ความลึกซึ้งของธรรม
เรื่อง ภพ ชาติ (การเกิด) ใน “อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท”
อธิบายตอบปัญหาคำว่า “ชาติ” ในปฏิจจสมุปบาท
.
“(ถาม) อยากเรียนถามท่านอาจารย์สักนิดหนึ่ง คือ มีผู้ทรงพระไตรปิฎกคนหนึ่งเขาถามว่า คำว่า “ชาติ” นี้ ที่ท่านอาจารย์ตีความว่า เป็นความเกิดขึ้นครั้งหนึ่งของความสำคัญมั่นหมายว่า “เรา” “ของเรา” เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เรียกว่า“ชาติ” เขาถามว่า ท่านอาจารย์ตีความเอาเอง หรือว่าข้อนี้จะถูกต้องหรือเปล่า? ขอให้ท่านช่วยขยายความ.
.
(พุทธทาสภิกขุ ตอบ) ทำไมจึงไม่ถามให้ชัดว่า อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าไหนเล่า? ผมจะได้บอกว่า มันมีอยู่ทุกหน้า และทุกบรรทัดเลย เหตุผลที่แสดงหรือหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างนี้นั้น ก็คือ “พระไตรปิฎก” นั่นแหละ! ถ้าเราอ่านเป็น เราจะพบว่า มันแสดงอยู่ทุกบรรทัด และทุกหน้า ทุกเล่ม คือแสดงถึงข้อที่ว่า “ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวทุกข์, ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่เป็นตัวทุกข์,
แล้วความเกิดดับ-เกิดดับ ก็มีมากถึงกับว่า เกิดดับแห่งจิตนั้น ขณะจิตหนึ่งก็มีเกิด, ขณะจิตหนึ่งก็มีตั้งอยู่, ขณะจิตหนึ่งก็ดับไป; อย่างนี้ก็เรียกว่า “เกิด” เหมือนกัน แปลว่า มันมีการเกิดอยู่อย่างถี่ยิบ
แต่เราไม่ได้เอาเกิดชนิดนี้ เอาเกิดชนิดที่“เป็นที่ตั้งของอุปทาน” ยึดมั่นว่า ตัวเรา ว่าของเรา ซึ่งเป็นความหมายที่ทำให้เกิดความทุกข์.
…. ต้องไปเข้าใจให้ดี เรื่อง“ปฏิจจสมุปบาท” ที่ในปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้ารอบหนึ่งจะมีคำว่า“ชาติ”อยู่ด้วยชาติหนึ่งเสมอ.
ถ้าเขาเข้าใจเรื่องนี้ เขาจะเห็นได้เองว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ มีได้ในหนึ่งรอบ ในขณะหนึ่งรอบ ในขณะหนึ่ง ในเรื่องหนึ่ง ในกรณีหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะวินาทีหนึ่งก็ได้ สองวินาทีก็ได้, ในรอบของปฏิจจสมุปบาทนั้น “ทุกข์ขึ้นมาวาบหนึ่ง” แล้วก็เรียกว่า..ต้องมี “ชาติหนึ่ง” อยู่ในนั้นเสมอไป ตามนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาท.
…. ฉะนั้น ขอให้ไปศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วจะพบว่า มันต้องเป็น“ชาติ”ชนิดนี้ แล้วปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นได้เสมอไป วันหนึ่งก็หลายๆรอบ.
…. แต่ถ้าตีความหมายปฏิจจสมุปบาท รอบหนึ่งรอบเดียวเท่านั้น; ตั้งต้นอยู่ชาติที่แล้ว - มาตรงกลางอยู่ชาติปัจจุบันนี้ - ตอนปลายอยู่ชาติข้างหน้าโน้น อย่างนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง; ผมถือว่า นั่นเป็นความเข้าใจแบบหนึ่ง ซึ่งผมถือสำหรับผมเองว่า ไม่ถูกต้องตามพุทธประสงค์ ที่จะเอาปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่งแบ่งเป็น ๓ ส่วน : ส่วนหนึ่งอยู่ชาติที่แล้วมา - ส่วนตรงกลางอยู่ชาตินี้ แล้วส่วนหนึ่งอยู่ชาติหน้า ชาติที่ยังจะไปข้างหน้า จะตายแล้วเข้าโลงไป อย่างนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง.
…. “ชาติ”อย่างที่กล่าวมานั้น เขาก็มีพูดกันมาก ก็เช่นเดียวกับที่ว่า กว่าจะนิพพานก็เข้าโลงแล้วเข้าโลงเล่า, เข้าโลงแล้วเข้าโลงเล่า ก็ยกไว้ให้เขาแบบหนึ่ง เราไม่เอาอย่างนั้น เราจะเอานิพพานให้ทันแก่เวลาในชาตินี้ ฉะนั้น เราจะต้องตีความหมายชนิดที่เรียกว่า“ปฏิบัติได้” คือเป็น apply หรือว่าเป็น practical นั่นแหละ จึงจะไม่เสียทีที่ว่า..ได้รับพระพุทธศาสนามาสำหรับบำบัดกำจัดความทุกข์.
…. เรื่องนี้ ก็เคยพูดมาแล้วหลายครั้งว่า คำแต่ละคำมีความหมายเป็นสอง คือ “อย่างธรรมดาสามัญ” กับ “อย่างลึกซึ้ง” ที่เรียกกันว่า “ปรมัตถ์” แต่ถ้าเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า “ทิฏฐธัมมิกโวหาร” พูดอย่างชาวบ้านพูด คำว่า “ชาติ” ก็คือ เกิดมาจากท้องแม่จนกว่าจะเข้าโลง:
แต่ถ้าพูดอย่าง “สัมปรายิกโวหาร” ที่ผู้รู้ธรรมะพูด คำว่าชาติหนึ่งก็หมายถึงเกิดขึ้นแห่ง “ตัวกู” ครั้งหนึ่ง ซึ่งจะปรับกันได้ เข้ากันได้ กับคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท
การเกิดมีขึ้นเมื่อ..ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น แล้วอวิชชาเข้ามาครอบงำ จะต้องมี“ชาติ”หนึ่งเสมอ เดี๋ยวตา เดี๋ยวหู เดี๋ยวจมูก ฯ วันหนึ่งจึงมีหลาย“ชาติ”
…. ถ้าผมจะว่าเอาเอง มันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ แล้วก็ยิ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส จึงถืออย่างนี้.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “จุดหมายปลายทางของคนคืออะไร” เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๑๘ จาก หนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “โมกขธรรมประยุกต์” พิมพ์ครั้งที่ ๒ หน้า ๑๖๙-๑๗๐
---------------------------------------
.
ความลึกซึ้งของธรรมเรื่อง ภพ ชาติ (การเกิด)
ใน “อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท”
.
…. “ เมื่อมีการสัมผัส“อารมณ์” (รูป เสียง กลิ่น รส ฯ)ด้วยอวิชชา มีเวทนามาจากอวิชชา มันก็อยาก(ตัณหา)ด้วยอวิชชา
ในความอยากด้วยอวิชชานั้น มีความรู้สึกอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นความรู้สึกแห่ง “ตัวกู” ถ้ามีอะไรเนื่องด้วยตัวกู มันก็เป็น “ของกู” มันจึงมีทั้ง “ตัวกู” มีทั้ง “ของกู” อยากเพื่อตัวกู อยากเพื่อของกู อะไรก็ตามมันมีตัวความรู้สึกซึ่งมีความหมายเป็น “ตัวกู” ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ หยกๆ นี้เรียกว่า “เกิด”.....
…. ทีนี้ ตัวเราเกิดเมื่อไหร่คิดดูซิ ตามกฏแห่ง “อิทัปปัจจยตา” ตัวเราชนิดที่สอง
“ชาติ”ชนิดที่สอง เกิดเมื่ออายตนะภายในสัมผัสอายตนะภายนอก แล้วเกิด“วิญญาณ”ขึ้น ทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ อายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ รวมกันแล้วเกิดผลอะไรขึ้นมา จิตก็ไปรับเอา
อย่างนี้จึงเรียกว่า “สัมผัส”(ผัสสะ)ที่แท้จริง ไม่ใช่กระทบกันระหว่างของข้างนอกเสียแล้ว สัมผัสนี้มันแท้จริงแล้ว เพราะว่ากระทบด้วยจิตใจแล้ว กระทบถึงใจด้วยใจแล้ว แล้วมันประกอบอยู่ด้วยอวิชชา แล้วมันก็เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน ในความรู้สึกนั้นจะมี “ตัวฉัน” มี “ตัวกู”
…. ที่มันเป็นอย่างนี้ ละเอียดอย่างนี้ ซับซ้อนอย่างนี้ เนื่องกันเป็นสายอย่างนี้ นี่คือความเป็น “อิทัปปัจจยตา”.....
…. ทีนี้ เราควรจะเข้าใจ “ตัวเรา” ชนิดหลังนี้ การเกิดชนิดหลังนี้กันให้ละเอียดขึ้นไปอีกสักหน่อยหนึ่ง คำว่า “ชาติ” นั่นเอง คำว่า ชา-ติ นี้ เกิดจากท้องแม่ก็ได้ เกิดจากกิเลสอวิชชานี้ก็ได้
ชนิดหลังนี้เกิดจากอวิชชา เกิดจากกิเลส เกิดจากนามธรรม เป็น “ตัวกู-ของกู” ในความรู้สึก ข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ใน “มหาตัณหาสังขยสูตร” อีกเหมือนกันว่า “ ยา เวทนาสุ นนฺทิ ” แปลว่า ความเพลินใดในเวทนาทั้งหลาย “ ตทุปาทานํ ” ความเพลินนั่นแหละ คือ อุปาทาน “ อุปาทาน ปจฺจยา ภโว ” เพราะอุปาทานแห่งความเพลินนั้นเป็นปัจจัย ภพ จึงเกิดขึ้น
…. ฟังดูสิ นันทิใดในเวทนาทั้งหลาย นั้นคือ “อุปาทาน” เมื่อใดเรามีเวทนา คือ ทุกขเวทนา สุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ชนิดใดชนิดหนึ่งก็ตาม เราก็มีความรู้สึกพอใจ เพลิดเพลินในเวทนานั้น โดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง
…. ถ้าว่ามันเป็นทุกขเวทนา มันก็ไปเพลินโกรธ เพลินเกลียดอยู่นั่นแหละ ถ้าเป็นสุขเวทนา มันก็ไปเพลินรักเพลินหลงใหลอยู่นั่นแหละ ก็เรียกว่า “นันทิ” ด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อเข้าไปเพลินในเวทนานั้น นั่นแหละคือตัว “อุปทาน” และอุปาทานนั่นแหละให้เกิด “ภพ” เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ภพ” เกิดที่นั่น เดี๋ยวนั้น เวลานั้น คือเมื่อจิตไปเพลิดเพลินในเวทนานั้น ไม่ใช่มีภพต่อเมื่อเข้าโลงแล้วจึงจะมีภพ ไม่ใช่, มันเกิดที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือเมื่อใดมีเวทนาแล้วมีความเพลินในเวทนานั้น ความเพลินนั้นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนี้
…. ทีนี้ “ ภวปจฺจยา ชาติ ” เพราะภพนั้นเป็นปัจจัย ชาติ-ความเกิดจึงมี นี่คือ ความเกิด-ชาติ ชนิดที่สอง คือเกิด “ตัวกู ของกู” เร่าๆอยู่ เป็นตัวกู เป็นของกู เต้นเร่าๆอยู่ นี้เรียกว่า “ชาติ”
…. ต้องมีชาติอย่างนี้เสียก่อน จึงจะมีความทุกข์ต่อไปได้ ถ้าชาติคือ “ตัวกู” นี้ไม่มีแล้ว ชรา มรณะ ก็ไม่มี มีไม่ได้ แม้จะมีก็ไม่มีความหมายอะไร ทั้งที่เราชรา หรือแก่ เจ็บไข้อยู่ทุกวัน มันก็ไม่มีความหมายอะไร จนกว่า “ชาติ” หรือว่า “ตัวกู ของกู” นี้จะเกิดขึ้นในใจเสียก่อน มันจึงจะไปกลัวความเจ็บ กลัวความไข้ กลัวความตาย แล้วก็มีปัญหาเรื่องความเจ็บ ความตาย ขึ้นมา
…. ช่วยจำไว้ให้ดีๆว่า ความทุกข์ที่เราเรียกว่า ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส อะไรต่างๆนาๆสารพัดอย่างนี้ มันไม่มีความหมาย จนกว่าว่า เมื่อไหร่มันเกิด “ชาติ” ชนิดที่เป็น “ตัวกู” นี้เสียก่อน คือ ตัวกูที่มาจากภพ มาจากอุปาทาน มาจากตัณหา มาจากเวทนา
…. เพราะฉะนั้น เมื่อใดมีเวทนาเพราะอวิชชา มีเวทนาด้วยอวิชชา ในอวิชชา เมื่อนั้นก็จะมีตัณหา มีอุปาทาน มีภพ แล้วก็มีชาติ ที่ตรงนั้นเอง พอมีชาติมีตัวกูแล้ว เดี๋ยวก็จะได้มีความทุกข์รอบด้าน นึกถึงสิ่งนั้นก็ทุกข์ นึกสิ่งนี้ก็ทุกข์ ได้มาก็ทุกข์ เสียไปก็ทุกข์ มันทุกข์ไปหมด ถ้ามันเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ชาติ” ชนิดนี้ขึ้นมา คือชาติชนิดที่สอง คือชาติทางนามธรรมอที่เกิดเป็น “ตัวกู ของกู” นี้
…. ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “กองทุกข์ทั้งมวล มีได้ด้วยอาการอย่างนี้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ "อิทัปปัจจยตา" ฉบับปฏิภาค เล่ม ๑ หน้า ๖๘-๘๘
---------------------------------
.
พุทธวจนะ : การบังเกิดในภพใหม่ ชาติใหม่
…. “ภิกษุทั้งหลาย บุคคลจงใจ กำหนดจดจ่อ ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์
เพื่อให้วิญญาณดำรงอยู่ เมื่ออารมณ์มีอยู่ วิญญาณก็มีที่อาศัย
เมื่อวิญญาณตั้งมั่นแล้ว เมื่อวิญญาณเจริญขึ้นแล้ว การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปจึงมี เมื่อการบังเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงมีต่อไป ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีได้อย่างนี้”
.
พระบาลีไตรปิฎก
สํ. นิ. ๑๖/๑๔๕/๗๘
หมายเหตุ : เป็นสำนวนแปลโดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) จากหนังสือ “พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย” หน้า ๑๘๑ ( พิมพ์ครั้งที่ ๓๗ พิมพ์แยกภาค จำนวน ๓ เล่ม )
----------------------------------------
.
ความเกิด-ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวล
ในกระแส “ปฏิจจสมุปบาท” จากพระไตรปิฎก
.
๑๐. อุปัสสุติสูตร
ว่าด้วยการแอบฟังธรรม
.
[๑๑๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระตำหนักอิฐในหมู่บ้านญาติกะ (บางแห่งใช้ว่า นาทิกะ บางแห่งใช้ นาติกะ) ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นอยู่ในที่สงัดได้ตรัสธรรมบรรยายนี้ว่า
“เพราะอาศัยจักขุและรูป จักขุวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงเกิด เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงเกิด เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงเกิด เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงเกิด เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิด ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้มีได้ด้วยประการฉะนี้ ฯลฯ
เพราะอาศัยชิวหาและรส ชิวหาวิญญาณจึงเกิด ฯลฯ
เพราะอาศัยมโนและธรรมารมณ์ มโนวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงเกิด เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงเกิด เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงเกิด เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงเกิด เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิด ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้มีได้ด้วยประการฉะนี้
.
เพราะอาศัยจักขุและรูป จักขุวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงเกิด
เพราะตัณหานั้นแลดับไม่เหลือด้วยวิราคะ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้มีได้ด้วย ประการฉะนี้ ฯลฯ
เพราะอาศัยชิวหาและรส ชิวหาวิญญาณจึงเกิด ฯลฯ เพราะอาศัยมโนและธรรมารมณ์ มโนวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงเกิด
เพราะตัณหานั้นแลดับไม่เหลือด้วยวิราคะ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้มีได้ด้วยประการฉะนี้”
สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งยืนแอบฟังพระผู้มีพระภาคอยู่ พระผู้มีพระภาคได้ ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นผู้ยืนแอบฟังอยู่ ได้ตรัสถามภิกษุนั้นดังนี้ว่า “ภิกษุ เธอได้ฟังธรรมบรรยายนี้หรือไม่”
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า “ได้ฟัง พระพุทธเจ้าข้า”
“ภิกษุ เธอจงศึกษาธรรมบรรยายนี้ เธอจงเล่าเรียนธรรมบรรยายนี้ เธอจงทรงจำธรรมบรรยายนี้ไว้เถิด เพราะว่าธรรมบรรยายนี้ ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์”
.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
๓.ตติยปัณณาสก์ ๑.โยคักเขมิวรรค ๑๐.อุปัสสุติสูตร
เล่มที่ ๑๘ ข้อที่ ๑๑๓ หน้า ๑๒๖-๑๒๗
พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(ปกสีฟ้า)
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม ##
อานิสงส์ของการรู้ชัด “ปฏิจจสมุปบาท”
.
“การปฏิบัติจนรู้ชัดใน“ปฏิจจสมุปบาท”นั้น ย่อมมีอานิสงส์พิเศษถึง ๘ ประการ คือ...
๑. ไม่แล่นไปสู่ปุพพันตทิฏฐิ (ว่าเคยมีตัว-ตนในอดีต)
๒. ไม่แล่นไปสู่อปรันตทิฏฐิ (ว่าจักมีตัว- ตนในอนาคต)
๓. ไม่มีความสงสัยในปัจจุบัน (เกี่ยวกับเรื่องมีหรือไม่มีตัวตน)
๔. ไม่มีการกล่าวตามคำแห่งศาสดาของตนดายไป (โดยที่ตนเองมิได้เข้าถึงความจริงข้อนั้นด้วยใจตน)
๕. ไม่มีทางจะกล่าวผิดไปจากที่พระศาสดากล่าว (แม้คำกล่าวประเด็นนั้นตนไม่เคยฟังมาจากพระศาสดาเลย)
๖. ไม่มีทางที่จะหมุนออกไปถือศาสดาอื่นได้ (เพราะจะไม่มองเห็นว่ามีศาสดาอื่นใดที่จะตรัสรู้จริงเท่าศาสดานี้)
๗. ไม่ตื่นตูมในมงคล ตื่นข่าวของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นว่ามีสาระอะไร (เพราะพ้นจากการถือมงคลตื่นข่าว ซึ่งล้วนแต่เป็น..สีลัพพตปรามาส)
๘. จะกล่าวอะไรออกไปก็กล่าวตามที่ตนรู้อยู่แก่ใจ รู้แจ้งชัดอยู่แก่ใจเอง (สามํ ญาตํ, สามํ ทิฏฺฐิ, สามํ วิทิตํ, เพราะความรู้ของเขาไม่มีทางที่จะผิดได้ในสิ่งทั้งปวงอีกต่อไป)”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : หนังสือ “อิทัปปัจจยตา” ฉบับปฏิภาค เล่ม ๑
------------------------------------
.
ผู้ที่เห็นธรรม คือเห็น "ปฏิจจสมุปบาท" นั่นแหละคือ ผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
.
…. “ เราจะต้องเห็นพระพุทธเจ้าให้ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ อย่างที่ตรัสว่า : “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา, ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม; ผู้ที่ไม่เห็นธรรม ไม่ได้ชื่อว่าเห็นเรา แม้แต่ผู้นั้นจะจับจีวรของเราอยู่”
…. แล้วยังมีตรัสไว้ในที่อื่นอีกว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท” เมื่อเอาพระพุทธภาษิตทั้งสองแห่งนี้มาต่อกันเข้า มันก็จะได้ความว่า “ผู้ที่เห็นธรรม คือเห็นปฏิจจสมุปบาท; นั่นแหละคือ ผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : หนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “พุทธจริยา”
------------------------------------
.
“ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท”
.
พระบาลีไตรปิฎก
ม. มู. ๑๒/๓๔๖/๓๕๙
------------------------------
.
เมื่อเห็นธรรม ชื่อว่าเห็นเรา
เมื่อไม่เห็นธรรม ชื่อว่าไม่เห็นเรา
.
…. “ ภิกษุทั้งหลาย แม้ถ้าภิกษุจับชายผ้าสังฆาฏิแล้วเดินตามรอยเท้าเรา ติดตามไปข้างหลัง แต่ภิกษุนั้นมีความละโมบ กำหนัดยินดีอย่างแรงกล้าในกาม มีจิตพยาบาท คิดประทุษร้าย หลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น กระสับกระส่าย ไม่สำรวมอินทรีย์ แท้จริงแล้ว ภิกษุนั้นก็ยังชื่อว่าอยู่ห่างไกลเรา เราก็ห่างไกลภิกษุนั้น นั่นเป็นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้นยังไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรมชื่อว่าไม่เห็นเรา
…. ภิกษุทั้งหลาย แม้ถ้าภิกษุอยู่ไกลเรา ถึง ๑๐๐ โยชน์ แต่ภิกษุนั้นไม่มีความละโมบ ไม่กำหนัดยินดีอย่างแรงกล้าในกาม มีจิตไม่พยาบาท ไม่คิดประทุษร้าย มีสติตั้งมั่น มีความรู้สึกตัว มีจิตตั้งมั่น แน่วแน่ สํารวมอินทรีย์ แท้จริงแล้วภิกษุนั้นก็ชื่อว่าอยู่ใกล้เรา เราก็อยู่ใกล้ภิกษุนั้น นั่นเป็นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรม ชื่อว่าเห็นเรา”
.
สังฆาฏิกัณณสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
ขุ. อิติ. ๒๕/๙๒/๔๖๕
.
หั ว ใ จ ของปฏิจจสมุปบาท
---------------
อ่านใจตัวเองให้ขาดก่อนนะว่า
ไอ้ที่ดูน่ะ เพื่อจะไปเอาอะไร หรือแค่รับรู้ตามธรรมชาติ
คือ มันเป็นธรรมชาติที่ต้องรู้กัน
ไม่ใช่เป็นธรรมชาติที่เราไปดู
อันนี้ชอบไปนั่งดู ไปพยายามดูมัน...ไม่ใช่ธรรมชาติ
มันเป็นธรรมชาติที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องไปรู้
ธรรมชาติสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องไปรู้
มันเป็นธรรมชาติ คือ เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกสิ่งหนึ่งก็จะไปรู้
มีรูปมาเกิดขึ้น มีตาไม่บอดมี "วิญญาณขันธ์" ก็ต้องไปรับรู้รูปทางตาเมื่อเหตุปัจจัยมันไม่เสียหาย มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นพร้อม
เพราะมีรูปปรากฏ ตาไม่บอดวิญญาณขันธ์ก็ย่อมไปทำงาน
คือการเห็นรูปนั้น โดยผ่านประตูตา
มีเสียงดังขึ้น อย่างเสียงหลวงตาพูดอย่างเนี้ย
หูไม่หนวกวิญญาณขันธ์ก็ต้องไปรับรู้เสียงตามปกติธรรมชาติของเขา เมื่อรับรู้แล้วเขาก็ดับไปทั้งคู่
ไม่ใช่ว่าผู้รู้คาอยู่นะ!
ธ ร ร ม ช า ติ ... แล้วก็ดับไปทั้งคู่
เพราะว่าวิญญาณขันธ์ ต้องไปเกิดรับรู้ทางประตูใหม่ต่อ ๆ ไป
เมื่อรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็จะต้องส่งต่อมาที่ประตูใจ มาปรุงแต่งที่ประตูใจเป็น "ธรรมารมณ์"
เกิดเวทนา สัญญา สังขาร ที่ประตูใจเป็นธรรมารมณ์
แล้ววิญญาณขันธ์ก็ไปรับรู้เวทนาสัญญาสังขารที่ประตูใจ
แล้วก็พอรับรู้แล้วก็ต้องส่งต่อเวทนาสัญญาสังขาร ....
เหตุปัจจัยมันหมุนวนแบบนี้เรื่อยไปไม่จบสิ้น!
จนกว่าธาตุจะแตกขันธ์จะดับ
เป็นธรรมชาติที่เขารับรู้ของเขาเองตามธรรมชาติ
เป็นธรรมชาติที่เขา "มีการรับรู้กันเอง" ตามธรรมชาติ
เพราะสิ่งหนึ่งเกิดอีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดมา
คือ เพราะสิ่งหนึ่งเกิด อีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดมารู้
และเมื่ออีกสิ่งดับไป อีกสิ่งที่มารู้นั้นก็ดับไป
นี่แน่ะ ***หัวใจของปฏิจจสมุปบาท*** ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
พอมีสิ่งหนึ่งเกิด อีกสิ่งหนึ่งก็เลยเกิด
พอมีรูปเกิดมา มันก็เลย "จักษุวิญญาณ" ก็เลยไปรับรู้รูปนั้น
แต่ต้องประกอบ คือ ตาไม่บอด
เพราะมีเสียงเกิดมามีเสียงดังขึ้นมา
หูไม่หนวก "โสตวิญญาณ" ก็ต้องเกิดมารับรู้เสียงนั้นแล้วก็ดับไป
ดับไปก็เพราะอะไร ...?
"เพราะเสียงดับไป" โสตวิญญาณก็เลยดับไป
เพราะรูปดับไป "จักษุวิญญาณ" ก็เลยดับไป
เพราะรูปเกิดขึ้นมาจักษุวิญญาณก็เลยเกิดมารับรู้รูปนั้น
และเพราะรูปนั้นดับไป จักษุวิญญาณก็เลยดับไป
พอเสียงเกิดขึ้นมา "โสตวิญญาณ" ก็เกิดขึ้นมารับรู้เสียงนั้น
พอเสียงนั้นดับไปโสตวิญญาณก็ดับไป แล้วเกิดเสียงอันใหม่ เกิดเสียงใหม่คือคำพูด แต่ละคำๆ แต่ละคำ
แล้วก็พูดขึ้นมาใหม่แต่ละคำแล้วก็เกิด "โสตวิญญาณ" ไปรับรู้เสียงใหม่แต่ละคำ และก็จะดับไปเป็นช่วง ๆ ที่ตัดตอนที่เสียงจบไป
ทางกลิ่นก็เหมือนกันพอมีกลิ่นเกิดขึ้นมา "ฆานะวิญญาณ" ก็ไปรับรู้กลิ่นทางจมูก เพราะมีกลิ่นเกิดฆานะวิญญาณจึงเกิด
พอกลิ่นดับฆานะวิญญาณก็ดับ
พอมีรสมากระทบลิ้น "รสาวิญญาณ" ก็เกิดขึ้นมารับรู้รสนั้น
พอรสนั้นดับไปรสาวิญญาณนั้นก็ดับไป
พอโผฐฐัพพะสิ่งมากระทบผิวกายเกิด "โผฐฐัพพะวิญญาณ"
ก็มารับรู้สิ่งที่มากระทบผิวกาย
เมื่อโผฐฐัพพะสิ่งมากระทบผิวกายดับไป
โผฐฐัพพะวิญญาณก็ดับไป
เมื่อมีธรรมารมณ์เกิดขึ้นมาในใจ คือ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นธรรมารมณ์ คือ อาการเกิดขึ้นมาในใจก็เกิด "มโนวิญญาณ" มารับรู้ธรรมารมณ์นั้น
เมื่อธรรมารมณ์ด้บไป มโนวิญญาณก็ดับไป
*** นี่หัวใจของพระพุทธศาสนา ***
คือ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
ไม่มีใครที่จะไปคอยดูมันถึงจะเห็นถึงจะรู้
เพราะมีสิ่งนี้เกิด ... "ความรู้" มันจึงเกิด
เพราะสิ่งที่ถูกรู้ดับความรู้มันจึงดับ
แล้วมันก็ไปรู้อันใหม่
พอมีไอ้รู้อันใหม่เกิด ความรู้อันใหม่เกิด
ความรู้ใหม่ดับ ผู้รู้อันใหม่ก็เลยดับไป
เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิดเพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ
ไม่ใช่เราพยายามไปดูไปรู้ไว้ให้มันเป็นอะไร
อ่านใจตัวเองให้ขาด ไอ้ที่เราพยายามไปดูไปรู้ไว้น่ะ
มันเป็น :: ธรรมชาติที่เขารู้กัน :: ไม่ใช่ว่าเราไปดูมันไว้
เราไปดูมันไว้น่ะมันต้องมีคาดหมายเอาไว้ว่าจะเอาอะไร
อ่านใจเราเองไม่ขาดต่างหาก
ว่าเราไปดูมันไว้เพราะเราคาดหมายจะเอาอะไร
ต้องอ่านใจตัวเองให้ขาด แล้วตอบให้ตรงใจตัวเอง
ว่าเราเนี่ย ที่เราไปดูใจตัวเองเอาไว้ นั่งเพ่งเอาไว้
ดูให้รู้เห็นเอาไว้เนี่ย จะไปเอาอะไร
...........................
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย