พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 12 เมษายน 2561
ตอนที่ 314 **การปฏิบัติเพื่อเป็นพระสกิทาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึง เรื่องของ*พระสกิทาคามี* ต่อไปอีกเจ้าค่ะ
คือว่า ลูกนั้นปรารถนาที่จะทราบว่า เราจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเช่นไร เราจึงจะได้เป็น *พระสกิทาคามี* ล่ะเจ้าคะ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงพิจารณาทำตามนี้เถิดลูก เพราะนี่คือ สิ่งที่เป็นความจริง
เป็นสิ่งที่ควรใช้จิตใช้ใจของตน ให้เข้าถึงด้วยตัวของตนเองเท่านั้น จึงจะเข้าใจ
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. จงตั้งใจ พิจารณาตามนะลูก
ย่อมแน่นอน พระยาธรรม.. ว่าบุคคล ผู้ที่จะได้เป็น*พระสกิทาคามี* นั้น
- ย่อมต้องได้เป็นพระโสดาบันเสียก่อน ++
ฉะนั้น.. เราจึงควรประพฤติ ปฏิบัติ ฝึกฝนตนจนเป็น *พระโสดาบัน*
เมื่อเราได้เป็นพระโสดาบันแล้ว.. ก็จงอย่าชะล่าใจ
อย่าคิดว่า.. ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว
ยังไงก็มาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ
ยังไงก็ถึงซึ่งพระนิพพาน
อย่าชะล่าใจอย่างนั้นลูก !
มันจะก่อให้เกิดความลุ่มหลงในความดี มันจะทำให้เราล่าช้า.. ในการที่จะเข้าถึงพระนิพพาน
และการที่เรานั้น
* เกิดคราใด - ความทุกข์ ก็ย่อมมีในครานั้น *
พระยาธรรมเอ๋ย.. ต้องนึกถึงความจริงเหล่านี้ เหตุของทุกข์ ยังคงจะมีกับเราอยู่มาก เมื่อเราเป็นพระโสดาบัน ถ้าเทียบกับการเป็นพระสกิทาคามี.. ความทุกข์ ก็จะน้อยกว่า
ฉะนั้น.. เราฝึกฝนตนจนเข้าถึงการเป็นพระโสดาบันแล้ว..
เราจึงควรฝึก ควรรีบเร่งทำความดี ตามพละกำลัง ความรู้ ความสามารถแห่งตน เพื่อที่จะมุ่งมั่นไปต่อ.. ในจุดที่ 2
คือ การเป็น *พระสกิทาคามี*
นั่นหมายถึง การที่เราประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว..
ไม่ควรชะล่าใจ / ไม่ควรปล่อยให้เสียเวลาเปล่า !
- ควรทำความดี อย่างสม่ำเสมอ...
/ ฝึกฝนตน ให้รู้ ให้เข้าถึง องค์พระพุทธ - ให้ลึก ให้ละเอียด ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
/ ฝึกฝนตนให้รู้ ให้ละเอียด ให้เข้าถึงองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ ให้ลึก ให้ละเอียดกว่าเดิม
/ ควรฝึกฝนตน ให้เข้าถึงการรักษาศีล ให้ละเอียดอ่อนกว่าเดิม
/ ควรฝึกฝนตน ให้รู้แจ้ง และมองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง
.. ให้ความจริงที่ซ่อนอยู่ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ปรากฏชัดเจนแก่เรา ขึ้นกว่าเดิม
ควรฝึกฝนเช่นนี้ พระยาธรรม จะได้ไม่หยุดอยู่ในความดี ในระดับที่ 1 คือ การเป็นพระโสดาบัน แทนที่จะมาเกิดอีกเพียงแค่ 1 ชาติ
.. ก็จะกลายเป็น 3 ชาติ.. 7 ชาติ ไป !
เพราะตนนั้นทำความดีมาถึงระดับที่ 1 แล้วก็ชะล่าใจ เลยไม่ขวนขวายทำอีก
หรือว่าทำไปเล็กน้อย ไม่มุ่งมั่นตั้งใจ ที่จะทำให้ไปให้ถึง
ก็เลยกลายเป็นว่า.. ปล่อยตามเหตุ ตามปัจจัยไป
ก็เลยปล่อยจนหย่อนเกินไป
จนกลายเป็นเรื่องของภพชาติ - ที่มันต้องกลับมาทุกข์อีกหลายชาติ
-- จึงเสียเวลาไปมากกว่า.. ที่เรานั้นจะฝึกฝนตนเอง !
พระยาธรรมเอย.. หากว่าเราเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 1* แล้ว
เราหมั่นฝึกฝนตนเอง สร้างความดี ทำความดี ทำความเพียร ในการประพฤติ ปฏิบัติ
- เราก็อาจจะย่นระยะเวลา จากการที่เหลือหลายภพชาติหน่อย.. ก็ลดน้อยลงมา เหลือน้อยภพชาติ กว่าที่มันเป็นปรกติของมัน
* ก็จะช่วยให้เราถึงซึ่งพระนิพพาน ไวขึ้น ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือสิ่งที่เรา ผู้ประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว
ไม่ควรชะล่าใจ !
