำเล็กๆอยู่ถ้ำหนึ่ง ถ้ำเล็กนิดเดียว
ถ้ำหมูขุด-ถ้ำสุกรขาตา
ท่านพระสารีบุตรท่านภาวนาที่นั่น
นี้พระพุทธเจ้าจะไปโปรด
พระพุทธเจ้าเลยไปที่ถ้ำนี้ด้วย
อยู่ก่อนจะถึงพระคันธกุฎีอยู่ข้างบน
ทีฆนขจะมาเยี่ยมพระสารีบุตร
เจอพระพุทธเจ้า ก็เลยอวดกับพระพุทธเจ้า
บอกว่า อะไรๆ ก็ไม่ควรกับข้าพระองค์
หมายถึงว่า ฉันไม่ยึดอะไรสักอย่างเลย
พระพุทธเจ้าท่านก็ย้อนบอกว่า
เนี่ย ยึด! ความไม่ยึดอะไร
แล้วท่านก็สอนเรื่องของมีผัสสะแล้วก็เกิดเวทนา
มีเวทนา แล้วก็เกิดตัณหา
อุปาทาน ภพ ชาติ ทุกข์ ขึ้นมา
ทีฆนขได้(บรรลุเป็นพระโสดาบัน)
แต่พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์
ได้ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าโต้กับทีฆนข
.
งั้นความปรุงนะ
อย่างปรุงไม่เอาอะไรสักอย่างหนึ่ง
มันก็เอานั่นแหละ มันจะเอาความไม่เอาอะไร
ก็ยึดในความไม่ยึดอะไร ก็ใช้ไม่ได้ มันก็ยังปรุงอยู่
รากเหง้าของความปรุงแต่ง
ก็คืออวิชชานั่นเอง
.
งั้นพวกเรานะ
พยายามมาเรียนรู้
ไม่ต้องหาทางว่าจะปรุงยังไงที่จะไม่ปรุงชั่ว
ไม่ต้องหาทางว่าปรุงยังไงจะปรุงแต่ดีๆ
หรือปรุงยังไงจะว่างๆ ไม่ยึดอะไรสักอย่างหนึ่ง
ไม่ต้องดิ้นรนหาทางปรุงแต่งอย่างนั้น
เรียนรู้ลงมาที่รูปนาม/กายใจนี้
ให้เห็นความจริงของรูปนาม/กายใจนี้
ถ้าเห็นแจ้ง แล้วก็รู้ว่าขันธ์ ๕ มันเป็นตัวทุกข์นะ
ความอยากที่จะให้ขันธ์ ๕ เป็นสุข ก็ไม่มี
ความอยากให้ขันธ์ ๕ พ้นทุกข์ ก็ไม่มี
จิตเข้าถึงความเป็นกลาง
ตรงที่จิตมันเข้าถึงความเป็นกลางนั้น
มันจะไม่ปรุงต่อ
ที่มันปรุงเพราะมันไม่เป็นกลาง
อย่างมันอยากดี เกลียดชั่ว
หรือมันรักสุข เกลียดทุกข์
อะไรอย่างนี้(เพราะ)จิตมันไม่เป็นกลาง
มันถึงปรุงต่อ
.
ถ้าเมื่อไหร่จิตมีปัญญาแก่รอบนะ
เป็นกลางต่อทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาเฉพาะหน้าเนี่ย
จิตจะไม่ปรุงต่อ ไม่ว่าดี หรือชั่ว หรือว่าง
จิตจะไม่ปรุงอะไรเลย
เมื่อจิตไม่ปรุงแต่งต่อนะ
การหยั่งจิตลงไปเกิดในภพใหม่ก็จะไม่มี
เพราะตัวสังขารนี่เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
ให้จิตหยั่งลงไปสู่ภพต่างๆ
งั้นการที่เรารู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจนั้น
จิตก็พ้นจากความปรุงแต่งไป
รู้.. ว่ารูปนาม/ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
งั้นจิตจะไม่ปรุงต่อ
ถ้าจิตไม่ปรุงต่อ จิตจะไม่หยั่งลงสู่ความเกิด
.
ธรรมะตรงนี้ภาวนากันนานนะกว่าจะเห็น
ปฏิจจสมุปบาทท่อนแรกยากมาก
ที่พวกเราภาวนากัน
เราเห็นปฏิจจสมุปบาทท่อนท้ายๆ
อย่างเรามีตาก็เลยเห็นรูป อันนี้รู้มั้ย ?
เพราะมีตาก็เลยเห็นรูปได้ มีผัสสะทางตาได้
พอเห็นรูปแล้วมันเกิดสุข เกิดทุกข์ขึ้น
อย่างนี้รู้ได้มั้ย
เห็นรูปที่ชอบใจมีความสุข
เห็นรูปไม่ชอบใจมีความทุกข์
พอมีความสุข-ความทุกข์ขึ้น มันก็อยาก
ความสุขเกิดขึ้น ก็อยากให้ความสุขอยู่นานๆ
ความทุกข์เกิดขึ้น ก็อยากให้ความทุกข์หายไป
พอมีความอยากเกิดขึ้น
ความยึดถือก็เกิดขึ้น
ความยึดถือกับความอยาก
เนี่ยพวกเดียวกันนะ เป็นตระกูลโลภะ
ตระกูลโลภ
ตัณหา คือโลภะที่มีกำลังแรงกล้า
อุปาทาน คือตัณหาที่มีกำลังแรงกล้า
มันทำงานเต็มที่แล้ว มันจะเข้าไปยึด
ไปยึดเข้าไปเกาะ
ตัณหาเนี่ยมันทะยานเข้าไป
เข้าไปตะครุบอารมณ์
แล้วมันก็จับอารมณ์ไว้มั่นเลยนะ
พอจับได้มันก็จะปรุงต่อแล้วคราวนี้
ปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงว่าง อะไรก็ปรุงต่อไปอีก
.
พอปรุงไป
จิตจะหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมา
แต่หยิบทีละอัน
เวลาหิวอารมณ์ทางตา จิตก็จะยึดตา
หยิบฉวยตาขึ้นมา
หิวอารมณ์ทางหู อยากฟังเสียง
จิตก็จะหยิบฉวยหูขึ้นมา
อย่างตอนที่เราทุกวันนี้
เรามีตาอยู่ตลอดใช่มั้ย
แต่เราไม่ได้ใช้ตาตลอดเวลา
ในขณะที่เราฟัง เนี่ยเราไม่ได้ใช้ตา
ในขณะที่เราคิด เราไม่ได้ใช้ตา
ในขณะที่จิตลงภวังค์ไม่ได้ใช้ตา
งั้นมีตาอยู่แต่จิตไม่ได้ไปหยิบฉวยขึ้นมา
แต่เราจะไปหยิบมาใช้งาน ทีละอย่างๆ
ที่ละช่องทาง
ตรงที่จิตไปหยิบฉวย
เอาตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมานะ
ตรงนั้นเรียกว่า"ชาติ"
ชาติ คือตวามเกิด หรือความได้มาซึ่งอายตนะ
(คือ)ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตรงนี้ยังพอดูได้นะ แต่ยากเหมือนกัน
ที่จะเห็นจิตฉวยอายตนะขึ้นมา
ถ้าจิตไปหยิบอารมณ์เนี่ยดูง่าย
จิตไปหยิบฉวยอารมณ์ดูง่าย
ดูออกมั้ย เวลาจิตไปตะครุบอารมณ์
แต่ตรงที่จิตไปหยิบเอา ...
