การตำหนิกรรมผู้อื่น
เท่ากับเรา...ไปยึดเอากรรมของเขามาไว้ที่ใจเรา
อารมณ์ก็ยิ่งเกิด...จิตก็ยิ่งเศร้าหมอง
แล้วขาดทุน หรือได้กำไรล่ะ?
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
"#เพ่งเข้าไปที่จิต" .. จิตอันนี้มัน ปิดบัง มรรคผลนิพพานไว้
"#ทำลายจิต" ลงไปอีก จิตแตกสลายออกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน
" #ทำลายให้เป็นของว่าง " ทำลายให้หมดให้สิ้น
ให้มีสติ ธรรมให้มันว่างไปหมด , จิตก็เป็นอนัตตา ธรรมก็เป็นอนัตตา
ให้ มีสติ มีสติ มีสติ ให้มีสติอยู่เสมอ ไม่เผลอสติ
ดูลงไปที่ จิต เพ่งเข้าไปที่จิต ๆ ๆ
เพราะมันเกิดจากที่นี่ทั้งนั้น "ตัวหลง" ก็จิตตัวนี้หลง
หลวงปู่แบน ธนากโร
" ผู้รู้ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
คือ...ผู้ที่รู้ความหมายของ การว่าง
จากการมีอยู่อย่างแท้จริงของสรรพสิ่ง
พระสงฆ์ ที่ประเสริฐที่สุด
คือ...ผู้ที่ได้ชำระจิต ของตน
คุณภาพ ที่ดีที่สุด
คือ...ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่
ในการทำคุณประโยชน์ แก่ผู้อื่น
คำสอน ที่ดีที่สุด
คือ...การเฝ้าดู...จิต
การเยียวยา ที่ดีที่สุด
คือ...การรู้ว่าไม่มีอะไรคือ สิ่งแท้จริง
วิถีชีวิต ที่ดีที่สุด
คือ...ชีวิตที่สวนทาง...
กับ โลกย์."
_____________________________________
(ท่าน : อติสะ พระสงฆ์ผู้ที่นำพุทธศาสนา
มหายานฝ่ายวัชระยาน เผยแผ่สู่เอเชีย
และ นำพุทธ ธิเบตสู่สุมาตรา ศตวรรษที่11)
"...สม่ำเสมอไม่ขึ้นไม่ลงตามใจตัวเอง
นักปฏิบัติสำคัญที่สุดต้องเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ
พยายามรักษาจิตให้เสมอ อย่าให้ขึ้นลงตามใจกิเลสที่มาก่อกวน
การรักษาจิตให้เป็นปกติได้ จะมีความสุขในการปฏิบัติ
จิตนี้เมื่อเราปฏิบัติถึงจุดแห่งผล อานิสงส์จะหาประมาณมิได้
การปฏิบัติทางจิต จึงจำเป็นแก่ผู้มีปัญญา..."
