สมถะเป็นเหตุ =>เจโตวิมุติเป็นผล
วิปัสสนาเป็นเหตุ =>ปัญญาวิมุติเป็นผล
สมถะคือการเพ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยกำลังสติ
ขั้นต้นเพ่งที่อารมณ์(อารัมณูปณิชฌาณ)พัฒนาการไปถึงขั้นกสิณและสมาบัติ
ปฏิบัติเพื่อสงบระงับในราคะกิเลสทั้งหลายแต่ระงับไว้ได้ชั่วคราว ผู้ปฏิบัติเรียกว่า"หินทับหญ้า"ปริยัติเรียก"วิราคะ"คือเป้าหมายสูงสุด
วิปัสสนาคือการรู้ใน"สัจจะ"ตามความเป็นจริงคือณ.วินาทีปัจจุบัน
ปฏิบัติเพื่อละอวิชชาความไม่รู้ในวิชชาอริยสัจ4ด้วยกำลังของปัญญาซึ่งประกอบด้วยกำลังของสติ
เป้าหมายสูงสุดภาษาชาวบ้านเรียกว่า"ถอนรากเหง้าแห่งความไม่รู้"ปริยัติเรียกว่า"วิสังขาร"คือสิ้นความปรุงแต่ง(สูญญตา)
เมื่อกำหนดรู้ความจริงอันประเสริฐว่า
▪นี่คือทุกขอริยสัจ
▪นี่คือสมุทัยอริยสัจ
▪นี่คือนิโรธอริยสัจ
▪นี่คือมรรคอริยสัจ
▪ทุกข์นั้นควรกำหนดรู้
▪สมุทัยนั้นควรกำหนดละ
▪นิโรธการทำให้แจ้ง
▪กับมรรคจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เมื่อเห็นไตรลักษณะแสดงอาการของจิต(เจตสิก)
กาย-ใจยอมรับในสัจจะที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
จะเกิดปัญญา16ขั้นเรียกว่าญาณโสฬส ปัญญานี้จะไม่เกิดแก่ปุถุชนที่ไม่ได้เดินทางสายเอกอันประกอบด้วยมรรคมีองค์8
▪เมื่อเห็นว่ากายไม่ใช่ตน ละสังโยชน์สักกายทิฏฐิ (ความไม่ใช่ตัวตน)
▪วิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัยในธรรม)
▪สีลพตุปาทาน(การถือศีลพรตที่กลัวผิด) จิตจะเข้าสู่ภูมิจิตที่เป็นสมมุติโลกุตระว่า"พระโสดาบัน"
แล้วก็พิจารณาต่อไปอีก
อาการจิตที่ปรากฏขึ้นจะด้วยวิชา3หูทิพย์ ตาทิพย์ กายทิพย์(3สิ่งนี้เป็นอาการจิตทั้งสิ้นรู้ได้เฉพาะตน)ให้เห็นว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา
เมื่อไตรลักษณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฎขึ้น(แต่ละคนปรากฎหลายหลากมากมาย)จะเห็นสัจจะความจริงในกายนี้ใจนี้ของตน
จิตจะเกิดความเบื่อหน่ายตัวจิตเองเมื่อรู้ว่ากายนี้เป็นทุกข์ ใจ(ขันธ์5)เป็นทุกข์
เขาจะมีวิวัฒนาการดิ้นรนหาทางออกตามธรรมชาติของเขาเอง
เมื่อจิตเบื่อหน่ายมากๆจะเกิดการคลายกำหนดยินดี
ช่วงนี้กระบวนการปิดสฬายตนะ12 จะเกิดขึ้น
สฬายตนะคืออายตนภายใน6ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ ภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส รับรู้
เมื่อปิดสฬายตนะได้อุปาทานจะดับ
เมื่ออุปาทานดับตัณหาจึงดับตามกฏอิทัพปัจจยตาในปฏิจจสมุทบาท
บุคคลจะสิ้นตัณหาตรงนี้ความอยากใดๆหายสิ้นตามคำของศาสดา
ถึงตรงนี้ข้ามบุคคลจะข้ามสังโยชน์ตัวที่ 4 ราคะ
สังโยชน์ตัวที่ 5 ปฏิฆะ
กามจะสิ้นหายไปเลยเพราะเราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นที่ผิดๆอีกต่อไป
ปัญญาวิมุติในการแก้สังโยชน์เบื้องสูงขออธิบายรายละเอียดช่วงบ่ายนะ
ความคิดมี3อย่างอธิบายแบบบ้านๆ
1) คิดดี
2) คิดชั่ว
3) ไม่คิด"สักแต่คิด"
▪คิดดี ก็คือความรู้สึกที่เป็นกุศลเมื่อเกิดแล้วเราจะมีความปิติอิ่มอกอิ่มใจ
▪คิดชั่ว ก็คือความรู้สึกที่เป็นอกุศลเมื่อเกิดแล้วความเศร้าหมองจะครองจิตใจเรา
▪"สักแต่คิด"มีอยู่ใน"นิพพาน"
ปรุงคิดได้เฉพาะสิ่งที่เป็นกุศลแต่ก็ไม่ได้ยึดติด"นิรทุกข์"ความไม่มีทุกข์จึงบังเกิดขึ้น
บุคคลควรคิดแต่กุศลนะ
เพราะจะเป็นเหตุให้"วิสังขาร"เกิด
วิสังขาร ก็คือการไม่คิดฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล ว่างๆ "สูญญตา"สักแต่คิดก็จะเข้ามาเองเมื่อจิตได้ปฏิวัติตนเอง
นี่คือหลักการภาษาบ้านๆ
การทำนิพพานเลย
ถ้าคนมีปัญญาจะทำตัวต้นตอแบบพระและแม่ชีหนิง
ไตรลักษณ์จะแสดงแบบคอหมุน เพราะภาพนิมิตจะปรากฎได้น้อยมากหรือถึงไม่ปรากฎเลย
รากคือสังขาร เริ่มปฏิบัติหากพอเข้าใจปริยัติบ้างก็ขุดรากตั้งแต่เริ่มต้น รากอวิชชานี่ละ
คนส่วนมากขึ้นไปเด็ดใบ ตัดกิ่งก้าน
กานลำต้นบ้าง พระขุดรากตั้งแต่แรก ไม่คิดรู้แค่วินาทีปัจจุบัน พอรู้แล้วทิ้งทั้งหมดไม่เก็บมาคิดหรือผูกพัน
ได้ศัพท์ใหม่มานำมาใช้เลยนะ555
การที่พระหัวเราะ555
เป็นสมมุติการเบิกบาน
จงอย่าได้ยึดถือสิ่งอันใดกันนะ อย่าเก็บไปปรุง
คนที่ยังไม่เข้าใจปริยัติมักจะปรุงแต่ง เขาจะเกิดนิมิตคือสัญญาขันธ์เก่าในภพชาติอดีตผุดขึ้นมา นี่ก็สภาวะธรรมของผู้มีปัญญาอีกแบบหนึ่ง มีหลากหลายมากมาย
พระฉันไม่ถึง5นาที
ฉันได้น้อย "สักแต่ฉัน"
ไม่มีคำว่าอร่อยเกิดในลิ้นแล้ว
เพิกถอนอุปาทาน ตัณหาไม่มีกิเลสปรุงมโนวิญญาณชิวหา"ตายสิ้น"
ปฏิบัติแบบคนโง่ๆทำตามพระพุทธเจ้าสำเร็จเร็ว
คือว่างๆไว้ พระพุทธเจ้าบอกว่า รู้ แล้วละ ปล่อย วาง
ทำแค่4อย่างพอ เหาะเหิน เดินอากาศ ถอดร่าง ตาทิพย์ หูทิพย์ อวค์ ศาสดาไม่เคยสั่งให้ทำ ซ้ำยังกล่าวไว้ว่าใครทำฤทธิ์ประกอบด้วยอาสวะไม่ใช่ศิษย์เราตถาคต
คนที่ทำมากจะ"หลงนาน"
สำเร็จช้าขึ้นอยู่กับ"เหตุและปัจจัย "เพราะมีเรื่องราวของกรรมมาเกี่ยวข้อง
ใครไม่เชื่อกฎแห่งกรรมมาปฏิบัติจะรู้
เข้าไปรู้ด้วยตนเองเอานะ
เพราะ"จินตนสูตร"
ห้ามกล่าวเรื่องการเกิดตาย
เพราะไม่มีใครล่วงรู้ได้ละเอียดทั่วรอบดั่งตถาคตเจ้า
หมดดู หรือใครที่อ้างว่ารู้ว่าเห็น นั่นเป็นผู้มืดบอด ทำตนเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เป็นติรัจฉาน ขวางทางพระนิพพาน
บอกความลับให้เสขะภูมิอย่างนะ อย่าเสียเวลาเล่นฤทธิ์กันอยู่ ใช้ปัญญาพิจารณาตามคำพูดพระนะอุปมาในโลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมันต้องมีอะไรที่ดีกว่าตำแหน่งรองนายกซิ?
ไม่งั้นเขาจะสูงกว่ารึ
ข้อความตรงนี้ใช้เหตุและผลของโลกียะพิจารณาได้
แต่!!!!นิพพานใช้เหตุและผลกับนิพพานไม่ได้ต้องใช้"สัจจะ"ล้วนๆนะ ถ้าอุ้มคนนิพพานได้ องค์ศาสดาจะทำให้ทุกคนด้วยพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
แบ่งปันกันเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก้คนหมู่มาก
อาการจิตที่เห็นตัวเอง
ออกมาจากร่าง ภาษาสมมุติโลกเนียกว่า"กายทิพย์"
แล้วคนทั้งหลายก็เอาคำนี้มาทะเลาะกันเหตุมีอยู่ที่ว่า
คนที่พูด"จิตประกอบด้วยกุศล"แต่คนที่ฟัง"จิตประกอบด้วยอกุศล"เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน การทะเลาะจึงเกิดขึ้นตามธรรมที่ศาสดาได้ทรงแสดงไว้เมื่อ2500กว่าปี
ไม่ต้องบอกนะว่าพระองค์ทรงรู้เห็นได้อย่างไร
มโนเสฏฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ จกฺกํ ว วหโต ปทํ
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉะนั้น
ถ้าคนมีใจชั่ว ก็พูดชั่วหรือทำชั่วตามไปด้วย
เพราะความชั่วนั้น ทุกข์ย่อมติดตามเขาไป
มะโนปุพพัง คะมา ธัมมา
มะโนเสธฐา มะโน มะยา
เรียนธรรมใช้ใจเรียนด้วยความศรัทธา
เรียนหนังสือใช้สมองเรียนด้วยความตั้งใจ
ธีรชนคนมีปัญญาดูดีๆนะว่าจริงไหม เรียนธรรมจึงต่างกับเรียนหนังสือ
พระเคยกล่าวไว้ในกลุ่มพระอาจารย์ตานิพนธ์ท่านไว้ว่า
การทำที่สุดแห่งทุกข์ ต่อให้ด็อกเตอร์10คนที่เก่งที่สุดในโลกเอามันสมองของเขานั้นมารวมกันและกาข้อสอบง่ายๆเพียง4ทางเลือก
ก.สัญญาขันธ์
ข.สังขารขันธ์
ค.วิญญาณขันธ์
ง.นิพพาน
บุคคลเหล่านั้นจะไม่มีทางกาถูกเลยเพราะเขาเรียนมาด้วยเหตุและผลตรรกะที่เป็นสมมุติของโลก
ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นโลกุตระธรรมที่สูงและประเสริฐยิ่ง แม้แต่จะเดินทางเข้ามาพบยังแสนยากหากไม่ศรัทธาหยั่งรากลึก
ใจนี่ละจะเป็นผู้ไข
จะเป็นกุญแจไขความลับของจักวาลอย่างหาที่สุดมิได้ ตลอดอนันตกาล
นี่ถ้าหากไม่มีสมมุติภาษา
(นิรุจฌันติ)พระคงต้องวาดภาพ หรือไม่ก็เข้าทรงกันเลยนะนี่
แต่ปัญหานี้หากใช้ใจมองแล้วจะเห็นอริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐซ่อนอยู่
ผู้ข้ามฝั่งเท่านั้นที่รู้ได้
"แล้วก็ไม่มีผู้ที่ยังไม่ข้ามฝั่งคนใด"
สามารถคิดแทนขีณาสพ อริยสาวกสูงสุดของธรรมวินัยนี้ได้เลย
ขอความเจริญงอกงามในธรรมพึงมีแด่เธอทั้งหลาย
บรรยายธรรมโดย พอจ. เอโกธิภาวะ
7 มีค. 2560
"ปฏิสนธิวิญญาณ"
เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว....
ตอนนั้น"เริ่มเข้าใจ" แล้วว่า
สัมมาสมาธิ คืออะไร
จิตตั้งมั่น คืออะไร.....
แต่เพียงแค่ "เริ่มเข้าใจ"....
ก็ปฏิบัติไป.....
ล้มลุกคลุกคลานไป.....ตามเรื่อง
พยายามบริหารเวลา....
ให้สามารถทำทุกอย่างได้บริบูรณ์ครบถ้วนตามหน้าที่....
ขณะที่จิตตั้งมั่น...
ได้ "เห็น" สภาวะต่างๆ
ภายในกาย ภายในจิตมากมาย
เป็นการ "เห็น" ด้วยกำลังของสติสัมปชัญญะ หรือ "เห็น" ด้วยกำลังของสมาธิในอริยมรรค
ผ่านรูปธรรมบ้าง....นามธรรมบ้าง....
หากกำลังสติสัมปชัญญะไม่มากพอ....
ก็อาศัยดูกายที่ไหวไปมา.....ดุ๊กๆดิ๊กๆ
ดูอิริยาบถ....ไปกว้างๆ......
ดูฐานกายไป....ซึ่งเป็นกรรมฐานที่ชำนาญในช่วงนั้น
เป็นการดูไปแบบกว้างๆ.....
ได้ประโยชน์มากมาย....
ดีกว่าปล่อยร่างกายนี้ให้ชราภาพไปวันๆ
ปล่อยเวลา นาทีทอง ให้ผ่านล่วงเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์
หากกำลังสติสัมปชัญญะมากพอ....
ก็จะเห็นสภาวะนามธรรมภายในจิต......
ยิ่งกำลังสติสัมปชัญญะมากเท่าไร....
ยิ่งเห็นนามธรรมต่างๆชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น.....
ได้เห็นนามธรรมมากมาย.....
ขอเรียกรวมๆกันว่า "อาการของจิต"
เพราะมีหลากหลายเหลือเกิน
ดูไป.....
สังเกตไป....
ทันบ้าง.....ไม่ทันบ้าง.....
นำข้อมูลที่เคยสังเกตไว้มาพิจารณาดูว่า
อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล.....
ต่อมาได้ "เห็น" นามธรรมหนึ่ง....
ทราบด้วยว่าเป็นกิเลสรวมตัวกัน....
ที่จะพาเดินทางวนเวียนไปในวัฏสงสาร.....
ได้แต่เห็น....แต่ทำอะไรไม่ได้เลย.....
จึงไปกราบเรียนถามครูบาจารย์....
ท่านเมตตาสอนว่า.....
นั่นแหละคือ "ปฏิสนธิวิญญาณ" .....
(โดยส่วนตัว เห็นแต่ปฏิสนธิวิญญาณ)
วิญญาณในที่นี้....
ไม่ใช่ดวงวิญญาณ....
ไม่ได้เป็นดวงๆ ใสๆ ล่องลอยไปมา
หากเป็นนามธรรมสภาวะหนึ่ง มีลักษณะเกิด ดับ เป็นขณะๆไป.....
จาก "จุติวิญญาณ" ดวงสุดท้าย (คำขยายความง่ายๆคือตาย)
ขณะต่อไป....
คือ เคลื่อนสืบเนื่องต่อไป เป็น "ปฏิสนธิวิญญาณ" (คำขยายความคือไปเกิดใหม่)
นั่นคือ....
หากยังไม่สิ้นเชิ้อแห่งการเกิด
จักไม่มีความตายจริงๆ....
มีแต่ไปเกิดใหม่
ในร่างกายใหม่
ในขณะต่อไป
เน้นย้ำว่า.....ไม่ตายจริง.....
คือ จะหอบข้อมูลใส่Software รวมเรียกว่า "ปฏิสนธิวิญญาณ"....
ไปหาHardware คือ ร่างกายใหม่ ( A new compatible physical body ) ที่เหมาะสมกับกรรมที่ได้กระทำและสั่งสมไว้.....
เช่น สัตว์เดรัจฉานต่างๆ เทวดา พรหม มนุษย์ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เป็นต้น
ยกเว้นผู้ที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด
จนสามารถถอดถอนความเห็นผิดได้ในเบื้องต้น
และตามด้วยการละวางตัวตนได้โดยสมบูรณ์ในเบื้องปลาย
คือ ผู้ไม่มีเชื้อของการเกิดหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่เศษเสี้ยวภายในจิต........
เมื่อละธาตุขันธ์.....
ทิ้งร่างกายนี้แล้ว....
ไม่มีเชื้อแห่งการเกิด.....
ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ......
ไม่เกิดการสืบต่อ.....
จึงสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด...ในที่สุด
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และอาจาริยบูชา
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน
130363
#ปฏิสนธิวิญญาณ
< วิปัสสนาภูมิ 6 คืออะไร >
วิปัสสนาภูมิที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น มีอยู่ 6 ภูมิด้วยกัน เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ 6 แต่เมื่อย่อวิปัสสนาภูมิลงแล้ว คงได้ 2 อย่างคือ รูปธรรม กับ นามธรรม กล่าวสั้นๆ ว่า รูป-นาม
การเจริญวิปัสสนานั้น จะต้องมีเฉพาะรูปนามเท่านั้นเป็นอารมณ์หรือเป็นกรรมฐาน หรือเป็นที่ตั้งของวิปัสสนา เรียกว่า ทางเดินของวิปัสสนาคือ รูปนามเท่านั้น
เฉพาะคำว่า วิปัสสนา แปลว่าเห็นแจ้ง, เห็นวิเศษ ซึ่งได้แก่ ตัวปัญญานั่นเอง แต่ปัญญาในที่นี้ เป็นความรู้เห็นแจ้ง เห็นวิเศษ หมายถึงว่าเป็นความรู้เห็นของจริง ตามเป็นจริง ของจริงก็คือรูปนาม ตามความเป็นจริงก็คือ รูปนามมีสภาพ อนิจจัง คือไม่เที่ยง ทุกขัง คือเป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้นการเจริญวิปัสสนา ก็ต้องกำหนดรู้อยู่ที่รูปนาม ตามเป็นจริงว่า มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และบังคับบัญชาไม่ได้
1) ขันธ์ 5 คือ กองทั้ง 5
2) อายตนะ 12 คือสะพานเครื่องเชื่อมต่อให้เกิดความรู้ มี 12
3) ธาตุ 18 คือ สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน มี 18
4) อินทรีย์ 22 คือ ความเป็นใหญ่ มี 22
5) อริยสัจจะ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ มี 4
6) ปฏิจจสมุปบาท 12 คือ ความประชุมพร้อมด้วยเหตุผล มี 12
ย่อลงเหลือ รูปกับนาม
❝ ธรรมะนี้
มันไปจบลงที่เรื่อง “ไม่มีตัวตน”
คือเรื่อง “อนัตตา”
.
ถ้ายังมีอัตตา มีตัวตนอยู่ ยังไม่จบ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาชั้นดี ชั้นเลิศชั้นประเสริฐ ชั้นมั่นคงอะไร ก็ยังไม่จบมันยังมีตัวตนอยู่ จิตที่ยังรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ก็เป็นจิตที่แบกของหนัก ❞
.
พุทธทาสภิกขุ
---------------------------------
อัตตา - อัตตนียา
อหังการ - มมังการ
ตัวกู - ของกู
.
❝ เราจะพิจารณากันว่า "ตัวเรา-ของเรา" นี้ มันทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมาอย่างไร
แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร
เริ่มตั้งแต่ชั้นที่จะทำลายตัวเราชนิด
อันชั่วร้าย ให้เหลืออยู่แต่ตัวเราชนิด
ที่ดีๆ แล้วค่อยๆบรรเทายึดถือใน
ตัวเราชั้นดีให้น้อยลงๆ จนกระทั่งถึง
ขั้นสุดท้าย คือไม่มีความรู้สึกของ
"ตัวเรา-ของเรา"
ชนิดใดๆ เหลืออยู่ในใจเลย
.
เรื่องมันก็จบกันเพียงเท่านี้ และเป็นการจบเรื่องหมดทั้งพระไตรปิฎก หรือทั้งหมดในพระพุทธศาสนา แล้วผู้นั้น
ก็จะประสบสันติสุขอันถาวร
ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นไร
.
เพราะสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา-ของเรา" นี้
มันเป็นเหตุของความทุกข์ทุกอย่าง
สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" และ "ของเรา" นี้
ก็มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า "อหังการ"
และ "มมังการ" ถ้าเป็นคำทางจิตวิทยา
จะเรียกว่า "อัตตา" และ "อัตตนียา"
ก็ได้ ทั้งหมดนี้
ก็หมายถึง จิตที่กำลังกลัดกลุ้ม
อยู่ด้วยความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวจัด
กำลังดิ้นรนทุกอย่างเพื่อจะทำ
ตามใจตน โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม
หรือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ
.
"อุปาทาน"
คือการยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น
ยึดมั่นในเบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจ รวมกันว่าเป็น "ตัวตน"
และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ
อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น "ของตน"
หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็
ยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น "ตัวเรา"
แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย
ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด
สี่อย่างนี้ว่าเป็น "ของเรา"
.
" เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน นั่นแหละ
เป็นตัวทุกข์ "
ฉะนั้น คนที่มีอุปาทานยึดมั่นว่า
"ตัวเรา" ว่า "ของเรา"
จึงมีเบญจขันธ์ที่เป็นทุกข์ คือ
แสดงอาการที่ทนได้ยากแก่บุคคลนั้น
และแสดงอาการที่น่าเกลียด น่าเอือมระอา แก่บุคคลที่ได้พบเห็นทั่วไป
.
ส่วนเบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้น หาเป็นทุกข์ไม่
.
ฉะนั้น คำว่า บริสุทธิ์ หรือ หลุดพ้น จึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า "ตัวเรา" ว่า "ของเรา" นี้โดยตรง
ดังมีพระพุทธภาษิตว่า
"คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้น
เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"
ถ้ายังมีอุปาทานก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา-ของเรา"
นั่นแหละเป็นบ่วงทุกข์ ที่คล้องหรือ
ร้อยรัดผูกพันเราทั้งหลายอยู่ ถ้าเรา
ตัดบ่วงนี้ให้ขาดไม่ได้ อยู่เพียงใด
เราก็จะต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป ❞
.
- พุทธทาสภิกขุ -
นิพพานคืออะไร...
ว่าโดยย่อ นิพพาน หมายถึงความพยศหมดไป... หรือ ความมีมานะ ทิฎฐิ หมดไป หรือ ความมี โทสะ โมหะ โลภะ หมดไป หรือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน หมดไป มีแต่ความ "ปกติ" หรือว่า "ว่าง" นี่แหละ...นิพพาน...
พระนิพพานอยู่ที่ใจ... พระนิพานมีอยู่ในคนทุกๆคนไม่ยกเว้น เพียงแต่ว่า คนๆนั้นจะทำให้ มรรค ผล นิพพาน ปรากฎ เกิดขึ้น หรือไม่ ....เท่านั้นเอง...
....หลวงพ่อเทียน....
อินทรีย์ 5 คือ ธรรมที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในอารมณ์
1. สันธินทรีย์ คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่
2. วิริยินทรีย์ คือ ความเพียรเป็นใหญ่
3. สตินทรีย์ คือ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบันเป็นใหญ่
4. สมาธินทรีย์ คือ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
5. ปัญญินทรีย์ คือ ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้ง
สมาธิ คือ จิต ที่แน่นอยู่ในอารมณ์เดียวเรียกว่า “สมถะ”
จิต ที่ไม่ติดต่อกับสิ่งใด มีความสะอาด ปราศจากอารมณ์ภายนอก มีสติสัมปชัญญะ รู้รอบคอบ ปลดปล่อยอารมณ์เสียได้ เรียกว่า “วิปัสสนา”
เมื่อสมาธิ ซึ่งประกอบด้วยวิปัสสนาเกิดขึ้น ความเป็นใหญ่ เป็นอิสระในตัวทั้ง ๕ อย่างก็จะบังเกิดขึ้นพร้อมกันคือ
๑. ”สัททินทรีย์” ศรัทธาความเชื่อก็เข้มแข็งมั่นคง ใครจะมาพูดดีหรือไม่ดีอย่างไร ใจก็ไม่หวั่นไหว
๒. “วิริยินทรีย์” ความพากเพียรก็แก่กล้า ถึงใครจะมาสอนให้หรือไม่สอนให้ ก็ทำไปเรื่อย ไม่ท้อถอยหรือหยุดหย่อน
๓. “สตินทรีย์” สติก็เป็นใหญ่ เป็นมหาสติ ไม่ต้องไปข่มไปบังคับ มันก็แผ่จ้ากระจายไปทั่วตัวเหมือนต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านใบของมันย่อมจะแผ่สาขาลงมาคลุมลำต้นของมันไว้ และพัดกระพือขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครไปจับเขย่าหรือดึงยอดมันลงมา ความรู้ของเราก็จะจ้าไปหมด ทั้งยืนเดิน นั่ง นอนทุกอิริยาบถ มันรู้ของมันได้เองโดยไม่ต้องไปนึก ความรู้รอบอย่างนี้แหละเรียกว่า ”มหาสติปัฏฐาน”
๔. “สมาธินทรีย์” สมาธิของเราก็เป็นใหญ่ จะทำอะไร ๆ อยู่ก็ตาม จิตก็ไม่มีวอกแวก ถึงจะพูด จะคุยกันให้ปากอ้าออกไปตั้งวา ใจก็คงที่เป็นปกติอยู่ กายมันจะอยากกิน อยากนอน อยากนั่ง อยากยืน อยากเดิน อยากวิ่ง อยากนึก อยากคิด อยากพูด อยากทำก็ทำไป ช่างมัน หรือว่ากายมันจะเจ็บ จะป่วย จะปวด จะเมื่อยที่ตรงไหนก็ให้มันเป็นไป จิตใจก็ตั้งเที่ยงอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่วอกแวกไปทางอื่น
๕ “ปัญญินทริย์” ปัญญาความฉลาดรู้ก็เป็นให้เกิดขึ้นในตนเอง อาจสามารถที่จะทำดวงจิตของตนให้บรรลุธรรมสำเร็จมรรคผลเป็นโสดา สกิทาคา อนาคาจนถึง อรหันต์ ก็ได้
-:- ท่านพ่อลี ธมฺมธโร -:-
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