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมา
ดูยากหน่อย
แต่ก็ได้ยินธรรมะอย่างนี้ก็ไปหัดดู
มันก็ดูเป็นแหละ
.
ทันทีที่จิตมันหยิบฉวย
เอาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมานะ
ความทุกข์ก็เกิดขึ้นทันที
เพราะอะไร ? สิ่งที่เรียกว่าทุกข์
ก็คือ ตัวรูปกับนาม(ย่อลงมาคือกายกับใจ)
รูปนามเนี่ย ตา หู จมูก ลิ้น กาย(เป็นรูป) ใจ(เป็นนาม)
ก็เป็นตัวรูป-ตัวนามทั้งนั้นแหละ
งั้นเมื่อไหร่จิตไปหยิบฉวยขึ้นมา
จิตก็ทุกข์ขึ้นมา
.
งั้นอย่างเราหัดภาวนา
เราจะเห็นตั้งแต่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ไปกระทบอารมณ์นะ
เนี่ยเกิดความสุข-ทุกข์ ขึ้นมา
เกิดตัณหา เกิดความยึดถือ(คือ)อุปาทาน
เกิดภพ คือความดิ้นรนของใจ
เกิดชาติคือการหยิบฉวยอายตนะขึ้นมา
แล้วก็เกิดทุกข์
ทุกข์นั้นเราได้มา
เพราะการหยิบฉวยอายตนะ
(คือ)ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
หรือรูปนาม/ขันธ์ ๕ นั่นเอง
เราไปหยิบมันขึ้นมา เราก็จะทุกข์
.
เราหัดภาวนาไปเรื่อยๆนะ
ทีแรกมันก็จะเห็นว่า
โอ้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แส่ส่ายออกไป
มีผัสสะทีไรมีทุกข์ทุกทีเลย
งั้นจิตจะทำงาน จิตจะดิ้นรน แล้วจิตก็ทุกข์
ตรงนี้แหละที่บางคนมันฉลาด
มันเลยรู้ว่า ถ้าไม่ต้องกระทบอารมณ์นะ
จะได้ไม่ต้องมีตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ทุกข์
งั้นพวกปรุงอาเนญชาภิสังขาร
มันไม่ได้กระจอกนะ มันก็ฉลาดเหมือนกัน
มันรู้ว่าถ้าไม่ต้องกระทบอารมณ์เนี่ย
มันจะไม่ปรุงการหยิบฉวยความทุกข์ขึ้นมา
มันถึงเกิดอาเนญชาภิสังขารขึ้น
งั้นพวกอาเนญชาภิสังขารเนี่ยเก่งนะ ไม่ใช่ไม่เก่ง
"แต่มันเก่งไม่ตลอด .. เก่งไม่เต็มที่"
มันไม่ใช่ญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า!
.
พวกเราเคยรู้สึกมั้ยว่า
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ต้องทำงานขึ้นมาแล้วเราทุกข์ เคยรู้สึกมั้ย ?
ใครเคยเห็นตรงนี้บ้าง ?
จิตดิ้นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แล้วมันทุกข์ขึ้นมา เห็นมั้ยตรงนี้ ?
ใครเคยเห็นยกมือขึ้นมา
ไม่ต้องเห็นตลอดหรอกนะ
เห็นเป็นคราวๆ เห็นตลอดไม่ได้หรอก
ก็มีหลายคนนะ
.
นี้บางคนฉลาด
แต่ไม่รอบรู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
มันรู้ว่าถ้ามีผัสสะแล้วมีทุกข์
เพราะงั้นมันเลี่ยงผัสสะ
วิธีเลี่ยงผัสสะก็คืิอ
ไม่ต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย
เหลือใจอันเดียว พวกเข้าอรูปฌาน
นี่เรียกว่า"อาเนญชาภิสังขาร"
.
มีอีกพวกหนึ่งนะ
มันดับจิตลงไปเลย
เหลือแต่ร่างกายอันเดียว
นั่งทื่อๆอยู่ ไม่มีความรู้สึก
(คือ)พวกพรหมลูกฟัก(อสัญญสัตตาพรหม)
พวกนี้มันก็ไม่สัมผัสอารมณ์เหมือนกัน
ไม่รู้อารมณ์เหมือนกัน
พวกนี้ไม่ใช่พวกกระจอกนะ
พวกนี้เป็นนักปฏิบัติที่เก่งเลยแหละ
แต่ว่าเก่งไม่ตลอด
ไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
มันก็เลยไปปรุงความว่างๆ
ปรุงการไม่กระทบอารมณ์ขึ้นมา
.
วิธีการของพระพุทธเจ้า
ไม่ได้สอนเราให้หนีการกระทบอารมณ์
มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส
มีกายก็รู้สัมผัสทางกาย มีใจก็คิดนึกปรุงแต่ง
ห้ามไม่ได้ แต่เมื่อมันกระทบอารมณ์แล้วนะ
เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้
เกิดกุศล เกิดอกุศลให้รู้ไป
แล้วเราจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ย ดับทั้งสิ้น!
ที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ยมุ่งมาตรงนี้
ไม่ใช่มุ่งปรุงแต่งจิตให้ว่างๆ
ไม่ได้มุ่งปรุงดี
แต่มุ่งให้จิตได้เรียนรู้ว่า
"สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา.. สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา"
ที่ปัญจวัคคีย์ได้ยินธัมมจัก(ธัมมจักกัปปวัตนสูตร)
ก็เข้าใจธรรมะขึ้นมาว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ...
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา"
นี่คือเส้นทางของพระพุทธเจ้า
ไม่หนีการกระทบอารมณ์
แต่กระทบอารมณ์ไปแล้ว
จิตปรุงอะไรขึ้นมา ปรุงชั่ว ปรุงดี ปรุงว่าง
ปรุงอะไรก็ตามเถอะขึ้นมา(ให้)มีสติรู้ทันไป
แล้วเราจะเห็นว่า.. สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ
นี่คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนปัญจวัคคีย์นะ
"สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ"
"ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ"
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดแหละ มีความดับเป็นธรรมดา
คำว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง" หมายถึงอะไร ?