ปู่จอม ศิตย์หลวงปู่สรวง
ทำจิตให้ว่างจากสมมุติ
ไม่มีดี ไม่มีชั่ว
คนไปสำคัญมั่นหมายเอาเอง
ไม่มีความสำคัญ ไม่มั่น ไม่หมายในสิ่งใด
อยู่เหมือนหลักเหมือนตอ
วางลงได้ขนาดนั้น วางได้
ก็เบาสบาย ไม่มีอะไรหนัก
ธาตุขันธ์ร่างกายก็ไม่หนัก
พร้อมที่จะวางอุปาทานขันธ์
พร้อมเสมอแล้วที่จะตาย
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
นี้เป็นโลกีย์ ถ้าเป็นโลกุตระแล้ว
รูปไม่มี เสียงไม่มี กลิ่นไม่มี รสไม่มี
โผฏฐัพพะไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มี เป็นแต่ความ
รู้สึกเกิดขึ้นเท่านั้น แล้วก็หายไป ไม่มีอะไร
เมื่อไม่มีอะไร ตัวเราก็ไม่มี เมื่อตัวเราไม่มี
ของเราก็ไม่มี ตัวเขาไม่มี ของเขาก็ไม่มี
"ความดับทุกข์"นั้น เป็นไปในทํานองนี้
คือ"ไม่มีใคร"จะไปรับเอาทุกข์ แล้ว"ใคร"จะเป็นทุกข์
ไม่มีใครไปรับเอาสุข แล้วใครจะเป็นสุข
นี่พอ"ทุกข์"เข้า ก็เรียกว่า"เราทุกข์" เพราะเราไป
"เป็นเจ้าของ"มันก็ทุกข์
สุขเกิดขึ้นมา เราก็ไปเป็นเจ้าของสุข มันก็สุข
ก็เลย"ยึดมั่น"..."ถือมั่น"
อันนั้นแหละ"เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา"
ขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันก็เลยเป็นเรื่อง เป็นราวไปอีกไม่จบ
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภ้ทโท
ภ้าเราทําความคิดไว้ในใจให้ได้ดังนี้
เห็นรูปก็ว่ารูปไม่มี ได้ยืนเสียงก็ว่าเสียงไม่มี
ได้กลิ่นก็ว่ากลิ่นไม่มี ลิ้มรสก็ว่ารสไม่มี
มันก็หมด ที่เป็นรูปนั้นก็เพียง"ความรู้สึก"
ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าความรู้สึก ที่มีกลิ่นก็
สักแต่ว่ามีกลิ่น เป็นเพียงความรู้สึก
รสก็เป็นแต่เพียงความรูสึก แล้วก็หายไป
ตามความเป็นจริงก็ไม่มี
" เพียงแค่รู้ " : การที่ " เพียงแค่รู้ " ดูด้วยจิต
คือรู้คิด รู้กาย เมื่อย้ายไหว
กายโยกซ้าย ย้ายขวา ก็รู้ไป
รู้เมื่อใจ ส่ายสั่น หมั่นแลดู
มีกายตึง กายหย่อน ผ่อนเบาหนัก
มีผัสสะ เย็นร้อน อ่อนและไหว
มีอารมณ์ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวสุขใจ
คละเคล้าไป หยุดไม่อยู่ แค่รู้พอ
เพียงแค่รู้ แค่ดู อยู่ใกล้ๆ
อย่าโดดไป เข้าร่วม รวมกับเขา
เดี๋ยวจะปน เปไป ใจไม่เบา
รวมกับเขา จิตจะหนัก ปักจมดิน
พยายามไป กลายเป็น " เกร็ง เพ่ง บังคับ "
อยากจะจับ ให้จิตดิ่ง นิ่งดั่งหวัง
หารู้ไม่ ว่ามั่นคง ไม่มีวัน
เพราะจิตนั้น อิสระ " อนัตตา "
คิดเสียว่า " แค่รู้ " เหมือนดูหนัง
เป็นแค่เพียง " ผู้ชม " นั้ง อยู่ข้างหน้า
ใครจะหยุด ใครจะไป ใครจะมา
ก็แค่รู้ ว่าผ่านมา และผ่านไป
ตัวร้ายมา เพียงแค่รู้ ว่าจิตหน่าย
พระเอกตาย เพียงแค่รู้ ว่าจิตหมอง
นางเอกมา เพียงแค่รู้ ว่าจิตปอง
เพียงแค่มอง เพียงแค่รู้ ดูอย่างเดียว
ระหว่างดู อย่าเข้าไป ใคร่อยากเปลี่ยน
เพียงแค่เพียร " ดูเรื่อยๆ " อย่าเฉื่อยเฉย
ใครเป็นใคร เล่นบทไหน อย่าละเลย
ดูเฉยๆ ให้ถูกตรง อย่าหลงทาง
ถึงจะอยาก แต่ก็ยาก จะไปแก้
ทำได้ " เพียงแค่รู้ " ว่าดูหนัง
ผู้กำกับ ว่ายังไง ว่าตามกัน
บทหนังนั้น เริ่มและจบ ในตัวเอง
ทุกอย่างนั้น ถูกกำหนด ด้วยบทเรียน
ไม่อาจเปลี่ยน " เพราะถ่ายจบ " ค่อยถูกฉาย
คนสุดท้าย คือคนดู กลุ้มใจตาย
หากว่าหมาย เปลี่ยนบทหนัง เป็นดั่งใจ
เป็น " ผู้ดู " จำไว้ ใช่ผู้เล่น
อย่าไปเต้น ไปลำดับ กำกับหนัง
เป็นผู้ดู รู้หน้าที่ ง่ายดีจัง
เพียงแค่นั่ง ดูๆ ไป ตั้งใจดู
เพียงแค่ดู แต่ต้องดู " ให้รู้เรื่อง "
หนังจบเรื่อง ต้องเล่าได้ ไม่อายเขา
ใช่แต่นั่ง ดูๆ ไป คล้ายคนเมา
พอให้เล่า ก็มั่วไป ไม่เคยตรง
หนังที่ดู รู้ไว้เลย " หนังชีวิต "
หลายตอนติด หลากรสชาติ ไม่ขาดสาย
ถ้าดูเป็น หนังไม่ทำ ให้วุ่นวาย
พอหนังฉาย ถึงตอนจบ พบสุขเอย .......
