< ผู้สำรวมจิตได้ ย่อมหลุดพ้นจากบ่วงแห่งมาร >
ทูรงฺคมํ เอกจรํอสรีรํ คุหาสยํเย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติโมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.
ผู้ใด จักสำรวมจิตที่ไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำ (คือกาย) เป็นที่อาศัย ผู้นั้น จักพ้นจากเครื่องผูกของมารได้.
(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๑๙,๒๐.
คำว่า จิต หมายเอาธรรมชาติที่ทำสิ่งต่างๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตให้วิจิตร หรือหมายเอาธรรมชาติที่เป็นตัวคิด ซึ่งอาศัยหทัยรูปมีอยู่ภายในหัวใจ ทำหน้าที่คิดถึงเรื่องต่างๆ ได้มาก และรวดเร็ววิจิตรพิสดารมีความหมายพอสรุปได้ ๖ ประการ คือ
๑. วิจิตรโดยการกระทำ
๒. ตนเองเป็นสภาวะที่วิจิตร
๓. วิจิตรโดยสั่งสมกรรมและกิเลส
๔. วิจิตรในการรักษาวิบาก อันกรรมกิเลสสั่งสมไว้
๕. วิจิตรในการสั่งสมสันดานตนเอง
๖. มีอารมณ์อันวิจิตรพิสดาร
ดังนั้น พึงเห็นว่า สิ่งมีชีวิตและหาชีวิตมิได้ทั้งมวลที่วิจิตรพิสดารนั้น เป็นเพราะอำนาจของจิตคือมีตนเป็นผู้ทำให้วิจิตร อันได้แก่สัตว์และสิ่งของที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ เป็นต้น ทั้งการไปมาของจิตสู่ทิศและสถานที่ต่างๆ รวดเร็วยิ่งกว่าชั่วขณะลิงหลับ และในขณะเดียวกันก็สามารถรับเอาอารมณ์ ทั้งอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ แม้มีอยู่ที่ไกลมาได้
ทั้งการเกิดและเที่ยวไปก็ปรากฏทีละดวง คือ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นเป็นไปและดับลง จิตดวงอื่นๆ จึงเกิดต่อไป หรือแม้แต่ทรวดทรงแห่งสรีระ หรือสีสันของจิตนั้นก็ไม่มี มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย
เพราะเหตุที่จิตเป็นธรรมชาติ เที่ยวไปดวงเดียวแม้ในที่ไกลได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ปรากฏรูปร่างนี่เอง จึงเป็นหนทางเปิดช่องให้กิเลสต่างๆ ที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้นที่เกิดแล้วย่อมเจริญมากขึ้น เพราะความหลงพร้อมแห่งสติ (ขาดสติสัมปชัญญะ)
< การควบคุมความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ไม่ให้มีความทุกข์ >
หน้าที่ก็มีอยู่เพียงแต่ว่า จะตัดต้นเหตุของความทุกข์นี้อย่างไร?
นี่คือเรื่องที่จะต้องปฏิบัติ. สำหรับเรื่องปฏิบัติทั้งหมด จะมารวมอยู่ที่ ควบคุม ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ; หรือว่าบังคับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; หรือว่ารู้จักรู้แจ้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ในตอนนี้อยากจะบัญญัติไว้พอเป็นเครื่องสังเกตทีก่อนว่า ถ้าเราควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้ให้ดี, ใช้คำว่าควบคุมนะ, ดูแลควบคุม เกี่ยวกับเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้ให้ดี; อย่าให้มีข้อผิดพลาด เราก็เป็นคนที่มีศีลที่ดีได้.
ที่นี้ ที่มากไปกว่านั้น ถ้าเราสามารถบังคับให้มันอยู่ในอำนาจ ให้หยุดอยู่ได้;
▪ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ดี; อย่างนี้ก็เป็น "ศีล".
▪ถ้าบังคับ ให้อยู่ในอำนาจให้หยุดอยู่ได้ตามที่ต้องการก็เป็น "สมาธิ".
▪ถ้าเรารู้แจ้งประจักษ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอย่างดีนี้; เราก็มี "ปัญญา".
เพราะฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นเรื่องที่เนื่องกันอยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; โดยเฉพาะการที่เราสามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ในทางที่ถูกต้องนั่นแหละ คือข้อปฏิบัติธรรมะ.
สำหรับ เรื่องศีล เราใช้คำว่า ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้ให้อยู่ในร่องรอยแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะขาดศีล. เพราะการที่ว่า จะไปฆ่าเขา ไปลักขโมยเขา ไปประทุษร้ายของรักเขา พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา อะไรก็ตามนี้; เพราะควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้อยู่ในร่องรอยไม่ได้;
หมายความว่า เมื่อมีอะไรมากระทบแล้ว ควบคุมไว้ไม่ได้ จึงไปฆ่าเขาเป็นต้น. เช่น เพียงแต่เห็นคนที่เป็นคู่เวรกันเดินมาเท่านั้นแหละ ใจก็เดือดพล่าน ปรุงไปในทางที่จะไปฆ่าเขาไปทำอันตรายเขา. หรือว่าเห็นที่น่ารักน่าพอใจของผู้อื่น ก็คิดที่จะลักของเขาหรือได้ลักเข้าไปจริง ๆ. นี่จึง ล่วงศีลข้อใดข้อหนึ่งได้ทุกข้อ เพราะว่าควบคุม ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ให้อยู่ในร่องในรอยไม่ได้.
ที่เรียกว่า ควบคุมให้อยู่ในร่องในรอยได้ ก็คือให้รู้จักรู้สึกอย่างถูกต้องว่าจะต้องทำอย่างไร. จะไปลักเขา, จะไปฆ่าเขา, จะไปอะไรเขา นี่มันถูกต้องไหม ? ทั้งที่รู้ว่าไม่ถูก ก็ยังทำ; ทั้งที่รู้ว่า ตัวเราก็ไม่อยากให้ใครมากระทำแก่เราอย่างนั้นแล้วเราก็ควบคุมตัวเราเองไม่ได้; เราก็ไปทำแก่ผู้อื่นในลักษณะที่เราไม่อยากให้เขามาทำแก่เรา. นี้คือความที่ไม่มีศีลได้เกิดขึ้นแล้ว; เพราะว่าเราควบคุมเรื่องต่าง ๆที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ได้.
ทีนี้ถ้าเราทำได้ เราจะมีศีลบริบูรณ์ข้อ : จะมีศีล ๕, ศีล ๘, ศีล ๑๐ ศีลกี่ร้อยกี่พันก็ตาม; ถ้ามันจะมี. ศีลนี้จะคงมีอยู่ได้อย่างดีและครบถ้วน เพราะว่าเราควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้ได้. ฉะนั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ และตั้งใจถือศีลนี้ข้อเดียวเท่านั้น จะมีศีลครบทุก ๆ ข้อ ไม่ว่าจะมีสักกี่สิบหรือกี่ร้อยข้อ. เรียกสั้น ๆ ว่า ถือศีล ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้ออกไปนอกร่องนอกรอย; หมายความว่า อย่าไปปรุงเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมา; แล้วก็จะมีศีลโดยกำเนิด โดยปกติ ตามธรรมชาติเป็นอัตโนมัติ ไม่มีด่างไม่มีพร้อย. นี่แหละศีลที่มาจากการควบคุมอายตนะ มีได้สมบูรณ์อย่างนี้ ดีมากอย่างนี้.
พอไปถึงขั้นที่สูงขึ้นไป คือ เรื่องสมาธิ ต้องเกี่ยวกับการบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจ คือบังคับจิตนี้ไม่ให้เกิดการผันแปรไปตามอารมณ์ที่มากระทบ, อารมณ์ที่มากระทบเขาเรียกกันว่านิวรณ์. เมื่อมีสิ่งบางสิ่งมากระทบ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วให้เกิดความรู้สึกเป็น กามฉันทะ พยาบาท หรือถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อะไรก็ตาม; เราหยุดความคิดนึกที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่ได้ หรือว่าหยุดความคิดนึกวุ่นวายทุกอย่างนั้นไม่ได้; จิตก็ถูกผลักถูกดัน ถูกปรุงแต่งให้เป็นไปในลักษณะที่ไม่ควรเป็น ที่เรียกว่าฟุ้งซ่าน. เพราะฉะนั้นผู้ที่บังคับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ นับว่าจิตมีความเป็นสมาธิอย่างดี อย่างเลิศอยู่ในตัว, คือมีต้นกำเนิดของสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ; แล้วก็มีสมาธิได้โดยง่าย.
ผู้ใดสามารถบังคับความรู้สึก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไว้ให้อยู่ในอำนาจได้เฉียบขาด. เหมือนทหารที่อยู่ในระเบียบวินัยที่ดี;
จิตก็มีลักษณะเป็นสมาธิ. คือเป็นจิตที่สะอาด บริสุทธิ์, แล้วก็เป็นจิตที่ตั้งมั่นเข้มแข็ง, เป็นจิตที่เหมาะสมที่จะทำสิ่งที่ดี ทำหน้าที่ของจิตในทางที่ดี; จิตอย่างนี้เรียกว่าจิตที่เป็นสมาธิ. ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ข้างนอก; คือไม่ตกไปเป็นทาสของ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์; คือไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์.
จิตจึงมีลักษณะเป็นสมาธิ, คือเป็นอิสระอยู่ได้ด้วยการบังคับทั้ง ๖ ทาง : คือทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ. นี้เรียกว่าเรื่องสมาธิ เป็นเรื่องที่มีรากฐานอยู่บน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นเดียวกับเรื่องศีล.
เรื่องถัดไปก็คือ เรื่องปัญญา เป็นเรื่องความรู้ : ต้องมีความรู้ คือ มีความรู้จัก มีความเข้าใจ มีความเห็นแจ้ง อย่างถูกต้อง อย่างประจักษ์ ในสิ่งนั้น ๆจึงจะเรียกว่าปัญญา. ในที่นี้ก็คือรู้แจ้ง แจ่มแจ้งประจักษ์ชัด ต่อสิ่งที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นเอง. นับตั้งแต่รู้ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุให้เกิดมีความรู้สึกอย่างไร, และมันจะปรุงแต่งสิ่งอะไรอื่นขึ้นมาใหม่ ๆ อีกบ้าง; ก็หมายความว่ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างถูกต้องและก็อย่างครบถ้วนแล้วเราจึงสามารถที่จะดำรงจิตใจอยู่ได้ ไม่ตกเป็นทาสของอะไร ที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; อย่างนี้ก็เรียกว่ามีปัญญา.
ต้อง มีความรู้จนกระทั่งสามารถควบคุม หรือว่า บังคับ หรือว่า วางเฉยต่อทุกอย่าง ที่มาเกี่ยวกับ ตา หูจมูก ลิ้น กายใจ ได้ถึงที่สุด.
นี้คือ ความลับ หรือสิ่งที่เรียกว่าเคล็ดลับ ซึ่งมีอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น หมดด้วยกัน, คือการกระทำที่ถูกต้อง ในเมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะ.
》ทั้งหมดนี้เราอาจจะสรุปความได้ว่า อย่าเผลอสติ เมื่อมีการกระทบทางอายตนะ
นี่ขอให้ช่วยกันกำหนดจดจำไว้ให้ดี ๆ จะว่าสัก ๓ ครั้ง ว่าโดยสรุปก็คือ :
▪อย่าเผลอสติ เมื่อมีการกระทบทางอายตนะ.
▪อย่าเผลอสติ เมื่อมีการกระทบทางอายตนะ,
▪อย่าเผลอสติ เมื่อมีการกระทบทางอายตนะ.
เมื่อไม่เผลอสติแล้ว มันก็คงมี ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เป็นปกติ.
Cr.ผัสสปเรโต ผัสสะบังหน้า
" ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ขอให้จิตอยู่ในความสงบ อยู่...ในอารมณ์พระกรรมฐาน ก็แล้วกัน
แยก กายสังขารให้เป็น...แยก จิตสังขารให้เป็น
วางเฉย ให้อยู่ในอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ
คือ...ทุกข์กายต้องระงับ แต่จิตไม่เกาะติดอยู่...กับมัน
ยอมรับสภาวะทุกข์ ของกาย
โดยดุษฏี บอกมันไว้เสมอ ๆ ว่า...
มึงตายเมื่อไหร่ กูสบายเมื่อนั้น."
(หลวงปู่บุดดา ถาวโร)
< ทวารทั้ง 6 -ประตูสู่ทุกข์ & ประตูสู่นิพพาน >
จิตของมนุษย์ทุกคนมีความว่างเป็นพื้นฐาน เพียงแต่ผัสสะจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เข้ามาก่อกวน ทำให้ความว่างของจิตเสียไป ถ้าเราสามารถสกัดผัสสะเหล่านี้ทางทวารทั้ง 6 ได้ จิตจะว่างเข้าสู่สุญญตาเองโดยอัตโนมัติ
กลวิธีในการสกัดไม่ใช่การเข้าไปทำลาย เพียงแต่กำหนดสติเฝ้าดูผัสสะทั้งหลายที่เกิดจากทวารทั้ง 6 จนหยั่งรู้เกิดปัญญาว่าสิ่งที่รับรู้นั้นเป็นมายา ไม่มีอยู่จริง เกิด-ดับ เกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา
เพียงแค่เฝ้าดูไม่ต้องต่อสู้หรือทำลายสิ่งเร้าและผัสสะทั้งหลาย มันก็พร้อมจะสลายตัวไปเองอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ความผิดพลาดของมนุษย์คือ ไม่รู้เท่าทัน การเกิด-ดับของสิ่งที่เกิดขึ้น และรับเอาสิ่งนั้นเข้าสู่ใจ ก่อให้เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน (ตัวกู-ของกู) ตามมา ซึ่งจะดับยากกว่าผัสสะที่ได้รับมา
และแม้ภายหลังสิ่งเร้าอายตนะทั้งหลายดับไปแล้ว เวทนา ตัณหา ก็ไม่ได้ดับตามไปด้วย ยังคงแฝงตัวอยู่ในจิต และพร้อมจะแสดงออกมาในรูปของวิบากกรรมต่อไปในอนาคต
หัวใจสำคัญของการตัดกรรมอยู่ที่ทวารทั้ง 6 นี่เอง ใช้สติสัมปชัญญะเฝ้าดูบริเวณปากทวาร อย่าให้กระทบเข้าสู่ใจ แม้บางครั้งจะมีหลุดลอดเข้าสู่สมองบ้าง แต่อย่าให้หลุดเข้าสู่ใจ สมองเป็นเรื่องของความคิด แต่ใจเป็นเรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ อยาก ไม่อยากทั้งหลายเหล่านี้ คือจุดเริ่มต้นของกรรมทั้งสิ้น
...(ทันตแพทย์สม สุจีรา, ทวาร 6 ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง, สำนักพิมพ์อมรินทร์)
》 ทวารทั้ง 6
“ทวาร” แปลว่า ประตู, ช่อง, ทาง
“อายตนะ 12” คือสิ่งที่เชื่อมต่อกันให้เกิดความรู้ หรือแดนต่อแดนเกิดแห่งความรู้มี 2 อย่างคือ อายตนะภายใน 6 และอายตนะภายนอก 6
“อายตนะภายใน 6” คือที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือแดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน ได้แก่... ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง 6 นี้เรียกอีกอย่างว่า อินทรีย์ 6 เพราะเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนแต่ละอย่าง เช่น ตา เป็นเจ้าการในการเห็น เป็นต้น
“อายตนะภายนอก 6” คือที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือแดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก ได้แก่... รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ทั้ง 6 นี้เรียกทั่วไปว่า อารมณ์ 6 คือเป็นสิ่งสำหรับให้จิตยึดหน่วง
“ผัสสะ หรือ ผัสสะ 6” คือความกระทบ หรือความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ ได้แก่...
1. จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา) คือ ตา+รูป+จักขุวิญญาณ
2. โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู) คือ หู+เสียง+โสตวิญญาณ
3. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก) คือ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ
4. ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางลิ้น) คือ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ
5. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย) คือ กาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ
6. มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ) คือ ใจ+ธรรมารมณ์+มโนวิญญาณ
อายตนะภายใน ผัสสะ อายตนะภายนอก วิญญาณ 4 อย่างนี้เป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าไปต่อ สวรรค์ นรก อยู่ที่นั่น ถ้าไม่ไปต่อ นิพพาน อยู่ที่นั่น
“ล้อผัสสะ” ผมเขียนชื่อเพื่อให้จำง่าย เข้าใจง่าย ผ่อนคลาย สบายๆ ว่า...
1. ตากระทบรูป สักแต่ว่า รูป ฮ่าๆๆ ตถตา เช่นนั้นเอง
2. หูกระทบเสียง สักแต่ว่า เสียง ฮ่าๆๆ ตถตา เช่นนั้นเอง
3. จมูกกระทบกลิ่น สักแต่ว่า กลิ่น ฮ่าๆๆ ตถตา เช่นนั้นเอง
4. ลิ้นกระทบรส สักแต่ว่า รส ฮ่าๆๆ ตถตา เช่นนั้นเอง
5. กายกระทบโผฏฐัพพะ สักแต่ว่า โผฏฐัพพะ ฮ่าๆๆ ตถตา เช่นนั้นเอง
6. ใจกระทบธรรมารมณ์ สักแต่ว่า ธรรมารมณ์ ฮ่าๆๆ ตถตา เช่นนั้นเอง
(ขยายความข้อ 1 ตาคืออายตนะภายใน กระทบคือผัสสะ รูปคืออายตนะภายนอก สักแต่ว่าคือวิญญาณหรือตัวรู้ เป็นต้น)
“ตถตา” ความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเป็นสังขาร ก็ปรุงแต่งต่อไป ทุกข์ต่อไป ถ้าเป็นวิสังขารก็หยุดการปรุงแต่ง หมดทุกข์หมดโศก มีแต่โล่ง โปร่ง เบา เห็นสรรพสิ่งแล้วก็น่าสงสาร และอดขำไม่ได้ฮ่าๆๆ
เรื่องทวารทั้ง 6 ผู้ที่อธิบายได้ลึกซึ้ง เข้าใจง่าย อีกท่านหนึ่งคือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร พระบูรพาจารย์ ท่านกล่าวว่า...
ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เลื่อมประภัสสรแจ้งสว่างมาเดิน แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เป็นอาคันตุกะ สัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้ ท่านเปรียบไว้ในบทกลอนหนึ่งว่า...