คือ something สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
something เกิดขึ้นมา
แล้วทั้งหมดนั้นน่ะ ต้องดับ!
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ธรรมะไม่เข้าที่อื่นหรอกเข้าที่ใจที่เดียว
ถ้าใจเราแกว่งไปแกว่งมา ธรรมะก็ลงไปไม่ได้
พยายามฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัวไว้
หายใจออก หายใจเข้า รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ
จิตของเราสมาธิมันน้อย
งั้นเราต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่
จะอยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้
อยู่กับพุทโธ ก็พุทโธๆไป ท่องอยู่ในใจ
ช่วงไหนกิเลสแรงก็ท่องเร็วๆ พุทโธๆๆ
ช่วงไหนกิเลสเบา ใจเริ่มสงบ ก็พุทโธ พุทโธไป
ไม่ได้พุทโธเพื่อให้เกิดความดี ความสุข ความสงบ
อันนั้นกระจอก
เราพุทโธเป็นแค่ที่สังเกตจิตใจของเราเท่านั้นเอง
อย่างเราพุทโธ พุทโธเนี่ย
จิตเราไหลไปคิด.. เรารู้ทัน
พุทโธไปจิตสงบ.. เรารู้ทัน
พุทโธแล้วรู้ทันจิตไป
พุทโธแล้วจิตสุข ก็รู้ทัน
พุทโธแล้วจิตทุกข์ ก็รู้ทัน
(พุทโธ)เอาเป็นแค่เครื่องอาศัยรู้ทันจิตตัวเอง
.
พุทโธมันดียังไง ?
พุทโธเป็นความคิด
แต่สิ่งที่เราจะดู เราจะดูจิต
พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ่งที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็คือจิต
งั้นที่เราบริกรรมพุทโธนะ
เพื่อเตือนตัวเองให้รู้ทันจิตตัวเอง
ไม่ใช่เพื่อบังคับจิตให้นิ่ง
ถ้าทำไปเพื่อบังคับจิตให้นิ่งนี่ตื้นเกินไป
ธรรมะอย่างนั้นพัฒนาไม่ได้หรอก พัฒนายาก
.
ถ้าไม่ชอบพุทโธ ใช้ลมหายใจก็ได้
หายใจไปแล้วก็รู้ทันจิต
เคยใช้ท้องพองยุบ
ดูท้องพองยุบก็ได้ แล้วก็รู้ทันจิต
เช่นท้องพองท้องยุบ
จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นลืมเรื่องท้องแล้ว
ก็รู้ทันว่าจิตหลงไปแล้ว
.
ในการปฏิบัติธรรมนั้นจิตเป็นใหญ่
จิตเป็นหัวหน้านะ
จิตเป็นประธานของธรรมะทั้งปวง
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
ในธรรมทั้งหลายนั้นจิตเป็นใหญ่
เป็นหัวหน้า เป็นประธาน
หลวงปู่มั่นท่านสอน บอก
"ได้จิตคือได้ธรรม เสียจิตคือเสียธรรม"
.
งั้นที่เราหัดพุทโธ
หัดหายใจ
หัดดูท้องพองยุบ
เดินจงกรม
(กรรมฐาน)อะไรก็แล้วแต่
จุดสำคัญเนี่ยทำไปเพื่อจะได้รู้ทันจิต
อย่างเราดูท้องพองยุบอยู่ จิตหนีไปคิด
อย่างนี้จะได้รู้ไวๆหน่อย
ถ้าเราไม่มีที่อยู่ของจิตเลย
เนี่ยจิตร่อนเร่ ไม่รู้ว่าจิตร่อนเร่
เหมือนคนไม่มีบ้านอยู่ก็เที่ยวไปตามถนนนะ
เพราะไม่รู้จักเลยว่าความฟุ้งซ่านเป็นยังไง
ใจมันไหลไปเรื่อยๆ มันดูไม่ออก
แต่ถ้าใจมันมีที่อยู่แล้ว
มันเคลื่อนออกจากที่อยู่ปุ๊บ เราจะเห็น
ไม่ได้ฝึกไม่ให้เคลื่อนด้วย
อย่างพุทโธ ๆ ไม่ได้ฝึกให้จิตนิ่งๆ
พุทโธ พุทโธไป พอจิตเคลื่อนแล้วรู้
หายใจไป จิตเคลื่อนแล้วรู้
ดูท้องพองยุบไป จิตเคลื่อนแล้วรู้
ขยับมืออย่างหลวงพ่อเทียนนะ จิตเคลื่อนแล้วรู้
จิตเคลื่อนไปคิดบ้าง เคลื่อนไปเพ่งใส่มือบ้าง
เวลารู้ลมหายใจนะ บางทีจิตก็เคลื่อนไปที่ลมหายใจ
บางทีก็เคลื่อนไปคิด
จิตก็เคลื่อนไปสองอย่าง
อันนึง เคลื่อนไปคิด
อีกอันนึงเคลื่อนไปแนบอยู่ที่ตัวอารมณ์กรรมฐาน
อย่างบางคนพุทโธ พุทโธ
จิตไปแนบอยู่กับคำว่าพุทโธไม่กระดุกกระดิกเลย
.
ถ้าจิตไปแนบอยู่ในอารมณ์เดียว"ได้สมถะ"
แต่ถ้าเราจะฝึกให้ได้สมาธิชนิดที่จะใช้ทำวิปัสสนา
"ให้รู้ทันจิต" ไม่ใช่ทำจิตให้แนบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
สงบอยู่แค่นั้นตื้นเกินไป
เอาไว้ชาติที่ไม่มีพุทธศาสนา
ค่อยไปทำกรรมฐานแบบนั้น เพราะทำได้แค่นั้นแหละ
แต่ชาตินี้เราได้เจอพุทธศาสนาแล้ว
ต้องทำสมาธิชนิดที่สูงกว่าการทำจิตให้นิ่ง
.