.
--- พระนวลจันทร์ กิตติปัญโญ ---
“ตัวกู ของกู” เกิด ก็มี “วัฏสงสาร”
“ตัวกู ของกู ดับ ก็มี “นิพพาน”
.
❝เดี๋ยวนี้ มันพูดด้วยคำมาก ด้วยความหมายมาก แล้วเรื่องมันก็มาก มันมีเรื่องมากจนถึงกับว่า ๘๔,๐๐๐ เรื่อง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ไตรปิฎกมี ๘๔,๐๐๐ หัวข้อหรือเรื่อง นี้มันมากเกินไป.
.
ฉะนั้น ๘๔,๐๐๐ เรื่องนั้น สรุปได้เพียง ๒ เรื่อง คือ เรื่อง “วัฏสงสาร” กับเรื่อง “นิพพาน” แล้วแต่เรื่องไหนมันจะพูดถึงกิเลสหรือความทุกข์ เรื่องนั้นก็เป็น “วัฏสงสาร”, เรื่องไหนพูดเรื่อง ดับกิเลส ดับทุกข์ นี่เป็นฝ่าย “นิพพาน” ให้รู้ไว้ว่าพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ เรื่องนี้ ๒ เรื่องเท่านั้น คือเรื่อง “วัฏสงสาร” กับเรื่อง “นิพพาน” นี้เรามาเรียนโดยตรงจาก “จิตใจ” คือเรื่อง วัฏสงสาร กับเรื่อง นิพพาน ๒ เรื่องนี้ก็คือเราเรียน ๘๔,๐๐๐ เรื่องในพระไตรปิฎก.
.
ทุกคนสนใจเรื่อง ๒ เรื่องนี้ ผมอยากจะเรียกว่า เรื่อง “ว่าง” กับเรื่อง “วุ่น” สองเรื่องคือ เรื่องว่าง กับ เรื่องวุ่น จะเอาคำที่สั้นที่สุดพยางค์เดียวก่อน คือเรื่อง “ว่าง” พยางค์เดียว คำเดียว, แล้วก็เรื่อง “วุ่น” คือไม่ว่าง จำ ๒ คำว่า “ว่าง” ว่า “วุ่น” ก่อน.
.
ทีนี้ คำว่า “วุ่น” นี้ หมายถึง “ปรุง” ที่มีความวุ่นวายนั่นแหละ คือ มีการปรุงแต่งตามแบบของกิเลส ; เมื่อไม่มีการปรุงตามแบบของกิเลสมันจะ “ว่าง” นี้เรื่องวุ่นก็คือเรื่อง “สังขาร” คือปรุงแต่ง, เรื่อง “ว่าง” คือ “วิสังขาร” คือไม่ปรุงแต่ง.
.
