#ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกฉบับฉบับหลวงปู่เทพโลกอุดร
บอกเล่าให้ลูกหลานรู้ไว้ ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกแต่งโดยหลวงปู่เทพโลกอุดร.
ตามประวัติเล่าขานสืบทอดมาบอกว่า ต้นฉบับเดิมเปิดกรุได้ที่เมืองสวรรค์โลก จารเป็นอักษรขอม จารึกไว้ในใบลาน โบราณาจารย์จึงได้แปลเป็นอักษรไทย หลวงธรรมาธิกรณ์ (พระภิกษุแสง - ศิษย์หลวงปู่ใหญ่) ได้มาแต่พระแท่นศิลาอาสน์ มณฑลพิษณุโลก มีคำกล่าวในหนังสือนำนั้นว่า "ผู้ใดมียอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกไว้ประจำบ้านเรือน มีอานิสงส์ยิ่งกว่าได้สร้างพระเจดีย์ทองคำสูงเทียมเทวโลกและป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ทำมาหากินเจริญ ฯลฯ"
ต่อไปนี้คือ บทสวดยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก บทประพันธ์โดย หลวงปู่เทพโลกอุดร ร้อยเรียงจากใจความสำคัญที่สุดในพระไตรปิฎก. มีอานุภาพมหาศาล แม้สวดคาถาอื่นใดทุกวันเป็นเวลาร้อยปียังสู้สวดพระคาถานี้เพียง 1 จบมิได้ อานิสงส์ครอบจักรวาล ให้ลูกหลานจงหมั่นสวดด้วยใจเคารพบูชา นะลูกหลานเอ๊ย๚ (ฉบับที่หลวงปู่ใหญ่เผยแพร่คราวนี้มีแปลเป็นภาษาไทยให้คนยุคนี้เข้าใจด้วย)
------------------------
๑. อิติปิโสภะคะวา อะระหัง วะตะ โสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วะตะโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน วะตะโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา สุคะโต วะตะโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา โลกะวิทู วะตะโสภะคะวา ฯ
๒. อะระหันตัง สะระณังคัจฉามิ อะระหันตัง สิระสานะมามิ สัมมาสัมพุทธัง สะระณังคัจฉามิ, สัมมาสัมพุทธัง สิระสานะมามิ วิชชาจะระณะสัมปันนัง สะระณังคัจฉามิ วิชชาจะระณะสัมปันนัง สิระสานะมามิ, สุคะตัง สะระณังคัจฉามิ, สุคะตัง สิระสานะมามิ โลกะวิทุง สะระณัง คัจฉามิ, โลกะวิทุง สิระสานะมามิ
๓. อิติปิโสภะคะวา อะนุตตะโร วะตะโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา ปุริสะทัมมะสาระถิ วะตะโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา สัตถารัง เทวะมะนุสสานัง วะตะโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา พุทโธ วะตะโสภะคะวา ฯ
๔. อะนุตตะรัง สะระณังคัจฉามิ อะนุตตะรัง สิระสานะมามิ ปุริสะทัมมะสาระถิ สะระณังคัจฉามิ, ปุริสะทัมมะสาระถิ สิระสานะมามิ, สัตถาเทวะมะนุสสานัง สะระณังคัจฉามิ, สัตถาเทวะมะนุสสานัง สิระสานะมามิ พุทธัง สะระณังคัจฉามิ พุทธัง สิระสา นะมามิ อิติปิโสภะคะวา ฯ
๕. อิติปิโสภะคะวา รูปะขันโธ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา เวทะนาขันโธ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา สัญญาขันโธ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา สังขาระขันโธ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ฯ อิติปิโสภะคะวา วิญญาณะขันโธ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ฯ
๖. อิติปิโสภะคะวา ปะถะวีจักกะวาฬะ จาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาทิยานะ สัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา เตโชจักกะวาฬะ จาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาทิยานะ สัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา วาโยจักกะวาฬะ จาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาทิยานะ สัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา อาโปจักกะวาฬะ จาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาทิยานะ สัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา อากาสะจักกะวาฬะ จาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาทิยานะ สัมปันโน ฯ
๗. อิติปิโสภะคะวา ยามา ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ตุสิตา ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา นิมมานะระติ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา กามาวะจะระ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา รูปาวะจะระ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ
๘. อิติปิโสภะคะวา ปะฐะมะฌานะ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา ทุติยะฌานะ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา ตะติยะฌานะ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโสภะคะวา จะตุตถะฌานะ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ
๙. อิติปิโสภะคะวา ปัญจะมะฌานะ อากาสานัญจายะตะนะ เนวะสัญญานา สัญญายะตะนะ อะรูปาวะจะระธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโสภะคะวา ฉัฏฐะมะฌานะ วิญญานัญจายะตะนะ เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ อะรูปาวะจะระธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโสภะคะวา สัตตะมะฌานะ อากิญจัญญายะตะนะ เนวะสัญญานา สัญญายะตะนะ อะรูปาวะจะระธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโสภะคะวา อัฏฐะมะฌานะ เนวะสัญญานายะตะนะ อะรูปาวะจะระธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ
๑๐. อิติปิโสภะคะวา โสตาปัตติมัคคะธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา สะกิทาคามิปัตติมัคคะธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา อะนาคามิปัตติมัคคะธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา อะระหัตตะปัตติมัคคะธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ
๑๑. อิติปิโสภะคะวา โสตาอะระหัตตะผะละธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา สะกิทาคามิอะระหัตตะปัตติผะละธาตุ สัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ อิติปิโสภะคะวา อะนาคามิอะระหัตตะปัตติผะละ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโน ฯ
๑๒. กุสะลาธัมมา อิติปิโสภะคะวา อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ ชมภูทีปัญจะ อิสสะโร กุสะลาธัมมา นะโมพุทธายะ นะโมธัมมายะ นะโมสังฆายะ ปัญจะพุทธา นะมามิหัง อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ สังวิธาปุกะยะปะ อุปะสะชะสุเห ปาสายะ โสโส สะสะ อะอะอะอะนิ เตชะสุเนมะภูจะนาวิเว อะสัมวิสุโล ปุสะพุภะ อิสะวาสุ สุสะวาอิ กุสะลาธัมมา จิตติวิอัตถิ ฯ
๑๓. อิติปิโสภะคะวา อะระหัง อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ สาโพธิปัญจะ อิสะโรธัมมา ฯ
๑๔. กุสะลาธัมมา นันทะวิวังโก อิติสัมมาสัมพุทโธ สุคะลาโน ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ จาตุมะหาราชิกา อิสะโร กุสะลาธัมมา อิติ วิชชาจะระณะสัมปันโน อุอู ยาวะ ตาวะติงสา อิสะโร กุสะลาธัมมา นันทะปัญจะ สุคะโต โลกะวิทู มะหาเอโอ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ ยามาอิสะโร กุสะลาธัมมา พรหมมา สัททะปัญจะ สัตตะสัตตา ปาระมี อะนุตตะโร ยะมะกะขะยาวะชีวัง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ ฯ
๑๕. ตุสิตา อิสะโร กุสะลาธัมมา ปุยะปะกะ ปุริสะทัมมะสาระถิ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ ฯ
๑๖. นิมมานะระติ อิสะโร กุสะลาธัมมา เหตุโปวะ สัตถาเทวะมะนุสสานัง ตะถะยาวะชีวัง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ ฯ
๑๗. ปะระนิมมิตตะอิสสะโร กุสะลาธัมมา สังขาระขันโธ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ พุทธะ ปะผะยาวะชีวัง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ ฯ
๑๘. พรหมมาอิสสะโร กุสะลาธัมมา นัตถิปัจจะยา วินะปัญจะ ภะคะวะตา ยาวะนิพพานัง สะระณังคัจฉามิ นะโมพุทธัสสะ นะโมธัมมัสสะ นะโมสังฆัสสะ พุทธิลาโภ กะลากะระกะนา เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ ฯ
๑๙. นะโมพุทธัสสะ นะโมธัมมัสสะ นะโมสังฆัสสะ วิตติ วิตติ วิตติ มิตติ มิตติ มิตติ จิตติ จิตติ วัตติ วัตติ มะยะสุ สุวัตถิ โหตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ ฯ
๒๐. อินทะสาวัง มะหาอินทะสาวัง พรหมมะสาวัง มะหาพรหมมะสาวัง จักกะวัตติสาวัง มะหาจักกะวัตติสาวัง เทวาสาวัง มะหาเทวาสาวัง อิสิสาวัง มะหาอิสิสาวัง มุนีสาวัง มะหามุนีสาวัง สัปปุริสะสาวัง มะหาสัปปุริสะสาวัง พุทธะสาวัง ปัจเจกะพุทธะสาวัง อะระหัตตะสาวัง สัพพะสิทธิ วิชชาธะรานังสาวัง สัพพะโลกา อิริยานังสาวัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ ฯ
๒๑. สาวัง คุณัง วะชะพะลัง เตชัง วิริยัง สิทธิกัมมัง ธัมมัง สัจจัง นิพพานัง โมกขัง คุยหะกัง ทานัง สีลัง ปัญญานิกขัง ปุญญัง ภาคะยัง ยะสัง ตัปปัง สุขัง สิริรูปัง จะตุวิสะติเทสะนัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ ฯ
๒๒. นะโม พุทธัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม อิติปิโส ภะคะวา ฯ
๒๓. นะโม พุทธัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม
๒๔. นะโม ธัมมัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม
๒๕. นะโม ธัมมัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
๒๖. นะโม สังฆัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ วาหะปะริตตัง ฯ
๒๗. นะโม พุทธายะ มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ยาวะตัสสะหาโย นะโม อุอะมะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา อุอะมะอะ วันทา นะโมพุทธายะ นะอะกะติ นิสะระนะ อาระปะขุธัง มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ฯ
๒๘. (บทอธิษฐานให้ประจักษ์ผล) สัพพะทุกขา สัพพะภะยา สัพพะโรคา วินัสสันตุ ๚
------------
สวดแล้ว พึงเจริญจิตตาม #คำแปล เถิด
๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้รู้แจ้งโลก พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
๒. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เองโดยชอบว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เอง ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ด้วยเศียรเกล้า
๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นอนุตตะโร คือ ยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตื่นจากกิเลส
๔. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็น ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ด้วยเศียรเกล้า