ตอนที่หลวงพ่อเด็กๆ ตั้งแต่ ๗ ขวบ
หลวงพ่อทำสมาธิ ทำอานาปานสติ
จิตเป็นผู้รู้ ขันธ์นี่แยกตั้งแต่เด็กแล้ว
จิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
แต่ว่าไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร
จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านสอน
จิตเราที่เป็นผู้รู้ผู้ดูนั้น เราเอาไว้ใช้เดินปัญญา
เราก็เห็นว่าจิตมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
หลวงพ่อดูไปที่จิตตรงๆเลย
หลวงปู่ดูลย์สอนหลวงพ่อนะ
ไม่ได้เริ่มจากพุทโธ ไม่ได้เริ่มจากหายใจ
เพราะหลวงพ่อทำสมาธิมาเยอะแล้ว
ท่านให้ดูเข้าไปที่จิตตรงๆ
เราก็จะเห็นเลย จิตเดี๋ยวก็สุข จิตเดี๋ยวก็ทุกข์
จิตเดี๋ยวก็ดี จิตเดี๋ยวก็ร้าย
เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลง
เห็นจิตมันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง
เนี่ย(หลวงพ่อ)ดูอย่างนี้นะ ไม่ต้องใช้สมาธิช่วย
ไม่ต้องทำสมถะช่วยเลย
เพราะจิตมันมีพลัง มันดูอยู่ได้โดยอัตโนมัติ
แต่อยู่อย่างนี้ได้สองปีเท่านั้น
สมาธิที่(หลวงพ่อ)ฝึกมา ๒๒ ปีนั้น กำลังมันหมด
เอามาใช้เดินปัญญาอยู่ได้ ๒ ปีเอง
(ฝึกสมาธิ) ๑๑ ปีนะ (เดินปัญญา)ได้ปีหนึ่ง
พอ(พลัง)สมาธิหมดเนี่ย สมาธิไม่พอแล้ว
เราก็ดูจิตอยู่ เรายังไม่รู้ว่าสมาธิไม่พอ
พอเห็นกิเลสโผล่ขึ้นมานะ ดูปุ๊บ กิเลสไม่ขาดสะบั้น
กิเลสเนี่ยยักย้ายถ่ายเทหนี หนีออกไปอยู่ข้างนอก
ใจเราก็ไหลตามออกไป ตามดู
คล้ายๆ ศัตรูรบอยู่กับเราไล่ฟาดฟันกันอยู่
มันถอยๆๆ เราเดินตามมันไป
เราไม่รู้ว่าเราเดินตามมันออกไปแล้ว
เสร็จแล้วฆ่ามันตาย ม้นหายวั๊บไป
มันสลายไป เราก็นึกว่าจิตเรายังอยู่ที่ฐาน
ความจริงจิตออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว
เรียกว่าไม่รู้ทันมัน
.
อีกทีนึงจิตก็เคลื่อนไปเหมือนกัน
แต่เคลื่อนเข้าไปข้างใน
เราเห็นว่าหลวงปู่ดูลย์สั่งว่า
"อย่างส่งจิตออกนอก"
งั้นส่งจิตเข้าข้างในไม่เป็นไร
นี่คิดอย่างนี้นะ
เห็นกิเลสมันผุดขึ้นมาจากกลางอกเนี่ย
(กิเลส)มันผุดขึ้นมา พอเราดูมันสลายไป
วันนึงก็เกิดสงสัยขึ้นมา
ว่ารากเหง้าของมันอยู่ที่ไหน
ทำไมมันผุดขึ้นได้เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นเวลามันผุดขึ้นมานะ
จะดูมันแบบแตะนิดเดียว จะดูแบบแค่รู้สึกว่ามันมีอยู่
ถ้าดูมันแบบจิตใจมีพลังเข้มแข็งนะมันขาดสะบั้นเลย
นี้ดูแบบเลี้ยงมัน มันก็ค่อยๆหดตัวนะ
หดๆๆลงไปข้างใน เข้าไปในจิตข้างล่าง
เราก็ตามไปเรื่อยๆๆ สุดท้ายมันสลายตัวหายไป
หามันไม่เจอ หลวงพ่อก็กลับขึ้นมาใหม่
เดี๋ยวรอให้มันโผล่ใหม่นะแล้วตามดูลงไป
พอดีไปเจอหลวงปู่สิม
หลวงปู่สิมเห็นหน้าเท่านั้นแหละกวักมือเรียก
ผู้รู้ ๆ ออกมาอยู่ข้างนอกนี่ กิเลสไม่ได้อยู่ข้างใน
เนี่ยครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปเรียนด้วย
ท่านแต่ละองค์นะน่าดูมากเลย
เราไม่ต้องส่งการบ้านหรอก
ถึงเวลาท่านก็บอกเองเราพลาดตรงไหน
ท่านรู้ว่าหลวงพ่อจะเข้าไปดูกิเลสข้างใน
ว่ามันเกิดที่ไหน ท่านเลยบอกว่าไม่ต้องเข้าไป
เนี่ยจิตมันเคลื่อนทั้งนั้นเลยนะ
เคลื่อนไปข้างนอก เคลื่อนไปข้างใน
คราวนี้นึกขึ้นได้
(ว่า)หลวงปู่ดูลย์ไม่ให้ออกข้างนอก
หลวงปู่สิมก็ไม่ให้ส่งเข้าข้างใน
หลวงปู่เทสก์เคยสอนว่า
ผู้ใดเข้าถึงความเป็นกลางจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
งั้นจะรักษาจิตไว้กลางๆ เนี่ยรักษา(จิต)ไว้อีก
แค่ไหนถึงจะเรียกว่ากลาง ?
กลางหน้าอก ก็ไม่ใช่
ก็พบอย่างนึงว่า เวลาเราภาวนาเนี่ย
มีผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ มีสองอย่าง
เราอยู่กลางระหว่างผู้รู้กับสิ่งถูกรู้ดีกว่า
ไม่จับเข้าที่ผู้รู้ ไม่จับเข้ากับสิ่งที่ถูกรู้
ดูลีลาของหลวงพ่อเยอะมั้ย
ทำได้ประหลาดๆมากมายกรรมฐาน
งั้นเวลาเราดูอารมณ์
เราเห็นความไหวอยู่ที่กลางอกเนี่ย
จิตมันไหวยิบยับๆอยู่กลางอก ส่งจิตไป
พอจิตจะแตะตรงเข้าที่มันไหวนะ ไม่แตะ
ถอนขึ้นมาทวนกลับเข้าหาตัวผู้รู้
พอมันจะมาจับแตะที่ตัวผู้รู้
ก็ไม่แตะนะ ทวนกลับไปหาความรู้สึกอีก
เนี่ย ทวนไปทวนมานะ มันรวมพรึ่บลง
สลายตัวลงตรงกลางเลย โลกธาตุนี้ดับไป
ร่างกายหายไป ความคิดนึกปรุงแต่งทั้งหลาย
หายไปหมดเลย เหลือแต่ธาตุรู้ตัวเดียว
เหลือธาตุรู้อยู่ตัวเดียว
เราถอยออกมาแล้วตอนจิตมันถอน
จิตมันถอนเองนะ เพราะความคิดไม่มี
พอจิตถอนออกมา
โอ้ ตรงนี้ไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม
มีแต่ธาตุรู้เฉยๆ ไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม
ไม่มีเวลา ไม่รู้เวลาเลยนะ
ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์
(คิดว่า)นี่ละมั้งนิพพาน
ถ้าเราอยู่ตรงนี้เรื่อยๆ มันคงจะนิพพาน
คิดอย่างนี้ ก็ฝึกเล่นอยู่ตรงนี้นะ
แล้ววันนึงก็พบว่า"ไม่ใช่นะ"
จิตยังเคลื่อนนะ เคลื่อนไปเคลื่อนมา ๆ ไม่ใช่
.