เรื่องวุ่น หรือปรุงแต่ง ก็คือเรื่อง “วัฏสงสาร” นั่นเอง เพราะปรุงแต่งก็คือ ปรุงแต่งให้ลงอยู่ ๓ ระยะ คือ เกิดกิเลส แล้วก็กระทำกรรม แล้วก็ได้รับผลกรรม เป็นความทุกข์ นี่คือ “วัฏฏะ - ไตรวัฏฏะ” กิเลส เช่นความอยากเป็นต้น ก็ทำให้เกิดการกระทำกรรม มโนกรรมคือเพียงแต่คิด ไม่ได้ทำด้วยปากหรือมือเท้า เพียงแต่คิดนี่เป็นมโนกรรม ก็เป็นกรรม แล้วก็มีผลกรรม คือทำให้มีความทุกข์โดยตรง หรือความทุกข์โดยอ้อม ถ้ามันวุ่นก็ต้องถือว่าทุกข์ หัวเราะอยู่หรือเต้นรำอยู่ก็เรียกว่าวุ่น มันก็ต้องเป็นความทุกข์ มันอยู่นิ่งไม่ได้ มันแสร้งทำแสร้งปรุงทั้งหมดคือไม่ให้ทุกข์, ส่วนเรื่องไม่วุ่น คือว่าง คือไม่วุ่น ไม่ปรุง ว่างนั้นคือนิพพาน วุ่นนั้นคือวัฏสงสาร.
.
เลิกตัวหนังสือมาก เลิกคำพูดมากๆ เลิกการศึกษาเล่าเรียนมากๆ กันไว้ชั่วคราว คือว่าอย่าไปนึกถึงมัน จะเรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก อย่าเพิ่งไปนึกถึงมัน นั่นสอนกันอีกระบบหนึ่ง ซึ่งมันผิดหลักธรรมชาติ ไม่ได้ยึดตัวธรรมชาติเป็นหลัก ยึดหนังสือ ยึดคำพูด ยึดการบัญญัติ แต่งตั้ง(สมมุติ)ต่างๆ เป็นหลัก เรื่องมันจึงมาก.
.
นี่ให้ตั้งต้นแบบธรรมดาสามัญ คือยึดเอา “ธรรมชาติ” เป็นหลัก โดยเรานึกถึงเมื่อครั้งพุทธกาล ที่มีคนไปหาพระพุทธเจ้า ไปสนทนาครู่เดียว หรือบางทีก็ไม่ถึงครู่ก็เป็น “พระอรหันต์” ก็มี เป็นพระอรหันต์ไป คนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็เป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้น นั้นไม่ได้เรียนเรื่อง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ดอก ก็เรียนเรื่องนี้ เรื่องที่เราว่า คือเรื่อง “ว่าง” เรื่อง”วุ่น” แล้วก็รู้จักทำให้มันว่าง ก็เท่านั้นเอง เป็นพระอรหันต์ที่ตรงนั้นก็มีมากเหมือนกัน แล้วการแสดงธรรมเพียงครั้งเดียวทำให้คนได้ดวงตาเห็นธรรม จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน มันก็เรื่องเห็นเรื่องนี้แหละ คือเริ่มมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้ อย่างถูกต้องเด็ดขาดลงไป คือ “วุ่น” เป็นอย่างไร? “ว่าง” เป็นอย่างไร? แต่ถ้ามันมากกว่านั้นคือ ทำให้จิตหายวุ่นเป็นจิตว่างไปด้วยได้ก็คือเป็นพระอรหันต์ ถ้าเพียงแต่เห็นแนวโดยประจักษ์โดยแน่ใจ โดยไม่เปลี่ยนความคิดอีกต่อไป นี้เรียกว่าได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน นี่ก็เริ่มรู้เรื่องว่าง เรื่องวุ่น โดยชัดเจน โดยแน่นอน โดยประจักษ์.
.
ฉะนั้น จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ คือเอาตัวธรรมชาติมาเป็นบทเรียน เอาความรู้สึกในจิตใจเป็นบทเรียน เมื่อใดจิตมีการปรุงแต่งเป็น “ตัวกู ของกู” เป็นความวุ่น ในขณะนั้น “วัฏสงสาร” ปรากฏ ; ขณะใดไม่มีอะไรปรุงแต่ง ไม่มีกิเลสเป็น “ตัวกู ของกู” ขณะนั้น “นิพพาน” ยังคงปรากฏอยู่....❞
.