และโดยส่วนใหญ่ เหตุนี้ - ก็จะเป็นเหตุหนึ่ง - ที่ทำให้พระโสดาบัน ต้องกลับมาเกิดอีก
.. มากชาติ หลายชาติ กว่าที่ควร
คือ หมายถึง แทนที่จะเกิดอีกชาติเดียว หรือ 2 ชาติ หรือ 3 ชาติ
-- ก็ต้องเสียเวลา กลายเป็น 4-5 หรือ 6- 7 ชาติ อย่างนั้นไปลูก !
สิ่งนี้ คือ สิ่งที่ลูกควรระลึกรู้เอาไว้
จะได้ไม่เป็นเหตุตัดรอน การที่จะประพฤติ ปฏิบัติ.. จนเข้าถึงความเป็นพระ*พระสกิทาคามี*
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเราได้รู้เช่นนี้ ตัดเหตุตัดรอนนี้ทิ้งไปแล้ว.. เราก็จะไม่ต้องเสียเวลา
เราก็จะไม่ต้องมาหลงอีก - อยู่ตรงที่ความดี.. ที่ยังไม่จบกิจแห่งการทำความดี !
เพียงแค่ได้รับอานิสงส์ คือ
/ ถึงนิพพาน แน่นอน
/ เบาบางลง จากกิเลสตัณหา
/ ทุกข์นั้น เหลือน้อยกว่าปุถุชนธรรมดาทั่วไป
พระยาธรรมเอย.. เมื่อเราตัดเหตุตัดรอนทั้งหลายเหล่านี้ทิ้งไปแล้ว..
ก็จงประพฤติ ปฏิบัติต่อไป เช่นนี้ อย่างนี้ ลูก
จงตั้งใจทำความเพียรให้มาก ++
ในแต่ละวัน จิตของตนควรตั้งมั่น อยู่ในกุศลธรรม
ในสิ่งที่เป็นความดี ควรที่จะทำจิตของตน ให้สงบขึ้น ยิ่งกว่าเดิม
โดยการหมั่นฝึกทำสมาธิ.. ให้จิตนั้น ทรงฌานสูงยิ่งกว่าเดิม
ให้จิตนั้น ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ
แล้วน้อมเอากำลังแห่งความสงบนั้น..มาคิด
พิจารณาถึงองค์พระพุทธเจ้า การเกิด - และการตรัสรู้ หนทางแห่งการพ้นทุกข์
พิจารณาถึงองค์พระพุทธเจ้า ให้ลึก ลึกยิ่งกว่าที่เคยรู้ เคยเป็น เคยเห็น เคยฟัง
พิจารณาให้ละเอียดอ่อน ถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
* เหตุที่ทำไม ต้องเป็นพระพุทธเจ้า ?
* เหตุที่จะต้องสั่งสมบารมี เพื่ออะไร ?
* ตรัสรู้ เพื่ออะไร ?
* ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เป็นแบบไหน ?
เราต้องพิจารณาให้ลึก ด้วยกำลังแห่งสมาธิของเรา
ให้เราเข้าใจองค์พระพุทธเจ้า ลึกเข้าไปอีก
เราต้องหมั่นตรึกตรองธรรม คือ พระธรรม คำสอนสั่ง
ต้องหมั่นทบทวน นำธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง มาพิจารณาให้เห็นแจ้งตาม
จนเราเข้าถึง เข้าใจธรรมในระดับที่ละเอียดขึ้น / ธรรมในระดับที่สูงขึ้น
ต้องหมั่นพิจารณา ถึงคุณพระสงฆ์ ผู้ที่
/ ประพฤติดี ปฏิบัติดี - ตามองค์พระพุทธเจ้า
/ เป็นผู้ที่เป็นพระอริยสงฆ์
/ ผู้ที่สืบทอดธรรมของพระพุทธองค์ จากยุคสู่ยุค
เห็นความประพฤติดี ที่องค์พระสงฆ์เหล่านั้น ประพฤติตามองค์พระพุทธเจ้า
เห็นความสำเร็จ ที่องค์พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น ประพฤติ ปฏิบัติ ตามองค์พระพุทธเจ้า ตามพระธรรม.. แล้วก็ได้พบความสำเร็จจริง
เห็นสิ่งที่องค์พระสงฆ์ทำไว้กับเรา
คือ วันนี้ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม องค์พระสงฆ์นั้น ก็ยังสามารถสืบทอดธรรม จนมาถึงเราทั้งหลาย
และยังสามารถประพฤติ ปฏิบัติ ให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน พระอริยเจ้าในระดับที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จนจบกิจได้
พิจารณาให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจ คุณของพระสงฆ์ ให้ลึกยิ่งกว่าเดิม..
จนตนนั้นรู้เหตุแห่งองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ อย่างแจ่มแจ้งขึ้น สว่างมากขึ้น
จิตใจเข้าถึงองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ มากขึ้น
- ย่อมใกล้พระนิพพานมากขึ้น !
เมื่อใกล้พระนิพพานมากขึ้น จิตใจย่อมเข้าสู่ฌาน - ในระดับที่สูงขึ้น
เพราะดวงจิตใดก็ตาม ที่ห่างจากกิเลสตัณหามากเท่าไร..
- ก็จะสงบเท่านั้น
- ใกล้พระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น เท่านั้น
จิตใจของลูก.. ก็จะยิ่งสงบขึ้นกว่าเดิม ++
ทีนี้ ก็จงอย่าลืมฝึกฝนตน ให้เข้าใจ เข้าถึงการรักษาศีล ว่า..เรานั้นรักษาศีลเพื่ออะไร เพราะอะไร
และทำความเข้าใจในเรื่องของศีล ให้ละเอียดลึกเข้าไปกว่าพระโสดาบัน ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ++
การรักษาศีล ข้อนี้ เพื่อประโยชน์ของการชำระกิเลสข้อใด
การที่เรานั้น ถือศีลเข้าไว้.. มันเป็นการตึงเครียดไป หนักไป !
การที่เราไม่ถือศีลเข้าไว้ สมาทานรักษาอย่างเบาๆ
มีหรือไม่มี ก็เสมอเหมือนกัน..
เพราะว่าเรา อยู่ในกรอบของความดีอยู่แล้ว..
เรานั้นรักษาศีลด้วยด้วยจิตด้วยใจแห่งเรา
มีกรอบหรือไม่มี - เราก็ไม่ละเมิด ผิดศีลอยู่แล้ว
ถือ หรือไม่ถือ - มันก็อยู่ในกรอบของความดีอยู่แล้ว
เรารักษาศีล โดยไม่ต้องมายึดถือเอาไว้ ได้แล้วหรือยัง ?
เข้าใจดีหรือเปล่า ?
ต้องพิจารณาอย่างนี้..
และจงหมั่นฝึกฝน พิจารณาตน พิจารณาการทำความดีของตน
พิจารณาว่า.. ตนนั้นรักษาศีล ทำความดี เพื่ออะไร ?
.. เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อลาภสักการะ
- หรือว่า ทำเพื่อดับกิเลสตัณหา
แล้วการทำความดีทั้งหลายเหล่านั้น ทำแล้วดับกิเลสดับกิเลสตัณหาได้อย่างไร ?
ต้องพิจารณาถึงการรักษาศีล และการทำความดีทั้งหลาย อย่างละเอียดอ่อน - มากขึ้นกว่าเดิม
ให้เรา..
เห็นชัดใน *กฎแห่งกรรม* มากขึ้นกว่าเดิม
เห็นชัดในการทำความดี เพื่อละกิเลส มากขึ้นกว่าเดิม
แล้วจงหมั่นฝึกฝนตน ให้ตนนั้น รู้แจ้งเข้าใจสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง
ฝึกการเกิด การดับ
ฝึกพิจารณากายมนุษย์ และสิ่งของทั้งหลาย..
มองให้เห็นความไม่สวยไม่งาม ที่อยู่ในความสวยงาม ให้แจ่มแจ้ง - ตามความเป็นจริง
จนจิตใจของเรา...
ไม่ลุ่มหลง ในรูปสวย
ไม่ลุ่มหลง ในกามคุณต่างๆ
เบาบางลงได้มาก.. จนเรานั้นไม่อาจไปทำในสิ่งที่ จะเป็นเหตุให้ก่อความโลภ ความหลง
.. จนตนนั้นต้องตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความทุกข์
พิจารณาเช่นนี้ละ พระยาธรรม..
ฝึกฝนตน..
จนใจของตนบริสุทธิ์
จนจิตใจห่างจากกิเลสตัณหา
จนลูกนั้น.. ทรงพลังอยู่ในความสงบ
ระลึกนึกถึงแต่การประพฤติ ปฏิบัติ
ระลึกนึกถึงแต่สิ่งที่ดี
ใจของลูก มีความเข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามเหตุ
มีความเมตตา และอภัย
เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น
จิตใจสงบ.. มุ่งตรงต่อพระนิพพาน
ฝึกฝนจนเป็นเช่นนี้.. ลูกก็สามารถเข้าถึงการเป็น*พระสกิทาคามี* ได้แล้วละ
แค่อย่าชะล่าใจ - เมื่อประพฤติ ปฏิบัติ จนถึงซึ่งความเป็นพระโสดาบัน
จงตั้งใจพิจารณา สิ่งที่เรารู้แล้ว ถึงแล้ว เข้าใจ ให้ลึก ให้ละเอียดเข้าไปอีก
จงอย่าละความเพียร
จงอย่าแอบหลงความดี ที่ตนได้มาแล้ว ในระดับที่ 1*
- จะได้ไม่เสียเวลา จะได้ย่นระยะเวลาให้สั้นลง
- จะได้ย่นเวลา พระสกิทาคามี เร็วขึ้นกว่าเดิม
- จะได้ไม่ทุกข์นาน
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. บุคคลผู้ที่ปรารถนาจะเป็น *พระสกิทาคามี*
-- ควรปฏิบัติตน เช่นดังที่กล่าวมาแล้วนั้น..
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือเปล่าเล่า.. พระยาธรรม
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
สาธุ