๕. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น รูปขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เวทนาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สัญญาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สังขารขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น วิญญาณขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว
๖. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ดินจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ไฟจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ลมจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ น้ำจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ อากาศจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์
๗. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นยามา พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นดุสิต พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นนิมมานรดี พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในกามาวจรภูมิ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ
๘. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ปฐมญาน พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ทุติยญาน พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ตติยญาน พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ จตุตถญาน พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ปัญจมญาน
๙. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ อากาสานัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ วิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ อากิญจัญญายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ
๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระโสดาปัตติมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระสกิทาคามิมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอนาคามิมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอรหัตตมรรค
๑๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระโสดาปัตติผล และ พระอรหัตตผล พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระสกิทาคามิผล และ พระอรหัตตผล พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอนาคามิผล และ พระอรหัตตผล
๑๒. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นอิสสระแห่งชมภูทวีป ธรรมะฝ่ายกุศล ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ด้วยหัวใจพระวินัยปิฎก ด้วยหัวใจพระสุตตันตปิฎก ด้วยหัวใจพระอภิธรรมปิฎก ด้วยมนต์คาถา ด้วยหัวใจมรรคสี่ ผลสี่ และ นิพพานหนึ่ง ด้วยหัวใจพระเจ้าสิบชาติทรงแสดงการบำเพ็ญบารมีสิบ ด้วยหัวใจพระพุทธคุณเก้า ด้วยหัวใจพระไตรรัตนคุณ ธรรมะฝ่ายกุศล มีนัยอันวิจิตรพิสดาร
๑๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
๑๔. ธรรมะฝ่ายกุศล ของผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ธรรมะฝ่ายกุศล พระพุทธเจ้าเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นยามา ธรรมะฝ่ายกุศล ด้วยความศรัทธาต่อพระพรหม ด้วยพระบารมีอันยอดเยี่ยมของพระโพธิสัตว์ทั้งห้า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
๑๕. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นดุสิต
๑๖. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
๑๗. ธรรมฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้รู้แจ้ง สังขารขันธ์ รูปขันธ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ มิใช่เป็นตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตวสวัสดี
๑๘. ธรรมะฝ่ายกุศล ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นพรหมโลก ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งตราบเข้าสู่พระนิพพาน
๑๙. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยการสวดมนต์พระคาถานี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
๒๐. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
๒๑. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
๒๒. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
๒๓. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
๒๔. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
๒๕. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
๒๖. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
๒๗. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยคำสอนของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยพระธรรมคำสั่งสอน ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง
๒๘. (บทอธิษฐานให้ประจักษ์ผล) ความทุกข์ทั้งปวง ภัยทั้งปวง โรคร้ายทั้งปวง จงพินาศไปทั้งสิ้นเถิด ๚
-----------------
#หลวงปู่เทพโลกอุดร.
#บทอธิษฐานขอขมา_อโหสิกรรม_ฉบับหลวงปู่เทพโลกอุดร.
บทนำ ; ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย กาลบัดนี้หลวงปู่ใหญ่จักมอบคำอธิษฐานขอขมา-อโหสิกรรมแก่ลูกหลานทุกคน ด้วยล่วงรู้ว่าลูกหลานหลวงปู่ใหญ่หลายคนทุกข์กายทุกข์ใจอันเนื่องมาจากกรรมเก่า และเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวง ทั้งที่ปรากฎตัวตนแลไม่ปรากฏ ก็ตาม. แลถึงแม้มิได้ปรากฏตัวตน แต่สภาพทุกข์บาปกรรมที่ลูกหลานต้องเผชิญอยู่นั่นเอง คือสภาพแห่งเจ้ากรรมนายเวร.. ขอลูกหลานทั้งหลายจงรับเอาคำอธิษฐานนี้ไปพิจารณาศึกษาใช้หลังจากสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนา หรือ หลังจากทำบุญให้ทานแล้ว จะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมบ่วงเวร.. จำเริญ จำเริญ ยิ่งขึ้นไป นะลูกหลานเอ๊ย ๚
(บทอธิษฐานนี้ จะอยู่ใน #หนังสือสวดมนต์เจริญพระคาถาสายหลวงปู่ใหญ่ ที่กำลังรวบรวมปัจจัยเพื่อจัดพิมพ์ ขอให้ลูกหลานจงมาร่วมบริจาคทำบุญกับหลวงปู่ใหญ่เพื่อพิมพ์หนังสือนี้ให้แพร่หลายเป็นมหามงคลสืบพระพุทธศาสนาของเราต่อไปนะลูกนะ ลูกหลานจะได้รับอานิสงส์ยิ่งใหญ่มหาศาลประมาณมิได้ .. โปรดระมัดระวังผู้แอบอ้าง ขอให้ลูกหลานส่งข้อความว่าจะทำบุญมาที่เพจหลวงปู่เทพโลกอุดร. นี้ เท่านั้น นะลูกนะ)
----------------------------
บทอธิษฐานขอขมา-อโหสิกรรม
ฉบับ หลวงปู่เทพโลกอุดร.
ว่านะโม 3 จบ
โย โลกุตตโร อรหัง อภิญญาธโร
อัปปะมาโณ พุทโธ,ธัมโม,สังโฆ
ปะมาณะสัตตานิ สัพเพ ภัทรานิ
ปัสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะมาฯ
กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง อะสัญจิจจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม.
กรรมอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำล่วงเกินต่อสัตว์ใดไว้ นับแต่ภพชาติใดก็ตาม ตราบถึงปัจจุบันชาตินี้ โดยตั้งใจก็ตาม มิได้ตั้งใจก็ตาม ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ขอสัตว์ทั้งหลายจงยกโทษให้เป็นอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า เพื่อเปิดทางให้ข้าพเจ้าได้ดำรงชีวิตอยู่ ประกอบการอันเป็นบุญกุศล อุทิศบุญแก่สัตว์ทั้งหลาย และเพื่อเป็นไปตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ คือ เวรทั้งหลายย่อมระงับดับสูญได้ ด้วยการไม่จองเวรจองกรรมต่อกันและกันอีกต่อไป
แม้กรรมอันใดที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำล่วงเกินต่อข้าพเจ้าทุกภพชาติ ตราบถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขอยกโทษให้ อโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายเป็นอภัยทาน เป็นบุญยิ่งใหญ่ ก่อเกิดอานิสงส์พิเศษ ดลบันดาลใจให้สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า มีเมตตาจิต คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า
ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า มารดาบิดาวงศาคณาญาติและผู้มีพระคุณของข้าพเจ้า จงพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ ขออาราธนาหลวงปู่ใหญ่ พระครูเทพโลกอุดร โปรดเป็นตัวกลาง ให้การอธิษฐานขออโหสิกรรมนี้จงสัมฤทธิผล และขออานุภาพบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของหลวงปู่ใหญ่ โปรดคุ้มครองรักษาข้าพเจ้าตลอดไป. ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนจักสำรวมระวังในความประพฤติทางใจ-วาจา-กาย ดำรงอยู่ในคุณธรรมความดีตลอดไป ขอความจำเริญสวัสดีมีชัย จงมีแด่ข้าพเจ้าตลอดกาลนาน ตราบถึงพระนิพพานะปัจจะโย โหตุ เทอญ ๚
----------------