“ทิ้งขันธ์๕ อย่างคนมั่งมี ไม่ใช่ทิ้งขันธ์๕ อย่างคนอนาถา”
สิ่งทั้งหลายในโลกย่อมมีความจริงในตัวของมันเองทุกอย่าง
ถึงจะ"ไม่จริง" มันก็ "จริง" คือ "จริงที่มันไม่จริง" นั่นแหละ
ฉะนั้นเราต้องละทั้งความจริงและความไม่จริง แต่ถึงกระนั้นก็เป็น "ทุกขสัจ" เมื่อเรามีความจริงและละความจริงของเราได้ เราก็จะสบายไม่ยากจน เพราะเรามีจริงๆ ไม่ใช่เหลวๆ ไหลๆ
เหมือนเรามีเงินทองมากๆ เราก็กองไว้ในบ้านของเรา
เราก็ยังมีอยู่ ไม่ยากจน ผู้ที่มีความรู้ก็เช่นเดียวกัน
ถึงเขาจะทิ้งก็มี ไม่ทิ้งก็มี ดังนั้น "จิตของพระอริยเจ้าทั้งหลายจึงไม่ขาดลอย"
เพราะท่านไม่ได้ "ทิ้งอย่างฉิบหาย" ท่านทิ้งอย่างคนมั่งมี"
ถึงแม้ท่านจะทิ้ง แต่สมบัติของท่านก็ยังกองมากมายอยู่อย่างนั้น
"คนที่ทิ้งอย่างคนอนาถายากจน" ก็คือ "ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นของดีและของไม่ดี"
เมื่อทิ้งของดีเสียแล้วก็ต้องเกิดความฉิบหายเท่านั้น เช่น
อะไรๆ ก็เห็นเป็นของไม่จริงไปทั้งหมด ขันธ์ห้าไม่จริง รูปก็ไม่จริง ทุกข์ก็ไม่จริง สมุทัยก็ไม่จริง มรรคก็ไม่จริง นิโรธก็ไม่จริง นิพพานก็ไม่จริง
"ไม่ใช้ความพินิจพิจารณา" ไตร่ตรองอะไรๆ ก็ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อยากทำ ปล่อยวางทิ้งหมด ทิ้งอย่างนี้เขาเรียกว่า "ทิ้งอย่างอนาถายากจน"
เช่น อย่างนักปราชญ์สมัยใหม่นั้น ตายไปแล้วเกิดมาก็ยังจนอีก
ส่วน "พระพุทธเจ้า" นั้นท่านทิ้งแต่ของจริง ไม่จริง
ที่ปรากฏในส่วน "รูปนาม" ท่านไม่ให้ "ทิ้งรูป ทิ้งนาม"
ท่านจึงร่ำรวย ไม่อดไม่อยาก แล้วท่านก็ยังมีสมบัติ
แจกจ่ายให้ลูกหลานของท่านอีก เพราะฉะนั้นลูกหลานของท่าน
จึงไม่ยากไม่จน ไปถึงไหนๆ ก็มีข้าวเต็มบาตรอยู่เสมอ
ไม่ต้องกลัวอดกลัวอยาก สมบัติอย่างนี้ย่อมประเสริฐ
ยิ่งเสียกว่าขี่วอช่อฟ้าหรือเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้นก็ยังสู้ไม่ได้
ฉะนั้นเราทั้งหลายจึงควรดูแบบอย่างที่พระองค์ทรงกระทำ ถ้าใครเห็นว่า "ขันธ์ห้าไม่ดี" มีแต่ "ความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" แล้วก็พากัน "ทิ้งขันธ์ห้าเสียหมด" ดังนี้
เขาก็จะต้องเป็น "ผู้ยากจน" อย่างแน่ๆ เหมือนคนโง่
ที่รังเกียจบาดแผลเปื่อยเน่าที่เกิดขึ้นในร่างกายของตนเอง
ไม่กล้าเอามือไปแตะต้องเลยทิ้งไว้ "ไม่รักษา"ปล่อยให้เน่าเหม็นอยู่กับตัวอย่างนั้น แผลมันก็ไม่มีโอกาสจะหายได้
ส่วนคนฉลาดก็จะรู้จัก "รักษา" บาดแผลของตน
โดยการชำระล้างและหายามาใส่แล้วก็หาผ้ามาปกปิดพันไว้ ไม่ให้เป็นที่น่ารังเกียจ ในที่สุดแผลนั้นก็จะหายเป็นปกติได้
ฉันใดคนที่รังเกียจในขันธ์ห้าของตัวเอง มองเห็นแต่ส่วนที่เป็นโทษฝ่ายเดียว ไม่มองเห็นฝ่ายดี
ทิ้งขันธ์ห้าของตนเสีย ไม่ทำให้เป็นบุญเป็นกุศลขึ้น
เช่นนี้ก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใดได้เลย
คนมีปัญญาย่อมเห็นว่า "ขันธ์ห้ามีทั้งคุณและโทษ"
จึงควรบำเพ็ญบุญกุศล "ให้ปัญญาเกิดจากรูปนาม"
เมื่อปัญญานี้เกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องร่ำรวย เป็นสุข
นั่งกินนอนกินสบาย จะอยู่หลายคนก็เป็นสุข
อยู่คนเดียวก็เป็นสุข คนจนนั้นถึงมีเพื่อนก็เป็นทุกข์
ไม่มีก็เป็นทุกข์
ถ้าเรา "ความจริง" คือ "ธรรมะ" เป็นทรัพย์ของเราแล้ว
ถึงจะมีเงินก็ไม่ทุกข์ ไม่มีก็ไม่ทุกข์ เพราะจิตของเราเป็น "โลกุตตระ"แล้ว ส่วนขี้ต่างๆ เช่น "โลภะ" ความขี้โลภ อยากได้ของของเขา "โทสะ" ความขี้โกรธ ขี้ชัง "โมหะ" ความขี้หลง ซึ่งเป็นขี้สนิมต่างๆ ที่เคยเปรอะเปื้อน
ปกปิด "อายตนะ" ของเรานี้ไว้ก็จะหลุดออกไป คราวนี้ ตา หู จมูก ปาก คอ ของเราก็จะสะอาด และสว่างไสวไปหมด
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ธมฺโม ปทีโป" ธรรมเป็นแสงสว่าง (คือดวงปัญญา) จิตของเราก็จะไกลจากโทษและจากทุกข์ทั้งปวง ไหลไปสู่กระแสพระนิพพานทุกเวลา
ตามที่ได้แสดงมาแต่ต้นนี้ ก็เพื่อจะให้พวกเรา
ได้ทราบถึงกำเนิดของ "ปัญญา" อันเป็นบ่อเกิด
แห่งจุดหมายที่เราได้มานั่งสงบจิตกันอยู่นี้
ถ้าผู้ใดสนใจและปฏิบัติตาม ก็จะมีอานิสงส์เกิดขึ้น
ตามสติกำลังของตนของตนดังที่ได้บรรยายมา
ก็พอสมควรแก่เวลาเพียงเท่านี้
หฎฺฐจิตโต ภิกขุ
ขันธ์ ๕ สิ่งที่จำเป็นต้องรู้
และเข้าใจให้ถูกเสียก่อน
.
ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นเพียงธรรมชาติ ปรุงแต่งกันตามธรรมชาติ แล้วจะไปยึดถือว่า "ตัวตน" ได้อย่างไรกัน?
…. “ถ้าเรารู้ว่าขันธ์นี้( ขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )เป็นธรรมชาติแท้ๆ เกิดมาจากการปรุงแต่งทางอายตนะ ( ตา+รูป, หู+เสียง, จมูก+กลิ่น, ลิ้น+รส, กาย+สัมผัส, ใจ+ธรรมารมณ์ ) เช่น ตากับรูป อาศัยกันเกิดจักษุวิญญาณ สามประการถึงกันเรียกว่า “ผัสสะ” ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ. ทุกอันมันเป็นธรรมชาติ ปรุงแต่งอย่างธรรมชาติ โดยวิธีธรรมชาติ เกิดขึ้นอย่างนี้ แล้วจะไปยึดถือว่า “ตัวตน” ได้อย่างไรกัน มันควรจะเห็นว่าเป็นเพียงธรรมชาติ ปรุงแต่งกันตามธรรมชาติ เกิดใหม่ขึ้นมาตามอำนาจของธรรมชาติ ไม่ยึดถือว่า “ตัวตน”
…. นี่เพราะความรู้เรื่องอายตนะถูกต้อง จึงมองเห็นว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งขึ้นตามธรรมชาติ เราไม่ไปยึดถือมันว่า “ตัวตน” มันก็ไม่เกิดอุปาทานขันธ์ มันก็ไม่เป็นทุกข์.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “ความลับของอายตนะเป็นสิ่งที่ต้องเปิดเผย” เมื่อ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๒
--------------------------------
.
อยากรู้เรื่อง ความจริงแท้ของชีวิต
ต้องรู้เรื่อง “ขันธ์ ๕” ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ ไม่คงที่ เกิดดับเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา
.
“ ชีวิตประกอบด้วยขันธ์ ๕ เท่านั้น
ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก นอกเหนือจากขันธ์ ๕
ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในขันธ์ ๕
หรือ อยู่ต่างหากจากขันธ์ ๕
ที่จะมาเป็นเจ้าของ หรือควบคุมขันธ์ ๕ ให้ชีวิตดำเนินไป
ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องชีวิต
เมื่อยกเอาขันธ์ ๕ ขึ้นเป็นตัวตั้งแล้ว
ก็เป็นอันครบถ้วนเพียงพอ
…. ขันธ์ ๕ เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่ง “ปฏิจจสมุปบาท” คือ มีอยู่ในรูปกระแสแห่งปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยสืบต่อกัน ไม่มีส่วนใดในกระแสคงที่อยู่ได้ มีแต่การเกิดขึ้นแล้วสลายตัวไป พร้อมกับที่เป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นแล้วสลายตัวต่อๆ ไปอีก ส่วนต่างๆ สัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลสัมพันธ์ และคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน ในภาวะเช่นนี้ ขันธ์ ๕ หรือ ชีวิต จึงเป็นไปตามกฎแห่ง “ไตรลักษณ์” คือ
…. อยู่ในภาวะแห่ง “อนิจจตา” ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดดับเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา
…. “อนัตตตา” ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัว จะเข้ายึดครองเป็นเจ้าของ บังคับบัญชา ให้เป็นไปตามความปรารถนาของตนจริงจังไม่ได้
…. “ทุกขตา” ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ได้เสมอ ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้(อวิชชา) และยึดติดถือมั่น
…. กระบวนการแห่งขันธ์ ๕ หรือชีวิต ซึ่งดำเนินไปพร้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกขณะ โดยไม่มีส่วนที่เป็นตัวเป็นตนคงที่อยู่นี้ ย่อมเป็นไปตามกระแสแห่ง เหตุ-ปัจจัย ที่สัมพันธ์แก่กันล้วนๆ ตามวิถีทางแห่งธรรมชาติของมัน”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “พุทธธรรม ฉบับเดิม” หน้า ๙๖
----------------------------------
.
สิ่งที่เรียกโดยสมมุติว่า “คน” หรือ “ชีวิต” คือ ขันธ์ ๕ นี้
…. ขันธ์ ๕ ไม่ว่าจะถือเอาแยกกันแต่ละอันก็ดี ถือเอารวมเป็นอันเดียวกันก็ดี ไม่มีทางที่จะเป็นสิ่งที่มีตัวตน หรือ เป็นตัวบุคคลที่เป็นจริงที่ยั่งยืนได้เลย และนอกไปจากขันธ์ ๕ เหล่านี้ก็เช่นกัน ไม่มีตัวตน อาตมัน หรือ อัตตา สามารถจะพบว่าเป็นเจ้าของของขันธ์ ๕ นั้น
…. กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขันธ์ ๕ ไม่ใช่อัตตา และขันธ์ ๕ นั้นไม่เป็นสมบัติของอัตตา เมื่อพิจารณาในแง่ที่ว่าเป็นของไม่เที่ยง และความเกิดด้วยอาศัยปัจจัยแห่งสภาวธรรมทั้งหลาย ความเชื่อในเรื่อง"อัตตา"ไม่ว่าจะเป็นแบบใดๆ จะต้องถูกถือว่า"เป็นความหลงผิด"ทั้งสิ้น
…. เปรียบเสมือนสิ่งที่เรากำหนดเรียกโดยชื่อว่า “รถ” ย่อมไม่มีอยู่ต่างหากจาก เพลา ล้อ คาน และตัวถังรถ เป็นต้น หรือ เหมือนอย่างคำว่า “บ้าน” เป็นแต่เพียงคำกำหนดเรียกเพื่อความสะดวกสำหรับสัมภาระต่างๆที่นำมาประกอบเข้าด้วยกัน ตามแบบอันใดอันหนึ่ง เพื่อที่จะปิดกั้นไว้ซึ่งที่ว่างส่วนหนึ่ง หามีสิ่งที่เป็นตัวตนนั้นต่างหากในสภาวะความเป็นจริงไม่ ฉันใด ฉันนั้นนั่นแล สิ่งที่เราเรียกว่า "สัตว์" หรือ "ตัวตน" หรือ "บุคคล" หรือโดยชื่อว่า "เรา" ไม่มีอะไร นอกจากการรวมลงแห่งปรากฎการณ์ทางรูปและนาม และหาความมีอยู่อย่างแท้จริงด้วยตัวของมันเองไม่"
.
พระญาณติโลก
ที่มา : จากหนังสือ The Word of The Buddha ( พระพุทธวจนะ ความจริงอันประเสริฐ )
-----------------------------------
.
เกิด ขันธ์ ๕ ก็คือ เกิดทุกข์
…. “ ภิกษุทั้งหลาย! ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งรูป นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ
…. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งเวทนา...แห่งสัญญา...แห่งสังขาร...แห่งวิญญาณ นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ
…. ภิกษุทั้งหลาย! ส่วนความดับ ความสงบระงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งรูป นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบระงับแห่งโรค เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ
…. ความดับ ความสงบระงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งเวทนา...แห่งสัญญา...แห่งสังขาร...แห่งวิญญาณ นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบระงับแห่งโรค เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ”
.
อุปปาทสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ
เช่น ยึดมั่นถือมั่นใน เบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจรวมกันว่าเป็น"ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น"ของตน" หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็คือยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น"ตัวเรา" แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด ๔ อย่างนี้ว่าเป็น"ของเรา" อุปาทาน 4 อย่าง กามุปาทาน ยึดติดในกาม ทิฏฐุปาทาน ยึดถือในทิฏฐิ สีลัพพัตตุปาทาน ติดยึดในศีลวัตรที่งมงาย อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในตัวเอง ของตัวเอง พุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์" ดังนั้น เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้นจึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า"ตัวเรา" ว่า"ของเรา"นี้โดยตรง ดังมีพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"
Trader Hunter พบธรรม
ขันธ์ ๕...ตัวตน...ชีวิต...ความตาย
.
“ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้วิธีหนึ่งว่า ให้พิจารณาแยกสิ่งทั้งปวงออกเป็นธาตุต่างๆ เมื่อแยกออกได้จริงๆก็จะเห็นว่า ไม่มีอะไรซึ่งเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จริงๆเลย
.
เหมือนอย่างต้นไม้ซึ่งเป็นสิ่งรวมอย่างหนึ่ง เมื่อดูลงไปว่าต้นไม้อยู่ที่ไหน ดูแยกออกไปๆ ก็จะไม่พบว่าอะไรเป็นต้นไม้ มีแต่สิ่งที่แยกทั้งนั้น ยิ่งแยกออกไปก็ยิ่งไม่พบอะไร กลายเป็น“ความว่าง”(สุญญตา) ได้ตรัสสอนมาณพผู้หนึ่ง(โมฆราช) ไว้ว่า
“สุญญโต โลกํ อเวกฺขสฺส โมฆราช สทา สโต ”
ดูก่อน! โมฆราช เธอจงมีสติ พิจารณาเห็นโลก เป็นของว่าง ทุกเมื่อเถิด”
.
สมเด็จพระญาณสังวร
ที่มา : พระนิพนธ์ เรื่อง “โลกและชีวิต ในพุทธธรรม”
------------------------------------------
“ พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกันเข้า “ตัวตน”แท้ๆของสิ่งทั้งหลายไม่มี เมื่อแยกส่วนต่างๆที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไปให้หมด ก็จะไม่พบ“ตัวตน”ของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆคือ “รถ” เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า “รถ” แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกันจำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า “รถ” สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น
.
แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในภาวะของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมเข้าด้วยกัน
.
เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆเหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่อง“ชีวิต” โดยเฉพาะในด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม และแยกแยะเป็นพิเศษในด้านจิตใจ….
.
ตามปกติ มนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะยึดถืออยู่เสมอว่า “ตัวตนที่แท้”ของตนมีอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง บ้างก็ยึดเอาจิตเป็นตัวตน บ้างก็ยึดว่ามีสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหากแฝงซ้อนอยู่ในจิตนั้น ซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นตัวการที่คอยควบคุมบังคับบัญชากายและใจนั้นอีกชั้นหนึ่ง
.
การแสดง “ขันธ์ ๕” นี้มุ่งให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า “สัตว์” “บุคคล” “ตัวตน” เป็นต้นนั้น เมื่อแยกออกไปแล้วก็จะพบแต่ส่วนประกอบ ๕ ส่วนเหล่านี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นเหลืออยู่ที่จะมาเป็น “ตัวตน” ต่างหากได้ และแม้ขันธ์ ๕ เหล่านั้นแต่ละอย่าง ก็มีอยู่เพียงในรูปที่สัมพันธ์อิงอาศัยกัน ไม่เป็นอิสระ ไม่มีโดยตัวของมันเอง ดังนั้น ขันธ์ ๕ แต่ละอย่างนั้นก็ไม่ใช่ตัวตนอีกเช่นกัน
.
รวมความว่า หลัก “ ขันธ์ ๕” แสดงถึงความเป็น “อนัตตา” ให้เห็นว่า..ชีวิตเป็นการประชุมเข้าของส่วนประกอบต่างๆ หน่วยรวมของส่วนประกอบเหล่านี้ก็ไม่ใช่“ตัวตน” ส่วนประกอบแต่ละอย่างนั้นเองก็ไม่ใช่ตัวตน และสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านี้ก็ไม่มี เมื่อมองเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในเรื่อง “ตัวตน” ได้.”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “พุทธธรรม ฉบับเดิม” หน้า ๑๙,๒๔
-------------------------------------
“ อนัตตา ” หมายความว่า “ไม่มีอะไรที่จัดเป็นตัวตนได้” อย่าแปลว่า “ไม่มีตัวตน”เฉยๆ เพราะจะเข้าใจผิดได้ แล้วอย่าไปบอกว่า “ไม่มีอะไรเลย” อย่างนั้นไม่ได้ จะแปลว่า ไม่มีอะไรเลย อย่างนี้มันผิดอย่างยิ่ง มันเพียงแต่ว่า ไม่มีอะไรเลยที่ควรถูกเรียกว่า“เป็นตัวตน”
.
ร่างกายนี้ ก็ไม่ควรถูกเรียกว่า "เป็นตัวตน"
จิตใจแท้ๆนั้น ก็ไม่ถูกเรียกว่า "เป็นตัวตน"
.
มันก็หมดกันเท่านั้น
( คือ ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ถูกเรียกว่าเป็น“ตัวตน” ) เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่า “รูปธรรม” และ “นามธรรม”
.
ทุกอย่างมันมีได้ จะมีกี่อย่าง กี่ร้อยก็ได้ แต่..ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ที่เป็น"อัตตา" คือ “เป็นตัวตน”
.
ทีนี้ เมื่อ “ตัวตน” ก็ไม่มีเสียแล้ว
แล้ว “ของๆตน” จะมีอย่างไรได้
มันจึงปฏิเสธหมด
ทั้ง "ตัวตน" และ "ของตน"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยายเรื่อง “การเกิดใหม่ที่น่ากลัว”
-------------------------------------
ในพระไตรปิฎก วชิราสูตร
วชิราภิกษุณี กล่าวกับมารผู้มีบาปว่า...
“มารเอ๋ย ทิฏฐิของเจ้าเชื่อว่าอะไรเป็นสัตว์ กองแห่งสังขารล้วนๆนี้ บัณฑิตจะเรียกว่า “สัตว์” ไม่ได้เลย
.
เมื่อ “ขันธ์” ทั้งหลายมีอยู่ การสมมติว่า “สัตว์” ก็มีได้
เหมือนคำว่า “รถ” มีได้ เพราะประกอบ “ส่วนต่างๆ” เข้าด้วยกัน
.
อนึ่ง ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้น ดำรงอยู่และแปรผันไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรอื่นดับไป."
.
วชิราสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
สงฺ. ส. ๑๕/๑๗๑/๒๒๘
--------------------------------------------
เมื่อความยึดถือในขันธ์ ๕ มีอยู่
ขันธ์ ๕ ก็จะเป็นทั้ง ผู้ฆ่า และ ผู้ตาย
.
..... “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! คนกล่าวกันว่า “มาร มาร” ดังนี้, เขากล่าวกันว่า “มาร” เช่นนี้ มีความหมายเพียงไร พระเจ้าข้า?”
..... ราธะ ! เมื่อ(ความยึดถือใน) รูป มีอยู่, มารก็จะมี ผู้ให้ตายก็จะมี หรือ ผู้ตายก็จะมี.
..... ราธะ! เมื่อ(ความยึดถือใน) เวทนา มีอยู่, มารก็จะมี ผู้ให้ตายก็จะมี หรือ ผู้ตายก็จะมี.
..... ราธะ! เมื่อ(ความยึดถือใน) สัญญา มีอยู่, มารก็จะมี ผู้ให้ตายก็จะมี หรือ ผู้ตายก็จะมี.
..... ราธะ! เมื่อ(ความยึดถือใน) สังขารทั้งหลาย มีอยู่, มารก็จะมี ผู้ให้ตายก็จะมี หรือ ผู้ตายก็จะมี.
..... ราธะ! เมื่อ(ความยึดถือใน) วิญญาณ มีอยู่, มารก็จะมี ผู้ให้ตายก็จะมี หรือ ผู้ตายก็จะมี.
..... ราธะ! เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้ เธอพึงเห็นรูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สังขารทั้งหลายก็ดี และวิญญาณก็ดี ว่าเป็นมาร, ว่าเป็นผู้ให้ตาย, ว่าผู้ตาย, ว่าโรค, ว่าหัวฝี, ว่าลูกศร, ว่าทุกข์, และว่าทุกข์ที่เกิดแล้ว, บุคคลเหล่าใดเห็นขันธ์ทั้งห้าในลักษณะเช่นนี้ บุคคลเช่นนั้นชื่อว่าเห็นอยู่โดยชอบ แล.”
.
พระบาลีไตรปิฎก ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๑/๓๖๖.
จากหนังสือ “อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น” หน้า ๒๔๖-๒๔๗
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
ถ้าสมประสงค์ก็ติดอยู่เรียกว่าราคะ ถ้าไม่สมประสงค์เล่าก็หงุดหงิดขึ้น ถ้าเป็นกลางก็วางเฉยซะ
ที่ถูกกับกิเลสก็คือสุขเวทนา ที่ไม่ถูกกับกิเลสก็คือทุกขเวทนา ที่อยู่เป็นกลางก็คืออุเบกขา
เวทนา สุข ทุกข์ อุเบกขาก็ดี เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวน และแตกสลายทั้งนั้น ก็อยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์อีกเช่นกัน
เหตุนั้นพระบรมศาสดาจึงสั่งสอนซ้ำๆ ซากๆ ไม่ให้ยึดถือว่าเป็นเรา เขา สัตว์ บุคคลทั้งนั้น ส่วนผู้ที่จะยึดถือ หรือไม่ยึดถือนั้นมอบให้เจ้าตัวเป็นผู้มีอิสระ จึงตรงกับคำว่า "สันทิฎฐิโก" ลงโอนั้นเอง
"ปัจจัตตัง" รู้เฉพาะตนค้นเฉพาะใจ เห็นแยบในเฉพาะใจเป็นบัลลังก์
อนึ่ง วิญญาณขันธ์นี้ ถ้ามีกิเลสตามสิงก็เป็นวิญญาณปฏิภพ สามารถนำภพไปเกิดได้
ขอเทียบวิญญาณ ต่อไปว่า วิญญาณคล้ายกับเหล็ก กิเลสคล้ายกับสนิม
ถ้าไม่มีวิญญาณก็คือใจ กิเลสก็ไม่มีที่อาศัย ถ้าไม่มีเหล็ก สนิมก็ไม่มีที่อาศัย
แต่ทว่าเหล็กดีก็ไม่มีสนิม เช่นเหล็กสแตนเลสเป็นต้น
จิตพระอรหันต์ก็ดี วิญญาณพระอรหันต์ก็ดี เป็นวิญญาณโต้งๆ ตามสมมติ ตามปรมัตถ์ เป็นจิตโต้งๆตามสมมติตามปรมัตถ์
แต่...แต่...แต่ ไม่มีใครไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ก็กลายเป็นของว่างอยู่ตามธรรมชาติ เป็นธรรมอันว่างก็ว่า...
+++++
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ในขันธ์ 5 วิญญาณขันธ์สำคัญกว่าขันธ์อื่น
วิญญาณขันธ์ กับมโนขันธ์นั้นมีความหมายเป็นอันเดียวกัน แปลเป็นไทยว่า "ใจ"
ที่สำคัญกว่านั้นเพราะวิญญาณขันธ์ คือใจเป็นเจ้ากี้เจ้าการเป็นเจ้าการเจ้างาน เจ้าปรุงเจ้าแต่ง
สาธุธรรมครับ
ฉบับหลวง๑๗/๘๖/๑๕๘-๑๖๔.
ข้าแต่ท่านผู้เป็น บุรุษอาชาไนย
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็น อุดมบุรุษ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมต่อท่าน ผู้ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลาย มิได้รู้จัก โดยเฉพาะ และผู้ซึ่งได้อาศัย เพ่งท่านพินิจอยู่ ดังนี้.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาพร้อมด้วย อินทร์ พรหม และท้าวปชาบดี ย่อมนมัสการ ภิกษุผู้มีจิตพ้นแล้ว อย่างนี้แล แต่ที่ไกลทีเดียว ว่า
ย่อมไม่ทำอะไรให้มอด ย่อมไม่ก่ออะไรให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่ทำ "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ให้มอด
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่รวบรวม "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"
แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่เรี่ยรายอะไร ย่อมไม่รวบรวมอะไรไว้ แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่เรี่ยราย "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"
ย่อมไม่ถือมั่น "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ"
แต่เป็นผู้ละได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่ละอะไร ย่อมไม่ถือมั่นอะไร แต่เป็นผู้ละได้แล้ว ตั้งอยู่
ย่อมไม่ละ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ"
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้พินาศ
แต่เป็นผู้ทำให้พินาศได้แล้ว ตั้งอยู่.
[๑๖๔] อริยสาวก ย่อมไม่ก่ออะไร ย่อมไม่ทำอะไรให้พินาศ
แต่ทำให้พินาศแล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ก่อให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้ว ตั้งอยู่.
ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้ว ตั้งอยู่
ย่อมไม่ละ ย่อมไม่ถือมั่น แต่เป็นผู้ละได้แล้ว ตั้งอยู่
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้ เราเรียกว่า ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศ แต่เป็นผู้ทำให้พินาศได้แล้ว ตั้งอยู่
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี"ญาณ" หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ
ย่อมทำอะไร ให้มอด
ย่อมไม่ก่ออะไร ให้ลุกโพลงขึ้น ?
ย่อมทำ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้มอด
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้ลุกโพลงขึ้น.
ย่อมเรี่ยรายอะไร
ย่อมไม่รวบรวมอะไรไว้ ?
ย่อมเรี่ยราย "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ"
ย่อมไม่รวบรวม "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ".
ย่อมไม่ถือมั่น "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ".
ย่อมละทิ้งอะไร ย่อมไม่ถือมั่นอะไร ?
ย่อมละทิ้ง "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ"
[๑๖๓] อริยสาวก ย่อมทำอะไรให้พินาศ ย่อมไม่ก่ออะไร ? ย่อมทำ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ" ให้พินาศ
ย่อมไม่ก่อ "รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ".
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้ เราเรียกว่า ย่อมทำให้พินาศ ย่อมไม่ก่อ ย่อมละทิ้ง ย่อมไม่ถือมั่น ย่อมเรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมเข้าไว้ ย่อมทำให้มอด ไม่ก่อให้ลุกโพลงขึ้น.
"วิญญาณ" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"วิญญาณทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
"สังขาร" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"สังขารทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
"สัญญา" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"สัญญาทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
"เวทนา" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"เวทนาทั้งหมด"นั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
[๑๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย "รูป" อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น
อดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็น...
..ภายในหรือภายนอก
..หยาบหรือละเอียด
..เลวหรือประณีต
..อยู่ในที่ไกลหรือใกล้
"รูปทั้งหมด" นั้น เธอทั้งหลาย
พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริง อย่างนี้ ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
"วิญญาณ" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
.."สังขาร" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
.."สัญญา" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุขเล่า ?
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
.."เวทนา" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใด ไม่เที่ยง
สิ่งนั้น เป็นทุกข์ หรือ เป็นสุข เล่า ?
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
[๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน ...
.."รูป" เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ?
อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า
บัดนี้เราถูก"เวทนา" กินอยู่ ...
บัดนี้เราถูก"สัญญา" กินอยู่ ...
บัดนี้เราถูก"สังขาร" กินอยู่ ...
บัดนี้เราถูก"วิญญาณ" กินอยู่
แม้ใน"อดีตกาล" เราก็ถูก"วิญญาณ" กินแล้ว
เหมือนกับที่ถูก"วิญญาณปัจจุบัน" กินอยู่ ในบัดนี้.
ก็เรานี้แล พึงชื่นชม"วิญญาณอนาคต" แม้ใน"อนาคตกาล" เราก็พึงถูก"วิญญาณ" กินอยู่
เหมือนกับที่ถูก"วิญญาณปัจจุบัน" กินอยู่ ในบัดนี้.
เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว
ย่อมไม่มีความอาลัยใน"วิญญาณ" แม้ที่เป็น"อดีต"
ย่อมไม่ชื่นชม"วิญญาณอนาคต"
ย่อมปฏิบัติ เพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ "วิญญาณปัจจุบัน".
[๑๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ ว่า บัดนี้เราถูก"รูป" กินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูก"รูป" กินแล้ว
เหมือนกับที่ถูก "รูป"ปัจจุบันกินอยู่ ในบัดนี้ ก็เรานี้แล พึงชื่นชม "รูป"อนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็พึงถูก"รูป" กิน
เหมือนกับที่ถูก "รูป"ปัจจุบันกินอยู่ ในบัดนี้.
เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว
ย่อมไม่มีความอาลัยใน"รูปอดีต" ย่อมไม่ชื่นชม"รูปอนาคต"
ย่อมปฏิบัติ เพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ"รูปในปัจจุบัน".
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า "วิญญาณ" เพราะรู้แจ้ง จึงเรียกว่า "วิญญาณ" รู้แจ้งอะไร ? รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง
รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า "สังขาร" เพราะปรุงแต่ง"สังขตธรรม" จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่ง"สังขตธรรม"อะไร ? ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "รูป" โดยความเป็นรูป
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "เวทนา" โดยความเป็นเวทนา
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ
"สัญญา" โดยความเป็นสัญญา
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "สังขาร" โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่ง"สังขตธรรม" คือ "วิญญาณ" โดยความเป็นวิญญาณ.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียกว่า "สัญญา" เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า "สัญญา" จำได้หมายรู้อะไร ? จำได้หมายรู้ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง.
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียกว่า "เวทนา"
เพราะเสวย จึงเรียกว่า "เวทนา"
เสวยอะไร ? เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง.
[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียกว่า "รูป"
เพราะสลายไป จึงเรียกว่า "รูป"
สลายไป เพราะอะไร ?
สลายไป เพราะหนาวบ้าง
เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง
เพราะกระหายบ้าง เพราะสัมผัสแห่ง เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน บ้าง.
..ย่อมตามระลึกถึง"วิญญาณ" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"วิญญาณ" อย่างนี้.
..ย่อมตามระลึกถึง"สังขาร" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"สังขาร" อย่างนี้.
..ย่อมตามระลึกถึง"สัญญา" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"สัญญา" อย่างนี้.
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน ? คือ..
..ย่อมตามระลึกถึง"รูป" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"รูป" อย่างนี้.
..ย่อมตามระลึกถึง"เวทนา" ดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มี"เวทนา" อย่างนี้.
[๑๕๘] พระนครสาวัตถี ฯลฯ
...ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เมื่อตามระลึก ย่อมตามระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ย่อมตามระลึก ถึงอุปาทานขันธ์ ๕ หรือกองใดกองหนึ่ง.
ว่าด้วยสิ่งที่ถูก"ขันธ์ ๕" เคี้ยวกิน
ปกิณกะธรรม (เกร็ดธรรมะ)
โดย : พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง
- #อย่าเสียดายอะไรในโลกทั้งหมด ไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้
- #สภาพจิตใกล้สิ่งไหนเกาะสิ่งนั้น สัมผัสสิ่งดีก็ยึดดี สัมผัสสิ่งเลวก็ยึดเลว
- #หากวางขันธ์ ๕ ได้อย่างเดียวก็วางทุกสิ่งได้หมด
- #ซ้อมวางภาระของขันธ์ ๕ ไว้เสมอ หรือซ้อมตายและพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ
- #การทำงาน แม้จักทำได้พร้อมกัน #แต่ควรใช้ปัญญาให้ความสำคัญงานทางใจให้มาก ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญทางโลกหรือทางกาย เช่น หลงติดกามคุณ ๕ (รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส) ติดโลกธรรม ต้องแยกแยะให้ออกด้วย
- #การพิจารณาร่างกายให้พิจารณาจนเหลือสักแต่ว่ากาย อันเป็นธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ ไม่เที่ยง-มีอสุภะเป็นที่ตั้ง ให้หาความจริงตามนี้ แล้วจักเบื่อกาย-เบื่อเกิดตามความเป็นจริง คืออารมณ์นิพพิทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณ
- #การห่วงขันธ์ ๕ ตนเองและผู้อื่นมากเกินไป ก็เป็นโทษเป็นภัย กลับมาทำร้ายจิตตนเอง ขาดพรหมวิหาร ๔ #พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่ห่วงขันธ์_๕_ตนเอง_และผู้อื่นอย่างจริงใจ ท่านเห็นเป็นของธรรมดาหมด
- #การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ชื่อว่า #เดินตรงทางพระนิพพานโดยแท้
- #พระพุทธเจ้าบัญัติศีล ๕-๘-๑๐-๒๒๗ ไว้เพื่อให้จิตพ้นจากกองกิเลสตามลำดับ ไม่หลงทางเดิน #ตรงเข้าสูพระนิพพานโดยแท้
- #บุคคลผู้ฉลาดในธรรม ย่อมหาประโยชน์จากการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ได้ว่า #กิเลสทั้งหมดต้นเหตุล้วนอยู่ที่ใจ #จึงต้องดับที่ใจ
พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม
< ความเป็นอนัตตาของขันธ์ ๕ >
● รูปขันธ์หรือสังขารร่างกาย เกิดแต่เหตุอันคือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน
》รูปไม่ใช่อัตตา (คือเป็นอนัตตา) เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในรูปได้เลยว่า เจ้าจงอย่าเสื่อม เจ้าจงอย่าแก่ เจ้าจงอย่าเจ็บ เจ้าจงอย่าตายเลย ฯ. ขอเจ้าจงมีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว หรือเจ้าจงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคตเถิด ขอรูปในปัจจุบันจงเป็นอย่างนี้เถิด จึงย่อมไม่ได้ตามใจปรารถนานั้น จึงไม่ใช่อัตตาของตัวของตนแท้จริง
● เวทนา เป็นสังขาร เกิดแต่เหตุปัจจัยอันมี...
อายตนะภายนอก + อายตนะภายใน + วิญญาณ๖ >> ผัสสะ >> เวทนา
》เวทนาไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในเวทนาได้ว่า เจ้าจงเป็นสุข เจ้าจงอย่าทุกข์ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่เป็นไปตามปรารถนาในเวทนาเหล่านั้น
● สัญญา เป็นสังขาร เกิดแต่สมอง(หทัยวัตถุ)อันเป็นส่วนหนึ่งของสังขารร่างกาย และการผัสสะต่างๆอันเกิดแต่อดีต ฯ.
》สัญญาไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในสัญญาได้ว่า เจ้าจงจำได้หมายรู้แต่สุข เจ้าจงอย่าได้จำอย่าได้หมายรู้ในทุกข์เหล่านี้เลย, ที่อยากจะจำกลับลืม ที่อยากจะลืมกลับจำ จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่ได้ตามใจปรารถนาในสัญญานั้น
● สังขารขันธ์ เป็นสังขารปรุงแต่ง ล้วนเกิดการกระทำต่างๆขึ้นได้ก็มาแต่เหตุปัจจัยของขันธ์อีกทั้ง ๔ จึงเกิดการกระทำต่างๆได้
》สังขารขันธ์ไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในสังขารขันธ์ได้ว่า เจ้าจงอย่ากระทำดังนี้เลย เจ้าจงกระทำดังนี้เถิด (เช่นความคิดผุดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้สั่ง) จึงย่อมไม่ได้ตามปรารถนาในสังขารขันธ์เหล่านั้น
● วิญญาณ เป็นสังขาร เกิดแต่เหตุปัจจัยของ การกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายใน ของผู้มีชีวิตเป็นธรรมดา หรือตถตา
》วิญญาณไม่ใช่อัตตา เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาในวิญญาณได้เลยว่า เจ้าจงเกิดขึ้นเลย เจ้าจงอย่าได้เกิดขึ้นเลย (เช่นเวลาเราดูทีวี เราสั่งให้ตาเห็นอย่างเดียวไม่ได้ โดยไม่ให้ได้ยินเสียงเป็นต้น) แต่เกิดดับตามเหตุปัจจัย จึงย่อมไม่ได้ตามปรารถนาในวิญญาณเหล่านั้น
< ท่านรู้จักขันธ์ ๕ ดีแค่ไหน? >
เรื่องขันธ์ในมหาสติปัฏฐานสูตร
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อีกข้อหนึ่งภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย จึงชื่อว่าภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างนี้คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่ารูปอย่างนี้ รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับแห่งรูปเป็นอย่างนี้
รูปนี่เราสามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของธาตุ 4 มีอาการ 32 มหาสติปัฏฐานต้องมองย้อนไปย้อนมาว่า คือรูปมันก็มีหนังกำพร้ามีเนื้อมีรูป มีตับไตพังผืดไส้ปอด ไม่ต้องพรรณนาอาการ 32 ครบถ้วนเป็นรูป ทีนี้รูปร่างนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ต้องไปดูธาตุ 4 อาศัยธาตุ 4 มาประชุมกัน ตั้งขึ้นมาตั้งแต่เล็กแล้วก็โตมาทีละน้อย ๆ อาศัยอาการเปลี่ยนแปลงเจริญเติบโตขึ้น การเจริญขึ้น ก็หมายถึงการเสื่อมลงนั่นเอง เดินไปหาความพังของมันแล้วในที่สุด ก็เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายเป็นโรคะนิทัง เป็นรังของโรค คำว่าโรคะหรือโรค แปลว่าอาการเสียดแทง ทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจ แล้วในที่สุดมันก็เสื่อมลง ๆ แล้วก็สลายตัว คือตาย
ว่าด้วยเรื่องรูป ในอาการ 32 ที่ว่าด้วยปฏิกูลบรรพพิจารณาอาการ 32 มาแล้ว พิจารณาธาตุ 4 รูป คือกายคตานุสติกรรมฐาน คืออาการ 32 เป็น อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ อนัตตา มีความสลายตัวไปในที่สุด
เวทนาก็คืออารมณ์ อารมณ์ที่เป็นสุข อารมณ์ที่เป็นทุกข์ อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อาการเกิดของเวทนาเป็นยังไง ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย มันเป็นเวทนาทั้งนั้น เป็นทุกขเวทนา การอยากได้ของที่ชอบใจเป็นสุขเวทนา รู้ว่าเวทนามันเกิดขึ้นแล้วก็สลายตัวไป ไม่มีอะไรคงที่ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน
สังขาร คือสภาพที่ปรุงแต่งจิต หมายความถึงอารมณ์ของจิต อารมณ์ที่เข้ามาแทรกจิต ท่านกล่าวว่า อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร สังขารมี 3
▪ปุญญาภิสังขาร คือ อารมณ์ที่มีความสุข
▪อปุญญาภิสังขาร ได้แก่อารมณ์ที่มีความทุกข์
อารมณ์ที่มีความสุขก็คือบุญ อารมณ์ที่มีความทุกข์ก็คือบาป ความชั่ว และ
▪อเนญชาภิสังขาร คืออารมณ์ที่วางเฉยเป็นอารมณ์กลางได้แก่อุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์ว่างจากกิเลส ว่างจากความสุขหรือความทุกข์ อันนี้เป็นอารมณ์ที่ปรารถนาพระนิพพาน ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายกุศลก็มีความสุขใจ ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายอกุศลก็มีความทุกข์ใจกลัดกลุ้มใจ ถ้าเป็นอารมณ์พระนิพพานก็มีแต่ความเยือกเย็น
อารมณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป มันไม่คงสภาพ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ไม่คงที่ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนี้ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนั้น ข้อนี้เป็นวิปัสสนาญาณ ให้พิจารณาว่ามันเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรทรงตัว
สัญญา คือความจำ จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง จำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็สลายไป ตั้งอยู่ไม่ได้นาน
วิญญาณ ที่รับรู้สภาพของอากาศ ดินฟ้าอากาศ ความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความเจ็บ ความปวด ความอ่อน ความแข็ง นี่เป็นอาการของวิญญาณ คือประสาท สัมผัสรู้ว่าอ่อน รู้ว่าแข็ง รู้ว่าเย็น รู้ว่าร้อน แล้วก็เลิกสัมผัส ไม่มีอะไรแน่นอน
การที่มาพิจารณาเรื่องขันธ์ 5 ก็เพื่อละ อุปาทานขันธ์ 5 อุปาทาน แปลว่าเข้าไปยึดถือ ขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา เรามีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา
การที่เราจะเป็นใคร มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีความมั่นคงแน่นอน เราต้องทุกข์เพราะขันธ์ 5 เป็นอย่างมาก ไม่ว่าในเรื่องของการปวดท้อง หิวข้าว มีเวทนาต่าง ๆ การปวดเมื่อย เราไปห้ามไม่ได้ และสิ่งต่าง ๆ ก็สลายไปในที่สุด ไปยึดถืออะไรไม่ได้ ไม่มีความจีรังยั่งยืน
เราคือ จิต จิตเราชั่ว เราก็ต้องหาที่เกิดต่อไป นี้คือ วิปัสสนาญาณ และสมถะ ก็อย่าทิ้ง ถ้าทิ้งก็ตายเพราะเป็นลมหายใจเข้าออก เป็นการทรงสติสัมปชัญญะ
San Nirvana
#การพิจารณา "ขันธ์ 5" คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็คือการพิจารณาเรื่องความเกิดความดับของขันธ์ 5 นั้นเอง
ทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคต และ ปัจจุบัน มีความเกิดความดับเป็นอันเดียวกัน พิจารณาให้เห็นเป็นของไม่น่าไว้ใจหรือนอนใจ
ซึ่งเรียกว่าเป็น "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เหมือนกันหมด ต่อจากนั้นก็ทวนเข้ามาพิจารณาจิต ซึ่งเป็นที่เกิดแห่งอารมณ์ทั้งหลายอีก ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นมหาโจรผู้สั่งสมกิเลสไว้ในตัวอีกเหมือนกัน
จึงควรพิจารณาจิตผู้รู้ซึ้งธรรมทั้งหลายให้เห็นเป็นความจริงเสมอกับธรรมทั้งหลายอีก
ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นมหาโจรผู้สั่งสมกิเลสไว้ในตัวอีกเหมือนกัน จึงควรพิจารณาจิต ผู้รู้ซึ้งธรรมทั้งหลายให้เห็นเป็นความจริง เสมอกับธรรมทั้งหลายอีก
ไม่อย่างนั้นจิตก็จะสำคัญว่าตนฉลาดเพราะไปรู้ธรรมทั้งหลาย เลยลืม "ทวนกระแส" เข้ามาพิจารณาและรู้เท่า **ตัวของตัวเอง**
ประการหนึ่ง เมื่อจิตยังเพลินไปรู้หรือตำหนิติชมธรรมส่วนอื่น ว่าดีว่าชั่วอยู่ตราบใด พึงทราบเถิดว่าจิตนั้นยังเป็น "อวิชชา" อยู่ตราบนั้น จัดว่ายังไม่ฉลาดพอ และจัดว่ายังพ้นทุกข์ไม่ได้
เพราะยังหลงตัว คือ จิตอยู่
การพิจารณาที่จะให้รอบคอบในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นขันธ์นอกขันธ์ใน และจิตเรา ซึ่งนอกจากขันธ์ทั้งสองประเภทนั้น เป็นของสำคัญไม่น้อย
จิตนี้จะใช้ให้พิจารณาธรรมประเภทใด ทั้งใกล้ทั้งไกล ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งภายนอกภายใน พอรู้ได้เห็นได้ไม่ยากนัก
แต่จะทวนเข้ามาพิจารณาจิตนี้ซิสำคัญยิ่ง เมื่อกลับเข้ามาพิจารณาตรงนี้ได้แล้ว รู้ตรงนี้แล้ว ว่าเป็นความจริงชนิดหนึ่งซึ่งต่างจากความจริงใด ๆ ทั้งหมด
พร้อมทั้งความไม่ยึดมั่นถือมั่นเสมอธรรมทั้งหลายแล้ว นั่นแหละจึงจะหมด "อวิชชา" และ "อุปาทาน"
จะปฏิญญาณตนว่าหลุดพ้นหรือไม่ก็หมดปัญหาในตัว
ดังนั้น ท่านผู้สิ้นจากความสำคัญไร ๆ แล้ว จึงเป็นเหมือนปิดปาก ไม่อยากพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อยากอวดตัวไม่อยากทดลอง เมื่อปรากฏเฉพาะหน้าก็ดูไป ฟังไป ไม่อาลัยในความอยากดูอยากฟังอีก
ในเมื่อรูปเสียงเป็นต้น ผ่านพ้นไป
หมดคำว่าตัวดี ตัวชั่ว อยู่กลางๆ ตามความจริง
เพราะคำว่าดีหรือชั่วเป็นเหมือนสีย้อม เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว หมดเรื่องเสกสรรเหมือนน้ำที่บริสุทธิ์แท้ไม่มีสี ฉะนั้น เอวํ
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน 🙏ค่ะ
สมมติที่เรียกว่า "เรา" ประกอบไปด้วยขันธ์ 5 และ จิต
ขันธ์ แปลว่า กอง หรือหมวดหมู่
#รูปขันธ์คือ กองแห่งรูป
หมายถึง รูปแห่งร่างกาย และอวัยวะทุกส่วน
#นามขันธ์ คือ กองแห่งนาม มี 4 กอง
ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
รูปขันธ์ และนามขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มักเรียกรวมกันว่า #ขันธ์5
ขันธ์ทั้ง5 นี้ ต่างเป็น "ธรรมชาติหนึ่ง" มีทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม ดังได้กล่าวไปแล้ว
ทว่า...เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไป...
ขันธ์ 5 ไม่มีสภาวะของสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่ถาวร
ทั้งหมดเป็นเพียง "ธรรมชาติหนึ่ง"
อันเกิดจากการประชุมกันชั่วคราวของเหตุปัจจัยเดิม...ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
#จิต ก็เป็นอีก "ธรรมชาติหนึ่ง" เป็นนามธรรมล้วนๆ
จึงไม่มีตัวตนอยู่แล้ว จับต้องไม่ได้
รายละเอียดของจิตมีมากมายต้องรู้เอง เห็นเองจากการปฏิบัติเป็นขั้นตอน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ พระอริยสงฆ์ และอริยบุคคลเท่านั้น
กล่าวคือ...เมื่อปฏิบัติธรรมต่อเนื่องไป...ก็จักเห็นรายละเอียดของจิตได้ละเอียดลึกซึ้ง ขึ้นไปโดยลำดับ...
เริ่มต้นด้วยการเจริญสติปัฏฐาน จนมีสมาธิแบบจิตตั้งมั่น
แล้วนำกำลังจากสมาธินั้นมาเจริญปัญญาต่อไป...
ทั้งหมดนี้...ต้องค่อยๆเก็บข้อมูลจากการสังเกตแบบซ้ำๆ
สังเกตแบบทะลุทะลวง ซอกแซกเข้าไป ทุกซอก ทุกมุม
สังเกตแบบลึกซึ้งเข้าไป ด้วยฐานกำลังจากสัมมาสมาธิ
และด้วยสติธรรม ปัญญาธรรม จะค่อยๆเห็นความจริง...ไปโดยลำดับ
จากเคยร้อง "อ๋อ" เมื่อเข้าใจ "จิตผู้รู้"
จวบจน...ร้อง "อ้าว" เมื่อเข้าใจความจริงของ "จิตอวิชชา"
ธรรมะในภาคปฏิบัติก็เล่าสู่กันฟังซื่อๆแบบนี้ ไม่มีพิธีรีตอง
อย่าเพิ่งเชื่อ ลองปฏิบัติดู เมื่อเข้าใจ...จะตระหนักหล่ะทีนี้...ว่า...วิชชาของพระพุทธองค์นั้นสุดยอดเพียงไร
ขันธ์ทั้ง 5 และ จิต นั้น
ต่างฝ่าย ต่างอยู่...ต่างฝ่าย ต่างจริง
ต่างฝ่าย ต่างเป็น "ธรรมชาติหนึ่ง"
ต้องเห็นเอง จักรู้เอง
และ "ความเห็น" หรือ "ทิฏฐิ" นี้จะแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนแปลง หรือคลาดเคลื่อนอีกแล้ว...ตลอดไป
เวลาที่ความหลงเข้าครอบงำขันธ์ 5 และ จิต
นั่นคือ...ตกอยู่ในอำนาจและกลมายาของ "อวิชชา" ทันที....มีแรงยึดหล่ะที่นี้...
อวิชชา...ทำงานครบทีม...full option
ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ....มาเพียบ
ห่วงโซ่แห่งความทุกข์และภพชาติ....จึงถูกถักทอ ตามมา....วัฏสงสาร...จึงเกิดต่อเนื่องแบบวนเวียนไม่รู้จักจบสิ้นเสียที
วิชาทางโลก ไม่เคยมีหลักสูตรเหล่านี้ให้เรียน
วิชชาของพระพุทธองค์ มีหลักสูตรสุดยอด เช่นนี้ให้เรียน
คือ หลักสูตร "วิธีออกจากการเวียนว่ายตายเกิด"
เรียน...แบบไม่ต้องเสียค่าลงทะเบียนอีกต่างหาก
หลักสูตรนี้ ควรเรียน ควรเพียรไปโดยลำดับ
จักเห็นความจริงไปโดยลำดับ เช่นกัน
ขอกราบสักการะในพระคุณอันประเสริฐของพระรัตนตรัย และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งปวง ด้วยเศียรเกล้า
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชาและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน
คนเราติดอะไร(เบญจขันธ์)
อะไรเป็นที่ตั้งที่ยึด ที่เกาะเกี่ยวของอุปาทาน? ที่ตั้งของอุปาทานก็คือโลกนี้เอง คำว่า “โลก” ในทางพระพุทธศาสนา มีความหมายกว้างกว่าความหมายตามธรรมดา คือหมายถึงสิ่งทั้งปวทั้งสิ้นกันทีเดียว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับมนุษย์ เทวดา พรหม สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ปีศาจ เปรต อสูรกาย อะไรก็สุดแท้ที่จะมี รวมแล้วก็เรียกว่าโลก.
การรู้จักโลก มีความหมายอยู่ตรงที่ว่ามันมีความลึกลับเป็นชั้น ๆ. เรารู้จักกันแต่ชั้นนอก ๆ ที่เรียกว่า “ชั้นสมมุติ” นี้หมายถึงตามสติปัญญาของคนทั่ว ๆไป. พระพุทธศาสนาจึงมีการสอนให้ดูกันหลาย ๆ ชั้น. ท่านมีวิธีแนะให้ดูการจำแนกโลกออกเป็นฝ่ายวัตถุ ซึ่งเรียกกันว่า รูปธรรมอย่างหนึ่ง; ฝ่ายจิตใจเรียกว่านามธรรม อีกฝ่ายหนึ่ง. ยิ่งกว่านั้นท่านได้แบ่งส่วนที่เป็นนามธรรมหรือจิตใจนี้ออกเป็น ๔ ส่วน เมื่อเอารูปธรรม ๑ ส่วนมารวมกันเข้ากับนามธรรมได้เป็น ๕ ส่วน ท่านเลยเรียกว่า เบญจขันธ์หรือขันธ์ห้า แปลว่าส่วน ๕ ส่วนประกอบกันขึ้นเป็นโลก คือเป็นสัตว์เป็นคนนี่เอง.
การดูโลก ก็หมายถึงการดูสัตว์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคน เพราะปัญหาอยู่ที่เรื่องของคน. ร่างกายเป็นวัตถุที่เรียกว่ารูปหรือ รูปขันธ์ (ส่วนที่เป็นรูป);ส่วนที่เป็นจิตใจอีก ๔ ส่วนนั้น จำแนกไปได้คือ
ส่วนที่ ๑ เรียกว่า “เวทนา” หมายถึงความรู้สึก ๓ ประการคือสุขหรือพอใจอย่างหนึ่ง ทุกข์หรือไม่พอใจอย่างหนึ่ง อีกแบบหนึ่งอยู่ในลักษณะที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่าสุขหรือทุกข์ คือเป็นเรื่องที่ยังเฉย ๆ อยู่ แต่ก็เป็นความรู้สึกเหมือนกัน. ความรู้สึกนี้มีประจำอยู่ในคนเราเป็นปกติ วันหนึ่ง ๆ ย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึก; ท่านจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ประกอบกันเป็นคน และเรียกส่วนนี้ว่าเวทนา หรือเวทนาขันธ์.
ส่วนที่ ๒ เรียกว่า “สัญญา” แปลว่ารู้ตัว เป็นความรู้สึกตัวอยู่เหมือนอย่างว่าเรากำลังตื่นอยู่ คือไม่หลับ ไม่สลบ ไม่ตายหรือเรียกว่ามีสติสมปฤดี. โดยทั่ว ๆ ไป มักจะอธิบายกันว่าเป็นความจำได้หมายรู้ ก็ถูกเหมือนกัน เพราะว่ายังไม่เมา ไม่สลบไม่หลับ ไม่ตาย ดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อกระทบอะไร ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็รู้สึกหรือจำได้ว่าเป็นอะไร เช่นรู้ว่า เขียว แดง สั้น ยาว คน สัตว์ ฯลฯ ตามแต่จะจำได้. นั่นแหละ เป็นความรู้สึกของสมปฤดี หรือ “สัญญา” ในที่นี้.
ส่วนที่ ๓ เรียกว่า “สังขาร” มีความหมายมาก จนมันปนกันยุ่งไปหมด, เราพูดถึงสังขารที่เป็นส่วนของนามธรรมนี้กันก่อนแปลว่า “ปรุง” คือกิริยาอาการของสิ่งที่เป็นอยู่ในคนหนึ่ง ๆได้แก่ การคิดหรือความคิดเช่นคิดจะทำ คิดจะพูด คิดอย่างนั้นอย่างนี้ คิดดีคิดเลวคิดในทางไหนก็จัดเป็นความคิดทั้งนั้นความรู้สึกที่เป็นความคิดพลุ่งขึ้นมาจากการปรุงแต่งภายในใจนี้เรียกว่าสังขาร. คำว่า สังขาร ในที่อื่นนั้น หมายถึงบุญกุศลที่ปรุงแต่งคนให้เกิดขึ้นก็มีหมายถึงร่างกายหรือโครงร่างที่มีจิตใจครองดังนี้ก็มี มีความหมายหลายทาง แต่ตรงกันโดยเหตุที่มันมีความหมายไปในทางมีการปรุงแต่งประกอบกันขึ้นมา
ส่วนที่ ๔ เเรียว่า “วิญญาณ” หมายถึงจิตที่ทำหน้าที่รู้สึก ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น และที่กายทั่ว ๆ ไปตลอดถึงที่ใจของตนเองด้วย (ไม่ใช่เจตภูตอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจกัน).
ขันธ์ห้านี่แหละเป็นที่เกาะยึดของอุปาทานทั้ง ๔ ที่ได้อธิบายแล้ว ขอให้ย้อนไปอ่านแล้วนำมาพิจารณาให้เข้าใจกันให้ดี ให้รู้ว่าความยึดนั้นมันเกาะจับอยู่กับส่วน ๕
ส่วนนี้อาจยึดเอาแต่ละส่วนว่าเป็นตัวตนก็ได้แล้วแต่ความโง่ของคน เหมือนอย่างเด็กเล็ก ๆ ที่เดินเซไปโดนประตู เจ็บ ต้องตีประตูเสียทีหนึ่งจึงจะหายโกรธและหายเจ็บ อย่างนี้หมายความว่ายึดเอารูปล้วน ๆคือประตูซึ่งเป็นไม่แท้ ๆ ว่าเป็นตัวตน นั้นเป็นอุปาทานในขั้นต่ำที่สุด
สำหรับคนโต ๆ ก็โกรธร่างกายถึงกับทุบตีร่างกายหรือโขกศีรษะตัวเอง ก็ยึดถืออย่างเดียวกันกับเด็ก คือไปยึดถือเอาร่างกายเป็นตัวตน.
ถ้าหากว่าฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็จะถือเอาเวทนาหรือสัญญาหรือสังขารหรือวิญญาณส่วนใดส่วนหนึ่งว่าเป็นตัวตน
ถ้าหากไม่อาจจะ แยกออกได้ก็ยึดทั้งกลุ่มว่าเป็นตัวตน คือเอาทั้ง ๕ ส่วนรวมกลุ่มกันเป็นตัวตนอย่างนี้ก็ได้.
ถัดมาจากรูปก็คือ เวทนา กล่าวคือความรู้สึกว่าสุข ทกข์หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ มีทางที่จะยึดเป็นตัวตนได้มากที่สุด เราจะมองดูตัวอย่างในเรื่องเราหลงใหล ในกามสุขโดยเฉพาะก็คือความเอร็ดอร่อย ความถูกอกถูกใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่. ตัวเวทนาในที่นี้ก็คือความรู้สึกเอร็ดอร่อยซึ่งเป็นความสุขแล้วก็ไปติตความสุขนั้นหรือความอร่อยนั่นเอง คนยึดถือเวทนาเป็นตัวเป็นตนกันอยู่มาก หรือว่าแทบทั้งหมคเพราะว่าไม่มีใครที่จะไม่ชอบความเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็การสัมผัสทางผิวหนัง. ความไม่รู้หรือความหลงผิดทำให้มองไมเห็นสิ่งอื่นใด มองเห็นแต่ความเอร็ดอร่อย แล้วยึดถือเป็นตัวเป็นตน และจะยึดเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตน.
ความรู้สึกทางพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ย่อมจะเรียกได้ว่าเป็นที่ตั้งของความทุกข์ได้ทั้งนั้น. ความรู้สึกชอบกับชังนี้ ตามความหมายทางธรรมะแล้วย่อมถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน เพราะมันทำให้เกิดความทรมานใจเท่ากัน : ความชอบทำให้ใจฟูความไม่ชอบทำให้ใจแฟบ การดีใจและเสียใจ ก็เป็นการทำให้จิตเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน ทำให้เกิดหวั่นไหวทางจิตได้เท่ากันทั้งหมดนั้นเรียกว่ายึดเวทนาเป็นตัวตน.
ขอให้ทุกคนพิจารณาความยึดถือเวทนาว่าเป็นตัวตนของตนในตนเอง ให้เข้าใจอย่างถูกต้องจริง ๆ จะเป็นหนทางทำให้เป็นอิสระจากเวทนา. เวทนาเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือจิตใจ แล้วดึงเราไปสู่สภาพที่จะต้องเสียใจในภายหลัง. ในทางปฏิบัติเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนให้พิจารณาเรื่องเวทนาโดยเฉพาะก็มีมาก. มีผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะกำหนดเวลา เป็นวัตถุสำหรับการพิจารณาเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ อย่างนี้ก็มี มาก
เวทนานี้เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือได้ง่ายกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมดเพราะมันเป็นที่มุ่งหมายสูงสุดของสิ่งที่เราพากเพียรทำกัน “ เราอุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียนอุตส่าห์ประกอบการงานอาชีพต่าง ๆก็เพื่อให้ได้เงินแล้วก็ไปซื่อหาสิ่งต่าง ๆ เช่น ของใช้ ของกิน เครื่องบำรงบำเรอ ตลอดจนถึงรสพิเศษจากเพศตรงกันข้ามแล้วก็บริโภคของเหล่านั้นเพื่อหวังอย่างเดียวคือสุขเวทนา กล่าวคือความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น และทางกาย
เราลงทุนด้วยกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจทั้งหมดก็เพื่อหวังสุขเวทนาอันเดียวนี้เท่านั้น ก็รู้อยู่แก่ใจกันดีทุกคน ถ้าไม่เพราะอำนาจของสุขเวทนานี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็คงจะไมลงทุนเรียน ลงทุนทำการงาน ลงเรี่ยวลงแรงหาเงิน ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเรื่องสุขเวทนานี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว ถ้ามี ความรู้ความเข้าใจ ก็จะสามารถควบคุมมันได้ จนทำให้เรามีจิตใจสูงอยู่เหนือความรู้สึกชนิดนั้น จะทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าที่เราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา. แม้ความยุ่งยากต่าง ๆ ในสังคม ก็มีมูลมาจากสุขเวทนานี้เหมือนกันการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศ.หรือระหว่างครึ่งโลกกับครึ่งโลกที่จะต้องรบกัน เมื่อไล่เบี้ยไปถึงที่สุด แล้วจะไปพบความจริงที่ว่า ทุกฝ่ายตกเป็นทาสของสุขเวทนาดังที่กล่าวมาแล้ว การทำสงครามกันนั้น ไม่ใช่เพราะมีมูลมาจากความยึดถือเกี่ยวกับลัทธิ หรือเกี่ยวกับอุดมคติอะไรก็หามิได้ ที่ แท้แล้วมันก็เนื่องมาจากประโยชน์สุข ต่างฝ่ายจะมุ่งแต่ให้ได้ประโยชน์มาก จะกอบโกยเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ลัทธินั้นเป็นเครื่องบังหน้าหรือเหตุประกอบรอง ๆ ลงไปเท่านั้นเอง ส่วนลึกที่สุดอยู่ที่การตกเป็นทาสของสุขเวทนา ฉะนั้น การรู้จักเวทนาก็หมายถึงการรู้จักมูลเหตุอันสำคัญ ที่ทำให้เราตกเป็นทาสของกิเลสหรือความชั่วจนได้รับความทุกข์ในทุกระดับ.
เมื่อมนุษย์เป็นอย่างไร เทวดาก็เป็นอย่างนั้น คือตกอยู่ภายใต้อำนาจสุขเวทนาอย่างเดียวกับมนุษย์และยิ่งกว่ามนุษย์เพียงแต่เขาสมมุติให้เป็นเรื่องที่ดีกว่าประณีตกว่าได้อย่างอกอย่างใจกว่าเท่านั้น แต่ก็ยังไม่พ้นไปจากเรื่องตัณหาอุปาทานหลงติดอยู่ในรสอร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ นั้นเอง
ถ้าสูงขึ้นไปถึงขั้นพรหม ก็ต้องยกความอร่อยในทางกามารมณ์ออกเสียแต่ไม่พ้นจากความอร่อยทางจิตอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าฌานหรืออยู่ในสมาธิ เกิดความสุขใจเป็นรสอร่อยขึ้นมา ก็ตกใจในรสอร่อยนั้นเหมือนกัน. แม้ไม่เกี่ยวกับกามารมณก็เป็นสุขเวทนานั่นเอง.
ยิ่งสัตว์ที่ต่ำลงไปกว่ามนุษย์ด้วยแล้ว มันย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจของสุขเวทนาอย่างไม่เป็นระเบียบ ยิ่งกว่ามนษย์เรามากมายนัก ฉะนั้น การรู้เรื่องของเวทนาว่าเป็นอย่างไร โดย-เฉพาะรู้เรื่องเวทนาว่า ไม่สู้เป็นตัวเราของเราเลย ไม่ควรจะยึดถือ จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ชีวิตของคนเราจริง ๆ.
ถัดไปก็คือเรื่อง สัญญา หรือที่เรียกว่า สมปฤดี นั่นเองนี้มีทางที่จะยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตนของเราได้ง่ายเหมือนกันอย่างที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปมักชอบพูดกันว่า ถ้านอนหลับจะมีอะไรบางอย่างออกไปจากตัวเราที่เรียกว่า เจตภูต หรือจะเรียกว่าอะไรสุดแท้ ในขณะนั้นเราก็เหมือนท่อนไม้ ไม่มีความรู้สึกทางตาหูจมูกลิ้น และกายเพื่อสิ่งนั้นกลับสู่ร่างกายอีก จึงจะรู้สึกสมปฤดีตามเดิม มีสติสตังขึ้นมาตามเดิม คนเขาหลงเชื่อกันอย่างนั้นมาก เลยยิ่งมีทางที่จะยึดเอาสัญญาหรือสมปฤดีนี้ว่าเป็นตัวตนมากขึ้น.
แต่ถ้าว่ากันตามทางพุทธศาสนาแล้ว สัญญาไม่ใช่เป็นตัวตน สัญญาเป็นเพียงความรู้สึกจำได้หมายรู้ที่ยังคงดีอยู่. พอเกิดการไม่เป็นระเบียบในการปรุงแต่งเท่านั้น สิ่งที่เราเรียกว่า สัญญาหรือ สมปฤดี ก็จะกลับเป็นใช้ไม่ได้ไปทันที. พุทธศาสนาไม่ยอมรับว่าสัญญาเป็นตัวตนก็เพราะเหตุนี้ ; แต่คนทั่วไปก็ชอบเดา หรือสันนิษฐานไปในทางที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนการศึกษาพุทธศาสนากลับได้ความรู้ที่ตรงกันข้าม ว่านั่นไม่ใช่ตัวตนของใคร. นั่นเป็นเพียงผลของการปรุงแต่งตามธรรมชาติในคน ๆ หนึ่ง เท่านั้นเอง
ขันธ์ถัดไปคือ สังขาร ได้แก่ความ นึกคิด ความรู้สึกจะทำนั่นทำนี่ จะได้นั่นได้นี่ เป็นความคิดดีก็ตาม ชั่วก็ตาม แสดงความเป็นตัวเป็นตนหนักขึ้นไปอีก ใคร ๆ ก็จะรูสึกว่า ถ้าจะเป็นตัวตนกันบ้างละก็ ตัวผู้นึกคิดนี่ แหละ น่าจะเป็นตัวตนมากกว่าอย่างอื่น. อย่างนักปรัชญาคนหนึ่งของยุคปัจจุบัน เขามีปรัชญาของเขาง่าย ๆ ว่า “ข้าพเจ้าคิดได้ ข้าพ-เจ้าจึงมีอยู่”
แม้นักปรัชญาในสมัยวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ก็ยังยืดถือตัวตนอย่างเดียวกับ ในสมัยเมื่อสองสามพันปีมาแล้ว โดยถือเอาตัวความคิดนั้นว่าเป็นตัวตน.
พุทธศาสนาได้ปฏิเสธเวทนา และสัญญา ว่าไม่ใช่ตัวตนมาแล้ว ยังปฏิเสธความคิด หรือตัวจิตที่คิด ว่าไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน. เพราะอาการที่คิดขึ้นมาได้นั้น มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นผลของการปรุงของสิ่งหลาย ๆ สิ่งสาเร็จรูปเป็นความคิดขึ้นมาได้ อยู่ในกลุ่มของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นคน โดยไม่ต้องมีตัว “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวตนอย่างว่าสังขารหรือความคิดนี้ จึงถูกยืนยันว่าเป็นอนัตตา กล่าวคือไม่มีต้นไม้มีตนอย่างเดียวกันกับขันธ์อื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว.
คำในพระพุทธศาสนาก็ระบุชัดอยู่แล้วว่า “สังขาร” ซึ่งแปลว่าของปรุงแต่ง คือของหลาย ๆ อย่างมาปรุงกันเข้าจึงยิ่งไม่ใช่ตัวตน. ความลำบากเข้าใจยากอยู่ตรงที่ว่า พวกเราไมมีความเข้าใจในเรื่องของนามธรรม หรือจิตใจอย่างเพียงพอ เรารู้จักกันแต่เรื่องรูปธาตุที่เป็นวัตถุแต่ธาตุอีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นนามธรรมไม่ใช่วัตถุเราแทบจะไม่เข้าใจกันเสียเลย เราจึงเข้าใจยากในเรื่องของการปรุงทางนามธาตุ.
ในที่นี้บอกได้แต่เพียงตามหลักพุทธศาสนาว่า เป็นการปรุงของธาตุหลาย ๆ ธาตุ รวมทั้งวัตถุธาตุ และนามธาตุ สิ่งทีเรียกว่าความคิด หรือ “ สังขาร” จึงเกิดขึ้นโนใจของตัวเราเองและทำให้เข้าใจไปว่า มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้คิดเพื่อไปในทำนองว่าเป็นเจตภูต เป็นวิญญาณ เป็นตัวเจ้าของร่างหรืออะไรทำนองนี้พุทธศาสนาปฏิเสธสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเมื่อได้แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็พิสูจน์แต่ละส่วน ๆ ว่าไม่มีส่วนไหนเป็นตัวเป็นตน ตลอดถึงส่วนที่เป็นความคิด ก็ไม่ใช่ตัวตนอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันเลย.
ถัดไปเป็นส่วนสุดท้ายเรียกว่า “วิญญาณ” ทำหน้าที่รู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเราเหมือนกัน เพราะเหตุว่าอวัยวะนั้น ๆ ล้วนมีความสามารถรับรู้รูป เสียง กลิ่น รู้สึกสัมผัส อยู่ตลอดเวลา. เมื่อตากับรูปถึงกันเข้า วิญญาณก็เกิดขึ้น เป็น ๓ ฝ่ายด้วยกัน. เช่นตาก็มีความรู้แจ้งเกิดขึ้นว่ารูปนั้นมีสัณฐานอย่างไร เป็นรูปคนหรือสัตว์ สั้นหรือยาว ขาวหรือดำ อย่างนี้เป็นต้น.
ความรู้แจ้งที่เกิดขึ้นทำนองนี้เหมือนกับกลไกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติ อย่างอัตโนมัติแต่มีคนบางพวกถือกันว่านั่นแหละเป็นเจตภูต หรือเป็นตัววิญญาณที่ แล่นเข้าแล่นออกจากใจมารับความสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย อย่างนี้ก็มี แล้วยึดถือเอาเป็นตัวตน. ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ถ้ารูปและตาพร้อมทั้งประสาทตา ได้มีการกระทบกันก็จะมีการเห็นเกิดขึ้นสำเร็จเป็นการรู้แจ้งทางตาเรียก จักษุวิญญาณ ตามชื่อของประสาทอันเป็นที่ตั้งแห่งการสัมผัส โดยไม่ต้องมีตัวตนอะไรที่ไหนอีกวิญญาณในศาสนาพุทธจึงไม่เหมือนวิญญาณในศาสนาอื่น ๆ.
เมื่อได้แยกดูทีละส่วน ๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เห็นมีส่วนไหนที่เป็นตัวตนของตนดังนี้แล้ว ก็จะถอนความเข้าใจผิดเรื่องตัวตนเสียได้ ว่าไม่ใช่เป็นตัวตนของใครเลย. ถ้าไม่เกิดความอยาก ก็ไม่เกิดความรักหรือเกลียดในสิ่งทั้งหลาย จึงจะเรียกว่าเห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวงว่าไม่ใช่ตัวตน. การนึกคิดตามเหตุผลก็พอจะทำให้เชื่อว่าไม่ใช่ตัวตนได้ สัตว์มันก็เป็นเพียงความเชื่อ ไม่เป็นการรู้แจ้งชนิดที่จะตัดความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตนได้อย่างเด็ดขาด. เหตุนี้เองจึงต้องศึกษาพิจารณากันตามหลักแห่งสิกขา ๓ ประการ จึงจะถึงขนาดที่ถอนความยึดถือเรืองนี้ได้.
หน้าที่อันจะพึงปฏิบัติในเรื่องเบญจขันธ์ นี้คือต้องทำให้ความรู้แจ้งเกิดขึ้น เพื่อขจัดความโง่เสีย และก็จะเห็นเองว่า ไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวเป็นตนอันน่ายึดถือ เมื่อนั้นการยึดถือก็แตกสลายลง. แม้ยึดมาแต่กำเนิดก็ตาม มันต้องหมดไปด้วย ; ฉะนั้นเราจำเป็นต้อง?ศึกษาเรื่องเบญจขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความหลงว่าเป็นตัวตนนี้ให้ละเอียด. พระพุทธจ้าทรงสอนเรึ่องนี้มากกว่าเรืองทั้งหลายมีใจความสรุปสั้น ๆ ว่า “เบญจขันธ์เป็นอนัตตา” และถือว่าเป็นคำสอนที่เป็นตัวพระพุทธศาสนาแท้ เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมองกันในแง่ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ หรือในฐานะเป็นศาสนาก็ตาม. ถ้าเรารู้ตามที่เป็นจริง ความยึดถือด้วยการเข้าใจผิดก็หายไป ความอยากทุกชนิดจะไมมีทางเกิดและความทุกข์ก็จะไม่มี.
ทำไม คนเราตามปกติจึงมองส่วน ๕ ส่วนนี้ไม่ออกตามที่เป็นจริง? เมื่อเราเกิดมาจากท้องมารดา เราไมปัญญาของเราเอง : เราได้รับความูร้มาตามที่เขาสอนให้ เขาสอนเราโปในทางที่เข้าใจว่า ทุดสิ่งเป็นตัวตนไปทั้งนั้น. อำนาจสัญชาตญาณดั้งเดิม เกี่ยวกับการยึดถือว่าเป็นตัวตน (อัตตวาทุปาทาน) ซึ่งมีติดมาตั้งแต่เราเกิด ก็พอกพูนหนาแนั่นยิ่งขึ้นทุกวัน ในการพูดจากใช้คำว่า ฉัน ท่าน ผู้นั้น ผู้นี้ ซึ่งล้วนแต่ย้ำการมีตัวตนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น. คนนั้นชื่อนั้น คนนี้ชื่อนี้ เป็นลูกคนนั้น เป็นหลานคนนี้ เป็นสามีคนนั้น เป็นภรรยาคนนี้ ล้วนแต่ระบุไปในทางเป็นตัวตนทั้งนั้น เราจึงพากันไม่รู้สึกตัว ในการที่ไปยึดถือความเป็นตัวเป็นตนเพิ่มขึ้นทุกวัน.
เมื่อยึดว่าเป็นตัวเป็นตน ก็เกิดความเห็นแก่ตัว แล้วก็ประออบการงานไปตามความเห็นแก่ตัวหรือพวกของตัวจนได้ประโยชน์มาบำรุงความใคร่ของตัวและพวกของตัว. แต่ถ้าหากว่าเราเกิคความฉลาดจนมองเห็นว่านี้เป็นของหลอก ๆ เราก็จะหมดความยึดถือว่านั่นเป็นนาย ก. นาย ข. เป็นขุน หลวงพระ พระยา เป็นสัตว์ หรือมนุษย์ โดยเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องที่คนเขาสมมุติขึ้นพูดกันในทางสังคมเท่านั้นเอง. ถ้าเขาเข้าใจได้อย่างนี้แล้ว ก็นับว่าเป็นการเพิกถอนสิ่งที่หลอกลวงของสังคมได้ชั้นหนึ่ง.
เมื่อพิจารณาดูร่างกายทั้งหมดของนาย ก. ก็จะพบว่า นาย ก. นั้น เท่ากับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัมพันธ์กัน. การเห็นอย่างนี้ก็ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อย เรียกได้ว่าไม่หลงติดในการสมมติทางโลก
จะแยกให้ละเอียดออกไปอีก ก็มีทางทำได้ เช่นรูป ร่างกายนี้ แยกเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรือไม่แยกอย่างทางวัด ๆ เขาแยกกัน จะแยกอย่างวิทยาศาสตร์ เป็นคาร์บอน อ๊อกซิเจน ไฮโดรเจนฯลฯ ได้เหมือนกัน. อย่างนี้เรียกว่า เห็นลึกเข้าไปอีก คือมันหลอกลวงเราได้น้อยเข้าไปอีกชั้นหนึ่งกลายเป็นเห็นว่าคนไม่มี มีอยู่แต่ธาตุต่าง ๆ. ร่างกายเป็นรูปธาตุ ; จิตเป็นนามธาตุ แยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่นรู้สึกนึกคิด และรู้ทางประสาททั้งหลาย เมื่อเป็นดังนี้ ความรู้สึกกว่านาย ก. นาย ข. ขุน หลวงพระ พระยา ก็หายไป ความรู้สึกว่าลูกของเรา ผัวของเรา เมียของเรานี้ก็พลอยหายไป.
แต่เมื่อ ดูกันในแง่ปรมัตถ์ จะปรากฏว่า แม้ธาตุดิน น้ำ ลมไฟ ธาตุอ๊อกซิเจน ไฮโดรเจน หรืออะไรก็ตาม จะเป็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณก็ตาม ดูให้ลึกซึ่งแล้ว ก็จะพบลักษณะอันหนึ่ง ซึ่งเหมือนกันหมดคือ “ความว่าง” จากสิ่งที่เรียกว่าตัวตนของมันเอง. ดิน น้ำ ลม ไฟ ดูตรงไหน ๆ มันก็ไม่มีตัวตน ซึ่งภาษาพุทธศาสนาเรียกว่า “สุญญตา”.
ท่านผู้ใดเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของว่างได้ดังนี้แล้ว ความยึดถือหรืออุปาทาน ย่อมไม่มีทางที่จะเกิดได้ ที่เกิดแล้ว ไม่มีทางทีจะเหลืออยู่ได้. มันจะสูญหายละลายไปหมด จนปราศจากความยึดติดโดยสิ้นเชิง มันจึงไม่มีสัตว์ไม่มีคน ไม่มีธาตุ ไม่มีขันธ์ ไม่มีอะไรทั้งหมด ; เป็น “ความว่าง” จากการมีตัวมีตนของมันเองเมื่อไม่ยึดติด ความทุกข์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น. ใครจะเรียกเขาว่าคนดีคนชั่ว คนสุข คนทุกข์ หรืออะไรก็ตาม ไม่เป็นของแปลกสาหรับเขา.ทั้งหมดนี้เป็นผลเกิดมาจากการมีความรู้ความเข้าใจ และมีความเห็นแจ้งในความจริงของเรื่องเบญจขันธ์ จนถอนความยึดติดที่ผิด ๆ ทั้ง ๔ ประการนั้นเสียได้.
สรุปความว่า สิ่งทั้งปวงในโลกนี้รวมอยู่ในคำว่า “เบญจขันธ์คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละส่วนเป็นมายาไร้ตัวตน แต่ก็มีอำนาจของเวทนาล่อให้เกิดการยึดถือ จนคนทั่วไปอยากมี อยากเป็น อยากไม่ให้เป็นซึ่งล้วน แต่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่อย่างเปิดเผยก็อย่างเร้นลับ. ทุกคนจะต้องอาศัยข้อปฏิบัติที่เรียกว่าไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ถอนความหลงติดในเบญจขันธ์เสียให้สิ้นเชิง จึงจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของขันธ์ทั้งห้าและก็จะไม่มีความทุกข์. โลกจะอยู่ในลักษณะที่อำนวยความผาสุขใจให้แก่ผู้นั้นไม่ต้องร้อนใจเพราะสิ่งใด ๆ เป็นผู้มีจิตใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงตลอดชีวิต นี้เป็นผลของการรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องเบญจขันธิ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า.
“แนวการทำให้รู้แจ้งตามวิธีธรรมชาติ”
(แผนภูมิประกอบคำบรรยายครั้งที่ ๗)
ปีติและปราโมทย์ : (ความอิ่มใจในธรรม)
ปัสสัทธิ : (ความรำงับ)
สมาธิ : (จิตสงบ)
ยถาภูตญาณทัสสนะ : (รู้ความเป็นจริงต่อโลก)
นิพพิทา : (ความเบื่อหน่าย)
วิราคะ : (ความคลายออก) วิมุตติ : (ความหลุดออก)<
วิสุทธิ : (ความบริสุทธิ์ไม่เศร้าหมอง)
สันติ : (ความสงบเย็น)
นิพพาน : (ภาวะที่ปราศจากความทุกข์
ถามว่า ขันธ์ 5 เป็นรูปเป็นนามได้หรือไม่ ตอบว่า...เป็นรูปเป็นนามอยู่โดยตรงๆ แล้ว รูปังแปลว่ารูป นามมังแปลว่าชื่อมัน ถ้าเป็นได้เอาอะไรเป็นรูปปรมัตถ์นามปรมัตถ์ ตอบว่า...ธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นรูปปรมัตถ์ ธาตุ 4 นั้น สิ่งไหนที่เป็นของแข็งสิ่งนั้นจัดเป็นปฐวีธาตุ สิ่งไหนที่เป็นของเหลวซึมซาบ ได้จัดเป็นอาโปธาตุ สิ่งไหนพัดไปมาได้จัดเป็นวาโยธาตุ สิ่งไหนอบอุ่นหรือร้อนจัดเป็นเตโชธาตุ จะแยกรูปธาตุรูปธรรมก็ว่า รูปโลกก็ว่า รูปสังขารก็ว่า จะบรรยายดังต่อไปนี้
ธาตุดิน มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังพืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า กระโหลกศรีษะและเยื่อในสมองศรีษะ
ธาตุน้ำ มีดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร
ธาตุไฟ มีไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวายไฟที่เผาอาหารให้ย่อย ไฟ 4 ก็เรียก
ธาตุลม มีลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลม 6 ก็ว่า (ที่กล่าวมานี้เป็นรูปปรมัตถ์)
ส่วนนามปรมัตถ์นั้น คือเวทนาความเสวยอารมณ์มีสุข ทุกข์ อุเบกขา เป็นต้น
สัญญา ความจำได้หมายรู้ คือจำรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เป็นต้น
ส่วนวิญญาณ นั้นก็คือวิญญาณ ทั้ง 6 เราดีๆ นี่เอง คือจักขุวิญญาณ วิญญาณทางดวงตา โสตวิญญาณ วิญญาณทางหู ฆานะวิญญาณ วิญญาณทางจมูก ชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้น กายวิญญาณ วิญญาณทางกาย มโนวิญญาณ วิญญาณทางใจ ทั้งหลายเหล่านี้แหละเรียกว่านามธรรมก็ว่า นามธาตุก็ว่า นามโลกก็ว่า
และขอให้เข้าใจว่า รูปก็ดี นามก็ดี อยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์เสียแล้ว เกิดขึ้นก็แปรปรวน และแตกสลายไป ดินแตกไปเป็นดิน น้ำแตกไปเป็นน้ำ ไฟแตกไปเป็นไฟ ลมแตกไปเป็นลม ที่เรียกว่ารูปธาตุ รูปธรรม รูปขันธ์นี่เอง ส่วนนามธาตุ นามธรรม นามขันธ์ นามโลกก็ว่าทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นแปรปรวนอีกดับอีก หาระหว่างมิได้ คืออยู่ใต้อำนาจไตรลักษณ์ดังกล่าวมาแล้วนั้นเอง
พระบรมศาสดาสอนให้รู้ตามเป็นจริง ให้ปฏิบัติตามเป็นจริง ให้หลุดพ้นตามเป็นจริงโดยไม่เหลือ พิจารณาตามเป็นจริงนั้นอย่างไร...
คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เขา สัตว์ บุคคลนั่นเอง
เรียกว่าสังขารสูญในเงื่อน 2 คือ
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และ กองทุกข์
อ้ายกิเลสตัวหลงๆ
จะบัญญัติว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็หาเป็นไปตามกิเลสไม่
จึงสอนให้รู้ตามเป็นจริงดังกล่าวแล้วนั้น
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
ตอบปัญหาธรรมะ
เมื่อเข้าใจในการทำงานของขันธ์ 5 แล้ว จะพบว่า แท้จริงแล้ว การดับทุกข์นั้น เราไม่ต้องต่อสู้กับความทุกข์ เพราะมันไม่มีอะไรให้ต่อสู้ ทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนเกิดขึ้นเมื่อขันธ์ 5 มาประชุมรวมกัน เกิดรับเวทนาขึ้นภายในจิตนั้น และเมื่อประชุมรวมพร้อมกันเสร็จแล้วก็ดับลงไป จิตที่รับรู้ทุกข์ครั้งแรกนั้นก็ได้รับรู้ และดับลงไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ คืออุปาทาน ในการยึดสภาวะนั้นต่อไป ทำให้สภาวะไม่เกิดดับตามธรรมชาติที่แท้จริง แต่เป็นการยึดอยู่ของสภาวะอุปาทาน
การดับทุกข์ จึงไม่ใช่การต่อสู้กับทุกข์ แต่เป็นการเรียนรู้ เพื่อให้จิตเข้าใจถึงสภาวะที่แท้จริงของการทำงาน และเห็นตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนไปยึดเอาอุปาทานมาถือครองไว้ในจิต
.
Trader Hunter พบธรรม
มนุษย์เรา ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ๕ อย่าง เรียกว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เราอาจย่นย่อลงอีกก็ได้ คือ รูปเรียกว่ารูป ส่วนอีก ๔ อย่างเรียกว่านาม
รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรือตอบกลับใดๆคืนมา มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะ ที่สามรถรับรู้ หรือ รู้สึกถึงสภาพนั้นๆได้ หากเปรียบในขันธ์ ๕ รูปนั้นก็คือ กายเรานี้ อันมีเกิดจากการประกอบรวมกันของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น ซึ่งธาตุ ไฟ มีลักษณะเฉพาะคือ ร้อน เย็น ดิน มีลักษณะเฉพาะคือ อ่อน แข็ง ลม มีลักษณะเฉพาะคือ เคลื่อนไหว ตรึงไหว น้ำ มีลักษณะเฉพาะคือ การรวมตัวผสมของธาตูทั้งหลายข้างต้น เช่น เวลาเรากระทบน้ำด้วยความเร็วและแรง น้ำจะแข็งมากใช่ไหมครับ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เป็นธาตุดิน เป็นต้น สี เสียง กลิ่น รส ก็เป็น รูป เพราะเป็นสิ่งที่ถูกรู้
นาม คือ สภาพที่รับรู้ สภาพที่รู้อารมณ์ นั่นคือ จิต เจตสิก (อารมณ์ในทางธรรม หมายความว่า สิ่งใดที่จิตรู้ สิ่งนั้นคืออารมณ์ เช้นคุณได้ยินเสียง คุณก็มีเสียงเป้นอารมณ์ คุณมองเห็น คุณก็มีรูปสีเป็นอารมณ์ คุณรู้กระทบทางกาย คุณก็มีโผฐฐัพะเป็นอารมณ์) นามในขันธ์๕ ก็คือ วิญญาณขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เวทนาขันธ์
ขันธ์ ๕ พึงหมั่นพิจารณาบ่อยๆครับ เพราะเป็นมหาสติปัฏฐานที่สำคัญ
มีพระสูตรหนึ่ง สูตรนี้ก็มีอยู่ในพระธรรมบทขุททกนิกาย หรือว่ามาจากพระไตรปิฎก เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่บวชใหม่ เข้าไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจจะไปเจริญพระกรรมฐานในป่า หวังให้บรรลุมรรคผล ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง" บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่ายังพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธจ้าจึงทรงมีพระบัญชาว่า อย่างนั้นก่อนที่เธอจะไปเธอจงไปลาพระสารีบุตรเสียก่อน พระเหล่านั้นก็รับคำแล้วก็ลาพระพุทธเจ้าออกไปจากพระมหาวิหารเข้าไปหาพระสารีบุตร
พอเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรให้โอวาทอื่นพอสมควร แล้วพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ถามพระสารีบุตรว่า พวกกระผมเป็นปุถุชน ถ้าจะปฏิบัติตนให้เป็นพระโสดาบันจะทำยังไงขอรับ พระสารีบุตรก็บอกว่า ...
ถ้าพวกเขาทั้งหลายปรารถนาเป็นพระโสดาบัน ก็จงพิจารณาขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
▪อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
▪เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา
▪ปลงให้ตกจนกว่าจะเลิกสังโยชน์ 3 ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส
▪เมื่อปลงขันธ์ 5 อย่างเดียวสังโยชน์ 3 มันจะขาดไปเอง เมื่อสังโยชน์ 3 ขาดลงไปแล้ว พวกเธอก็จะได้เป็นพระโสดาบัน
พระพวกนั้นก็เลยถามต่อไปว่า เมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามแบบนั้นแหละพิจารณาละเอียดลงไปก็จะเป็นพระสกิทาคามีเอง
พระพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อพวกกระผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าปลงขันธ์ 5 นั่นเองทำอย่างว่านั้นแหละ แล้วกามฉันทะกับปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งจิต การโกรธ ความพยาบาท มันก็จะสิ้นไปเอง ก็จะเป็นพระอนาคามี
ท่านพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว ผมจะเป็นอรหันต์จะต้องทำอย่างไร ท่านบอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามที่บอกมานั่นแหละก็เป็นพระอรหันต์ไปเอง สังโยชน์ 10 ก็จะขาดไป
พระพวกนั้นก็จะถามว่า เมื่อเป็นพระอรหันต์ละสังโยชน์ 10 ได้แล้วการพิจารณาขันธ์ 5 ไม่ต้องทำต่อไปใช่ไหมขอรับ
พระสารีบุตรตอบว่าไม่ใช่ พระอรหันต์นี่แหละทำหนัก ยิ่งพิจารณาหนักเพื่อความอยู่เป็นสุข ขันธ์ 5 ตัวเดียวเท่านั้นแหละเป็นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว ในขันธวรรคแห่งพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะส่วนหนึ่ง หรือธรรมะอย่างหนึ่ง กองหนึ่ง ที่สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด
............................
< การทำงานของจิต >
มาทบทวนการทำงานของจิตกันครับ
ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงสำรวจรูป(กาย) และนาม(จิต) พระองค์ได้พบว่า จิตประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ วิญญาณ สัญญา เวทนา และสังขาร
(ปกติคำว่า จิต, มโน, วิญญาณ คือคำที่ใช้แทนกันได้ แต่ในที่จะส#ขันธ์_๕
เมื่อได้อธิบายธาตุ ๔ มาพอสมควรแล้ว ต่อจากนี้ไปจะได้อธิบายขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นของเกี่ยวเนื่องกันมา ธาตุ ๔ เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ มิได้เกี่ยวเนื่องด้วยใจ คนเราถ้ามีธาตุ ๔ ล้วนๆ ไม่มีใจแล้ว ก็ไร้ค่าหาประโยชน์มิได้ หรือจะพูดให้สั้นๆ ที่เรียกว่าคนตายนั้นเอง ขันธ์คือกองแห่งธรรม ในตัวของคนเรานี้ ท่านจัดกองแห่งธรรมไว้ ๕ ดวง กองรูปได้แก่ธาตุ ๔ ดังอธิบายมาแล้ว เรียกว่ารูปขันธ์ อีก ๔ กองเรียกว่านามขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑
อายตนภายใน ๖ มีตาเป็นต้น ประสบกับอายตนะภายนอก ๖ มีรูปเป็นต้น แล้วเกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง หรือโสมนัส โทมนัส อุเบกขาเฉยๆ เรียกว่าเวทนาขันธ์ฯ
อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ ประสบกันเข้าแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาดังอธิบายมาแล้วข้างต้น แล้วจำได้หมายรู้ในอารมณ์นั้นๆ แม้จะนานแสนนานทั้งที่เป็นอดีตแลอนาคตหรือปัจจุบัน เรียกว่าสัญญาขันธ์ฯ
จิตชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากอายตนะทั้งสองนั้นประสบกันก็ดี หรือเกิดลอยๆ ขึ้นมาแล้วคิดนึกฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปต่างๆ นานา จนหาที่จบลงไม่ได้ เรียกว่าสังขารขันธ์ หมายถึงสังขารจิตโดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นการตรึกตรองในเรื่องนั้นๆจนเห็นถ่องแท้ชัดเจนหมดกังขาด้วยปัญญาอันชอบแล้วเรียกว่า "ธัมมวิจย" มิได้เรียกสังขารขันธ์ฯ
วิญญาณมีมากอย่าง วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทเป็นวิญญาณ นำเอาขันธ์ทั้ง ๕ มาปฏิสนธิ คือวิญญาณตัวนั้นต้องมีขันธ์ทั้ง ๕ พร้อมมูลมาในตัว จึงจะมาอุบัติในภูมิขันธ์ ๕ ได้ ถ้ามี ๔ ก็ไปอุบัติในภูมิขันธ์ ๔ คือมีแต่นามไม่มีรูป ความจริงรูปท่านก็เรียกรูปจิตเหมือนกัน แต่เป็นรูปละเอียดพ้นเสียจากรูปขันธ์ที่อธิบายมาแล้วข้างต้น ถ้ามีหนึ่งคือมีแต่เฉพาะวิญญาณตัวเดียว ก็ไปอุบัติใน "เอกโอปปาติก" ที่เรียกว่าพรหมลูกฟัก คือมีแต่รูปจิตอย่างเดียวนั้นเองฯ
วิญญาณทำหน้าที่ในอายตนะได้แก่ ความรู้สึกในชั้นแรกของอายตนะทั้งสองประสบกัน แต่ไม่ถึงกับจำอารมณ์หรือเสวยอารมณ์นั้นๆ การจำอารมณ์เป็นหน้าที่ของสัญญา การเสวยอารมณ์เป็นหน้าที่ของเวทนา วิญญาณชนิดนี้จะเรียกว่าวิญญาณธาตุก็ได้ฯ ส่วนวิญญาณในขันธ์ ๕ เป็นวิญญาณนามบัญญัติล้วนๆ ยังไม่ได้ทำหน้าที่ใดๆ เหมือนกับขันธ์อื่นๆ
ขันธ์ ๕ ก็เหมือนกันกับธาตุ คือไม่ใช่ตัวกิเลสแลไม่ได้ทำให้ใครเกิดกิเลส แต่ท่านจัดเป็นประเภทแห่งรูปธรรม-นามธรรม เป็นกองๆไว้เพื่อให้รู้ว่านั่นรูปนั่นนามเท่านั้น กิเลสเกิดขึ้นเพราะผู้มาหลงสมมติแล้วเข้าไปยึดเอาขันธ์ว่าเป็นตัวของตนหรือตนเป็นขันธ์บ้างต่างหาก เมื่อจะพูดให้เข้าใจง่ายแล้ว ความที่เข้าใจผิดหลงไปยึดเดาขันธ์ ๕ ว่าเป็นของตนของตัว หรือเห็นว่าตัวของตนเป็นขันธ์ ๕ บ้าง มิฉะนั้น ก็เห็นว่าขันธ์ ๕ นอกออกไปจากคนหรือคนนอกไปจากขันธ์ ๕ บ้าง ความเห็นอย่างนั้นแล จึงทำให้เข้าไปยึดถือจนเกิดกิเลสขึ้นเป็นทุกข์ ในเมื่อขันธ์เหล่านั้นเป็นไปตามปรารถนาแล้วก็ชอบใจเพลิดเพลินหลงระเริงลืมตัวมัวเมาประมาทจนเป็นเหตุให้ประกอบบาปกรรมความชั่วด้วยประการต่างๆ หากขันธ์เหล่านั้นไม่เป็นไปตามปรารถนาก็ไม่ชอบใจ เป็นทุกข์โทมนัสด้วยประการต่างๆ ไม่เห็นตามสภาพความเป็นจริงของขันธ์นั้นๆ ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันอยู่อย่างนั้น ธรรมที่พระอัสสชิแสดงแก่พระสารีบุตรเมื่อท่านยังเป็นนักบวชนอกพระศาสนาครั้งพบกันที่แรกว่า ธรรมของพระสมณะโคดมทรงแสดงว่า "ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับไป" ดังนี้ รูปขันธ์เกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นแจ้งชัดด้วยตนเองแล้วว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นเหตุแห่งรูป วิชชาเกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว อวิชชาก็ดับไป ธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ที่มีอยู่แล้วก็กลายเป็นวิบากไป ที่จะเกิดใหม่อีกก็ไม่มี กิเลสแลทุกข์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเพราะความหลงในขันธ์แล้วเข้าไปยึดเอาขันธ์อัตตา ดังแสดงมาแล้ว ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า
ภารหเว ปญฺจักขนฺธา
ขันธ์ ๕ เป็นภาระจริง
ภาราหาโร จ ปุคคโล
แต่บุคคลก็ยังถือภาระไว้
ภาราทานํ ทุกขํ โลเก
การเข้าไปยึดถือเอาภาระไว้ เป็นทุกข์ในโลก
ภารนิกเขปนํ สุขํ
การปล่อยวางภาระเสีย เป็นความสุข
นิกขิปิตวา ครุ ภารํ
บุคคลปล่อยวางภาระเสียได้แล้ว
อญฺญํ ภารํ อนาทิย
ไม่เข้าไปถือเอาสิ่งอื่นเป็นภาระอีก
สมูลํ ตณหํ อพฺพุยห
เป็นผู้รื้อถอนตัณหากับทั้งรากได้แล้ว
นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ติฯ
เป็นผู้หมดความอยากแล้วปรินิพพาน ดังนี้ฯ
ในพุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ เมื่อผู้ใดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความสุขแล้วหลงเข้าไปยึดไว้ ผู้นั้นจะได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างยิ่ง เปรียบเหมือนผู้เห็นเปลวความร้อนของก้อนเหล็กแดงว่าเป็นของสวยงาม หลงชอบใจเข้าไปกอดเอาด้วยความรัก ความร้อนของก้อนเหล็กแดงนั้นจะมิได้ผ่อนความร้อนแล้วยอมรับด้วยความปราณีเลย ความร้อนของมันมีอยู่เท่าไรมันก็จะแผดเผาเอาผู้นั้นให้ไหม้เป็นเถ้าผงไปตามเคยฉะนั้น สมกับพุทธพจน์ว่า "สังขารา ปรมา ทุกขา - สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง"
หากจะมีคำถามว่า เป็นทุกข์เพราะอะไร?
ก็ต้องตอบว่า เป็นทุกข์เพราะความหิว ความไม่รู้จักพอ
ความหิว ความไม่รู้จักพอไม่ว่าจะเป็นส่วนร่างกายหรือจิตใจ เป็นทุกข์ทั้งนั้น
เมื่อ ความอิ่ม ความพอของจิตใจ เกิดขึ้นมาแล้ว ความสงบสุขของใจก็จะเกิดขึ้นมาทันที
แล้วจะมองเห็นความเกิดดับของขันธ์ตามความเป็นจริง ดังอุปมา
#รูปขันธ์ "เปรียบเหมือนฟองน้ำอันเกิดจากคลื่นหรือระลอก เป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาชั่วครู่หนึ่งประเดี๋ยวแล้วก็ดับแตกไปเป็นน้ำตามเดิม" รูปกายนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แปรสภาพเป็นรูปมนุษย์ชายหญิงหรือเป็นสัตว์ต่างๆ นานา มาจากธาตุ ๔ อยู่ได้ชั่วระยะหนึ่งซึ่งคนเราเข้าใจว่านาน แต่สัตว์บางจำพวกซึ่งมีอายุนานกว่า เขาจะเห็นว่าชั่วครู่เดียวแล้วก็แตกดับสลายไปเป็นธาตุ ๔ ตามเดิมฯ
#เวทนา "เปรียบเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ลูกคลื่นเหมือนกับเป็นตัวตนกลิ้งมากระทบกับฝั่งดังซู่ซ่าแล้วสลายหายตัวไปเป็นน้ำตามเดิม" เวทนาก็เกิดจากสัมผัส แล้วมีความรู้สึกเปรียบเหมือนเสียงคลื่นเป็นสุขบ้างทุกข์บ้างหรือเฉยๆ แล้วก็หายไป เดี๋ยวสัมผัสอื่นมากระทบอีก ดังนี้อยู่ตลอดกาลฯ
#สัญญา "เปรียบเหมือนพยับแดด ธรรมดาพยับแดดอันเกิดจากไอระเหยของความร้อน เมื่อบุคคลเพ่งมองดูอยู่แต่ที่ไกลจะแลเห็นเป็นตัวระยิบระยับเป็น กลุ่มเป็นหมู่ๆ เมื่อเข้าไปถึงใกล้แล้ว สิ่งที่เห็นอยู่นั้นก็จะหายไป" ฉันใด สัญญาความจำที่เกิดจากสัมผัสในอายตนะทั้ง ๖ ก็ผลุบๆ โผล่ๆ เกิดทางตาบ้าง ทางหูบ้าง โน่นบ้าง นี่บ้างอยู่ตลอดกาล ไม่เป็นของตัวเองเลยก็ฉันนั้นฯ
#สังขาร "เปรียบเหมือนต้นกล้วย ธรรมชาติของต้นกล้วยย่อมไม่มีแก่นเป็นธรรมดา" สังขารรูปกายของคนเรานี้ก็หาสาระมิได้ เริ่มเกิดขึ้นมาก็มีสภาวะแปรสภาพไปพร้อมๆ กันเลย จะอยู่ได้นานแสนนาน สภาพความแปรปรวนของสังขารก็เปลี่ยนแปลงไปตามทุกขณะอยู่อย่างนั้น แล้วก็มีความแตกดับเป็นที่สุด แม้แต่สังขารจิตคิดนึกปรุงแต่งเอาจริงเอาจังกันประเดี๋ยวๆ ก็หายวูบไป ฉะนั้นเหมือนกันฯ
#วิญญาณ "เปรียบเหมือนมายา ธรรมดาเรื่องของมายาแล้ว มีแต่จะหลอกลวงผู้อื่นให้เข้าใจผิดคิดตามไม่ทันในเรื่องของตัวเท่านั้น" วิญญาณก็มีลักษณะหลอกลวงให้ผู้อื่นตามไม่ทัน พอตาเห็นรูปเกิดความรู้สึกขึ้น เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกนั้นยังไม่ทันอะไร เดี๋ยวไปเกิดความรู้สึกขึ้นทางหู เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกทางหูนั้น ยังไม่ทันอะไร เดี๋ยวไปเกิดความรู้สึกขึ้นทางอื่นต่อๆไปอีกแล้ว มีแต่จะหลอกลวงให้คนอื่นตามไม่ทันฉันนั้นเหมือนกันฯ
ผู้มาพิจารณาเห็นขันธ์มีอุปมาดังแสดงมาแล้วนี้ชัดแจ้งด้วยปัญญาอันชอบด้วยตนเองแล้ว จะไม่หลงเข้าไปยึดเอาขันธ์มาเป็นอัตตาหรืออนัตตา แต่จะหยิบยกเอาขันธ์เป็นเป้าหมายแห่งญาณทัสสนะของปัญญาวิปัสสนา การใช้ปัญญาแยบคายไม่เข้าไปยึดเอาของมีอยู่แลเนื่องด้วยอัตตา จัดเป็นปัญญาในอริยมรรค เพราะของที่ไม่มีและไม่เนื่องด้วยอัตตาสามัญญนาม ใครๆก็ละได้ หรือจะเรียกว่าผู้ไปยึดของไม่มี เป็นผู้ไร้ปัญญาก็ได้
คำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอนยุทธวิธีเพื่อผจญกับกิเลสข้าศึกความชั่ว ซึ่งมันฝังอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลมานานแล้ว ฉะนั้น ขันธ์ ๕ คือตัวของคนเราแต่ละคน จึงเท่ากับสนามยุทธ แต่ยุทธวิธีของพระองค์ การแพ้คือการเข้าไปยึดถือ การชนะคือการปล่อยวางให้มันเป็นไปตามสภาพเดิมของมัน ไม่เหมือนการแพ้แลการชนะของผู้ยังมีกิเลสอยู่ ความเป็นจริงการชนะของทุกๆ อย่างไม่ว่าชนะภายนอกและภายใน ในโลกนี้หรือในโลกไหนๆก็ตาม ถ้าจะว่าการชนะที่บริสุทธิ์แลแท้จริงแล้วก็คือคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีอิสระเต็มที่ หากจะยังมีการคิดเพื่อจะต่อสู้กันอีกหรือเข้าไปยึดอำนาจควบคุมยึดถือกันอยู่แล้ว ชนะนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการชนะที่บริสุทธิ์แลเป็นธรรมเลย วันหนึ่งข้างหน้าจะต้องมีการแพ้อีกเป็นแน่ หรืออย่างนั้นก็ก่อเวรก่อกรรมซึ่งกันและกัน
พระพุทธองค์ทรงเห็นทุกข์คือตัวข้าศึกมีชาติเป็นต้น ก็เห็นอยู่ในขันธ์นี้เอง แล้วทรงใช้ยุทธวิธีด้วยปัญญาอันชอบจนเอาชนะข้าศึกก็ในขันธ์อันนี้ แต่แล้วข้าศึกก็มิได้ล้มตายฉิบหายไปไหน ข้าศึกคือขันธ์ก็ยังเป็นขันธ์ปกติอยู่เช่นเดิม ปัญญาวุธที่พระองค์นำมาใช้เป็นของกายสิทธิ์ ประหารข้าศึกจนพ่ายแพ้ไปได้ แต่หาได้ทำให้ข้าศึกเจ็บปวดแม้แต่แผลเท่าเมล็ดงาก็หาได้ปรากฏไม่ เรื่องนี้มีอุทาหรณ์รับสมอ้างดังปรากฏในพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตรอยู่แล้ว หากจะมีปัญหาถามว่า ข้าศึกที่แพ้แก่พระองค์แล้วจะไปตั้งทัพอยู่ ณ ที่ไหน ตอบว่าเมื่อแพ้แก่พระองค์แล้วก็ต้องเป็นบ่าวรับใช้ของพระองค์ต่อไป ผู้ที่เอาชนะมันไม่ได้เท่านั้นจึงยอมเป็นทาสของมันต่อไป ฉะนั้น ขันธ์ที่ยังไม่มีใครเอาชนะได้จึงยังมีอิสระครอบโลกทั้งสามอยู่
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
มมุติให้คำว่า "จิต" นี้คือ นามขันธ์)
》ส่วนที่ ๑ เรียกว่า "วิญญาณ" คือ การรับรู้ของจิต โดยไม่แยกแยะหรือประเมิน ส่วนนี้ของจิตมีหน้าที่เพียงรับรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ แต่จะไม่จำแนกหรือตัดสิน
》ส่วนที่ ๒ เรียกว่า "สัญญา" คือ การจำได้หมายรู้ จิตส่วนนี้แยกแยะสิ่งที่วิญญาณรับรู้ โดยจัดประเภทและประเมินด้วยว่าเป็นบวกหรือลบ ดีหรือไม่ดี ทันทีที่จิตส่วนนี้จำได้และประเมินค่า ส่วนที่ ๓ ของจิตจะทำงาน
》ส่วนที่ ๓ เรียกว่า "เวทนา" คือ การรับรู้ความรู้สึก ที่ร่างกาย โดยแท้จริงนั้นทันทีที่วิญญาณรับรู้ ก็จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นที่ร่างกาย เป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นแล้ว แต่เมื่อไรที่ยังไม่ถูกประเมิน ความรู้สึกนั้นจะยังเป็นกลางอยู่ จนเมื่อได้รับการประเมินค่า เช่น ถ้าประเมินว่าดีก็รู้สึกพอใจ ถ้าไม่ดีก็ไม่พอใจ
》ส่วนที่ ๔ เรียกว่า "สังขาร" คือ การปรุงแต่ง ตอบโต้ต่อความรู้สึก ถ้าความรู้สึกเป็นที่น่าพอใจ จิตส่วนนี้จะปรุงแต่งว่าชอบ อยากให้ความรู้สึกนั้นยาวนานขึ้น พอใจมากขึ้น แต่หากเป็นความรู้สึกไม่น่าพอใจก็จะปรุงแต่งว่าไม่ชอบ อยากขจัดมันออกไป จิตคอยปรุงแต่งว่าชอบหรือชังอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น ในยามปกติเมื่อหูได้ยินเสียง ขณะนั้นวิญญาณกำลังทำงานว่าได้ ยินเสียงและเมื่อเราจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นคำพูด ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม นั่นคือการทำงานของสัญญา จากนั้นเป็นหน้าที่ของ เวทนาหรือการรับรู้ความรู้สึกที่ร่างกาย ถ้าเป็นคำชมก็จะรู้สึกสบาย ถ้าเป็นคำด่าทอ ก็จะไม่รู้สึกสบาย ไม่พึงพอใจ ทันทีที่เวทนาเกิดขึ้น จิตจะเริ่มปรุงแต่งสังขาร ถ้าเป็นความรู้สึกสบาย จิตจะปรุงแต่งว่าชอบและอยากได้ยินคำชมเชยอีก แต่ถ้าเป็นความรู้สึกไม่สบาย ไม่น่าพอใจ ก็จะปรุงแต่งว่าไม่ชอบ และอยากให้หยุดคำด่าทอเสีย
การทำงานของจิตทางทวารรับรู้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็เป็นลำดับเดียวกันเช่นนี้ คือ
》วิญญาณรับรู้ -> สัญญาจำได้หมายรู้และประเมินค่า -> เวทนารับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ->สังขารปรุงแต่งตอบโต้ (เกิดตัณหา)
จิตทั้ง ๔ ส่วนนี้ ทำหน้าที่รวดเร็วยิ่งกว่า การเกิดดับของอนุภาคที่ประกอบกันขึ้นเป็นสสารเสียอีก ทุกครั้งที่ประสาทสัมผัสรับรู้ ถึงสิ่งที่มากระทบ กระบวนการทั้ง ๔ ของจิตก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และจะทำงานซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างรวดเร็ว นี่คือปรมัตถสัจจะหรือความจริงอันสูงสุดเกี่ยวกับรูปและนาม(กายและจิต) ของทุกคน
ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องจากประสบการณ์ของตนเอง เพื่อจะได้พบหนทางสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
โดยเราจะต้องฝึกให้มีสติที่เข้มแข็ง (สัมมาสติ) และจิตตั้งมั่น (สัมมาสมาธิ) รู้เท่าทันจิต(เวทนา) และละสังขาร คือไม่ปรุงแต่ง (ให้เกิดตัณหา) สักแต่รู้ ๆ เท่านั้น แล้วเราก็จะมีทุกข์น้อยลงๆ
"จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้"
การทำงานของจิตทั้ง ๔ นี้ ทำงานอยู่ตลอดเวลา เราต้องทำความเข้าใจและรู้เท่าทัน ก็จะมีความทุกข์น้อยและนำพาเราสู่หนทางพ้นทุกข์
จาก...หนังสือ "ศิลปะในการดำเนินชีวิต" วิปัสสนากรรมฐาน สอนโดยท่าน
San Nirvana
คนเราติดอะไร(เบญจขันธ์)
อะไรเป็นที่ตั้งที่ยึด ที่เกาะเกี่ยวของอุปาทาน? ที่ตั้งของอุปาทานก็คือโลกนี้เอง คำว่า “โลก” ในทางพระพุทธศาสนา มีความหมายกว้างกว่าความหมายตามธรรมดา คือหมายถึงสิ่งทั้งปวทั้งสิ้นกันทีเดียว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับมนุษย์ เทวดา พรหม สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ปีศาจ เปรต อสูรกาย อะไรก็สุดแท้ที่จะมี รวมแล้วก็เรียกว่าโลก.
การรู้จักโลก มีความหมายอยู่ตรงที่ว่ามันมีความลึกลับเป็นชั้น ๆ. เรารู้จักกันแต่ชั้นนอก ๆ ที่เรียกว่า “ชั้นสมมุติ” นี้หมายถึงตามสติปัญญาของคนทั่ว ๆไป. พระพุทธศาสนาจึงมีการสอนให้ดูกันหลาย ๆ ชั้น. ท่านมีวิธีแนะให้ดูการจำแนกโลกออกเป็นฝ่ายวัตถุ ซึ่งเรียกกันว่า รูปธรรมอย่างหนึ่ง; ฝ่ายจิตใจเรียกว่านามธรรม อีกฝ่ายหนึ่ง. ยิ่งกว่านั้นท่านได้แบ่งส่วนที่เป็นนามธรรมหรือจิตใจนี้ออกเป็น ๔ ส่วน เมื่อเอารูปธรรม ๑ ส่วนมารวมกันเข้ากับนามธรรมได้เป็น ๕ ส่วน ท่านเลยเรียกว่า เบญจขันธ์หรือขันธ์ห้า แปลว่าส่วน ๕ ส่วนประกอบกันขึ้นเป็นโลก คือเป็นสัตว์เป็นคนนี่เอง.
การดูโลก ก็หมายถึงการดูสัตว์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคน เพราะปัญหาอยู่ที่เรื่องของคน. ร่างกายเป็นวัตถุที่เรียกว่ารูปหรือ รูปขันธ์ (ส่วนที่เป็นรูป); ส่วนที่เป็นจิตใจอีก ๔ ส่วนนั้น จำแนกไปได้คือ
ส่วนที่ ๑ เรียกว่า “เวทนา” หมายถึงความรู้สึก ๓ ประการคือสุขหรือพอใจอย่างหนึ่ง ทุกข์หรือไม่พอใจอย่างหนึ่ง อีกแบบหนึ่งอยู่ในลักษณะที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่าสุขหรือทุกข์ คือเป็นเรื่องที่ยังเฉย ๆ อยู่ แต่ก็เป็นความรู้สึกเหมือนกัน. ความรู้สึกนี้มีประจำอยู่ในคนเราเป็นปกติ วันหนึ่ง ๆ ย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึก; ท่านจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ประกอบกันเป็นคน และเรียกส่วนนี้ว่าเวทนา หรือเวทนาขันธ์.
ส่วนที่ ๒ เรียกว่า “สัญญา” แปลว่ารู้ตัว เป็นความรู้สึกตัวอยู่เหมือนอย่างว่าเรากำลังตื่นอยู่ คือไม่หลับ ไม่สลบ ไม่ตายหรือเรียกว่ามีสติสมปฤดี. โดยทั่ว ๆ ไป มักจะอธิบายกันว่าเป็นความจำได้หมายรู้ ก็ถูกเหมือนกัน เพราะว่ายังไม่เมา ไม่สลบไม่หลับ ไม่ตาย ดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อกระทบอะไร ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็รู้สึกหรือจำได้ว่าเป็นอะไร เช่นรู้ว่า เขียว แดง สั้น ยาว คน สัตว์ ฯลฯ ตามแต่จะจำได้. นั่นแหละ เป็นความรู้สึกของสมปฤดี หรือ “สัญญา” ในที่นี้.
ส่วนที่ ๓ เรียกว่า “สังขาร” มีความหมายมาก จนมันปนกันยุ่งไปหมด, เราพูดถึงสังขารที่เป็นส่วนของนามธรรมนี้กันก่อนแปลว่า “ปรุง” คือกิริยาอาการของสิ่งที่เป็นอยู่ในคนหนึ่ง ๆได้แก่ การคิดหรือความคิดเช่นคิดจะทำ คิดจะพูด คิดอย่างนั้นอย่างนี้ คิดดีคิดเลวคิดในทางไหนก็จัดเป็นความคิดทั้งนั้นความรู้สึกที่เป็นความคิดพลุ่งขึ้นมาจากการปรุงแต่งภายในใจนี้เรียกว่าสังขาร. คำว่า สังขาร ในที่อื่นนั้น หมายถึงบุญกุศลที่ปรุงแต่งคนให้เกิดขึ้นก็มีหมายถึงร่างกายหรือโครงร่างที่มีจิตใจครองดังนี้ก็มี มีความหมายหลายทาง แต่ตรงกันโดยเหตุที่มันมีความหมายไปในทางมีการปรุงแต่งประกอบกันขึ้นมา
ส่วนที่ ๔ เเรียว่า “วิญญาณ” หมายถึงจิตที่ทำหน้าที่รู้สึก ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น และที่กายทั่ว ๆ ไปตลอดถึงที่ใจของตนเองด้วย (ไม่ใช่เจตภูตอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจกัน).
ขันธ์ห้านี่แหละเป็นที่เกาะยึดของอุปาทานทั้ง ๔ ที่ได้อธิบายแล้ว ขอให้ย้อนไปอ่านแล้วนำมาพิจารณาให้เข้าใจกันให้ดี ให้รู้ว่าความยึดนั้นมันเกาะจับอยู่กับส่วน ๕
ส่วนนี้อาจยึดเอาแต่ละส่วนว่าเป็นตัวตนก็ได้แล้วแต่ความโง่ของคน เหมือนอย่างเด็กเล็ก ๆ ที่เดินเซไปโดนประตู เจ็บ ต้องตีประตูเสียทีหนึ่งจึงจะหายโกรธและหายเจ็บ อย่างนี้หมายความว่ายึดเอารูปล้วน ๆคือประตูซึ่งเป็นไม่แท้ ๆ ว่าเป็นตัวตน นั้นเป็นอุปาทานในขั้นต่ำที่สุด
สำหรับคนโต ๆ ก็โกรธร่างกายถึงกับทุบตีร่างกายหรือโขกศีรษะตัวเอง ก็ยึดถืออย่างเดียวกันกับเด็ก คือไปยึดถือเอาร่างกายเป็นตัวตน.
ถ้าหากว่าฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็จะถือเอาเวทนาหรือสัญญาหรือสังขารหรือวิญญาณส่วนใดส่วนหนึ่งว่าเป็นตัวตน
ถ้าหากไม่อาจจะ แยกออกได้ก็ยึดทั้งกลุ่มว่าเป็นตัวตน คือเอาทั้ง ๕ ส่วนรวมกลุ่มกันเป็นตัวตนอย่างนี้ก็ได้.
ถัดมาจากรูปก็คือ เวทนา กล่าวคือความรู้สึกว่าสุข ทกข์หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ มีทางที่จะยึดเป็นตัวตนได้มากที่สุด เราจะมองดูตัวอย่างในเรื่องเราหลงใหล ในกามสุขโดยเฉพาะก็คือความเอร็ดอร่อย ความถูกอกถูกใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่. ตัวเวทนาในที่นี้ก็คือความรู้สึกเอร็ดอร่อยซึ่งเป็นความสุขแล้วก็ไปติตความสุขนั้นหรือความอร่อยนั่นเอง คนยึดถือเวทนาเป็นตัวเป็นตนกันอยู่มาก หรือว่าแทบทั้งหมคเพราะว่าไม่มีใครที่จะไม่ชอบความเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็การสัมผัสทางผิวหนัง. ความไม่รู้หรือความหลงผิดทำให้มองไมเห็นสิ่งอื่นใด มองเห็นแต่ความเอร็ดอร่อย แล้วยึดถือเป็นตัวเป็นตน และจะยึดเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตน.
ความรู้สึกทางพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ย่อมจะเรียกได้ว่าเป็นที่ตั้งของความทุกข์ได้ทั้งนั้น. ความรู้สึกชอบกับชังนี้ ตามความหมายทางธรรมะแล้วย่อมถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน เพราะมันทำให้เกิดความทรมานใจเท่ากัน : ความชอบทำให้ใจฟูความไม่ชอบทำให้ใจแฟบ การดีใจและเสียใจ ก็เป็นการทำให้จิตเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน ทำให้เกิดหวั่นไหวทางจิตได้เท่ากันทั้งหมดนั้นเรียกว่ายึดเวทนาเป็นตัวตน.
ขอให้ทุกคนพิจารณาความยึดถือเวทนาว่าเป็นตัวตนของตนในตนเอง ให้เข้าใจอย่างถูกต้องจริง ๆ จะเป็นหนทางทำให้เป็นอิสระจากเวทนา. เวทนาเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือจิตใจ แล้วดึงเราไปสู่สภาพที่จะต้องเสียใจในภายหลัง. ในทางปฏิบัติเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนให้พิจารณาเรื่องเวทนาโดยเฉพาะก็มีมาก. มีผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะกำหนดเวลา เป็นวัตถุสำหรับการพิจารณาเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ อย่างนี้ก็มี มาก
เวทนานี้เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือได้ง่ายกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมดเพราะมันเป็นที่มุ่งหมายสูงสุดของสิ่งที่เราพากเพียรทำกัน “ เราอุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียนอุตส่าห์ประกอบการงานอาชีพต่าง ๆก็เพื่อให้ได้เงินแล้วก็ไปซื่อหาสิ่งต่าง ๆ เช่น ของใช้ ของกิน เครื่องบำรงบำเรอ ตลอดจนถึงรสพิเศษจากเพศตรงกันข้ามแล้วก็บริโภคของเหล่านั้นเพื่อหวังอย่างเดียวคือสุขเวทนา กล่าวคือความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น และทางกาย
เราลงทุนด้วยกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจทั้งหมดก็เพื่อหวังสุขเวทนาอันเดียวนี้เท่านั้น ก็รู้อยู่แก่ใจกันดีทุกคน ถ้าไม่เพราะอำนาจของสุขเวทนานี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็คงจะไมลงทุนเรียน ลงทุนทำการงาน ลงเรี่ยวลงแรงหาเงิน ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเรื่องสุขเวทนานี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว ถ้ามี ความรู้ความเข้าใจ ก็จะสามารถควบคุมมันได้ จนทำให้เรามีจิตใจสูงอยู่เหนือความรู้สึกชนิดนั้น จะทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าที่เราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา. แม้ความยุ่งยากต่าง ๆ ในสังคม ก็มีมูลมาจากสุขเวทนานี้เหมือนกันการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศ.หรือระหว่างครึ่งโลกกับครึ่งโลกที่จะต้องรบกัน เมื่อไล่เบี้ยไปถึงที่สุด แล้วจะไปพบความจริงที่ว่า ทุกฝ่ายตกเป็นทาสของสุขเวทนาดังที่กล่าวมาแล้ว การทำสงครามกันนั้น ไม่ใช่เพราะมีมูลมาจากความยึดถือเกี่ยวกับลัทธิ หรือเกี่ยวกับอุดมคติอะไรก็หามิได้ ที่ แท้แล้วมันก็เนื่องมาจากประโยชน์สุข ต่างฝ่ายจะมุ่งแต่ให้ได้ประโยชน์มาก จะกอบโกยเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ลัทธินั้นเป็นเครื่องบังหน้าหรือเหตุประกอบรอง ๆ ลงไปเท่านั้นเอง ส่วนลึกที่สุดอยู่ที่การตกเป็นทาสของสุขเวทนา ฉะนั้น การรู้จักเวทนาก็หมายถึงการรู้จักมูลเหตุอันสำคัญ ที่ทำให้เราตกเป็นทาสของกิเลสหรือความชั่วจนได้รับความทุกข์ในทุกระดับ.
เมื่อมนุษย์เป็นอย่างไร เทวดาก็เป็นอย่างนั้น คือตกอยู่ภายใต้อำนาจสุขเวทนาอย่างเดียวกับมนุษย์และยิ่งกว่ามนุษย์เพียงแต่เขาสมมุติให้เป็นเรื่องที่ดีกว่าประณีตกว่าได้อย่างอกอย่างใจกว่าเท่านั้น แต่ก็ยังไม่พ้นไปจากเรื่องตัณหาอุปาทานหลงติดอยู่ในรสอร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ นั้นเอง
ถ้าสูงขึ้นไปถึงขั้นพรหม ก็ต้องยกความอร่อยในทางกามารมณ์ออกเสียแต่ไม่พ้นจากความอร่อยทางจิตอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าฌานหรืออยู่ในสมาธิ เกิดความสุขใจเป็นรสอร่อยขึ้นมา ก็ตกใจในรสอร่อยนั้นเหมือนกัน. แม้ไม่เกี่ยวกับกามารมณก็เป็นสุขเวทนานั่นเอง.
ยิ่งสัตว์ที่ต่ำลงไปกว่ามนุษย์ด้วยแล้ว มันย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจของสุขเวทนาอย่างไม่เป็นระเบียบ ยิ่งกว่ามนษย์เรามากมายนัก ฉะนั้น การรู้เรื่องของเวทนาว่าเป็นอย่างไร โดย-เฉพาะรู้เรื่องเวทนาว่า ไม่สู้เป็นตัวเราของเราเลย ไม่ควรจะยึดถือ จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ชีวิตของคนเราจริง ๆ.
ถัดไปก็คือเรื่อง สัญญา หรือที่เรียกว่า สมปฤดี นั่นเองนี้มีทางที่จะยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตนของเราได้ง่ายเหมือนกันอย่างที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปมักชอบพูดกันว่า ถ้านอนหลับจะมีอะไรบางอย่างออกไปจากตัวเราที่เรียกว่า เจตภูต หรือจะเรียกว่าอะไรสุดแท้ ในขณะนั้นเราก็เหมือนท่อนไม้ ไม่มีความรู้สึกทางตาหูจมูกลิ้น และกายเพื่อสิ่งนั้นกลับสู่ร่างกายอีก จึงจะรู้สึกสมปฤดีตามเดิม มีสติสตังขึ้นมาตามเดิม คนเขาหลงเชื่อกันอย่างนั้นมาก เลยยิ่งมีทางที่จะยึดเอาสัญญาหรือสมปฤดีนี้ว่าเป็นตัวตนมากขึ้น.
แต่ถ้าว่ากันตามทางพุทธศาสนาแล้ว สัญญาไม่ใช่เป็นตัวตน สัญญาเป็นเพียงความรู้สึกจำได้หมายรู้ที่ยังคงดีอยู่. พอเกิดการไม่เป็นระเบียบในการปรุงแต่งเท่านั้น สิ่งที่เราเรียกว่า สัญญาหรือ สมปฤดี ก็จะกลับเป็นใช้ไม่ได้ไปทันที. พุทธศาสนาไม่ยอมรับว่าสัญญาเป็นตัวตนก็เพราะเหตุนี้ ; แต่คนทั่วไปก็ชอบเดา หรือสันนิษฐานไปในทางที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนการศึกษาพุทธศาสนากลับได้ความรู้ที่ตรงกันข้าม ว่านั่นไม่ใช่ตัวตนของใคร. นั่นเป็นเพียงผลของการปรุงแต่งตามธรรมชาติในคน ๆ หนึ่ง เท่านั้นเอง
ขันธ์ถัดไปคือ สังขาร ได้แก่ความ นึกคิด ความรู้สึกจะทำนั่นทำนี่ จะได้นั่นได้นี่ เป็นความคิดดีก็ตาม ชั่วก็ตาม แสดงความเป็นตัวเป็นตนหนักขึ้นไปอีก ใคร ๆ ก็จะรูสึกว่า ถ้าจะเป็นตัวตนกันบ้างละก็ ตัวผู้นึกคิดนี่ แหละ น่าจะเป็นตัวตนมากกว่าอย่างอื่น. อย่างนักปรัชญาคนหนึ่งของยุคปัจจุบัน เขามีปรัชญาของเขาง่าย ๆ ว่า “ข้าพเจ้าคิดได้ ข้าพ-เจ้าจึงมีอยู่”
แม้นักปรัชญาในสมัยวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ก็ยังยืดถือตัวตนอย่างเดียวกับ ในสมัยเมื่อสองสามพันปีมาแล้ว โดยถือเอาตัวความคิดนั้นว่าเป็นตัวตน.
พุทธศาสนาได้ปฏิเสธเวทนา และสัญญา ว่าไม่ใช่ตัวตนมาแล้ว ยังปฏิเสธความคิด หรือตัวจิตที่คิด ว่าไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน. เพราะอาการที่คิดขึ้นมาได้นั้น มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นผลของการปรุงของสิ่งหลาย ๆ สิ่งสาเร็จรูปเป็นความคิดขึ้นมาได้ อยู่ในกลุ่มของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นคน โดยไม่ต้องมีตัว “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวตนอย่างว่าสังขารหรือความคิดนี้ จึงถูกยืนยันว่าเป็นอนัตตา กล่าวคือไม่มีต้นไม้มีตนอย่างเดียวกันกับขันธ์อื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว.
คำในพระพุทธศาสนาก็ระบุชัดอยู่แล้วว่า “สังขาร” ซึ่งแปลว่าของปรุงแต่ง คือของหลาย ๆ อย่างมาปรุงกันเข้าจึงยิ่งไม่ใช่ตัวตน. ความลำบากเข้าใจยากอยู่ตรงที่ว่า พวกเราไมมีความเข้าใจในเรื่องของนามธรรม หรือจิตใจอย่างเพียงพอ เรารู้จักกันแต่เรื่องรูปธาตุที่เป็นวัตถุแต่ธาตุอีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นนามธรรมไม่ใช่วัตถุเราแทบจะไม่เข้าใจกันเสียเลย เราจึงเข้าใจยากในเรื่องของการปรุงทางนามธาตุ.
ในที่นี้บอกได้แต่เพียงตามหลักพุทธศาสนาว่า เป็นการปรุงของธาตุหลาย ๆ ธาตุ รวมทั้งวัตถุธาตุ และนามธาตุ สิ่งทีเรียกว่าความคิด หรือ “ สังขาร” จึงเกิดขึ้นโนใจของตัวเราเองและทำให้เข้าใจไปว่า มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้คิดเพื่อไปในทำนองว่าเป็นเจตภูต เป็นวิญญาณ เป็นตัวเจ้าของร่างหรืออะไรทำนองนี้พุทธศาสนาปฏิเสธสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเมื่อได้แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็พิสูจน์แต่ละส่วน ๆ ว่าไม่มีส่วนไหนเป็นตัวเป็นตน ตลอดถึงส่วนที่เป็นความคิด ก็ไม่ใช่ตัวตนอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันเลย.
ถัดไปเป็นส่วนสุดท้ายเรียกว่า “วิญญาณ” ทำหน้าที่รู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเราเหมือนกัน เพราะเหตุว่าอวัยวะนั้น ๆ ล้วนมีความสามารถรับรู้รูป เสียง กลิ่น รู้สึกสัมผัส อยู่ตลอดเวลา. เมื่อตากับรูปถึงกันเข้า วิญญาณก็เกิดขึ้น เป็น ๓ ฝ่ายด้วยกัน. เช่นตาก็มีความรู้แจ้งเกิดขึ้นว่ารูปนั้นมีสัณฐานอย่างไร เป็นรูปคนหรือสัตว์ สั้นหรือยาว ขาวหรือดำ อย่างนี้เป็นต้น.
ความรู้แจ้งที่เกิดขึ้นทำนองนี้เหมือนกับกลไกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติ อย่างอัตโนมัติแต่มีคนบางพวกถือกันว่านั่นแหละเป็นเจตภูต หรือเป็นตัววิญญาณที่ แล่นเข้าแล่นออกจากใจมารับความสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย อย่างนี้ก็มี แล้วยึดถือเอาเป็นตัวตน. ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ถ้ารูปและตาพร้อมทั้งประสาทตา ได้มีการกระทบกันก็จะมีการเห็นเกิดขึ้นสำเร็จเป็นการรู้แจ้งทางตาเรียก จักษุวิญญาณ ตามชื่อของประสาทอันเป็นที่ตั้งแห่งการสัมผัส โดยไม่ต้องมีตัวตนอะไรที่ไหนอีกวิญญาณในศาสนาพุทธจึงไม่เหมือนวิญญาณในศาสนาอื่น ๆ.
เมื่อได้แยกดูทีละส่วน ๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เห็นมีส่วนไหนที่เป็นตัวตนของตนดังนี้แล้ว ก็จะถอนความเข้าใจผิดเรื่องตัวตนเสียได้ ว่าไม่ใช่เป็นตัวตนของใครเลย. ถ้าไม่เกิดความอยาก ก็ไม่เกิดความรักหรือเกลียดในสิ่งทั้งหลาย จึงจะเรียกว่าเห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวงว่าไม่ใช่ตัวตน. การนึกคิดตามเหตุผลก็พอจะทำให้เชื่อว่าไม่ใช่ตัวตนได้ สัตว์มันก็เป็นเพียงความเชื่อ ไม่เป็นการรู้แจ้งชนิดที่จะตัดความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตนได้อย่างเด็ดขาด. เหตุนี้เองจึงต้องศึกษาพิจารณากันตามหลักแห่งสิกขา ๓ ประการ จึงจะถึงขนาดที่ถอนความยึดถือเรืองนี้ได้.
หน้าที่อันจะพึงปฏิบัติในเรื่องเบญจขันธ์ นี้คือต้องทำให้ความรู้แจ้งเกิดขึ้น เพื่อขจัดความโง่เสีย และก็จะเห็นเองว่า ไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวเป็นตนอันน่ายึดถือ เมื่อนั้นการยึดถือก็แตกสลายลง. แม้ยึดมาแต่กำเนิดก็ตาม มันต้องหมดไปด้วย ; ฉะนั้นเราจำเป็นต้อง?ศึกษาเรื่องเบญจขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความหลงว่าเป็นตัวตนนี้ให้ละเอียด. พระพุทธจ้าทรงสอนเรึ่องนี้มากกว่าเรืองทั้งหลายมีใจความสรุปสั้น ๆ ว่า “เบญจขันธ์เป็นอนัตตา” และถือว่าเป็นคำสอนที่เป็นตัวพระพุทธศาสนาแท้ เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมองกันในแง่ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ หรือในฐานะเป็นศาสนาก็ตาม.
ถ้าเรารู้ตามที่เป็นจริง ความยึดถือด้วยการเข้าใจผิดก็หายไป ความอยากทุกชนิดจะไมมีทางเกิดและความทุกข์ก็จะไม่มี.
ทำไม คนเราตามปกติจึงมองส่วน ๕ ส่วนนี้ไม่ออกตามที่เป็นจริง? เมื่อเราเกิดมาจากท้องมารดา เราไมปัญญาของเราเอง : เราได้รับความูร้มาตามที่เขาสอนให้ เขาสอนเราโปในทางที่เข้าใจว่า ทุดสิ่งเป็นตัวตนไปทั้งนั้น. อำนาจสัญชาตญาณดั้งเดิม เกี่ยวกับการยึดถือว่าเป็นตัวตน (อัตตวาทุปาทาน) ซึ่งมีติดมาตั้งแต่เราเกิด ก็พอกพูนหนาแนั่นยิ่งขึ้นทุกวัน ในการพูดจากใช้คำว่า ฉัน ท่าน ผู้นั้น ผู้นี้ ซึ่งล้วนแต่ย้ำการมีตัวตนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น. คนนั้นชื่อนั้น คนนี้ชื่อนี้ เป็นลูกคนนั้น เป็นหลานคนนี้ เป็นสามีคนนั้น เป็นภรรยาคนนี้ ล้วนแต่ระบุไปในทางเป็นตัวตนทั้งนั้น เราจึงพากันไม่รู้สึกตัว ในการที่ไปยึดถือความเป็นตัวเป็นตนเพิ่มขึ้นทุกวัน.
เมื่อยึดว่าเป็นตัวเป็นตน ก็เกิดความเห็นแก่ตัว แล้วก็ประออบการงานไปตามความเห็นแก่ตัวหรือพวกของตัวจนได้ประโยชน์มาบำรุงความใคร่ของตัวและพวกของตัว. แต่ถ้าหากว่าเราเกิคความฉลาดจนมองเห็นว่านี้เป็นของหลอก ๆ เราก็จะหมดความยึดถือว่านั่นเป็นนาย ก. นาย ข. เป็นขุน หลวงพระ พระยา เป็นสัตว์ หรือมนุษย์ โดยเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องที่คนเขาสมมุติขึ้นพูดกันในทางสังคมเท่านั้นเอง. ถ้าเขาเข้าใจได้อย่างนี้แล้ว ก็นับว่าเป็นการเพิกถอนสิ่งที่หลอกลวงของสังคมได้ชั้นหนึ่ง.
เมื่อพิจารณาดูร่างกายทั้งหมดของนาย ก. ก็จะพบว่า นาย ก. นั้น เท่ากับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัมพันธ์กัน. การเห็นอย่างนี้ก็ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อย เรียกได้ว่าไม่หลงติดในการสมมติทางโลก
จะแยกให้ละเอียดออกไปอีก ก็มีทางทำได้ เช่นรูป ร่างกายนี้ แยกเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรือไม่แยกอย่างทางวัด ๆ เขาแยกกัน จะแยกอย่างวิทยาศาสตร์ เป็นคาร์บอน อ๊อกซิเจน ไฮโดรเจนฯลฯ ได้เหมือนกัน. อย่างนี้เรียกว่า เห็นลึกเข้าไปอีก คือมันหลอกลวงเราได้น้อยเข้าไปอีกชั้นหนึ่งกลายเป็นเห็นว่าคนไม่มี มีอยู่แต่ธาตุต่าง ๆ. ร่างกายเป็นรูปธาตุ ; จิตเป็นนามธาตุ แยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่นรู้สึกนึกคิด และรู้ทางประสาททั้งหลาย เมื่อเป็นดังนี้ ความรู้สึกกว่านาย ก. นาย ข. ขุน หลวงพระ พระยา ก็หายไป ความรู้สึกว่าลูกของเรา ผัวของเรา เมียของเรานี้ก็พลอยหายไป.
แต่เมื่อ ดูกันในแง่ปรมัตถ์ จะปรากฏว่า แม้ธาตุดิน น้ำ ลมไฟ ธาตุอ๊อกซิเจน ไฮโดรเจน หรืออะไรก็ตาม จะเป็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณก็ตาม ดูให้ลึกซึ่งแล้ว ก็จะพบลักษณะอันหนึ่ง ซึ่งเหมือนกันหมดคือ “ความว่าง” จากสิ่งที่เรียกว่าตัวตนของมันเอง. ดิน น้ำ ลม ไฟ ดูตรงไหน ๆ มันก็ไม่มีตัวตน ซึ่งภาษาพุทธศาสนาเรียกว่า “สุญญตา”.
ท่านผู้ใดเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของว่างได้ดังนี้แล้ว ความยึดถือหรืออุปาทาน ย่อมไม่มีทางที่จะเกิดได้ ที่เกิดแล้ว ไม่มีทางทีจะเหลืออยู่ได้. มันจะสูญหายละลายไปหมด จนปราศจากความยึดติดโดยสิ้นเชิง มันจึงไม่มีสัตว์ไม่มีคน ไม่มีธาตุ ไม่มีขันธ์ ไม่มีอะไรทั้งหมด ; เป็น “ความว่าง” จากการมีตัวมีตนของมันเองเมื่อไม่ยึดติด ความทุกข์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น. ใครจะเรียกเขาว่าคนดีคนชั่ว คนสุข คนทุกข์ หรืออะไรก็ตาม ไม่เป็นของแปลกสาหรับเขา. ทั้งหมดนี้เป็นผลเกิดมาจากการมีความรู้ความเข้าใจ และมีความเห็นแจ้งในความจริงของเรื่องเบญจขันธ์ จนถอนความยึดติดที่ผิด ๆ ทั้ง ๔ ประการนั้นเสียได้.
สรุปความว่า สิ่งทั้งปวงในโลกนี้รวมอยู่ในคำว่า “เบญจขันธ์คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละส่วนเป็นมายาไร้ตัวตน แต่ก็มีอำนาจของเวทนาล่อให้เกิดการยึดถือ จนคนทั่วไปอยากมี อยากเป็น อยากไม่ให้เป็นซึ่งล้วน แต่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่อย่างเปิดเผยก็อย่างเร้นลับ. ทุกคนจะต้องอาศัยข้อปฏิบัติที่เรียกว่าไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ถอนความหลงติดในเบญจขันธ์เสียให้สิ้นเชิง จึงจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของขันธ์ทั้งห้าและก็จะไม่มีความทุกข์. โลกจะอยู่ในลักษณะที่อำนวยความผาสุขใจให้แก่ผู้นั้นไม่ต้องร้อนใจเพราะสิ่งใด ๆ เป็นผู้มีจิตใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงตลอดชีวิต นี้เป็นผลของการรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องเบญจขันธิ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า.
“แนวการทำให้รู้แจ้งตามวิธีธรรมชาติ”
(แผนภูมิประกอบคำบรรยายครั้งที่ ๗)
ปีติและปราโมทย์ : (ความอิ่มใจในธรรม)
ปัสสัทธิ : (ความรำงับ)
สมาธิ : (จิตสงบ)
ยถาภูตญาณทัสสนะ : (รู้ความเป็นจริงต่อโลก)
นิพพิทา : (ความเบื่อหน่าย)
วิราคะ : (ความคลายออก) วิมุตติ : (ความหลุดออก)<
วิสุทธิ : (ความบริสุทธิ์ไม่เศร้าหมอง)
สันติ : (ความสงบเย็น)
นิพพาน : (ภาวะที่ปราศจากความทุกข์
... คัททูลสูตร
ว่าด้วยอุปมาขันธ์ ๕ ด้วยเสาล่ามสุนัข
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สุนัขที่เขาผูกไว้ด้วยเชือกถูกล่ามไว้ที่หลักหรือเสาอันมั่นคง
ถ้าแม้มัน เดิน
มันก็ย่อมเดินใกล้หลักหรือเสานั้นเอง
ถ้าแม้มัน ยืน
มันก็ยืนใกล้หลักหรือเสานั้นเอง
ถ้าแม้มัน นั่ง
มันก็นั่งใกล้หลักหรือเสานั้นเอง
ถ้าแม้มัน นอน
มันก็นอนใกล้หลักหรือเสานั้นเอง แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมตามเห็นรูป
ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
ย่อมเห็น
... เวทนา
... สัญญา
... สังขาร
... วิญญาณ
ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
ปุถุชนนั้น ...
ถ้าแม้ เดิน
เขาก็ย่อมเดินใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง
ถ้าแม้ ยืน
เขาก็ย่อมยืนใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง
ถ้าแม้ นั่ง
เขาก็ย่อมนั่งใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง
ถ้าแม้ นอน
เขาก็ย่อมนอนใกล้อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง
ย่อม
ไม่พ้นไปจาก รูป
ไม่พ้นไปจาก เวทนา
ไม่พ้นไปจาก สัญญา
ไม่พ้นไปจาก สังขาร
ไม่พ้นไปจาก วิญญาณ
ไม่พ้นไปจาก ชาติ
... ชรา
... มรณะ
... โสกะ
... ปริเทวะ
... ทุกข์
... โทมนัส
... อุปายาส
เรากล่าวว่า #ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์
๒๖/๒๒๑-๒๒๒ คัททูลสูตร