ขึ้นไปหาหลวงปู่เทสก์
บอกหลวงปู่ครับ ผมสงสัยว่า
ที่ผมฝึกอยู่เนี่ย มันจะเป็นสมาธิเฉยๆ
หลวงปู่หัวเราะ ท่านบอกว่าฉลาด
ตรงเนี้ยเป็นสมาธิจริง แต่ไปฝึกไว้
ฝึกสมาธิชนิดต่างๆไว้ให้ชำนาญ
เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาเล่นกันแล้ว
เรื่องสมาธิไม่มีคนเล่น
หลวงพ่อก็เรียนท่าน
บอกว่า ผมกลัวติดครับ
ท่านบอกไม่ต้องกลัว
ท่าทางท่านคึกคักมากนะ
(ท่านบอก)ไม่ต้องกลัวนะ
ถ้าติดอาตมาจะแก้ให้ ท่านว่าอย่างนี้
โหเรา ครูบาอาจารย์ให้ท้ายเราเอาเลย
เล่นทุกวันเลยคราวนี้นะ
จนไปเจอหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร (วัดถ้ำผาผึ้ง)
หลวงปู่บุญจันทร์ให้พระมาเรียกหลวงพ่อไปหา
ไม่รู้จักท่านนะ แต่ท่านฤทธิ์เยอะ
อนาคตังสญานท่านเก่ง
ท่านให้พระไปดักรอหลวงพ่อ
หลวงพ่อจะไปหาอาจารย์ทองอินทร์ที่วัดสันติธรรม
ท่านให้พระไปเฝ้าที่ประตูเอาตัวเราไปจนได้
ไปถึงก็ชี้หน้าเลย ตะคอกเรา(ว่า)ภาวนายังไง?!
เล่าให้ท่านฟังนะ (ว่า)ไม่จับผู้รู้ ไม่จับสิ่งที่ถูกรู้
ไม่ยึดถืออะไรเลย
โดนท่านตะหวาดเอา
เฮ้ย!นิพพานอะไรมีเข้ามีออก
เดิมเราคิดว่าทำอย่างนี้แล้วมันจะนิพพานนะ
ต่อมารู้ว่านี่มันเป็นสมาธิ
พอท่านตะหวาดเอา เลิกเลย
โดนท่านตะหวาดไปสองรอบ
ตะหวาดว่า นิพพานอะไรมีเข้ามีออก
(ก็)รู้ว่าไม่ใช่
.
... งั้นเวลาที่เราภาวนานะ
เราส่งจิตไปข้างนอกก็ไม่ใช่
ส่งจิตเข้ามาข้างในก็ไม่ใช่
รักษาจิตเอาไว้กลางๆ ก็ไม่ใช่
มีแต่ของผิดทั้งนั้นเลย ของถูกไม่มี
มีแต่ของทำผิดทั้งนั้นเลย
ของถูกมันอยู่ตรงไหน ?
อยู่ที่ว่า" รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น"
.
รู้อย่างที่มันเป็น
งั้นจิตเราจะเคลื่อนไปข้างนอก เราก็รู้ทัน
จิตเราจะไหลเข้าไปข้างใน เราก็รู้ทัน
เราประคองรักษาจิตเอาไว้ตรงกลาง เราก็รู้ทัน
"จิตทำงานยังไง รู้ไปเรื่อยๆ "
จิตที่ไหลไปนะ เป็นจิตที่ตามกิเลสไป
ส่วนจิตที่เราประคองไว้
เป็นจิตที่เราพยายามจะสร้างความดี
ตรงที่จิตไหลไปไหลมาเนี่ย
เรียกว่า"อปุญญาภิสังขาร"
(คือ)ความปรุงที่ไม่ใช่บุญ-อปุญาภิสังขาร
ตรงที่เราประคองรักษาจิตเอาไว้
เป็นความปรุงแต่งเรียกว่า "ปุญญาภิสังขาร"
.
ยังมีอีกอย่างหนึ่งนะ
ก็คือความปรุงแต่งที่จะไม่ปรุงแต่ง
เรียกว่า"อาเนญชาภิสังขาร" พยายามจะไม่ปรุงแต่ง
อย่างพยายามทำจิตให้ว่าง
พยายามทำจิตไม่รับรู้อารมณ์
เข้าอรูปฌานเป็นพรหมลูกฟัก
หรือตั้งใจไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
ไอ้โน่นก็ไม่ยึด ไอ้นี่ก็ไม่ยึด
พยายามจะไม่ให้ยึดไม่ให้แต่ง
อันนี้แหละเรียกว่า"อาเนญชาภิสังขาร"
ความปรุงแต่งอีกชนิดหนึ่ง
(คือ)แต่งที่จะไม่แต่ง แต่งที่จะไม่ยึด
.
ความปรุงแต่งมี ๓ อย่างเอง
หมุนอยู่ในใจเราทั้งวันของนักปฏิบัติ
ถ้าคนไม่ปฏิบัติเนี่ยส่วนใหญ่มีอันเดียวแหละ
ปรุงชั่ว ปรุงบาปทั้งวัน ปรุงกุศลไม่ค่อยมี
เพราะจิตหลงตลอด
ส่วนเรานักปฏิบัตินะ เราก็มีปรุงดีด้วย
คือประคองรักษาจิตไว้ (เป็นการ)ปรุงดี
หรือบางคนก็ชอบปรุงว่าง ปรุงใจให้ว่าง
นิ่งๆ ว่างๆ ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง
อันนั้นก็เป็นความปรุงแต่งชนิดที่ ๓
ชื่อ"อาเนญชาภิสังขาร"
.
ความปรุงแต่ง
จะปรุงชั่ว ปรุงดี ปรุงว่าง
เกิดจากรากเหง้าอันเดียวกันนะ คือ"อวิชชา"
ความไม่รู้ความจริงของรูปนาม/กายใจ
ว่า กายนี้คือทุกข์ ใจนี้คือทุกข์
เพราะไม่รู้ความจริงมันก็เลยอยากมีความสุข
ที่เราปรุงชั่ว เพราะอะไร ?
เพราะอยากมีความสุขนะ
เราไม่ได้อยากมีความทุกข์
คนที่ทำความชั่ว เพราะอยากมีความสุข
คนที่ทำความดี ปฏิบัติกรรมฐาน
ก็เพราะอยากมีความสุข
คนที่พยายามฝึกจิตให้ว่างๆ นิ่งๆ
ก็เพราะอยากมีความสุข
มันไม่เห็นความจริง
ว่ากายนี้คือตัวทุกข์ ใจนี้คือตัวทุกข์
เพราะอวิชชายังอยู่มันก็จะปรุงแต่ง ๓ แบบ
.
ถ้าเป็นพวกไม่เคยเรียนกรรมฐาน
ก็จะปรุงชั่วเป็นหลัก
ถ้าพวกเรียนกรรมฐานเริ่มต้น
เรียนกรรมฐานปานกลาง
ก็จะปรุงดี ปรุงจิตให้นิ่งๆ
ถ้าพวกลีลามากชั้นเชิงมากทำกรรมฐานเก่ง
ก็จะปรุงจิตให้ว่างๆ
(จิต)มันปรุงได้ ๓ แบบ
อวิชชาเป็นรากเหง้าของสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
อยู่ๆ เราจะไปสั่งจิตว่าอย่าปรุง
มันจะไปตกเข้าการปรุงอันที่ ๓
คือจะปรุงความไม่ปรุง-ไปตกอาเนญชาภิสังขาร
.
งั้นหน้าที่เราไม่ใช่อยู่ดีๆ จะไปสั่งจิต
ว่าจงอย่าปรุงชั่ว จงปรุงดี จงทำจิตให้ผ่องแผ้ว
สั่งมีคำว่า จงอย่างนี้ๆ อย่างนี้
จิตเป็นอนัตตา-สั่งไม่ได้
แต่(จิต)เรียนรู้ได้
.
เราค่อยๆเรียนรู้ไป
จิตเราไหลไป-หลงไป-ลืมตัว (จิต)ไหลไป "รู้ทัน"
พอรู้ทัน ความปรุงแต่งที่เรารู้ทันแล้วมันจะดับ
จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
.
เราเพ่งอยู่ เรารู้ทัน หายมั้ย
เวลาเพ่งแล้วรู้ว่าเพ่ง หายมั้ย ?
ไม่หาย เพราะการที่เราเพ่งอยู่เนี่ย
เป็นปุญญาภิสังขาร ไม่ใช่อปุญญาภิสังขาร
แต่จิตหลงเนี่ยเป็นจิตมีอุทธัจจะ-มีโมหะ
ทันทีที่รู้ว่าจิตมีกิเลสนะ กิเลสจะดับทันที
แต่ถ้าเราปรุงขึ้นมาเพราะความดี
เราอยากเป็นคนดี อยากเป็นนักกรรมฐาน
เรารักษาจิตประคองอยู่ รู้ว่าเพ่ง ไม่หายเพ่งหรอก
จนกว่าจะทำลายรากเหง้าของการเพ่ง
รากเหง้าของการเพ่งอยู่ที่ไหน ?
"อยู่ที่อยากดี"
อยากดี อยากพ้นทุกข์ อยากได้มรรคผลนิพพาน
.
ถ้าเมื่อไหร่รู้เข้าไปที่"อยาก"
รู้ทันใจที่อยากนะ ความอยากดับปุ๊บ
การเพ่งจะดับ พอความเพ่งดับ
ความอึดอัดซึ่งเป็นวิบากก็จะดับ
ด้บตามกันเป็นลำดับ
.
ถ้าเราเพ่งแรงเนี่ยมันจะอึดอัด
หลังจากเลิกเพ่งแล้วเนี่ยมันจะอึดอัดไปอีกช่วงหนึ่ง
แต่ถ้าเราเพ่งไม่แรงเนี่ย พอเราเลิกเพ่งแล้ว
เพราะเรารู้ทันตัณหาที่ผลักดันให้เพ่ง
รู้ทันความอยากที่ผลักดันให้เกิดการเพ่งมันก็จะดับ
ความทุกข์มันก็ดับเร็ว(คือ)ความแน่นๆ
เวลาที่จงใจปฏิบัติ รู้สึกมั้ยจะแน่น
นั่นแหละเรากำลังปรุงดีอยู่ ปรุงดี แน่นๆ
แล้วให้แน่นให้ตายก็ไม่บรรลุมรรคผลหรอก
เพราะสิ่งที่ทำให้แน่นเนี่ย
ก็คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน
"เรากำลังสนองกิเลสอยู่นะด้วยการทำความดี"
ฟังแล้วแปลกดีมั้ย สนองกิเลสด้วยการทำความดี
รักตัวเองนั่นแหละ อยากให้ตัวเองดี มีความสุข
อยากให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
เพราะรักตัวเอง
เราก็พยายามตอบสนองด้วยการสร้างคุณงามความดี
งั้นต้องดูนะไอ้ที่ทำดีบางทีทำเพื่อกิเลสน่ะ
กิเลสเป็นปัจจัยของกุศลก็ได้
แต่เป็นกุศลที่ไม่ฉลาด กุศลที่โง่
จะว่ากุศลที่โง่ก็เป็นคำที่ไม่สุภาพไปนิดนึงนะ
ต้องเรียกว่าจิตเป็นกุศล แต่ว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา
เป็นมหากุศลจิต แต่เป็นญาณวิปยุต
(คือ)ไม่ประกอบด้วยปัญญา
จะบอกโง่ มันก็ไม่เชิงโง่นะ (เพราะ)ยังรู้จักทำกุศล
เรียกว่าฉลาดน้อยก็แล้วกันสุภาพหน่อย
.
งั้นถ้าเราภาวนานะแล้วใจเราแน่นขึ้นมา
รีบรู้เลย นี่ฉลาดน้อยแล้ว ฉลาดน้อยไปหน่อย
ถ้าฉลาดมากจะทำยังไง ?
"ทำ" ไม่ได้
(ให้)รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช
มีกรรมฐานง่ายๆอยู่อันหนึ่ง
ที่อยากให้พวกเราเรียน
เป็นกรรมฐานที่เหมาะกับคนในรุ่นเรา
คือ พวกคิดมาก พวกสมาธิน้อย
พวกเราเคยได้ยินว่าสมาธิสั้นไหม
คนที่ใช้ประโยคนี้ไม่รู้ความจริง
สมาธิเกิดทีละขณะจิตนะ สั้นเท่ากันทุกคนแหละ
เพียงแต่ว่าบางคนมันเกิดซ้ำๆได้อีกเยอะ
ของเรามันซ้ำๆได้ ๗ ขณะ แล้วมันก็ฟุ้งซ่าน
หายไปอีกนานเลย หายไปแสนโกฏิขณะ
แล้วค่อยมารู้สึกอีก ๗ ขณะ
ของคนที่เขาฝึกจิตฝึกใจมาดี
เขาเกิด ๗ ขณะต่อด้วย ๗ ขณะ ต่อไปเรื่อย
สมาธิเขายาว อยู่ที่ฝึกเอาของฟรีไม่มี
ของดีต้องทําเอา ทีทําความชั่วยังทําเองเลยใช่ไหม
นึกออกไหม ความชั่วเราทําของเราเอง
ของชั่วยังทําเองทําไมของดีไม่ทําล่ะ บ้าเหรอ
จะโง่ขนาดไหนยังจมอยู่ในความทุกข์นิรันดร
กรรมฐานที่ง่ายๆเหมาะกับคนที่ฟุ้งซ่านอย่างพวกเรา
คือ การรู้ทันจิตใจของตัวเอง
.
หลวงพ่อสอนมานักหนาแล้วนะการดูจิตใจ
ถ้าจิตเรามีกิเลสเกิดขึ้นแล้วเรารู้ทัน
กิเลสจะครอบงําจิตไม่ได้ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น
ถ้าจิตมันหนีไปคิด เรารู้ทันนะ
จิตมันเคลื่อนไปไหลไปคิดหรือไหลไปเพ่ง “เรารู้ทัน”
จิตที่ตั้งมั่นจะเกิดขึ้นคือ สมาธิที่ถูกต้องจะเกิดขึ้น
แล้วเราก็จะเห็น อย่างสมมุติ
เราฝึกกรรมฐานซักอย่างหนึ่ง พุทโธ พุทโธไป
หรือหายใจไปแล้วรู้ทันจิต จิตหนีไปเรารู้
จิตเคลื่อนไปเรารู้ ฝึกอยู่แค่นี้ไม่ต้องทําอะไรมากนะ
จิตหนีไปรู้ จิตเคลื่อนไป “รู้” เนี่ยนะรับรองว่าไม่ผิดศีล
เพราะคนที่จะเกิดกิเลสได้นั้นจิตจะต้องเคลื่อนไปก่อน
ถ้าจิตเคลื่อนก็รู้ จิตมีโมหะขึ้นมาเราก็รู้แล้วนะ
กิเลสไม่มี กิเลสอื่นๆที่หยาบๆนี่เกิดไม่ได้เลย
มีแต่โมหะนะ (จิต)เคลื่อน คลิ๊ก(รู้สึก) คลิ๊ก(รู้สึก)
.
เมื่อกิเลสหยาบไม่เกิดศีลมันมีเอง
ถือศีลง่าย จิตเคลื่อนเรารู้ๆ
จิตเคลื่อนเรารู้ เราได้สมาธิ
แค่รู้จิตเคลื่อนได้ทั้งศีล ทั้งสมาธิ
ต่อไปฝึกต่อ...เห็นมันเคลื่อน
เอ๊ะ!มันเคลื่อนได้เอง จิตรู้ทันว่าเคลื่อนก็รู้ได้เอง
พอรู้ทันว่าเคลื่อนก็ตั้งมั่นได้เอง จิตนี่เป็นเอง
จิตนี่เป็นอนัตตา นี่คือตัวปัญญา
เพราะฉะนั้นเราทํากรรมฐานซักอย่างหนึ่ง
แล้วคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อน
อย่าไปบังคับให้นิ่ง ให้รู้ทันจิตที่เคลื่อน
ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดขึ้นทั้งหมดเลย
ไม่ยากอะไรเลยนะ
.
หลวงพ่อไปเจอที่หลวงตามหาบัวท่านสอนไว้นะ
นี่อุตส่าห์ไปนั่งจดมาท่านบอกว่า
อาการของจิตทุกอาการที่เกิดขึ้นต้องดับและแปรปรวน
อย่าตื่นเงาของจิตตัวเองจะเดือดร้อน
ความรู้ว่าเผลอและไม่เผลอเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว
ความเสื่อมความเจริญเป็นอาการของโลก
ให้รู้เท่าผู้รู้ว่าเสื่อมหรือเจริญ นี่แหละเป็นธรรมที่คงที่
ความรับรู้ทุกขณะนี้แลเป็นธรรมยั่งยืน
เราเป็นนักปฏิบัติอย่าหลง
ตามอาการของความเสื่อมความเจริญ
จงรู้ตามอาการ จึงจัดว่าเป็นผู้ฉลาดในธรรม
ดวงไฟยังมีดอกแสง ควันไฟ
ต้องแสดงความเกิดความดับจากดวงไฟเป็นธรรมดา
จิตยังมีอาการเกิดๆ ดับๆ ซึ่งเกิดจากดวงจิต
ต้องมีเช่นเดียวกัน ข้อสําคัญอย่าหลงตาม
เสื่อมจงรู้ตาม เจริญจงรู้ตาม
เผลอหรือไม่เผลอ จงรู้ตามทุกอาการ
จึงจัดว่านักค้นคว้าความรู้เท่าในอาการเกิดๆ ดับๆ
ของสิ่งเหล่านี้ด้วยปัญญาเสมอไป นั่นแลจัดว่าเป็นผู้รู้
จะรู้เท่าทันโลกและเรียนรู้โลกจบ จึงจะพบของจริง
.
“อาการของจิตทุกอาการที่เกิดขึ้นต้องดับและแปรปรวน
อย่าตื่นเงาของจิตตัวเองจะเดือดร้อน
ความรู้ว่าเผลอและไม่เผลอเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว”
.
เห็นไหม พอรู้ว่าเผลอก็ไม่เผลอแล้ว
หลวงพ่อก็สอนอันเดียวกับที่ท่านสอน
อาการของจิตทุกอาการที่เกิดขึ้น
ต้องดับและแปรปรวนเช่น
โลภ โกรธ หลง สุข ทุกข์ เกิดแล้วต้องดับ
มันแปรปรวน จิตที่ตั้งมั่นเกิดแล้วก็ดับ
จิตที่เคลื่อนเกิดแล้วก็ดับ
มันแปรปรวน เป็นอาการของจิต
อย่าตื่นเงาของจิตตัวเองจะเดือดร้อนคือ
อย่าไปวุ่นวาย อย่าไปหลงกับอาการ
ความรู้ว่าเผลอและไม่เผลอเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว
.
“ความเสื่อมความเจริญเป็นอาการของโลก”
เห็นไหม ไม่ได้เอาเสื่อม ไม่ได้เอาเจริญนะ
ไม่ได้ภาวนาว่าทําไงจะเจริญ
ดูเลยว่าเสื่อมก็อย่างนั้นแหละ
เจริญก็อย่างนั้นแหละ ทุกอย่างเกิดแล้วดับ
ความเสื่อม-ความเจริญเป็นอาการของโลก
.
“ให้รู้เท่าผู้รู้ว่าเสื่อมหรือเจริญ นี่แหละเป็นธรรมที่คงที่”
ใครเป็นคนรู้ว่าเสื่อมหรือเจริญ จิตเป็นคนรู้
พอเสื่อมจิตก็ยินร้าย ให้รู้ทันว่ายินร้าย
พอเจริญจิตก็ยินดี ให้รู้ทันว่ายินดี
ให้รู้เท่าผู้รู้ว่าเสื่อมหรือเจริญ นี่แหละเป็นธรรมที่คงที่
.
“ความรับรู้ทุกขณะนี้แลเป็นธรรมยั่งยืน
เราเป็นนักปฏิบัติอย่าหลงตามอาการ
ของความเสื่อมความเจริญ จงรู้ตามอาการ”
เห็นไหม รู้ตามอาการ ไม่ได้แทรกแซงมันนะ
มันเจริญก็รู้ มันเสื่อมก็รู้ มันสุขก็รู้ มันทุกข์ก็รู้
มันดีก็รู้ มันชั่วก็รู้ แค่ตามรู้อาการของมัน
ไม่ได้ให้ไปแทรกแซงนะ
.
“จงรู้ตามอาการ” ใช้คําว่าตามเลยนะ
“จึงจัดว่าเป็นผู้ฉลาดในธรรม”
แล้วท่านก็ขยายความยกตัวอย่าง
ดวงไฟยังมีดอกแสงก็คือ สะเก็ดไฟ
ทีนี้ท่านเป็นคนบ้านนอกท่านใช้ฟื้น มันก็มีควันไฟ
“ดวงไฟยังมีดอกแสง ควันไฟ
ต้องแสดงความเกิดความดับ
จากดวงไฟเป็นธรรมดา”
สะเก็ดไฟเกิดมาก็ดับ ควันเกิดมาแล้วก็ดับ
"จิตยังมีอาการเกิดๆ ดับๆ
ซึ่งเกิดจากดวงจิต ต้องมีเช่นเดียวกัน”
ฉะนั้นการเกิด-ดับไม่ใช่เพื่อไปแก้มันนะ
มันเป็นธรรมดาที่มันต้องมี
.
“ข้อสําคัญอย่าหลงตาม
เสื่อมจงรู้ตาม เจริญจงรู้ตาม เผลอหรือไม่เผลอ
จงรู้ตามทุกอาการ จึงจัดว่านักค้นคว้า
ความรู้เท่าในอาการเกิดๆ ดับๆของสิ่งเหล่านี้
ด้วยปัญญาเสมอไป นั่นแลจัดว่า เป็นผู้รู้
จะรู้เท่าทันโลกและเรียนรู้โลกจบ จึงจะพบของจริง”
เห็นไหม ท่านสอนขนาดนี้เลยนะ รู้จิตที่มันหลง
หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้นี่นะ
แล้วอย่าไปกลัว บางช่วงมันรู้ได้เยอะว่าเจริญ
บางช่วงมันหลงเยอะว่าเสื่อม
อย่าไปตกใจกับความเจริญและเสื่อม
อย่าไปตกใจกับความดีและความชั่ว
อย่าไปตกใจกับความสุขและความทุกข์
อย่าไปตกใจกับความสงบและความฟุ้งซ่าน
สิ่งที่เป็นคู่ๆอย่างนี้เป็นอาการของจิตทั้งหมดเลย
เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นอย่างนั้น
เราแค่ตามรู้ตามเห็นมันนะ
ด้วยใจที่ตั้งมั่น ด้วยใจที่เป็นกลาง
นี่แหละเป็นทางที่จะออกจากโลกนะ
.
ท่านใช้คํานี้เลยว่า “เรียนรู้โลกจบ จึงจะพบของจริง”
เรียนรู้โลกจบคือ รู้แจ้งเห็นจริงว่ารูป-นาม
ขันธ์ ๕ นี้ เป็นตัวทุกข์
ลําพังเห็นว่ารูป-นาม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ยังไม่จบนะ
เป็นภูมิของพระโสดาบัน
ถ้าเรียนรู้ว่าร่างกายนี้เป็นตัวทุกข์
เป็นภูมิของพระอนาคาฯ
ถ้าเรียนรู้ว่าตัวจิตนี้เป็นตัวทุกข์
เป็นภูมิของพระอรหันต์นะ
จะถึงขั้นพระอรหันต์แล้ว จะเรียนโลกจบแล้ว
อะไรที่เรียกว่า โลก รูปธรรม-นามธรรมนี้แหละ
รูปโลก อรูปโลก คือตัวโลก เรียนโลกจบ
.
คําว่า “โลกะวิทู” เคยได้ยินไหม
โลกะวิทูแปลว่า รู้แจ้งโลก
รู้แจ้งโลกคือ รู้แจ้งรูป-นาม
สิ่งที่เรียกว่าโลกคือ รูปกับนาม
ไม่ใช่โลกภูมิศาสตร์ดาวโน้นดาวนี้
อันนั้นของไม่สําคัญ อันนั้นเป็นโลกธรรมดา
โลกที่ชาวพุทธต้องเรียนคือ รูปธรรม-นามธรรม
เราจะเรียนรู้โลกอันนี้ ถ้าเรียนรู้โลกแจ่มแจ้ง
คือรู้ว่าโลกนี้คือตัวทุกข์ รูป-นามนี้คือ ตัวทุกข์
จิตจะวางรูป-นามลง จิตจะวางของจิตเอง
ไม่มีใครสั่งจิตให้วางได้นะ จะวางเองอัตโนมัติเลย
เมื่อจิตวางเองแล้ว จะเข้ามาถึงคําสุดท้ายที่ท่านสอน
ว่า “จึงจะพบของจริง” ของจริงคือ พระนิพพาน
เป็นของเที่ยง เป็นของสุข ไม่มีเจ้าของนะ
.
ฉะนั้นทํากรรมฐาน ถือศีล ๕ ไว้ก่อน
แล้วทํากรรมฐานซักอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่เพื่อสงบ ไม่ใช่เพื่อสุข
ไม่ใช่เพื่อดีเพื่อวิเศษอะไรทั้งสิ้น
แต่เพื่อรู้ทันจิตที่มันหนีไป จิตเคลื่อนแล้วรู้ อย่าไปห้าม
เคลื่อนแล้วรู้ เคลื่อนแล้วรู้
บางวันรู้ได้มากเรียก เจริญ ก็อย่าไปหลงดีใจ
บางวันมันไม่ยอมรู้ "จิตเป็นอนัตตา สั่งไม่ได้"
ฟุ้งแหลก ก็อย่าไปเสียใจ ให้รู้ไปอย่างที่มันเป็น
สุดท้ายมันก็เห็นว่าเจริญได้ก็เสื่อมได้ เสื่อมได้ก็เจริญได้
เสื่อม-เจริญนี้เป็นที่พึ่งที่อาศัยอะไรไม่ได้
สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ความเจริญ
เราต้องการให้จิตยอมรับความจริง
ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้มีแต่ทุกข์
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีอะไรตั้งอยู่ ไม่มีอะไรดับไป
ถ้าเห็นอย่างนี้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เลย
นี่วันนี้สอนให้จบหลักสูตรแล้วนะเพราะสอนถึงนิพพานแล้ว
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
วัดสวนสันติธรรม ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
จาก หนังสือการเดินทางสู่...ความดับสนิทแห่งทุกข์ หน้าที่ ๙๙-๑๐๔