พุทธทาสภิกขุ
" จิตที่หลุดพ้นแล้ว "
หลวงพ่อปราโมทย์ :เวลาหลุดพ้นเนี่ย จิตมันพรากออกไปจากขันธ์นะ ไม่ยึดถือไม่เกาะไม่เกี่ยวอะไรเลย จิตสว่างไสวเต็มโลกธาตุ ไม่มีขอบไม่มีเขตไม่มีจุดไม่มีดวง ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีการไปไม่มีการมา ไม่มีไหลไปไหลมา ไม่มีเลย สว่าง สดชื่น เบิกบาน ผ่องใส โดยตัวของมันเอง (หมายถึง ไม่ต้องอาศัยเหตุอื่นมาทำให้จิตผ่องใสอีก เช่น ไม่ต้องอาศัยการเจริญสติ ไม่ต้องอาศัยการเจริญสมาธิ เป็นต้น – ผู้ถอด) อยู่ที่เราฝึกเอานะ
เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว แล้วท่านจะต่อท้ายว่า ชาติคือความเกิดเนี่ย หมดสิ้นแล้ว กิจที่ต้องทำเพื่อความพ้นทุกข์เนี่ย ทำเสร็จแล้ว กิจอย่างอื่น ภาระอย่างอื่น ที่จะต้องปฏิบัติอีก ไม่มี คือบอกว่า ชาตสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ คือความหลุดพ้นอย่างนี้ ไม่มีอีก นะ นี่เป็นที่สุดที่พระสาวกทั้งหลายตามพระพุทธเจ้ามา ก็เข้ามาสู่ภาวะอันนี้เอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
🌑 ขันธ์ห้า เป็นมายา ลวงตาลวงใจ🌑
☆สืบเนื่องมาจากโอวาทธรรม
องค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
"ผู้รู้" นั้นเองเป็นสังขารอันละเอียด มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของก็เป็นเหตุเป็นกรรมเป็นวิบาก เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน อวิชชา ตัณหา สารพัดจะบัญญัติใส่ชื่อลือนาม
และก็ไม่สำคัญตัวว่าเป็นพระนิพพานด้วย จึงเรียกว่าพระนิพพานทรงไว้ซึ่งพระนิพพาน ธรรมอันนี้เป็นธรรมอันละเอียด และเป็นธรรมสันทิฏฐิโกสุดท้ายของพระพุทธศาสนา ละเอียดมาก
จะเอาโลกและสังขารไปเทียบย่อมไม่ได้ ก็มอบไว้แก่เจ้าตัวแต่ละรายจะรู้ตามเป็นจริง
พระบรมศาสดาจึงยืนยันว่า
เรารู้พระนิพพานตามเป็นจริงของพระนิพพาน แต่เราไม่ติดอยู่ในพระนิพพาน
เรารู้สังขารตามเป็นจริงของสังขาร แต่เราไม่ติดอยู่ในสังขาร (ถ้าเราติดอยู่ในสังขารก็ดีติดอยู่ในพระนิพพานก็ดี ก็เท่ากับว่าเราไม่รู้สังขารไม่รู้พระนิพพาน นกบินในอากาศวันยังค่ำก็ไม่มีรอยใช่หรือไม่ มีดเฉือนน้ำในที่ใด ๆ วันยังค่ำก็ไม่มีรอยใช่หรือไม่)
ด้วยเดชพระพุทธศาสนา พวกเราทั้งหลาย (คำว่า “เรา” ตามสมมติ) อย่าได้มาท่องเที่ยวทะเลหลงนี้อีกเลย ทะเลหลงย่นมาในปัจจุบันแล้ว ข้ามก้าวเดียวสั้น ๆ ก็พอเป็นบุคคลาธิษฐาน ถ้าสำคัญว่าตัวข้ามก็ผิดอีก
ความสำคัญตัวนี่เอง มันเป็นมหากิเลส พร้อมทั้งกองพลด้วย
เหตุนั้นพระบรมศาสดาจึงผลักทิฎฐิของพระโมฆราช ไม่ให้ถามปัญหาก่อนเพื่อน ให้ถามทีหลังหมู่ เพราะเหตุว่ามานพ ๑๖ คนไปถามปัญหา พระโมฆราช สำคัญตัวว่าฉลาดกว่าเพื่อน มันเป็นมหาอุปาทานสำคัญตัว
ท่านจึงให้ถามครั้งที่สาม และจึงให้ถามหลังเพื่อน ๆ ทั้งหลายด้วย พระบรมศาสดาก็เทศน์อนัตตาเพื่อให้พระโมฆราชไม่สำคัญตัวในอัตตา และอนัตตา
สำคัญว่าตนเป็นอัตตา อัตตาเป็นตนก็ไม่ถูก
สำคัญว่าอนัตตาเป็นตน ตนเป็นอนัตตาก็ไม่ถูกอีก
เพราะมันยังมีอุปาทานอันละเอียดอยู่
เหตุฉะนี้พระอนาคามีติดอยู่ในมานะ ๙ มานะ ๙ ข้อนั้นก็คือสำคัญตัวอันละเอียด นั่นเอง
องค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ตอบปัญหาธรรมและการปฏิบัติธรรม (เรื่องที่ ๖)
“ จิตว่าง ” 🙏🙏🙏ค่ะ
“จิตว่าง” ไม่ได้หมายถึงจิตไม่มี หรือจิตไม่คิดนึกอะไร หรือเหมือนกับสลบหรือหลับ อย่างนั้นไม่ใช่ว่าง
คำว่า “ว่าง” จิตยังทำหน้าที่ตามปรกติ แต่ไม่มีความหมายหรือความรู้สึกใดๆ ว่าเป็น “ตัวกู-ของกู”
ดังนั้น คำว่า “ว่าง” ก็คือว่างจาก “ตัวกู” หรือ “ของกู” ไม่มีความคิดนึกน้อมไปในทางที่จะมีอะไรเป็น “ตัวตน” ไม่มีความรู้สึกอะไร ในสิ่งใด เมื่อไร ว่าเป็น “ตัวตน” หรือ “ของตน” จิตนั้นเรียกว่า “ว่าง”
ถ้า “จิตว่าง” อย่างนี้แล้ว มันจะเกิดความรู้สึกรู้แจ้งแทงตลอด ไปทุกทิศทุกทาง ทุกหนทุกแห่ง ยิ่งกว่าในสากลจักรวาล คือ นอกสากลจักรวาลก็ยังรู้ รู้ว่าสังขารปรุงแต่ง เป็นอย่างนั้นๆ เต็มไปทั่ว
ทั้งจักรวาล วิสังขารไม่ปรุงแต่ง.
พุทธทาสภิกขุ
ความหลุดพ้น..ปล่อยวางแม้กระทั่งสิ่งที่ถูก...
”อย่าปล่อยวาง”...โดย...”ความยึดมั่นถือมั่น”
อย่ายึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ยอม เรื่องที่มันยอม
ถ้ามันไม่ยอม มันตั้งตัวขึ้นมาเป็นก้อน เป็นตัวอุปาทาน
นักบวชนักพรตเราโดยมากก็ชอบเป็นอย่างนั้น
เห็นว่าเราถูกแล้ว ก็เห็นว่าเราไม่ผิด
แต่ ความเป็นจริง ความผิด มันฝังอยู่ในความถูก
แต่เราไม่รู้จักนี่ ทิฐิมานะ
ทิฐิคือความเห็น มานะคือความยึดไว้ถือไว้
ถ้าเรายึดในสิ่งที่ถูก ก็เรียกว่ามันผิด ถือถูกนั่นแหละ
ยึดมั่นถือมั่นในความถูก ไม่เป็นการปล่อยวาง
เมื่อปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว....”วางทันที”...
วางตัวปัญญานั้นอีกทีเข้าสู่ความว่าง
อยู่กับความว่าง (จิตหนึ่ง)
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี'''
"จิตว่าง มันว่างแล้วว่างเลยนะจิตเนี่ยะ ไม่มีเข้าๆ ไม่มีออกๆ
จิตว่าง มันไม่มีพระจันทร์ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีกลางวัน ไม่กลางคืน
มันจึงไม่มีจิตมืด ไม่มีจิตสว่าง
หมั่นเจริญสติ รู้สึกตัว การรู้สึกตัว จะทําให้จิตผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา ปลอกลอกออกจากความคิด เข้ามาเห็นความจริงสิ่งที่ถูกรู้ เพื่อเจริญวิปัสสนา การเจริญวิปัสสนา ต้องไม่ ยึดผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ ให้เพียงแค่ รับรู้ ปัญญาญาณจึงเกิด เพื่อมาละกิเลส เกิดความชินที่ใจ ชินที่จะปล่อย มันจะล้างอนุสัยทั้งหลายที่ผังรากไว้ลึกๆในจิตเราออกไป
" จิตว่าง" ในที่นี้ ยังมีความคิดอารมณ์นะ เพียงแต่ไม่เข้าไปยึดถือความคิดอารมณ์ จิตมีหน้าที่เพียงแค่ รับรู้ แต่ไม่ยึดถือ , " ไม่ยึดถือ " คือการไม่เข้าไปยึดถือความคิดอารมณ์ ตัวตนเอง , " ไม่มีของกู " คือการไม่เข้าไปยึดถือ สิ่งที่ถูกรู้ , " ไม่มีตัวกู " คือไม่ยึดถือจิตผู้รู้ ไม่เพ่งใส่จิตผู้รู้ จนเข้าไปยึดติดกับจิตผู้รู้ จนหลงเพลินไปกับผู้รู้
อาการถือ อาการวาง ของใจ สุดท้ายชินไม่เข้าไปถือ จึงไม่มีอะไรให้วางอีก
มันเป็นเพียงอาการที่เราเผลอถือเอาไว้ไม่ยอมปล่อยนั้นเอง พอเรารู้ตัวเราก็ปล่อยได้ในบัจจุบัน แต่พอเราเผลอใหม่ก็เข้าไปถือไว้อีก ถืออะไรเอาไว้ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ที่เราเผลอถือก็เพราะมันชิน เราถือจนชินมาหลายแสนหลายล้านชาติแล้วนะมันชินจนเป็นอัตโนมัติเหมือนกับเราชินเอาช้อนตักข้าวเข้าปากหลับตาก็ทําได้เพราะชินเป็นอัตโนมัติโดยไม่คิด ทํายังไงละจะหายเผลอจากการถือ ก็ต้องเปลี่ยนให้มันมาชินกับการรู้สึกตัว เห็นอะไรรู้อะไรก็ให้รู้สึกตัว รู้สึกตัวบ่อยๆมันก็จะชิน ชินจนจิตผู้รู้เข้มแข็งไม่ไหลไป ชินจนมีสติมากํากับใจ ชินจนเห็นแล้วไม่เข้าไปถืออีก ไม่ใช่คิดก่อนแล้วค่อยวาง เพราะไม่ถือแล้วจะไปวางอะไร ไม่มีอะไรให้วางแล้ว เห็นเพียงสักแต่ว่า ดังนั้นให้ฝึกที่จะชินกับความรู้สึกตัวนะ
"พระนิพพาน" อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ไกล อย่าไปหาไกล
"หนัง" มันห่อไว้ กระดูกมันห่อไว้ ทำลายมันออกให้หมด
"จิต" อันนี้มันก็ปิดบังมรรคผลนิพพานไว้
ทำลายจิตลงไปอีก จิตแตก"สลาย"ออกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน ทำลายให้เป็น"ของว่าง"
ยึด "ผู้รู้" ว่า "เป็นเรา" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
"จิตสักแต่ว่าจิต"...."ธรรมสักแต่ว่าธรรม"
ไม่ให้มันไปไหน ให้มันอยู่ใน "กาย เวทนา จิต ธรรม"
ของ "สมมุติแท้ๆ" ก็มี "ของจริง" อยู่ในสมมุตินั้น
"จิต" เป็นตัว "สมุทัย" เป็น "ตัวอริยะสัจ"
มี "สติ" แล้ว "ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็สมบูรณ์
ศูนย์รวมของธรรม อยู่ที่ใจ
กิเลสตัณหาอยู่ในจิตเท่านั้น ไม่ได้อยู่ใน รูป เสียง....."
"ธรรม" ทั้งหลายเกิดจาก "จิต" ของเรา
อยู่ที่ "จิต" เวทนาไม่มีตัวไม่มีตน
"จิต" ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก
แต่ "มันอยู่" ใน "จิตอันนี้" หวงหนังห่อขี้ หนังห่อมูตรห่อคูต
หลวงปู่ แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร
#๒๑
คนเป็นอันมากมักถูกปิดกั้นเสียจากการรู้แจ้งต่อ จิต โดยปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งแวดล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวเขา และถูกปิดกั้นเสียจากการรู้แจ้งต่อหลักธรรมที่สำคัญที่สุด โดยเหตุการณ์ต่าง ๆ เฉพาะตน ดังนั้นเขาจึงพยายามหาทางหลีกเลี่ยงจากปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นเสีย ด้วยหวังว่าจะทำจิตของเขาให้สงบ หรือพยายามที่จะระงับเหตุการณ์ต่าง ๆ เสีย ด้วยหวังจะยึดหน่วงเอาธรรมะนั้นให้ได้. เขาไม่เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า การทำอย่างนี้เป็นการกลบเกลื่อนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ด้วยจิต, กลบเกลื่อนเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยหลักธรรม. ๑๐๔
จงเพียงแต่ทำจิตของเธอให้ว่างเท่านั้น ปรากฏการณ์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็จะเป็นของว่างไปในตัวมันเอง จงให้หลักการต่าง ๆ หยุดแกว่ง แล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็หยุดวุ่นวายได้ด้วยตัวมันเอง. จงอย่าใช้ จิต ไปในทางอุตริแผลง ๆ เช่นนั้นเลย. ๑๐๕
คนส่วนมากขี้ขลาดต่อการทำจิตของตนให้ว่าง โดยเกรงไปว่าเขาจะพลัดตกลงไปในความว่าง เขาเหล่านั้นไม่ทราบว่า จิต ของเขาเองเป็น ความว่าง. คนโง่มัวแต่หลบหลีกปรากฏการณ์ต่าง ๆ ไม่หลบหลีกจากความคิดปรุงแต่ง, ส่วนคนฉลาดย่อมหลบหลีกจากความคิดปรุงแต่ง และไม่ต้องหลบหลีกปรากฏการณ์. ๑๐๖
#พุทธทาสภิกขุ : ผู้ประพันธ์
ถ้าจิตยังมีแสงสว่าง บางคนก็เรียกจิตประภัสสร อันนั้นยังมีตัวเกิดอยู่
เพราะถ้าจิตมีมืด แสดงว่าต้องมีสว่าง และถ้ามีจิตสว่าง แสดงว่าต้องมีจิตมืด ของมันเป็นของคู่กัน
ไม่มีทั้งมืด ไม่มีทั้งสว่าง
มันเป็นธรรมชาติสักแต่ว่ารู้อยู่ขณะนั้น ไม่มีลังเล ไม่มีสงสัย ไม่มีความคิดเห็นอะไร มันเต็มไปด้วยความระลึกรู้อย่างธรรมดาๆ อยู่อย่างนั้น
ไม่มีอะไรที่ต้องถือ ปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ไป แต่ไม่ยึดถือ แม้กระทั่งจิตเรา ก็ไม่มี
มันมีๆ อยู่นะ แต่เหมือนไม่มีๆ ไม่มีความหมายอะไร นั่นแหล่ะ จิตว่าง ที่แท้จริง"
หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล