พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ 192 **อุปสมานุสติ แบบที่ ๑**
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ 4 ตุลาคม 2560
.....................................
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าทูลถามธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูก จะขอทูลถามถึงกรรมฐาน กองที่ 30 แบบที่ 1* การทรงอารมณ์ไว้ในอารมณ์ของพระนิพพาน หน่ะเจ้าค่ะ
เราจะต้องทำยังไง แบบไหน.. เราจะได้เข้าทรงอารมณ์ไปทรงในอารมณ์นิพพาน หรือเข้าถึงอารมณ์ของพระนิพพาน - ในการทำสมาธิ ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่คนเรานั้น จะเอาอารมณ์แห่งนิพพาน ขึ้นมาเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตของเรา ตั้งมั่นในอารมณ์นั้น.. เพื่อก่อเกิดฌานสมาธิ
เราต้องรู้จัก อารมณ์ในนิพพานเสียก่อน อย่างนั้นใช่หรือเปล่าลูก
พระยาธรรม :: เจ้าค่ะ แน่นอนว่าเราต้องรู้จักก่อน หากมิเช่นนั้นแล้ว เราก็จะนึกไม่ได้
เช่น ถ้าเราไม่รู้จักก้อนหิน เขาบอกให้เรานึกถึงก้อนหิน
เราก็คงไม่รู้หละเจ้าค่ะ ว่าก้อนหินมันเป็นยังไง
พระพุทธองค์ :: ถ้าอย่างนั้น เรามาทำความรู้จัก กับ ดินแดนพระนิพพาน กับอารมณ์ของพระนิพพาน ให้ดีเสียก่อน..
.. แล้วจึงค่อยเริ่มทำอารมณ์แห่งพระนิพพาน
หรือค่อยเอาอารมณ์ของพระนิพพาน มาเป็นอารมณ์ของการทำสมาธิ นะลูก
สาธุเจ้าค่ะ ขอพระพุทธองค์โปรดชี้ทางด้วยเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอ๋ย.. อารมณ์แห่งพระนิพพาน มีหลายรูปแบบ ที่เรานั้น.. จะใช้จิตใช้ใจของเรา สัมผัสในอารมณ์ นะลูก
เช่น แสง แสงพลังสว่างไสว จากดินแดนพระนิพพาน
คลื่นพลังงาน ที่เย็น ที่สบาย.. ที่มาจากดินแดนพระนิพพาน
องค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า ที่อยู่ในดินแดนพระนิพพาน ก็สามารถเป็นคลื่น เป็นอารมณ์แห่งนิพพานได้ เช่นเดียวกัน
เพราะว่าเรา เมื่อนึกถึง หรือน้อมพลังจากที่ตรงนั้น
เท่ากับว่า คลื่นพลังแห่งดวงจิต ที่อยู่ในดินแดนพระนิพพานนั้น.. ก็เป็นอารมณ์แห่งนิพพาน หรือว่ามีคลื่นพลังแห่งอารมณ์ของนิพพาน.. ส่องมา
หรือว่า เรานั้นจะพิจารณาการตัด ตัดการมีตัว มีตนของเรา
สลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่..
- ให้เจอแต่"ความว่างเปล่า"
- ให้เหลือแต่"ความไม่มี"
แล้วก็โยกจิตของตน ไปอยู่ระหว่าง“มี กับไม่มี” ..อย่างนั้นก็ได้
หรือว่า เราจะทบทวนชำระล้าง ดับความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
เพื่อที่จะได้หมดจากตัวของเราไป
- ในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย.. หมดจากตัวของเราไป
- เชื้อแห่งการเกิด ก่อภพก่อชาตินั้น.. หมดไป
-- เราก็จะเข้าไปถึง อารมณ์แห่งพระนิพพานได้ เช่นเดียวกัน
พระยาธรรมเอย.. สิ่งที่ได้กล่าวมานี้แหละลูก คือ อารมณ์แห่งนิพพาน ที่เราจะหยิบจะยกขึ้นมาเป็นอารมณ์
ในการพิจารณาตั้งมั่น เพื่อเข้าถึงกำลังของฌาน
และยังมีอีกเยอะแยะมากมายเลย.. ที่เราสามารถน้อมนึก ยกขึ้นมาเป็นอารมณ์ แทนคำว่า *นิพพาน*
แล้วให้เราเข้าไปสู่ฌานได้.. ลูก
หลับตาเบาๆ ไม่ต้องกดข่มลูกตาตนเอง
หลับตา เหมือนตอนที่เรากำลังจะหลับ ผ่อนคลายความคิด
ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มี ไม่คิด ไม่สนใจกับมัน
แล้วก็นั่งให้สบาย ผ่อนคลายร่างกายของตน ให้เบา ให้สบาย
-- ไม่ต้องนึกถึงสิ่งใด ทั้งหมดทั้งสิ้นเลย...
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออก
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออก
ทำอยู่อย่างนี้ จนกายของลูกนั้น ผ่อนคลาย.. เบา
ทีนี้ให้แบมือทั้ง 2 ข้าง วางไว้ที่หัวเข่านะลูก
พร้อมที่จะน้อมรับเอา"พลังแสงทิพย์"ทั้งหลาย จากดินแดนพระนิพพาน
... เข้ามาแตะที่ตัวของเรา สัมผัสที่กายของเรา ..
เราก็พร้อมน้อมพลังแล้ว..
หายใจเข้าเบาๆ หายใจออกเบาๆ
เอาหละนะ พระยาธรรม.. ทีนี้ลูกได้เข้าใจแล้วว่า.. การที่เราน้อมนึกถึง ดินแดนของพระนิพพาน
หรือว่า อารมณ์แห่งนิพพาน เป็นอารมณ์นั้น
เราต้องหยิบยกอะไรมา จึงเรียกว่า *อารมณ์แห่งพระนิพพาน*
ทีนี้ ลองเลือกมาสักสิ่งหนึ่ง ที่ลูกนั้นสะดวก พร้อมที่จะทำ และคิดว่าทำได้ง่ายดูซิ
ลูกลองทำดู ว่าจะทำได้หรือเปล่า ?
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้น หนูเลือกเอาพลังแสงพุทธบารมี จากดินแดนพระนิพพาน
แล้วก็เอา *องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า* ในดินแดนพระนิพพาน เป็นอารมณ์ เจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์ โปรดทรงแสดงธรรมนี้ ให้หนูได้ปฏิบัติตามด้วย
หนูจะได้รู้หนทาง ว่าเราจะน้อมนึกแบบไหน ยังไง ? น่ะเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็นั่งให้สงบนะลูก
ผ่อนคลายจิตใจของเรา ให้ว่างๆ แล้ว..
เราก็มานึกถึงว่า จักรวาล วัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด คือ.. สิ่งที่สมมุติว่า "มี"
ส่วนดินแดนพระนิพพานนั้น คือที่..ที่มี กับ ไม่มี - เสมอเหมือนกัน
และโดยส่วนใหญ่แล้ว สภาวธรรมของที่นั่น ก็จะเปรียบเสมือนความว่าง ความโล่ง ความไม่มี
ที่นั่น..
ไม่มีความหนัก ความเหนื่อย
ไม่มีสิ่งที่เป็นของหยาบ
ไม่มีความคิดที่หนัก ที่เคลือบด้วยความลุ่มหลง
ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงสมมุติ ว่าว่างเปล่าก็ได้
หรือว่าเทียบกับ การไม่มี
เทียบกับสิ่งที่มันเบา ที่มันสบาย ที่มันละเอียดอ่อนมาก.. อย่างนั้นก็ได้
อารมณ์ของจักรวาลวัฏสงสาร หรือสิ่งที่อยู่ในจักรวาลนี้ คือ ความมี
คือ สิ่งที่จับต้องได้ด้วยมือ ด้วยตัวของเรา
คือ สิ่งที่หนัก ที่เหนื่อย ที่ร้อน ที่ทุกข์ ที่ทรมาน..
ส่วนอารมณ์แห่งนิพพาน คือ ที่ที่ว่าง โล่ง เบา และสบาย
ปราศจากความหนัก ความเหนื่อย
ความทุกข์ ความร้อนใดๆ ไม่มี..
-- สองอารมณ์นี้ - มันแตกต่างกัน --
เมื่อเรานี้..ยังถูก “ความมี” คือ การยึดติด ลุ่มหลง - ครอบงำอยู่
จิตของเรา.. ก็ถูกคลื่นพลังความมี โลกแห่งสิ่งสมมุติ
ที่มันหนัก มันเหนื่อย
มันร้อน มันดิ้นรน ขวนขวาย
- คลื่นนั้น คลุมเราเอาไว้ -
ถ้าเกิดว่าเมื่อไร ที่จิตของเรานี้ - ละจากความหลง ละจากการยึดตัวยึดตน ยึดสิ่งที่มี..
เราก็จะถูกคลื่นพลังที่ดี ครอบเอาไว้ให้เรา เบา..สบาย
/ ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง
/ ไม่มีความหนัก ความเหนื่อย
/ ไม่มีความทุกข์ยาก ลำบากอะไร
นี่หละ คือ ข้อแตกต่างระหว่างวัฏสงสาร กับคลื่นพลังงานของดินแดนพระนิพพาน
ตอนนี้ เราจะทิ้งคลื่นแห่งความทุกข์ / คลื่นแห่งวัฏสงสาร "การมี" เหน็ดเหนื่อยต่างๆ ทิ้งไป..
เราจะน้อมเอาพลังอันบริสุทธิ์ จากดินแดนพระนิพพาน
เราจะนำพาจิตของเรา เข้าไปสู่โลกแห่ง “ความไม่มี”
ทีนี้ เราก็ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่.. เพียงแต่ว่าเราแยกคลื่นไม่ดีออกไป
นำพาจิตของเรา เข้าสู่คลื่นที่ดี
แล้วเรา.. ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า..
* อานิสงส์ผลบุญใด ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้สร้างได้สั่งสมทำมาแล้ว
ขอพลังอานิสงส์ผลบุญนั้น.. จงช่วยให้จิตของข้าพเจ้า ได้เข้าถึงพลังบริสุทธิ์
พลังแห่งดินแดนพระนิพพาน ด้วยเถิด *
ขอถึงพลังที่ดีนั้น.. จงเข้ามากระทบที่กาย ที่จิต ที่ใจ ของข้าพเจ้า
เพื่อนำทางข้าพเจ้า.. เข้าสู่โลกแห่งความสงบ ในดินแดนพระนิพพาน ด้วยเถิด **
เราอาจจะอธิษฐานเช่นนี้ หรือว่าอาจจะอธิษฐาน ว่า..
* ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมถึงพลังพุทธบารมี พลังความสุข ความบริสุทธิ์ จากดินแดนพระนิพพาน
.. อย่างนี้ก็ได้
หรือว่าจะอธิษฐานตามรูปแบบต่างๆ ที่เป็นสิ่งที่ดี ที่จะพาให้จิตของเรานั้น..
น้อมนึกถึง *ดินแดนแห่งความสงบสุข*
เมื่อเราอธิษฐานเช่นนี้แล้ว.. เราก็ยังคงนั่งนิ่งต่อไป
เอาจิตเอาใจของเรา ค่อยๆสัมผัสกับพลังที่เย็น - ที่ลงมากระทบที่ฝ่ามือซ้าย และฝ่ามือขวา
ค่อยเอาจิตเอาใจของตน - สัมผัสกับพลังที่เย็น ที่เบา และสบาย
.. ที่เข้ามาแตะ ที่กายของเรา...
บางคน อาจจะเริ่มเห็นแสงสว่าง เป็นแสงสีขาวบ้าง
เป็นหลากหลายสี ที่เป็นแสงส่องประกายเจิดจ้า..ลงมา
จิตของเรายังคงตั้งมั่น น้อมพลังพุทธบารมีอยู่เช่นนั้น.. จนแสงสีขาวๆนั้นหายไป
แสงที่หลากหลายสีนั้น ค่อยๆจางหายไป..
จนเรารู้สึกว่า ไม่ใช่แค่แสงสีขาว ที่ส่องลงมาแล้ว…
คล้ายคลึงกันกับว่า ที่นั่น.. เป็นโลกที่มีก้อนเมฆ
เป็นโลกที่มีแต่ แสงสว่างระยิบระยับ - อยู่ในก้อนเมฆ
เป็นพื้นดินที่สว่าง
เป็นโลกที่สว่างไสว
- เคลื่อนลงมาคลุมกายของเรา
คล้ายคลึงกันกับว่า..กลุ่มเมฆสีขาว สว่างไสวนั้น.. ค่อยๆเคลื่อนลงมาอุ้มตัวของเราขึ้นไป..
เมื่อเรารู้สึกว่า.. เหมือนตัวเบา ลอยขึ้นไป
เราก็จะรู้สึกถึงคลื่นพลังงานที่บริสุทธิ์ ที่อยู่ในดินแดนพระนิพพาน -
เราก็จะรับถึงคลื่นพลังงาน จากองค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า
กายของเราเริ่มเปลี่ยน เริ่มเป็นแก้วใส ทรงพลังเอาไว้ อยู่ในดินแดนความสงบสุขแห่งนั้น
ที่นั่น สงบ ปราศจากคลื่นแห่งกิเลสตัณหา
ที่นั่น สว่างไสว
ที่นั่น เบา และสบาย ละเอียดอ่อนยิ่งนัก
ซึ่งทุกคนต้องประพฤติ ปฏิบัติเอง เข้าไปเอง สัมผัสเอง
เพราะบางสิ่งบางอย่าง ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ว่า.. มันมีความรู้สึกแบบไหน ยังไง ?
นอกจากต้องทำเอง - ให้ถึงจุดนั้น !
... ทำเช่นนี้ อย่างนี้ก็ได้หละ.. พระยาธรรม
น้อมสัมผัสโลกที่มี กับโลกที่ไม่มี ให้เราเห็นความแตกต่างของคลื่นพลังงานจากโลกที่มี / และโลกที่ไม่มี
แล้วเราค่อยทิ้งโลกแห่งสิ่งสมมุติทั้งหลาย ทิ้งไป
แล้วเราค่อยน้อมจิตใจของเรา.. เข้าสู่โลกแห่งความไม่มี
และโลกแห่งความไม่มี ก็จะค่อยๆพาให้เรา.. เข้าไปสัมผัสกับ
* สิ่งที่อยู่เหนือคำว่า มี และไม่มี
* สิ่งที่มันเป็นสุข สุขอย่างละเอียดประณีต ที่ไม่เหมือนสุขในโลกของเรา
* สิ่งที่มันมีก็ได้ ไม่มีก็ได้
* สิ่งที่สุดวิเศษ
* สิ่งที่ไม่อาจอธิบาย ให้คนที่ไม่สามารถเข้าไปถึง - เข้าใจได้โดยทั้งหมด
เราจะเข้าไปรู้ และสัมผัส
ทรงอารมณ์สมาธิไว้ใน *ดินแดนพระนิพพาน*.. เช่นนี้ อย่างนี้หละลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง.. พระพุทธเจ้าค่ะ
สาธุ