“ไม้ชะงกหกพันง่า (กิ่ง) กะปอมก่า (กิ้งก่า) ขึ้นมื้อฮ้อย กะปอมน้อยขึ้นมื้อพัน ครั้นตัวมาบ่ทัน ขึ้นนำคู่มื้อๆ”
โดยอธิบายว่า คำว่าไม้ชะงก 6,000 ง่านั้น เมื่อตัดศูนย์ 3 ศูนย์ออกเสีย เหลือแต่ 6 คงได้ความว่า ทวารทั้ง 6 เป็นที่มาแห่งกะปอมก่า คือของปลอม ไม่ใช่ของจริง
กิเลสทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสัญจรเข้ามาในทวารทั้ง 6 นับร้อยนับพัน มิใช่แต่เท่านั้น กิเลสทั้งหลาย ที่ยังไม่เกิดมีขึ้น ก็จะมีทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไม่แสวงหาทางแก้
ธรรมชาติของจิต เป็นของผ่องใส ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคือ อุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุม จึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบัง ฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่า พระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก
ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย เมื่อรู้โดยปริยายนี้แล้ว พึงกำจัดของปลอมด้วยการพิจารณาโดยแยบคาย ตามที่อธิบายแล้วในอุบายแห่งวิปัสสนาข้อ 9 นั้นเถิด
เมื่อทำจิตให้ถึงขั้นฐีติจิตแล้ว ชื่อว่าย่อมทำลายของปลอมได้หมดสิ้น หรือว่าของปลอมย่อมเข้าไม่ถึงฐีติจิต เพราะสะพานเชื่อมต่อถูกทำลายขาดสะบั้นลงแล้ว แม้ยังต้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของโลกอยู่ ก็ย่อมเป็นดุจน้ำกลิ้งบนใบบัว ฉะนั้น
...(บูรพาจารย์ จัดพิมพ์โดย มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต)
》นรกสวรรค์
นรก หมายถึงความร้อนใจ ผู้ใดมีความร้อนใจที่ไหน เมื่อไร ผู้นั้นตกนรกที่นั่น และเมื่อนั้นไม่ต้องรอตอนเมื่อตายแล้ว นรกที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ ความแผดเผาในจิตใจ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ว่าของกู นั่นเอง
นรก คือความเดือดร้อนอยู่เหมือนไฟเผา มองดูตัวเองแล้วขยะแขยง ไม่เคารพตัวเองได้
นรกคือความร้อนใจ เดือดร้อนใจ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว
สวรรค์ คือความพอใจในตัวเองอย่างยิ่ง สวรรค์ในภาษาคน ก็หมายถึงเทวโลกอันงดงามอยู่เบื้องบน ที่ใฝ่ฝันกันนัก ทำบุญสักบาทหนึ่ง ก็จะเอาวิมานหลังหนึ่ง มีนางฟ้าเป็นร้อยๆ พันๆ
สวรรค์ในภาษาธรรมะ หมายถึงกามคุณ หรือยอดสุดของกามคุณ เป็นต้น ที่ทำให้คนลุ่มหลงนี้เรียกว่า สวรรค์ชั้นกามาวจร
ถ้าเป็นสวรรค์ชั้นพรหมโลก ก็หมายถึงความว่างจากกามารมณ์ มีความสบายใจเพราะไม่ถูกกามารมณ์รบกวน เหมือนอย่างว่า คนคนหนึ่งเมื่อมีความหิวในกามารมณ์ บริโภคกามารมณ์เสร็จแล้ว ไม่อยากแตะต้องกามารมณ์อีกต่อไป ในเวลานั้นต้องการอยู่ว่างๆ เงียบๆ จืดๆ นี้ก็คือความรู้สึกที่ว่างจากกามารมณ์ ที่พอจะเทียบกันได้กับคุณสมบัติของพวกพรหม หรือพรหมโลก
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า สวรรค์ชั้นธรรมดา ก็คือสมบูรณ์ไปด้วยกามารมณ์ สวรรค์ชั้นสูงสุด เช่น ปรนิมมิตวสวัตดี ก็คือสมบูรณ์ไปด้วยยอดสุดของกามารมณ์
สวรรค์ชั้นพรหมโลก ก็คือว่างจากการเบียดเบียนของกามารมณ์ แต่ยังมีตัวตน มีตัวกูอยู่
นรก-สวรรค์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
นรกอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อยู่ที่ว่า ทำผิด หรือทำถูก อาตมาไม่ได้ยกเลิกนรกสวรรค์ แต่บอกนรกหรือสวรรค์ที่จริงกว่า ที่แท้กว่า ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ แล้วมันก็ควบคุมไปถึงนรกสวรรค์ต่อตายแล้ว นรกสวรรค์ชนิดอื่น ที่ไหนก็ตามขึ้นอยู่กับนรกสวรรค์นี้
...(พจนานุกรมธรรม ของท่านพุทธทาส)
》 เกิดอยู่ที่นั่น
นรก สวรรค์ เกิดอยู่ที่นั่น ก็คืออยู่ที่ทวารทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นแล
เมื่ออายตนะภายใน กระทบกับอายตนะภายนอก เกิดวิญญาณ แล้วไม่ยอมหยุด สืบต่อเป็นเวทนา รู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ไม่หยุด ต่ออีก เป็นตัณหา อุปาทาน ไปเรื่อยๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น
ถ้าเรารู้ทัน มันก็หยุด ถ้าไม่รู้ทันมันก็ไหลไปเรื่อยๆ สมมุติตากระทบรูป ก็สักแต่ว่ารูป ฮ่าๆๆ ตถตาเช่นนั้นเอง
ฮ่าๆๆ กะปอมก่า มาทำไม ฮ่าๆๆ มายาเจ้าขามาอีกแล้ว ฮ่าๆๆ มาล่าเหยื่อรึ ฉันไม่หลงกับแกหรอก ฯลฯ อย่างนี้ เรียกว่ารู้ทัน เพราะมีสติเฝ้าดูอยู่ที่ทวารทั้ง 6
สมมุติ ตากระทบรูป ไม่หยุด ไปต่อ เกิดเวทนา ยินดีก็เป็นสวรรค์ ยินร้ายก็เป็นนรก อย่างนี้คือไม่รู้ทัน
สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ หรือสุขทุกข์อยู่ที่ใจตนเอง ก็อยู่ตรงนี้ ตรงทวารทั้ง 6 เมื่อผัสสะเกิดเวทนา สุขก็สวรรค์ ทุกข์ก็นรก ทั้งสุขและทุกข์ ก็เป็นสิ่งเดียวกัน คือสุข เพราะมีทุกข์น้อย และทุกข์เพราะมีทุกข์มาก หรือมีสุขน้อย
พุทธศาสนา สอนเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์ การปล่อยให้ทุกข์ไปต่อเรื่อยๆ แสดงว่าไม่รู้ไม่เข้าใจพุทธศาสนา รู้แต่พุทธพาณิชย์กระมัง?
》ดับมัน นิพพาน
ทวารทั้ง 6 นอกจากจะเป็นที่เกิด นรก สวรรค์แล้ว ยังเป็นที่เกิดนิพพานด้วย
คือเมื่อผัสสะหรือกระทบ มีสติรู้ทัน หยุดอยู่ที่นั่น ไม่ไปต่อ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ
ตากระทบรูป สักแต่ว่ารูป หูกระทบเสียง สักแต่ว่าเสียง เป็นต้น
ทุกประตู ทุกช่อง ทุกทาง หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ไปต่อ ไม่ปรุงต่อมี 6 ประตูก็เหมือนไม่มี เพราะคำว่า “สักแต่ว่า” เพียงคำเดียว
“สักแต่ว่า” ก็เหมือนคำว่า “ดับ” นั่นเอง
ดับอะไร? ดับทวารทั้ง 6 คือทวาร 6 ไม่หลงไปตามกิเลส ไม่ยอมเป็นเหยื่อของปลอม ได้แก่ เฝ้าดู และขบขัน
ท่านผู้รู้ทั้งหลาย อาจจะย้อนแย้งสงสัยว่า นิพพานอะไร มันจะง่ายอย่างนั้น
ก็ขอตอบว่า...มันก็เพียงแค่ความคิดธรรมดาๆ ของคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ลองฟังความคิดของท่านผู้รู้จริง หรือผู้ตื่นรู้บ้าง...
นิพพาน แปลว่าเย็น พูดให้ชัดลงไปว่า นิพพานนั้นคือภาวะที่อายตนะเป็นของเย็น อายตนะก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นสื่อ หรือทางสำหรับติดต่อกับภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อยู่ข้างนอก
นิพพาน คือภาวะที่อายตนะนั้นเป็นของเย็น ถ้าเราปล่อยไปตามความโลภ โกรธ หลง อายตนะจะเป็นของร้อนตลอดเวลา
นิพพาน หมายถึงเย็นหรือดับ เย็นลงเหมือนกับไฟที่เย็นลง หรือของร้อนๆ เย็นลงนั่นแหละคือ อาการของนิพพานล่ะ
...(พจนานุกรมธรรม ของท่านพุทธทาส)
ปราชญ์ทางพุทธปรัชญาคนหนึ่ง ถามอาจารย์ไดสุ ว่า...
“อะไรคือมหานิรวาณ” (นิพพาน)
“คือการไม่ผูกพันตัวเองอยู่กับกรรมที่ก่อให้เกิด ความเกิดและความตาย” อาจารย์ไดสุ ตอบ
“อะไรคือกรรมที่ก่อให้เกิดความเกิดและความตาย” นักปราชญ์ถามต่อ
“การแสวงหามหานิรวาณ (นิพพาน) คือกรรมที่ก่อให้เกิด ความเกิดและความตาย การสละกิเลส และยึดมั่นอยู่กับความบริสุทธิ์ คือกรรมที่ก่อให้เกิด ความเกิดและความตาย ที่ใดประกอบด้วยความปรารถนา และการบรรลุถึงความปรารถนา ที่นั่นย่อมมีกรรมที่ก่อให้เกิด ความเกิดและความตาย การไม่ยอมขจัดความคิดที่แบ่งแยกสิ่งต่างๆ ออกเป็นสิ่งตรงกันข้ามกันออกไป คือกรรมที่ก่อให้เกิด ความเกิดและความตาย”
“ดังนั้น เราจะเข้าถึงการไถ่ถอนซึ่งผลกรรมทั้งสิ้นได้อย่างไร เราจะหลุดพ้นได้อย่างไร” นักปราชญ์ถามต่ออย่างสงสัย
อาจารย์ไดสุ ตอบว่า... “เราบริสุทธิ์ตั้งแต่แรกมาแล้ว เราไม่ได้ตกอยู่ในห้วงกรรม หรือพันธนาการใดๆ เลย ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาความหลุดพ้น “เพียงแต่ใช้”... “เพียงแต่กระทำ” นี่แหละไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบด้วยได้”
คำว่า “เพียงแต่ใช้”... “เพียงแต่กระทำ” ของอาจารย์ไดสุ หมายถึงอะไรเล่า เหตุใดจึงยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีอะไรเปรียบปาน ที่จริงอาจารย์ไดสุ เพียงต้องการพูดกับเราว่า...
“จงหยุดนิสัยที่ใคร่รู้ของเธอเสีย จงหยุดความคิดที่วุ่นวายสับสนของเธอเสีย หยุดการแสวงหาไขว่คว้าอันว่างเปล่านั้นเสียด้วย จงมองดูซิ จงมองดูนกที่เหินบินอยู่ในท้องนภา มองดูปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ มันช่างอิสระ และมีความสุขยิ่ง หากเธอเป็นได้เพียงแค่นกและปลา เธอคงจะมีความสุขยิ่งใหญ่กว่านี้”
...(ปรัชญาแห่งนิกายเซน โพธิสัตวธรรม โดย พจนา จันทรสันติ สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง)
“ทวารทั้ง 6
นรกสวรรค์
เกิดอยู่ที่นั่น
ดับมันนิพพาน”
ชีวิตนี้ช่างรอบรู้มาก และยิ่งใหญ่เสียจริงๆ ต่างคนต่างแสวงหา เพื่อให้รู้มากๆ และยิ่งใหญ่ยิ่งๆ ขึ้นไป
การแสวงหานั้น เป็นสิ่งที่ดี และมีคุณค่า แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่เราแสวงหานั้น มันคือความว่างเปล่า
แล้วแสวงหา-ไปหาอะไร?
โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม
< ปัญญาสูงสุด >
"ปัญญาสูงสุดคือ จิตเห็นจิต พอเรารู้จิตชัดเจนแล้วหมดสัญญา ไม่ต้องรู้อะไรอีก ให้รู้จิตเห็นจิต ไม่ใช่ของต่ำๆนะ มันเป็นอริยมรรค สำหรับตัดสมุทัยทั้งหมด ดั่งที่พูดว่า...
▪จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย
▪ผลของสมุทัยเป็นตัวทุกข์
▪จิตเห็นจิตเป็นตัวมรรค
▪ผลของมรรคเป็นตัวนิโรธ
เหตุของนิโรธก็คือ ตัวอริยมรรคนี้เอง จิตดูจิต ก็คือ ตั้งจิตกับสตินี้เอง จิตกับรู้เป็นของสิ่งเดียวกัน ไม่แตกต่างกันเลย การแตกต่างทั้งหลายเกิดจากการคิดผิดๆ ย่อมนำไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งปวงทุกชนิด ไม่มีหยุด ถ้าจิตเห็นจิตแล้วอะไรๆมันก็ขาดหมด มันตัดขาด กิเลสตัณหาอะไรทั้งหมด จิตตรงนั้น ไม่มีปรุงแต่ง สัจธรรมก็คือ จิต สัจธรรมไม่ได้หายไปจากเรา แม้ขณะเรากำลังหลงผิดอยู่กับอวิชชา และได้รับกลับมาขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็น ธรรมธาตุ
อสัตตะของเราไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราตรัสรู้แล้ว อวิชชาก็หมดไป ถ้าละไม่ถูกทางมันก็ไม่ดับ ต้องละถูกทางถึงจะดับ ดี ชั่ว สูง ต่ำ อะไร ที่เป็นของคู่ ถ้าแยกคู่ได้แล้ว นั้นแหละคือ ตัวว่าง อยู่เหนือ บุญ เหนือบาป เหนือเหตุ เหนือผล เหนือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่า โลกุตระธรรม อยู่เหนือโลกทั้งสาม
"หลวงปู่ดุลย์"
< การทำงานของจิต >
มาทบทวนการทำงานของจิตกันครับ
ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงสำรวจรูป(กาย) และนาม(จิต) พระองค์ได้พบว่า จิตประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ วิญญาณ สัญญา เวทนา และสังขาร
(ปกติคำว่า จิต, มโน, วิญญาณ คือคำที่ใช้แทนกันได้ แต่ในที่จะสมมุติให้คำว่า "จิต" นี้คือ นามขันธ์)
》ส่วนที่ ๑ เรียกว่า "วิญญาณ" คือ การรับรู้ของจิต โดยไม่แยกแยะหรือประเมิน ส่วนนี้ของจิตมีหน้าที่เพียงรับรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ แต่จะไม่จำแนกหรือตัดสิน
》ส่วนที่ ๒ เรียกว่า "สัญญา" คือ การจำได้หมายรู้ จิตส่วนนี้แยกแยะสิ่งที่วิญญาณรับรู้ โดยจัดประเภทและประเมินด้วยว่าเป็นบวกหรือลบ ดีหรือไม่ดี ทันทีที่จิตส่วนนี้จำได้และประเมินค่า ส่วนที่ ๓ ของจิตจะทำงาน
》ส่วนที่ ๓ เรียกว่า "เวทนา" คือ การรับรู้ความรู้สึก ที่ร่างกาย โดยแท้จริงนั้นทันทีที่วิญญาณรับรู้ ก็จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นที่ร่างกาย เป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นแล้ว แต่เมื่อไรที่ยังไม่ถูกประเมิน ความรู้สึกนั้นจะยังเป็นกลางอยู่ จนเมื่อได้รับการประเมินค่า เช่น ถ้าประเมินว่าดีก็รู้สึกพอใจ ถ้าไม่ดีก็ไม่พอใจ
》ส่วนที่ ๔ เรียกว่า "สังขาร" คือ การปรุงแต่ง ตอบโต้ต่อความรู้สึก ถ้าความรู้สึกเป็นที่น่าพอใจ จิตส่วนนี้จะปรุงแต่งว่าชอบ อยากให้ความรู้สึกนั้นยาวนานขึ้น พอใจมากขึ้น แต่หากเป็นความรู้สึกไม่น่าพอใจก็จะปรุงแต่งว่าไม่ชอบ อยากขจัดมันออกไป จิตคอยปรุงแต่งว่าชอบหรือชังอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น ในยามปกติเมื่อหูได้ยินเสียง ขณะนั้นวิญญาณกำลังทำงานว่าได้ ยินเสียงและเมื่อเราจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นคำพูด ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม นั่นคือการทำงานของสัญญา จากนั้นเป็นหน้าที่ของ เวทนาหรือการรับรู้ความรู้สึกที่ร่างกาย ถ้าเป็นคำชมก็จะรู้สึกสบาย ถ้าเป็นคำด่าทอ ก็จะไม่รู้สึกสบาย ไม่พึงพอใจ ทันทีที่เวทนาเกิดขึ้น จิตจะเริ่มปรุงแต่งสังขาร ถ้าเป็นความรู้สึกสบาย จิตจะปรุงแต่งว่าชอบและอยากได้ยินคำชมเชยอีก แต่ถ้าเป็นความรู้สึกไม่สบาย ไม่น่าพอใจ ก็จะปรุงแต่งว่าไม่ชอบ และอยากให้หยุดคำด่าทอเสีย
การทำงานของจิตทางทวารรับรู้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็เป็นลำดับเดียวกันเช่นนี้ คือ
》วิญญาณรับรู้ -> สัญญาจำได้หมายรู้และประเมินค่า -> เวทนารับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ->สังขารปรุงแต่งตอบโต้ (เกิดตัณหา)
จิตทั้ง ๔ ส่วนนี้ ทำหน้าที่รวดเร็วยิ่งกว่า การเกิดดับของอนุภาคที่ประกอบกันขึ้นเป็นสสารเสียอีก ทุกครั้งที่ประสาทสัมผัสรับรู้ ถึงสิ่งที่มากระทบ กระบวนการทั้ง ๔ ของจิตก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และจะทำงานซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างรวดเร็ว นี่คือปรมัตถสัจจะหรือความจริงอันสูงสุดเกี่ยวกับรูปและนาม(กายและจิต) ของทุกคน
ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องจากประสบการณ์ของตนเอง เพื่อจะได้พบหนทางสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
โดยเราจะต้องฝึกให้มีสติที่เข้มแข็ง (สัมมาสติ) และจิตตั้งมั่น (สัมมาสมาธิ) รู้เท่าทันจิต(เวทนา) และละสังขาร คือไม่ปรุงแต่ง (ให้เกิดตัณหา) สักแต่รู้ ๆ เท่านั้น แล้วเราก็จะมีทุกข์น้อยลงๆ
"จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้"
การทำงานของจิตทั้ง ๔ นี้ ทำงานอยู่ตลอดเวลา เราต้องทำความเข้าใจและรู้เท่าทัน ก็จะมีความทุกข์น้อยและนำพาเราสู่หนทางพ้นทุกข์
จาก...หนังสือ "ศิลปะในการดำเนินชีวิต" วิปัสสนากรรมฐาน สอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า หน้า ๓๖-๓๗
ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สัพพันตัง นิโรธธัมมัง
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา
รูป-นาม ในสามโลกธาตุ
ล้วนเป็นสังขตธรรม(มีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง)คือตกอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์
ทุกๆสิ่งมีเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ แล้วดับไป
ความรัก มีเกิดขึ้น
ตั้งอยู่และดับไป(ฝ่ายนาม)
มีใครรักนิรันดร์ไหม?รักทุกวินาทีไม่มีดับ ไม่มีเลิกร้างห่างจากกัน
วัตถุสิ่งหนึ่งเช่นต้นไม้มีกล้างอกขึ้นมาแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้ เวลาผ่านไปๆย่อมแปรผันแล้วเสื่อมสลายไปในที่สุด จะ100-200-300 ปีก็ช่าง(ฝ่ายรูป)
ธรรมชาติของรูป-นาม
เขาเป็นอยู่อย่างนั้น
จะ100-1000-10000-100000-1000000000000000 ปีย่อมเป็นเช่นนั้น
ธรรมชาตินะธรรมดา
แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ
สัตตานังที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก ได้อาศัยขันธ์5 (รูปและนาม)ก่อตัวขึ้นเป็นอัตตาภาพกาย
แล้วเกิดความหลงผิดมีอภินิเวสายะ(ความยึดมั่นถือมั่น)
ว่ากายนี้เป็นของสัตตานัง
เมื่อหลงผิดว่ากายนี้เป็นของตนจึงต้องเป็นทาสให้รูปกับนามนี้ด้วยอำนาจของกิเลส
เช้าก็ต้องคอยล้างหน้า แปรงฟัน สารพัดที่จะทำ หาอาหารให้ทานบำรุงตามนิสัยบุญวาสนาที่จะทำได้
ต้องคอยเป็นทาสกิเลสด้านทางกายด้วยกามคุณทั้ง5คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หามาสนองความต้องการ(ตัณหา)ไม่รู้จักจบสิ้น
ส่วนทางใจด้านธรรมารมณ์
ต้องคอยหาความพอใจในอารมณ์ยินดีนั้นๆมาตอบสนองทั้งๆที่ความจริงทุกๆสิ่งล้วนไม่มีแก่นสารสาระใดๆ
เป็นเพียงเรื่องราวสมมุติที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งกรรมดีและชั่วที่บุคคลได้กระทำไว้แล้ว
พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา ลูก เพื่อน บริวาร ล้วนเป็นสมมุติที่ต้องมาใช้กรรมเก่าก่อกรรมใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น
เกิดก็ชั่วคราว
ภพก็ชั่วคราว
ตั้งอยู่ก็ชั่วคราว
ตายก็ชั่วคราว
เพราะจิตไม่ได้ตายด้วย (มีการเกิด/ดับ สืบต่อกัน อย่างไม่ขาดสาย)
โลกนี้คือโรงละครที่มี...
▪กรรม (ทั้งดีและไม่ดี)เป็นผู้เขียนบท
▪กิเลส เป็นผู้กำกับฝ่ายไม่ดี, บุญกุศลเป็นผู้กำกับฝ่ายดี
▪สัตตานัง (ผู้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ)เป็นผู้เล่น
▪มีผู้ร่วมกรรม เป็นตัวประกอบซึ่งกันและกัน
ไม่รู้จะอีกยาวนานขนาดไหนที่สัตตานังจะมีความรู้และแสงสว่างเกิดขึ้นในจิต
สภาพรู้คือจิต
เย็น อ่อน ร้อน แข็ง
ตึง หย่อนนี่คือสภาวะปรมัตถ์ เป็นสัจจะ
สภาพรู้ก็ต้องรู้ร้อน
รู้หนาว รู้อ่อน รู้แข็ง รู้ทุกขเวทนาอันเผ็ดร้อนในนรก
รู้สุขเวทนาอันหอมหวานบนสวรรค์
กายทิพย์คือพลังงานอย่างหนึ่ง
เหนี่อยไหมที่ต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้?
ถ้าตายแล้วสูญก็คงไม่มีคนระลึกชาติได้
นิมิตฝันบางอย่างคงไร้ซึ่งความหมาย
จิตดวงสุดท้ายจะให้คำตอบเองเมื่อตัวตายเพราะกายแตก
คนที่นั่งถึงฌาณ4 แล้วระลึกชาติได้ย่อมรู้ชัดในเรื่องนี้
อยากรู้นั่งสมาธิเข้า
เพ่งพิสูจน์วิชาพระพุทธเจ้ากันเสีย จะได้ไม่เป็นโมฆะบุรุษ(บุคคลผู้สูญเปล่าใน1ชาติการเกิด)
พระพุทธเจ้าพูดทุกๆส่วนเป็นสัจจะ ไม่เชื่อลองผิดศีลดูแล้วลองพิสูจน์ว่าจริงไหมขึ้นอยู่ที่เหตุและปัจจัยด้วย
ถ้าตายสูญทำไมบางคนตายยังเข้าฝันคนให้ไปหาศพตนเองได้ละ?
เรื่องเหล่านี้เคยเกิดมาแล้วทั้งสิ้น
พรุ่งนี้มี ชาติหน้าย่อมมี
เมื่อวานมี ชาติแล้วย่อมมี
เพ่งพิสูจน์ด้วยสติปัญญาของตนเอากันนะ เพราะอย่าเชื่ออะไรๆง่ายๆแม้เขาจะเป็นครูบาอาจารย์
(กาลามสูตร10)
อ้างอิง บรรยายธรรมโดย พอจ. เอโกธิภาวะ
23 มีค. 2560
ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายดับไป เป็นธรรมดา
แม้ตัวเรา ก็เสื่อม ชรา และจากไป (ตาย) ในที่สุด
ที่ว่าของๆ เรา เมื่อเราตายแล้ว ของๆ เรา ยังเป็นของเราได้หรือเปล่า
ดังนั้นจะทุกข์ไปใยกับสิ่งต่างๆทางโลก
สำหรับความรู้หรือความเห็นแจ้งว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนี้ ต้องพึงเข้าใจว่า มีอยู่ ๓ ระดับ คือ....
๑.รู้ตามที่ได้ยินได้ฟัง (นี้เรียกว่า ความรู้)
๒.รู้ด้วยการคิดตามเหตุผล (นี้เรียก ความเข้าใจ)
๓.รู้จากการปฏิบัติอย่างครบถ้วน จนมีความรู้ซึมซาบในทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกขั้นทุกตอน กระทั่งถึงผลที่เกิดขึ้นมาจากการปฏิบัตินั้นๆ (นี้เรียกว่า ความรู้แจ้งแทงตลอด) จึงจะเกิดนิพพิทา (ความเบื่อหน่าย) และส่งเสริมให้เกิดวิราคะ (การจางคลายของกิเลส) ที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกภายในจิตใจได้เอง
< ธรรมคุณ ๖ >
เพื่อให้เกิดความมั่นใจในพระธรรมคำสั่งสอนอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองพิจารณาอย่างถ่องแท้เข้าใจในหลักธรรม “ธรรมคุณ ๖” หลักธรรมดังกล่าวนี้ มนุษยชาติทุกผู้ทุกนามสามารถน้อมนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เหนือกว่าสติปัญญาใดในมนุษย์ที่มีมาทั้งหมด พระธรรมของพระพุทธองค์ ไม่ได้จำกัดชนชั้น เผ่าพันธุ์ ชาติพรรณใดๆ ทั้งสิ้นที่จะเข้ามาสัมผัส “รสพระธรรม” แห่งพุทธศาสนา พระธรรมอันเปรียบเหมือนแสงประทีปที่นำทางชีวิตอันอุดมไปด้วยคุณธรรมที่มนุษยชาติควรไขว่คว้ามาเป็นอริยทรัพย์ ซึ่งเป็นทรัพย์แห่งคุณธรรมที่ไม่สูญหายไปไหน แม้ชีวิตจะหาไม่ นรชนผู้เขลาเบาปัญญาถึงแม้จะได้พบผ่านพระธรรมอันประเสริฐแล้ว ของพระพุทธองค์ ยังไม่สามารถเข้าใจได้เพราะความอับปัญญาด้วย “อวิชชา ๘” ความเนื่องด้วย “อนุสัย ๗” พร้อมด้วย “กิเลส ๑๐” กับ “อาสวะ ๔” ที่ฝังอยู่ในกมลสันดานข้ามภพข้ามชาติมาจนถึงปัจจุบันในชาตินี้ เมื่อสดับตรับฟังพระธรรมแล้ว ส่วนใหญ่จะมีอาการน่าเป็นห่วง คือ เกิด “นิวรณ์ ๕” หมายถึง สิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม หลักธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง หรือ “อุปกิเลส ๑๖” หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก ซึ่งจะเข้าครอบงำจิตทันที ทำให้จิตซัดส่าย เลินเล่อ ประมาท (ปมาทะ) เผอเรอ ผัดเพี้ยน ปล่อยปละละเลย และมุ่งแต่จะเอาชนะกัน ความถือตัว หรือความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา คุณลักษณะอาการเหล่านี้ คือ เครื่องขัดขวางความก้าวหน้าในการทำความดี สร้างกุศลกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญสมาธิภาวนา การเจริญปัญญาไปสู่สันติบทแห่งนิพพาน ดัง “ธรรมคุณ ๖” ของพระพุทธองค์ คือ เครื่องรับประกันความตรัสรู้ของพระองค์ ดังรายละเอียดข้างล่างนี้
ธรรมคุณ ๖ (Virtues of the Dhamma)
“ธรรมคุณ ๖” หมายถึง คุณของพระธรรม คุณลักษณะอันเป็นความดีของพระธรรม ได้แก่
(๑) สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม
(พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว คือ ตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทั้งงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง)
(๒) สนฺทิฏฺฐิโก
(อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง คือ ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้)
(๓) อกาลิโก
(ไม่ประกอบด้วยกาล คือ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา พร้อมเมื่อใด บรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใด เห็นผลได้ทันที อีกอย่างว่า เป็นจริงอยู่อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่จำกัดด้วยกาล)
(๔) เอหิปสฺสิโก
(ควรเรียกให้มาดู คือ เชิญชวนให้มาชม และพิสูจน์ หรือท้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็นของจริงและดีจริง)
(๕) โอปนยิโก
(ควรน้อมเข้ามา คือ ควรน้อมเข้ามาไว้ในใจ หรือน้อมใจเข้าไปให้ถึง ด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจ หรือให้ใจบรรลุถึงอย่างนั้น หมายความว่า เชิญชวนให้ทดลองปฏิบัติดูอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่นำผู้ปฏิบัติให้เข้าไปถึงที่หมาย คือ นิพพาน)
(๖) ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ
(อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน คือ เป็นวิสัยของวิญญูชนจะพึงรู้ได้ เป็นของจำเพาะตน ต้องทำจึงเสวยได้เฉพาะตัว ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ประจักษ์ที่ในใจของตนนี่เอง)
< ๑.พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?>
ผมแน่ใจว่าคนที่พอจะสนใจในศาสนาพุทธก็ทราบแล้วว่าพระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องอริยสัจสี่ บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องทำบุญเพื่อไปสวรรค์กระมัง
ผมคิดว่าคำตอบที่จะทำให้เห็นชัดเจนที่สุดอยู่ในนิทานเรื่องนี้ ฤาษีผู้มีฤทธ์ตนหนึ่งใช้ไม้เท้ากายาสิทธิ์แปลงร่างของชายคนหนึ่งเป็นเสือโคร่งไปในชั่วพริบตา เราต้องตั้งคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชายผู้นี้ อยู่อย่างเป็นเสือโคร่งต่อไปหรือพยายามหาทางแก้มนต์ของฤาษีและรีบเร่งกลับสู่ความเป็นคน เห็นได้ชัดว่าคำตอบมีอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น คือต้องรีบแก้มนต์และหาทางกลับคืนสู่ความเป็นคนให้เร็วที่สุด คนที่จะแก้มนต์ให้ได้ จะต้องเป็นชายอีกผู้หนึ่งที่รู้ว่าเสือตัวนี้มิใช่เป็นเสือจริง แต่เป็นเสือเพราะถูกแปลงร่างจากความเป็นคน ด้วยความเมตตาของชายผู้นี้ เขาจึงเสาะหาจนเจอสูตรแก้มนต์ของฤาษี และกลับมาแปลงร่างของเสือให้กลับเป็นคนเช่นเดิม
นิทานเรื่องนี้ได้บรรจุเนื้อหาอันเป็นแก่นของศาสนาพุทธไว้ครบถ้วน
▪มนต์ของฤาษีคืออวิชชา
▪ชายในนิทานคือสภาวะของจิตเดิมแท้หรือจิตประภัสสร ซึ่งเป็นจิตที่ปราศจากความทุกข์อันมีอยู่แล้วในคนทุกคน
▪เสือโคร่งคือสภาวะที่สูญเสียจิตเดิมแท้ คือจิตที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาและความทุกข์
▪ชายอีกคนหนึ่งที่มีความเมตตาคือพระพุทธเจ้าผู้เสาะแสวงหาจนเจอสูตรแก้มนต์ คือเจอหนทางแห่งความดับทุกข์ และสามารถนำจิตเดิมแท้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
สถานการณ์ของมนุษย์ในขณะนี้คือ เราได้สูญเสียจิตบริสุทธ์ หรือจิตเดิมแท้อันเนื่องจากอวิชชา หลายคนอยากจะถามว่า แล้วพวกเราไปได้อวิชชามาตั้งแต่เมื่อไร นี่เป็นคำถามเดียวกับถามว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นของสังสารวัฎที่พระพุทธองค์เตือนว่าอย่าถาม เพราะเป็นเรื่องอจินไตย รู้ไม่ได้ ถามแล้วก็ไม่มีประโยชน์ หากใครไปเอามาคิดมาก ก็อาจจะทำให้เป็นบ้าได้ ครั้นพระพุทธเจ้าได้มาบอกข่าวดีกับพวกเราแล้ว เราควรจะรับฟังท่านโดยดุษณี ท่านตรัสว่าหน้าที่ของความเป็นมนุษย์มีเพียงข้อเดียวคือต้องปลดเปลื้องอวิชชาและกลับไปสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตที่เป็นมาแต่ดั้งเดิมคือจิตหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงหรือความเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่มาปลดเปลื้องอวิชชาให้เราได้คือพระพุทธเจ้านั่นเอง
ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อชายใจดีมาบอกข่าวดีต่อเสือโคร่งว่าเขาได้มนต์ตรามาแล้ว ขอให้เสือโคร่งยืนนิ่ง ๆ สักอึดใจจะได้ท่องบ่นมนตราพร้อมเอาไม้เท้ากายสิทธิ์ชี้ไปที่ตัวเพื่อเสือโคร่งจะได้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์ดังเดิม เสือโคร่งกลับอวดเก่งบอกว่าไม่จริงและเถียงว่าเขาก็เป็นเสือโคร่งมาแล้วแต่เดิม ไม่จำเป็นต้องกลับไปเป็นอะไรอีก นี่คือคนประเภทที่ไม่เอาธรรมะเลยและคิดว่าธรรมะไม่มีความจำเป็นและไม่สำคัญต่อการอยู่รอดของชีวิต หาเงินพออยู่รอดได้ก็ดีแล้ว เป็นกลุ่มคนที่ให้ความเชื่อมั่นต่อข้อเท็จจริงและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าเรื่องศาสนาที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องงมงายและพิสูจน์ไม่ได้ คนประเภทนี้เปรียบเหมือนกับอยู่ในห้องมืดแล้วยังเลือกใส่แว่นตาดำ ความมืดของอวิชชาจึงรัดตัวมันเองแน่นยิ่งขึ้น เป็นบุคคลประเภทที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
คนอีกประเภทหนึ่งที่หวังทำบุญเพื่อไปสวรรค์ก็เปรียบได้ว่า อยากจะเปลี่ยนจากความเป็นเสือโคร่งมาเป็นเสือลายเท่านั้นเอง ภพภูมิต่าง ๆ ในสังสารวัฏจากพระพรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรกนั้น ล้วนแล้วแต่มีความเป็นเสืออยู่ทั้งสิ้น ต่างกันที่ชนิดหรือพันธ์เท่านั้นเอง
ข้อแตกต่างอีกข้อหนึ่งคือ ในหมู่แห่งพระพรหม เทวดาและมนุษย์นั้น ยังมีเสือบางตัวที่อยู่ในขั้นตอนแห่งการกลับกลายสู่ความเป็นมนุษย์ ผู้ที่สนใจศาสนาพุทธมากจนถึงขั้นการฝึกสมาธิวิปัสสนาคงจะได้ยินเรื่องญาณ๑๖ ญานที่ ๑๓ มีชื่อเรียกว่า โคตรภูญานหรือญานข้ามโครต นั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คือการข้ามจากโครตแห่งความเป็นมนุษย์ไปสู่โครตแห่งความเป็นพระอริยะบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจของปัญญาชน จะขออธิบายว่าโดยบุคลาธิษฐานแล้ว
▪พระโสดาบันคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๒๕%
▪พระสกิทาคามีคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๕๐%
▪พระอนาคามีคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๗๕%
▪พระอรหันต์คือเสือตัวที่สามารถกลับกลายเป็นมนุษย์ได้๑๐๐% เป็นผู้ที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม คือสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงและกลับสู่ความเป็นธรรมดาของชีวิต (ตถตา) แน่นอน โดยความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติแล้วไซร้ ไม่อาจจะบอกเป็นตัวเลขเช่นนี้ได้ นี่เป็นเพียงสื่อแห่งการทำให้ผู้อ่านประเภทปัญญาชนเข้าใจเท่านั้น
ข้อเปรียบเทียบดังกล่าวทำให้สามารถมองเห็นโครงสร้างของชีวิตชัดมากขึ้นว่าความสมบูรณ์ที่เต็มเปี่ยมของชีวิตหรือเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์นั่นเอง ฉะนั้น อย่าว่าแต่พอใจที่จะเป็นเพียงเทวดาซึ่งอาจจะยังเป็นเสือโคร่งเต็มตัวเลย การพอใจอยู่เพียงแค่เป็นพระอริยบุคคลในสาม ระดับก็ยังเป็นสิ่งไม่ควร เพราะยังไม่ถึงความสมบูรณ์แห่งชีวิต การเกิดมาในภพชาติแห่งความเป็นมนุษย์หมายความว่ามนุษย์สามารถสร้างบารมีอย่างเต็มเปี่ยมโดยการเร่งรีบปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะการทำสมาธิวิปัสสนา หากไม่สามารถหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงได้ในชาตินี้ บุญบารมีที่สร้างไว้จะได้เป็นปัจจัยหรือทุนรอนที่จะทำให้ก้าวใกล้ความเป็นพระอรหันต์ได้มากขึ้นในชาติต่อไป แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วไซร้ ความพากเพียรพยายามของมนุษย์จะหยุดนิ่งไม่ได้
》สิ่งสำคัญที่ทุกคนจะต้องถามตนเองคือ พวกเรารู้หรือยังว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรอย่างแท้จริง การไม่สนใจธรรมะและการไม่ปฏิบัติธรรมนั้นก็เท่ากับการยอมรับฐานะความเป็นเสือโคร่งของตนเอง ซึ่งเป็นสภาวะแห่งความโง่เขลาและมืดบอด
< ประเภทแห่งฌาน ๕ >
ตามนัยแห่งพระอภิธรรม จำแนกประเภทแห่งฌาน ( คือฌานเภท ) ว่ามี ๕ ฌาน เรียกชื่อว่า ฌานปัญจกนัย ฌาน ๕ นี้ได้แก่
การข่มนิวรณ์ด้วยองค์ของฌานทั้ง ๕ มีดังนี้
๑. วิตก คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เริ่มแรกทำฌานต้องมีสิ่งสำหรับเพ่ง เป็นต้นว่า ใช้ดินมาทำกสิน แล้วยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ คือการเพ่งดวงกสิณ โดยไม่ให้จิตใจ ไปนึกคิดเรื่องราวต่าง ๆ ถ้าจิตนึกคิดเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ จิตก็จะตกไปจากการเพ่งดวงกสิณ ต้องยกจิตขึ้นสู่การเพ่งใหม่ จิตจะต้องเพ่งอยู่กับดวงกสิณตลอดเวลา เมื่อจิตเกิดความท้อถอย ความง่วง (ถีนมิทธะ) ก็จะเข้าครอบงำจิตใจได้ (วิตกเจตสิก ข่มถีนมิทธเจตสิก)
๒. วิจาร คือการประคองจิตให้มั่นคงอยู่ในอารมณ์ที่เพ่ง เมื่อวิตกยกจิต ขึ้นสู่อารมณ์ที่เพ่งแล้ว วิจารก็ประคองจิต ไม่ให้ตกไปจากอารมณ์ที่เพ่ง เหมือนการถลาไปในอากาศของนก (วิตกเหมือนการกระพือปีกของนก) ดังนั้น ผู้ปฏิบัติควรทำจิตใจ ให้ตั้งมั่น ไม่ให้เกิดความลังเลสงสัยเกิดขึ้นในจิตใจ ว่าการเพ่งเช่นนี้จะได้ฌานจริงหรือ ถ้าเกิดลังเลใจ (วิจิกิจฉา) จิตก็จะตกไปจากอารมณ์ที่เพ่ง
๓. ปีติ คือความปลาบปลื้มใจ อิ่มเอิบใจในการเพ่งอารมณ์ เมื่อได้ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ ต้องประคองจิตให้มั่น โดยปราศจากการท้อถอย และลังเลใจ ความปลาบปลื้ม อิ่มเอิบใจย่อมเกิดขึ้น ขณะที่จิตมีปีติ ปลาบปลื้มอิ่มเอิบใจอยู่นั้น ก็จะไม่มีความพยาบาท มุ่งร้าย หรือขุ่นเคืองใจ เข้ามาแทรกแซงได้
ปีติ ความปลาบปลื้มอิ่มเอิบใจ มี ๕ ประการ คือ
๑)ขุททกาปีติปลาบปลื้มใจเล็กน้อย พอรู้สึกขนลุก
๒)ขณิกาปีติ"ชั่วขณะ เกิดขึ้นบ่อยๆ
๓)โอกกันติกาปีติ"ถึงกับตัวโยกตัวโคลง
๔)อุพเพงคาปีติ"จนตัวลอย
๕)ผรณาปีติ"จนอิ่มเอิบซาบซ่านไปทั่วกายและใจ
ปีติ ที่เป็นองค์ฌาน ที่สามารถข่มพยาบาทนิวรณ์ได้นั้น ต้องถึงผรณาปีติ ส่วนปีติอีก ๔ ไม่นับว่าเป็นองค์ฌาน เพราะยังเป็นของหยาบ และมีกำลังน้อยอยู่
๔. สุข ในองค์ฌาน หมายถึง ความสุขใจ หรือโสมนัสเวทนา เมื่อยกจิตขึ้นสู่อารมณ์แล้วประคองให้จิตตั้งมั่น อยู่ในอารมณ์ จนปีติเกิดเช่นนี้แล้ว สุขก็ย่อมเกิดตามมา ความสุข ก็คือความสงบ ที่ปราศจากความฟุ้งซ่าน รำคาญใจนั่นเอง
๕. เอกัคคตา คือจิตที่มีสมาธิแน่วแน่ ในอารมณ์เดียว คือจะแน่วแน่อยู่ในอารมณ์ที่เพ่ง เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เอกัคคตามี ๓ ระดับ คือ
๑)ขณิกสมาธิหรือบริกรรมสมาธิ คือ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ได้ชั่วขณะ หรือเป็นสมาธิ ขณะบริกรรม ว่าปฐวี ๆ เป็นต้น
๒)อุปจารสมาธิคือ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใกล้จะได้ฌาน
๓)อัปปนาสมาธิคือ จิตตั้งมั่น หรือแนบแน่น อยู่ในอารมณ์ที่กำหนด ไม่ซัดส่ายไปไหน กิเลสไม่สามารถรบกวนได้ และอัปปนาสมาธิ ก็คือ ฌานจิต ที่เป็นอัปปนา เกิดขึ้นแล้ว
การข่มนิวรณ์ ด้วยอำนาจแห่งองค์ฌานนี้ เรียกว่า วิกขัมภนปหาน เป็นการประหาณ ไว้ได้นานตราบเท่าที่ ฌานยังไม่เสื่อม เปรียบประดุจหินทับหญ้า ถ้าไม่ยกหินออก หญ้าก็งอกขึ้นไม่ได้ฉันใด ถ้าฌานยังไม่เสื่อมนิวรณ์ ก็ไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ฉันนั้น หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า นิวรณ์กำเริบขึ้นได้เมื่อใด ฌานก็จะเสื่อมไปได้เมื่อนั้น
ปฐมฌานจะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีองค์ฌานคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ครบทั้ง ๕ เพื่อข่มนิวรณ์ทั้ง ๕ ให้สงบราบคาบ แต่หลังจาก ที่เข้าปฐมฌานได้อย่างชำนิชำนาญแล้ว นิวรณ์ทั้ง ๕ ที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับฌานจิต ก็จะอ่อนกำลังลง จนไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ เพราะถูกข่มไว้ ด้วยอำนาจของปฐมฌานจิต เมื่อมาถึงตอนนี้ หากผู้ปฏิบัติต้องการได้ฌานที่สูงขึ้นไป ก็จะต้องละองค์ฌานเบื้องต่ำ อันได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข ตามลำดับ ฌานจิตก็จะเลื่อนสูงขึ้น ตามลำดับเช่นกัน
คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีอาการดังนี้ถือว่ามาถูกทาง
1. เบื่อหน่ายในกาย
2. เบื่อหน่ายในจิต
3. ยอมรับสัจจะ
4. เห็นว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยง
5. จิตใจวางเฉยกับทุกสภาวะที่รับรู้ "สักแต่ว่า"
6. ปฏิบัติแบบไม่อยากอะไร ทำโดยหน้าที่
7. เห็นตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์
8. แน่วแน่ใน อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นละกุญแจทั้งหมด
สติ เป็นคุณธรรมที่เกิดเองไม่ได้ ต้อง
ทำให้เกิดขึ้นด้วยการฝึกฝนรวบรวม
จิตใจให้นิ่งแน่วด้วยวิธีต่างๆ เช่นการ
เจริญวิปัสสนาคือการฝึกตามมหาสติ
ปัฏฐานสูตร ทำสมาธิ สวดมนต์ ภาวนา
คือให้มีความรู้สึกตัวผ่านอายตนะทั้ง 6
สติ มีใช้ในอีกหลายความหมาย เช่น
กำหนดรู้ ตระหนักรู้ ระลึกรู้ สัมผัส
รู้ รู้สึกตัว และอื่นๆ ที่ใช้ในความ
หมายการทำความกำหนดรู้สึกตัวใน
ปัจจุบันต่อผัสสะใดๆที่เกิดขึ้นมาเพื่อ
ให้กำหนดรู้เฉพาะหน้า ให้เท่าทัน
ต่อสัมผัสตามความเป็นจริงต่อสิ่งที่
ี่ปรากฏขึ้นมา ให้จิตเป็นอิสระต่อสิ่ง
ที่มากระทบในฐานะเป็นเพื่อผู้เฝ้ารู้
เฉย ด้วยการเพิ่มการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
โดยลดการคิดนึกปรุงแต่งความรู้สึกอื่นๆ
สติใช้เพื่อที่จะรู้เท่าทันในสังขาร 3
#รู้เท่าทันในการเคลื่อนไหว(กายสังขาร) ในอันที่จะการสร้างกรรมใดๆ นั่นคือ "ศีล"
#รู้เท่าทันในอารมณ์ที่ปรุงแต่งจิต(จิตสังขาร) จนจิตเป็นอิสระจากอารมณ์ นี่คือ "สมาธิ"
#รู้เท่าทันความคิดทั้งหลาย(มโนสังขาร) ว่าความคิดเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่(โยนิโสมนสิการ) นี้คือ "ปัญญา"
เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต
▪หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"
▪หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด
ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆ
หาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ
▪ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
▪อยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
▪หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต
▪ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
อนัตตลักษณะ : ลักษณะที่แสดงความเป็นอนัตตา
ลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นของมิใช่ตัวตน โดยอรรถต่างๆ
๑. เป็นของสูญ ในความหมายของสังขาร(สังขตธรรม) ก็เพราะว่า เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆทั้งหลาย เพราะเกิดขึ้นมาจากการที่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยประชุมกันขึ้นนั่นเอง
เป็นของสูญ ในแง่ของอสังขตธรรมก็คือ เป็นเพียงสภาวธรรมหรือธรรมชาติเท่านั้น กล่าวคือ เป็นเพียงธรรมที่ยังไม่เกิดปรากฏการณ์ของการที่เหตุต่างๆได้มาเป็นปัจจัยกันขึ้น
๒. เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง แต่มักไปหลงผิด ไปหลงยึดกันด้วยกิเลสว่า เป็นของตัวของตน หรือของใครอย่างจริงแท้
๓. ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใครๆอย่างแท้จริง ควบคุมบังคับบัญชาได้เป็นครั้งคราวเท่านั้นจึงพากันไปหลงผิดหลงยึดกันว่า สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนาอย่างแท้จริง
๔. เป็นสภาวธรรมที่ดำรงอยู่ หรือเป็นตามธรรมดาของมัน เช่น ธรรมที่เป็นสังขตธรรมคือสังขาร ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัว แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์ อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ
๕. โดยสภาวะของมันเอง ก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา
อกุศลมูล เกิดจากเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึก สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทั้งทางกายและทางใจ เป็นความรู้สึกปรุงแต่งของจิตอันมีกิเลส
สัญญาขันธ์ คือ ความจดจำของจิต อันมีกิเลส
สังขารขันธ์ คือ อารมณ์ของความนึกคิดและเกิดการปรุงแต่งเป็นเรื่องราวจากความต้องการของจิตอันมีกิเลสจาก(อวิชชา) ความไม่รู้จริงในอริยสัจ ๔
< พักกาย พักจิต เจริญปัญญา สู่ความพ้นทุกข์ >
การนอน(พักกาย) การสงบเข้าฌาน(พักใจ)
เป็นอาหารของจิต
และร่างกายอย่างหนึ่ง
สมถะ ต้องพักจิต สงบอารมณ์
ส่วนวิปัสสนา จิตเดินไตรลักษณ์ให้รู้อริยสัจ...
เหนื่อยแล้วเข้าพักจิต
พักจิตหายเหนื่อยแล้ว
จิตตรวจอริยสัจอีก ดังนี้
ฉะนั้น ให้ฉลาดการพักจิต(สมถะ) การเดินจิต(วิปัสสนา)
ทั้งวิปัสสนาและสมถะ
พระโยคาวจรเจ้าทิ้งไม่ได้
ชำนิชำนาญทั้งสองวิธี
จึงเอาตัวพ้นจากกิเลสทั้งหลายไปได้
เป็นมหาศีล เป็นมหาสมาธิ และมหาปัญญา
มีทั้งศีลอย่างหยาบ อย่างกลาง
และอย่างละเอียด
พร้อมทั้งจิต เจตสิก พร้อมทั้งกรรมบถ
+++++
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
< การเจริญสติปัฏฐาน >
– ความรู้พื้นฐานในการเจริญสติปัฏฐาน
• รู้ทวาร 6 คือ รับรู้อารมณ์ของจิตทางไหน ทางนั้นเรียกว่าทวาร
• รู้อารมณ์ 6 คือ รับรู้สิ่งที่จิตเข้าไปรู้
• รู้ว่าอะไรเป็นนาม อะไรเป็นรูปทางทวารทั้ง 6
• รู้ว่าจะกำหนดนามอะไร กำหนดรูปอะไร ในทวารทั้ง 6
• รู้วิธีกำหนดหรือการวางใจในอารมณ์นั้นๆ และรู้เหตุผลของการที่ต้องกำหนดนั้น
– องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องในการเจริญสติปัฏฐาน ประกอบด้วย 2 ฝ่าย ได้แก่
• ฝ่ายถูกกำหนด หรือ ผู้ถูกดู หมายถึง อารมณ์ที่ถูกกำหนด ได้แก่ กาย เวทนา จิตหรือธรรม
• ฝ่ายดูอารมณ์หรือกำหนดรู้อารมณ์ เป็นผู้ทำการงาน ได้แก่
อาตาปี(ความเพียร)
สัมปชาโน(ปัญญา)
สติมา(สติ)
ทั้ง 3 นี้จัดว่าเป็นองค์ของสติปัฏฐาน เรียกว่า โยคาวจร เป็นธรรมชาติที่ร่วมกันทำการงาน
– หลักการฝึกสติปัฏฐาน มี 4 ประการ ได้แก่
• จัดระเบียบในเรือนใจ คือ ต้องมีสติ ความระลึกรู้ในอารมณ์ ซึ่งจะเข้าไปช่วยสะสางและจัดระเบียบให้แก่จิตใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ด้วยการเฝ้าสังเกตุสิ่งที่สลับซับซ้อนในจิตใจ
• เรียกชื่อให้ถูกต้อง ด้วยการเรียนรู้สภาวธรรมความเป็นจริงว่า อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
• ตรงดิ่งแห่งการมอง คือ เพ่งเล็งในอารมณ์ได้แยบคายถูกต้องตามความเป็นจริงด้วยสัมมาทิฏฐิและมีโยนิโสมนสิการ
• มีความเนิบช้า เพื่อให้เกิดความสำรวมในการกระทำนั้นๆ เช่น ในการเคลื่อนไหวอาจต้องช้าลงเล็กน้อย แต่ไม่ทำให้ผิดปกติไป ทั้งนี้ เพื่อให้สติตามทัน
》ผลของการเจริญสติปัฏฐาน
– การที่จะแจ้งในพระไตรลักษณ์อันเป็นความจริงของธรรมชาติ 3 ประการ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา ได้นั้น ต้องเข้าใจว่าพระไตรลักษณ์เป็นสามัญลักษณะของรูปและนาม ถ้าเปรียบไตรลักษณ์เหมือนลวดลายบนตัวเสือ จะเห็นลายเสือได้ต้องดูที่ตัวเสือคือรูปนาม คือการปฏิบัติตามหลักแห่งสติปัฏฐาน
– การที่ไม่เห็นสิ่งซึ่งเป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง 3 ประการคือ พระไตรลักษณ์ได้โดยง่าย เพราะมีสิ่งปิดบังไว้ คือ สันตติ อิริยาบถและฆนสัญญา ตามลำดับ
• สันตติ หมายถึง การสืบต่อของรูปนามที่เกิดขึ้นติดต่อกันอย่างรวดเร็วจึงทำให้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและดับไปของนามรูป
• การที่เราเห็นทุกข์ ทั้งๆ ที่ทุกข์นั้นเกิดขึ้นเสมอกับอิริยาบถเก่า ก็เพราะอิริยาบถใหม่นั้นมาปิดบังเอาไว้ เพราะอิริยาบถใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนมานั้นยังไม่มีทุกขเวทนา
• ฆนสัญญา คือ การรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนของรูปและนาม ซึ่งหมายความว่า การเป็นอยู่รวมกันของสภาวธรรมนั่นเอง จึงทำให้สำคัญผิดว่านามรูปเป็นปึกแผ่น มีสาระ เมื่อความสำคัญในสาระเกิดขึ้น ความสำคัญว่าเที่ยงเป็นสุข เป็นตัวตนหรือมีตัวตนก็เกิดขึ้น
– ผลของการเจริญสติปัฏฐาน มี 7 ประการ ได้แก่
• สัตว์ทั้งหลายบริสุทธิ์จากกิเลส
• พ้นจากความโศก
• พ้นจากการเพ้อรำพัน
• สามารถดับทุกข์ที่เกิดทางกาย
• สามารถดับทุกข์ที่เกิดทางใจ
• ยังให้บรรลุพระธรรมวิเศษ
• ยังให้แจ้งในพระนิพพาน
Credit : https://be7herb.wordpress.com/…/หน…/13-กระบวนการทำงานของจิต/
< ระดับปัญญา ศีล สมาธิ ในอริยบุคคล >
พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงว่า...
#พระโสดาบัน เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา แต่ก็อาจต้องอาบัติเล็กน้อยได้ มี ๓ ประเภท คือ เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๓ จึงจะท่องเที่ยวไปในเทพและมนุษย์อย่างมากเพียง ๗ ครั้งก็ทำที่สุดทุกข์ได้, ท่องเที่ยวไปสู่ ๒ - ๓ สกุล ( ๒ - ๓ ชาติ ) ก็ทำที่สุดทุกข์ได้, เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งเดียวก็ทำที่สุดทุกข์ได้.
#พระสกทคามี พิเศษออกไปว่า เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๓ และเพราะมีราคะ โทสะ โมหะน้อยลง(กว่าพระโสดาบัน) จึงจะมาสู่โลกนี้ เพียงครั้งเดียวแล้วทำที่สุดทุกข์ได้.
#พระอนาคามี ว่าทำให้บริบูรณ์ในศีล ,ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ, ทำพอประมาณในปัญญา เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๕ ( เพิ่มการละกามราคะ ความกำหนัดในกาม และปฏิฆะ ความขัดใจ รวมเป็นข้อที่ ๔ และที่ ๕) จึงเป็นพระอนาคามี
แล้วตรัสแสดงถึง ท่านผู้ทำให้แจ้งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ( #พระอรหันต์ ) ว่าเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล , สมาธิ, และปัญญา.
อ้างอิง พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดย อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ
< โทษของกามที่พึงรู้ >
★1. กามเปรียบเหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูกเปื้อนเลือด
คือ ยิ่งแทะ ยิ่งเหนื่อย อร่อยแต่ไม่เต็มอิ่ม
เหมือนความสุขทางเนื้อหนัง ไม่เคยอิ่มจริงๆสักที สุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็หิวกามอีก
★2. กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา
คือ ต้องถูกแย่งชิงโดยนกกาตัวอื่น ต้องต่อสู้ปกป้องตลอดเวลา
มีทรัพย์มากก็กลัวโจรแย่งชิง มีคนรักก็ต้องคอยหึงหวง ยิ่งสวย ยิ่งหล่อก็ยิ่งมีคนอยากแย่งชิง
★3. กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพลงเดินทวนลมไป
คือ ถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้งไป มิฉะนั้นจะไหม้มือ แถมถูกควันไฟรมเอาตลอดเวลาที่ถือ
เหมือนยศถาบรรดาศักดิ์ มีไว้ก็เหนื่อยในการรักษา กลัวคนเลื่อยจากเก้าอี้ ต้องเอาใจเจ้านาย เอาใจประชาชน
แต่สุดท้ายก็ต้องสละทิ้งหมด
★4. กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง
คือ ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีทุกข์ ใจเหมือนไฟเผาผลาญตลอดเวลา รักมากก็ทุกข์มาก
★5. กามเปรียบเหมือนความฝัน
คือ เห็นแต่ความสุข แต่ไม่เคยพบจริงๆ เหมือนชีวิตคู่ที่วาดหวังจะมีความสุขข้างเดียว
แต่พอพบความจริง กลับเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยลำบากในการครองเรือน
★6. กามเปรียบเหมือนสมบัติที่ยืมเขามา
คือ กามไม่อยู่กับเราตลอด มันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา หมดบุญก็ครอบครองไม่ได้
★7. กามเปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีผลดกอยู่ในป่า
คือ ใครผ่านไปมาก็เข้ามาเด็ดผลหักกิ่งตามใจชอบ ใครเป็นเจ้าของก็ต้องลำบากในการระวังรักษา
★8. กามเปรียบเหมือนเขียงสับเนื้อ
คือ ชีวิตคฤหัสถ์ต้องถูกโขกสับตลอดเวลา ลำบากในการหาทรัพย์ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ
★9. กามเปรียบเหมือนหอกและหลาว
คือ ไปเกี่ยวข้องต้องประสบทุกข์สาหัส ใจเหมือนโดนทิ่มแทง
ทุกข์เพราะรัก ทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ล้วนเจ็บปวดสาหัส
★10. กามเปรียบเหมือนหัวงูพิษ
คือ กามมีภัยมาก ไม่ระวังอาจถูกฉกกัดถึงตายได้ กามนำภัยมาสู่ตน เช่น ติดเอดส์ นำไปสู่อบาย เป็นต้น
★กาม ตรงข้ามกับ การประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งมีอานิสงส์ดังนี้
1. ทำให้ปลอดโปร่งใจ ไม่ต้องกังวล หรือระแวง
2. ทำให้เป็นอิสระเหมือนนกในอากาศ
3. ทำให้มีเวลามากในการทำความดี
4. ทำให้เป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย
5. ทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญรุดหน้าไม่ถอยกลับ
6. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย
< สัปปายะ 7 >
สิ่งที่จะสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนา เรียกว่า สัปปายะ
สัปปายะ 7 (สิ่งที่เหมาะกัน สิ่งที่เกื้อกูล ช่วยสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย)
1. อาวาสสัปปายะ (ที่อยู่ซึ่งเหมาะกัน เช่น ไม่พลุกพล่านจอแจ)
2. โคจรสัปปายะ (ที่หาอาหาร ที่เที่ยวบิณฑบาตที่เหมาะดี เช่น มีหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีอาหารบริบูรณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป)
3. ภัสสสัปปายะ (การพูดคุยที่เหมาะกัน เช่น พูดคุยเล่าขานกันแต่ในกถาวัตถุ 10 และพูดแต่พอประมาณ)
4. ปุคคลสัปปายะ (บุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน เช่น มีท่านผู้ทรงคุณธรรม ทรงภูมิปัญญาเป็นที่ปรึกษาเหมาะใจ)
5. โภชนสัปปายะ (อาหารที่เหมาะกัน เช่น ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ ฉันไม่ยาก)
6. อุตุสัปปายะ (ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะกัน เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป เป็นต้น )
7. อิริยาปถสัปปายะ (อิริยาบถที่เหมาะกัน เช่น บางคนถูกกับจงกรม บางคนถูกกับนั่ง ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวที่พอดี)
________________________________________
อ้างอิง วิสุทฺธิ. 1/161 ; วินย.อ. 1/524 ; ม.อ. 3/570
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
< ผู้ดับไม่เหลือ >
โดยท่านพุทธทาส
อย่าเข้าใจไปว่าต้องเรียนมาก
ต้องปฏิบัติลำบาก จึงพ้นได้
ถ้ารู้จริงสิ่งเดียว ก็ง่ายดาย
รู้ดับให้ ไม่มีเหลือ เชื่อก็ลอง
เมื่อเจ็บไข้ ความตายจะมาถึง
อย่าพรั่นพรึง หวาดไหว ให้หม่นหมอง
ระวังให้ดีดี นาทีทอง
คอยจดจ้อง ให้ตรงจุด หลุดได้ทัน
ถึงนาทีสุดท้าย อย่าให้พลาด
ตั้งสติ ไม่ประมาท เพื่อดับขันธ์
ด้วยจิตว่าง ปล่อยวางทุกสิ่งอัน
สารพัน ไม่ยึดครอง เป็นของเรา
ตกกระไดพลอยกระโจน ให้ดีดี
จะถึงที่มุ่งหมาย ได้ง่ายเข้า
สมัครใจดับ ไม่เหลือ เมื่อไม่เอา
ก็ดับเรา ดับตน ดลนิพพานฯ
ความรู้ทุกชนิดที่โลกรู้ยิ่งเพิ่มความพลุ่งขึ้นของโลก, เป็นไปเพื่อ ความเกิด ของ ตัวตน อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ คือ การเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น.
ส่วนความรู้เพียงประการเดียวที่เป็นไปเพื่ออิสระและผาสุก คือ การรู้...เพื่อดับ ตัวตน อันเป็นการดับทุกข์ในทุกแง่.
ความรู้นั้น คือรู้ชัดว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่า เรา ว่า ของเรา อยู่ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต.