เวลาฝึก สังเกตว่าจะพยายามเริ่มจากศูนย์ ก็คือการทำความรู้สึกตัว
เริ่มจากไล่ทีละส่วน ไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้สึกได้ทั้งตัว เรียกว่า... สติเต็มฐาน
ใหม่ๆ มันยังทำไม่ได้หรอก มันจะรู้สึกเป็นส่วนๆ
บางคนก็รู้สึกที่การหายใจบ้าง
ที่การกระเพื่อม ที่ หน้าอกหน้าท้องบ้าง
ที่มือบ้าง ที่เท้าบ้าง ที่การเคลื่อนบ้าง
แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ สติมีกำลัง
การรับรู้มันก็จะกว้างขึ้นๆ เรื่อยๆ
จนสามารถรู้สึกได้ทั้งตัวเลย
....ก็รู้สึกทั้งตัวไปเรื่อยๆ สบายๆ
ถ้าสามารถพัฒนาสติจนเต็มฐาน คือ รู้สึกได้ทั้งตัว
มันจะเป็นไปด้วยการหลุดออก คลายออก
จากอารมณ์ต่างๆ น้อมไปเพื่อการปล่อยวางโดยธรรมชาติเลย
จะไม่มีคำว่า ไปยึดกาย หรือ ไปยึดจิตเลย
คือ จะรู้สึกได้ทั้งตัวไปเรื่อยๆ สบายๆเลย
....อารมณ์ต่างๆ ก็หลุดออกไป
พอละเอียด มันก็จะหลุดจากฐานของกาย
เข้าสู่ฐานของเวทนา
....เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
พอละเอียดขึ้นไปอีก
มันจะหลุดจากฐานของเวทนา
เข้าสู่ฐานของจิต เกิดความตั้งมั่น ตื่นรู้อยู่ภายใน
" สัมมาสมาธิ " ไม่ใช่อาการที่โฟกัส จดจ่อ
มันเกิดความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
สภาวะ ก็จะเกิดการหลุดออก
คลายออกจากอารมณ์ต่างๆ
ก็คือ การปล่อยวางอารมณ์นั่นเอง
เพียงแค่เราทำความรู้สึกตัว
จนสามารถรู้สึกตัวได้อยู่เนืองๆ
มันจะเกิดการปล่อยวางโดยธรรมชาติเลย
จากการหลุดจากอารมณ์หยาบๆ
เรื่องของ นิวรณ์ต่างๆ แล้วเข้าสู่สัมมาสมาธิ
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
....เกิดปีติ เกิดความซาบซ่าน ทั่วกายขึ้นมา
พอฝึกไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งปิติ ก็หลุดออกไป
เข้าสู่ความโปร่ง โล่งเบาสบาย
ทั่วทั้งตัว กายเบาจิตเบา
พอฝึกไปเรื่อยๆ แม้กระทั่ง สุขก็หลุดออกไป
....เข้าสู่ อุเบกขา มีความสงบ ตั้งมั่น
มีความตื่นรู้ อยู่ภายใน
ฐานของจิตก็จะมีความตั้งมั่น ตื่นรู้อยู่
ซึ่งพอเราฝึกไปเรื่อยๆ ซึ่งสติมีกำลัง
....ก็จะสามารถยกจิต ขึ้นสู่วิปัสสนาญาณได้
บางที พระพุทธองค์ ก็ทรงเรียกว่า
" เปลื้องจิต หรือ การทำจิตให้ปล่อย "
แม้กระทั่ง จิต ก็สามารถปล่อยจิตได้
ด้วยการเกิดสภาวะ รู้ ตื่นแล้วก็เบิกบาน
การรับรู้มันก็จะกว้างขึ้นๆ เรื่อยๆ
ถ้าเรานึกถึง สัญลักษณ์ ในทางพระพุทธศาสนา
เราจะนึกถึงอะไร?
คำว่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ก็จะนึกถึง ดอกบัว ใช่ไหม
จากเป็นเมล็ดพันธุ์ อยู่ใต้โคลนตมค่อยๆเพาะบ่ม ค่อยๆ เติบโตขึ้น ค่อยๆ ผุดขึ้นมา อยู่ใต้น้ำ
เมื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพาะบ่มไปเรื่อยๆ
ก็ค่อยๆ เติบโต จนแทงขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
กลายเป็น ดอกบัวตูมขึ้นมา
....นั่นแหล่ะ สภาวะรู้ จิตมีกำลัง
และเมื่อโตเต็มที่ ดอกบัวก็บานออก
รู้....ตื่น...เบิกบาน....
การเพาะบ่ม กำลังสติก็เช่นกัน
พอฝึก เจริญสติเนืองๆ ทำให้มาก เจริญให้มาก
จนเกิดความตื่นรู้ ขึ้นมา
เมื่อสติ มีกำลังพอ ก็จะเกิดสภาวะ รู้ ตื่น แล้วก็ เบิกบาน ขึ้นมา
โดยเฉพาะ ช่วงที่พาฝึก
ถ้าท่านทั้งหลาย มีพื้นฐานที่ดี
" โดยเฉพาะฐานกาย "
ถ้ามีฐานกายที่ดี จนสามารถฝึก รู้สึกได้ทั้งตัว
ช่วงที่ถ่ายทอดธรรม ท่านทั้งหลาย ก็จะสามารถเข้าถึงสภาวธรรมที่ประณีต ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ
พอนำเข้าสู่ ฐานของจิต
จิตเกิดความตั้งมั่น ตื่นรู้ขึ้นมา
จนมีกำลังพอ เวลายกจิตขึ้นสู่ " วิปัสสนาญาณ "
การรับรู้มันจะกว้างออก เกิดสภาวะเบิกบานขึ้นมา
เมื่อเกิดสภาวะเบิกบาน
ธรรมทั้งหลาย ก็จะปรากฎตามความเป็นจริง
แม้กระทั่ง จิตก็ถูกเปลื้องออกไป
ปล่อยวางจิตได้
จึงเกิด การรู้เห็นตามความเป็นจริง
เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมา
เมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ
เห็นการแตกดับของรูปนาม ขันธ์ 5
จึงเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
จากสิ่งที่ยึด ที่หลงอยู่
....น้อมไป เพื่อการปล่อยวาง
จิตก็หลุดพ้น จากการยึดมั่นถือมั่น
สามารถที่จะ " สลัดคืน " สู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ ก็เป็นไปเพื่อการหลุดออก คลายออก สละ ละ วาง
ครั้งหนึ่ง ก็มีพราหมณ์ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า...
ที่พระองค์ ทรงประกาศ พระสัทธรรม
มีสักบทไหม ที่รวม ทั้งหมด ของพระพุทธศาสนาเลย
ท่านทั้งหลาย ว่า มีไหม?
ที่พระองค์แสดงธรรมไว้มาก มีไหม ที่บทเดียว รวมทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ ตรัสว่ามี ก็คือ
" ธรรมทั้งปวง ใครๆ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น
หรือ การปล่อยวาง นั่นเอง "
ความไม่ยึดมั่น ถือมั่น
พระองค์ตรัสว่า ผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง ธรรมบทนี้
ชื่อว่า ได้ฟังธรรมทั้งหมด ของพระพุทธศาสนา
แล้วผู้ที่ได้ฟังธรรมบทนี้ แล้วปฏิบัติตามธรรมบทนี้
ก็คือ การไม่ยึดมั่น ถือมั่น หรือ การปล่อยวาง
ชื่อว่า ได้ปฏิบัติตามธรรมทั้งหมด
ของพระพุทธศาสนา
เป็นทั้งหลักธรรม ปริยัติ
เป็นทั้งวิธีการ ปฏิบัติ
และ ผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบทนี้
คือ ความไม่ยึดมั่น ถือมั่น หรือ การปล่อยวาง
แล้วได้รับผล จากธรรมบทนี้
ชื่อว่า ได้รับผล ทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
เป็นทั้ง ปริยัติ หลักธรรม
เป็นทั้ง ปฏิบัติ วิธีการดำเนิน วิธีการปฏิบัติ
และเป็นทั้ง ปฏิเวธ ผลของการปฏิบัติ
ก็คือ ความไม่ยึดมั่น ถือมั่น
หรือ การปล่อยวางนั่นเอง
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติจะเป็นไปเพื่อการหลุดออก คลายออกจากอารมณ์ต่างๆ
ถ้าท่านทั้งหลาย เริ่มต้นที่ถูกต้อง
ก็คือ สัมมาสติ
รู้สึกกาย รู้สึกใจ จนรู้สึกทั้งตัวไปเรื่อยๆ
เมื่อสร้างเหตุถูก
ผลมันจะถูกต้องโดยธรรมชาติเลย
มันจะเป็นไปเพื่อการปล่อยวาง
เพื่อการหลุดออก คลายออก
เริ่มจากการปล่อยวางอารมณ์หยาบๆ
เข้าสู่สภาวะของสมาธิ
แล้วค่อยๆ ปล่อยวาง...ปลดปิติออก ....
ปลดสุขออก... ปลดอุเบกขาออก....
....สุดท้าย ก็เปลื้องจิตออก เกิดวิปัสสนาญาณ
จนสามารถถอดถอน ตัณหา อุปาทาน
หลุดจากการยึดมั่น ถือมั่น
หยั่งเข้าสู่ อมตธรรม
ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้
ซึ่งเนื้อของความบริสุทธิ์
ปราศจากการยึดมั่น ถือมั่น
ปราศจาก การปรุงแต่งทั้งปวง
....นั่นคือ ทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
ก็คือ ความไม่ยึดมั่น ถือมั่น
ถ้าเราฝึกถูก ผลมันถูกโดยธรรมชาติเลย
เราจะไม่มีปัญหา ว่าทำไมมันยึดกาย
ทำไมมันยึดจิต
มันจะเป็นไปเพื่อการสลัดออกโดยธรรมชาติ
ถ้าเราเริ่มต้นได้ถูกต้อง ก็คือ รู้ธรรมเฉพาะหน้า
รับรู้สภาวธรรมที่ปรากฏ ด้วยความเป็นกลาง
ด้วยความตั้งมั่น
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระวิปัสสนาจารย์ั
ซึ่งในบรรดาอานิสงส์ทั้งหมด พระพุทธองค์จึงจัดว่า
#ลำดับของวิปัสสนาญาณคืออานิสงส์ที่สูงที่สุด
เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ
อะไรที่มันมีลำดับ วิปัสสนาสูงสุด
มันคือการตื่นอย่างแท้จริง เห็นโลกตามความเป็นจริง
และทรงยกย่องเรื่องของการเห็นโลกตามความเป็นจริงไว้มาก.
.
แม้กระทั่งตัวองค์พระตถาคตเอง
พระองค์ก็ทรงยกย่องพระองค์เองว่า
สิ่งนี้เป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยม
แจ่มแจ้งแก่ตถาคต ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
.
ก็คือรูปเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
เวทนาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
สัญญาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
สังขารเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
วิญญาณเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
.
การรู้เห็นตามความเป็นจริง มันคือการตื่นอย่างแท้จริง
เหมือนเราอยู่ติดอยู่ในโลกเมทริกซ์
เวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
เราก็นึกว่าเราตื่นใช้ชีวิตไปวัน ๆ
แต่จริง ๆ มันยังเป็นชีวิตที่ยังไม่ได้ตื่น
อย่างแท้จริงมันยังหลับใหลอยู่ในวัฏสงสาร
.
การตื่นที่แท้จริงเริ่มต้นจาก…
#เกิดวิปัสสนาญาณ #ดวงตาเห็นธรรม
.
คำว่าดวงตาเห็นธรรม ไม่ได้หมายความว่า
ต้องหลุดพ้นเป็นสมุจเฉทปหาน
เป็นสภาวะธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้
เห็นโลกตามความเป็นจริง
.
และทรงยกย่องว่า ผู้ที่เห็นโลกตามความเป็นจริงอย่างนี้
แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง
ก็ประเสริฐกว่ามีอายุมา 100 ปี แต่ยังหลับใหล
.
ทำไมจึงทรงยกย่องสิ่งนี้ มันต้องเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งสิ ถูกไหม
เพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่เราอบรมวิปัสสนากรรมฐาน
แล้วเกิดการเห็นตามความเป็นจริง
การมองโลก มองทุกอย่างของเรา มันจะเปลี่ยนไป
.
ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
รูปแตกดับประดุจต่อมน้ำ มันเป็นอย่างไร
มองมันยังไง มันก็ไม่เป็นต่อมน้ำสักทีนะ มันก็เป็นเนื้อเป็นหนัง
ก็เรายังเห็นแบบสมมติอยู่ไง
.
แต่พอเราอยู่ในวิปัสสนาญาณ
รูปมันมีแต่สิ่งที่แตกดับ แบบต่อมน้ำเลย ยุบยับยุบยับ
ไม่ว่าญาณจะหยั่งลงในเนื้อเอ็น ในกระดูก
ในส่วนใดของกาย ส่วนใดของรูป
มันมีแต่สิ่งที่ยุบยับยุบยับยุบยับ
แตกดับ ประดุจต่อมน้ำทั้งหมด
เวทนาแตกดับประดุจฟองน้ำ
สัญญาแตกดับประดุจพยัพแดด
มันมีแต่สิ่งที่แตกดับของรูปนาม ขันธ์5
.
ลึกซึ้งไหม วิปัสสนาญาณ
มันไม่ใช่ว่า เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแค่นั้น มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก
ไม่งั้นถ้าเราแค่รู้สึกว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
เราพ้นทุกข์กันไปนานแล้ว ไม่ติดเง็กกันอยู่แบบนี้หรอก
มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก วิปัสสนาญาณจริง ๆ
........................
พระมหาวรพรต กิตติวโร
เเผ่เมตตาอย่างไร...
ถึงถ่ายทอดบุญได้?
.
.
#ต้องเริ่มจากการแผ่เมตตาตนเองก่อน
คือการฝึกสติปัฏฐาน
จนเข้าถึงปีติสุข
เข้าถึงความเบาสบาย
ชุ่มไปด้วยปีติ และสุข
มีความเบิกบานใจก่อน
ต้องแผ่เมตตาตนเองก่อนโยม
ใจตัวเองมันชุ่มฉ่ำ
คือเราต้องอิ่มก่อนนั่นแหละ
ถามว่า.. ถ้าเรายังหิวกระหายอยู่
เราจะแผ่ให้ใครได้?
มันก็แห้งแล้งแบบนั้น
เราต้องเมตตาตัวเอง ด้วยการฝึกสติปัฏฐาน
จนเกิดปีติสุข เกิดความซาบซ่าน
เกิดความเบาสบายขึ้นมา จนมันชุ่มใจ
จากนั้นจะเป็นคลื่นพลังงาน
ที่มันเอ่อล้นออกมา
แล้วตรงนี้แหละ คือ...
ตั้งแต่ปีติเป็นต้นไป สุข อุเบกขา
วิหารธรรมตรงนี้ถ่ายทอดกันได้ด้วย
เหมือนที่ใช้ในการนำเข้าสภาวะ
มันคือการถ่ายทอดตรงนี้
“ใจสู่ใจ” นำเข้าสภาวะ
มันเป็นหลักธรรมชาติเลย
สนามพลังมันสามารถถ่ายทอดถึงกันได้
เรื่องของพลังงาน
เพราะฉะนั้นพรหมวิหาร 4
พระผู้มีพระภาคเจ้า จัดไว้ในระดับของสมาธิ
#จิตต้องมีสมาธิก่อนแล้วแผ่ออกไป
#ตรงนี้แหละบุญถึงถ่ายทอดกันได้
พลังงานที่ดี ก็เหมือนเครื่องรับเครื่องส่ง
เราถ่ายออกไป เครื่องรับเขารับได้ปุ๊ป
เขาเปลี่ยนวิหารธรรมกันเลย
อย่างเช่น เรามีญาติ แล้วไม่รู้ว่า
ตายไปเศร้าหมองหรือเปล่า?
แต่ไม่ว่าเขาอยู่ภพภูมิไหนก็ตาม ถ้าเราปฏิบัติ
โดยเฉพาะเวลานำเข้าถึงความบริสุทธิ์
มันยิ่งเป็นโลกุตตระเลย
แผ่ชั้นความบริสุทธิ์ แล้วแผ่ออกไป
ถ้าเขาได้รับได้ วิหารธรรมเขาเปลี่ยนเลย
ภพภูมิเปลี่ยนได้เลย ถ้าไม่หนักมากนะ
ถ้าหนักมากก็อาจหลุดแค่ชั่วคราว
แต่มันจะมีตัววิบากที่ดึงอยู่
มันเปลี่ยนกันแบบนั้นเลยโยม
เพราะฉะนั้น เวลาจิตเรามีสมาธิ
มีความผ่องใส มีปีติ และสุข
มันก็จะแผ่เรื่องของความบริสุทธิ์ออกไปได้
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
12 พฤศจิกายน 2563
ฐานกาย... ก็รู้กายได้ทั้งกาย รู้สึกได้ทั้งตัว
อันนี้เป็นแบบฉบับของสมาธิที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเลย
ไม่ว่าเราจะเริ่มจากส่วนใดส่วนหนึ่งของกายก็ตาม
พอฝึกจนสติมีกำลัง การรับรู้จะกว้างขึ้นจนสติเต็มฐาน
นั่ง... ก็รู้สึกได้ทั้งตัว
ยืน... ก็รู้สึกได้ทั้งตัว
เดิน... ก็รู้สึกได้ทั้งตัวรู้สึก
แม้ขณะเคลื่อนไหว... ก็รู้สึกได้ทั้งตัว
แม้กระทั่งนอน... ก็รู้สึกได้ทั้งตัว
.
เรียกว่าเป็น... สมาธิที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ
สติ ก็คือการระลึกรู้
สัมปชัญญะ ก็คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
อันนี้เป็นหลักชี้วัดเลย เพราะว่าถ้าเราเริ่มต้นได้ถูก ผลมันก็ถูกต้อง
เพราะว่าสมาธิ มันมีทั้งสิ่งที่เรียกว่า
“มิจฉาสมาธิ” กับ “สัมมาสมาธิ”
มิจฉาสมาธิ คือสมาธิที่ขาดสัมปชัญญะ ขาดความรู้สึกตัว
ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสมาธิที่เพ่ง จดจ่อโฟกัส
แนบแน่นไปกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีนิมิตเป็นอารมณ์
#การฝึกที่มีภาพ มีนิมิตต่างๆ เป็นเรื่องของมิจฉาสมาธิทั้งหมดเลย
แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ก็คือสมาธิในพระพุทธศาสนา
-จะไม่มีนิมิตเป็นอารมณ์
-จะมีแต่สภาวธรรมที่เกิดขึ้น
-รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
-เป็นสมาธิที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ
-มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
ถ้าเราเข้าใจหลักพื้นฐานตรงนี้ที่ถูกต้อง
ผลมันจะถูกต้องโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่เข้าใจหลักที่ถูกต้อง
การปฏิบัติของเรามันก็หลุดออกนอกเส้นทางได้ง่าย
แล้วการปฏิบัติที่หลุดออกนอกเส้นทาง บางทีมันไปไกลเลย
เหมือนเราจะต้องขึ้นเหนือเชียงใหม่ แต่เราลงใต้ มันจะถึงไหม?
ขยันผิดทาง มันยิ่งไปกันนอกทาง อันนี้จะหลุดไปไกลมากเลย
เพราะฉะนั้น เราต้องรู้สิ่งที่เรียกว่า “สัมมาสติ”
คือการระลึกรู้ที่ถูกต้อง ก็คือรู้สึกกาย รู้สึกใจนี่แหละ
จนเกิดสัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
.
ธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
บางทีมันก็ปรุงคิดไม่ดีบ้าง
บางทีมันก็ปรุงข้ออรรถข้อธรรมบ้าง
อันนั้นมันคือการทำงานของจิตตสังขาร
...ความปรุงแต่งของจิต...
ก็ให้รู้เท่าทันว่า...
#เสียงพูดในใจมันก็เป็นจิตตสังขาร
มันเป็นเพียงความปรุงแต่งของจิตขึ้นมา
บางทีเราก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะคิดแบบนั้นหรอก
แต่ว่ารากเหง้าจริงๆมันมาจากวิบากกรรม
วิบากกรรมมันส่งให้สัญญาสังขารทำงาน
เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งก็คือเป็นวิบาก
ที่เราต้องเสวยนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ก็แค่ “รู้”เท่าทัน
“ละ” ความพอใจ ไม่พอใจ
เพราะว่าถ้าเรารู้ไม่เท่าทันปุ๊ป!
เราก็จะไหลไปกับสิ่งนั้น
ไปหลงว่าเราคิดไม่ดีแล้ว
หรือว่าหลงไปเพลินการคิด
ข้ออรรถข้อธรรมต่างๆ
แต่เมื่อรู้เท่าทันปุ๊บ! มันก็จะละออกไป
ความปรุงแต่งของจิตใจ
........................
ธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
ก็ฝึกซ้อมให้ชำนาญ ในฐานทั้งสี่
ฐานกาย รู้กาย
ฐานเวทนา รู้สึกตัวทั่วพร้อม
แล้วก็เข้าสู่ ภาวะจิตที่ตั้งมั่น
แล้วก็ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณได้
ฝึกซ้อมให้ชำนาญ
แล้วก็สะสมกำลังสติ จนมีจิตใจที่ตั้งมั่น
#อยู่กับความตั้งมั่น ที่มีความละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ
จนอุเบกขา ความสงบตั้งมั่นเต็มกำลัง
หลังจากวันพระนี้ไปไม่กี่วัน
หลังจากนั้น ก็จะพาตะลุยในระดับ #อรูปฌาน
ซึ่งถ้าฐานดี กำลังพร้อม
ก็จะได้สัมผัสระดับ อรูปได้ชัดเจน
ก็จะไม่ได้พาพรวดทีเดียวไป
สมาบัติทั้งแปดหรอก
จะพาเดิน ฌาน 1 2 3 4 แล้วก็สู่
ให้เรียนรู้ สภาวะระดับอากาสานัญจายตนะ
แล้วก็พลิกเป็นวิปัสสนา
ในระดับอากาสานัญจายตนะ
แล้วก็ค่อยๆลงเข้าสู่ #วิญญาณัญจายตนะ
#อากิญจัญญายตนะ แล้วก็
ในแต่ละระดับ
ก็จะพาพลิกในภาคของสมาธิ แล้วก็วิปัสสนา
ให้เรียนรู้ ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร
จนไปถึงระดับ #นิโรธสมาบัติ
แล้วก็อยู่กับ นิโรธสมาบัติได้
จนกำลังมีความละเอียดระดับสูงพอ
ก็จะสามารถเห็นสิ่งที่เรียกว่า #ปฐมเหตุ
ที่ทำให้อวิชชาก่อกำเนิดขึ้นมาได้
แล้วไม่รู้ว่า
จะมีใครไปถึงระดับขั้นนั้นหรือเปล่า
....แต่ก็จะพาฝึก
เหตุที่ทำให้อวิชชา หรือ สรรพสิ่งก่อกำเนิดขึ้นมา
จากนั้นก็จะ เริ่มพาการพิจารณา
#ปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลม แล้วก็ ปฏิโลม
ถอยเข้า ถอยออก
ตั้งแต่การเห็นเมฆหมอก แห่งอวิชชา เป็นอย่างไร
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า...
#ประดุจเมฆหมอกเข้าบดบัง เป็นอย่างไร
แล้วก็เกิดวังวนของสังขาร เป็นอย่างไร
เกิดวิญญาณขันธ์ เกิดรูป เกิดนาม
เกิด #สฬายตนะ เกิดผัสสะ เป็นอย่างไร
โดยอนุโลม แล้วก็ปฏิโลม ถอยเข้า ถอยออก
อย่างตอน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้
#อนุตตรสัมโพธิญาณ รู้แจ้งอริยสัจสี่
จากนั้นพระพุทธองค์
ก็ทรงเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 สัปดาห์
สัปดาห์ที่ 1 พระองค์ก็ทรงเสวยวิมุตติสุข
แล้วก็พิจารณา #ปฏิจจสมุปบาท ตรงนี้แหละ
เห็น ปฏิจจสมุปบาท ตลอดสายเลย
อวิชชา เข้ามาบังได้ยังไงนะ
สังขาร การปรุงแต่ง มันเป็นยังไง
มันเกิด วิญญาณขันธ์ ได้อย่างไร
แล้วเกิด รูปนาม ได้อย่างไร
เกิด สฬายตนะ อายาตนะ ทั้ง 6 ได้อย่างไร
เกิด ผัสสะ ได้อย่างไร
เกิด เวทนา เกิด ตัณหา อุปาทาน ได้อย่างไร
โดย อนุโลม แล้วก็ ปฏิโลม
เมื่อ อวิชชาดับ สังขารจึงดับ
เมื่อสังขารดับ วิญญาณขันธ์จึงดับ เป็นอย่างไร
ถอยเข้า ถอยออก
จะพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ตลอดสายได้
ต้องเข้า นิโรธสมาบัติก่อน
แล้วก็อยู่ นิโรธสมาบัติ จนมีกำลังสูงมาก
ถ้าฝึกกันเองก็
ชาตินี้จะทำกันได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
....แต่จะพาฝึก
ถ้าพาฝึก ใช้กำลังคุมจะมีตัวบูซเยอะ
ก็ลองดูว่าจะได้เรียนรู้กันระดับไหน
ค่อยๆ เรียนรู้
แต่ว่า เราต้องมีฐานแน่น กำลังเราดีพอ
ถึงจะรองรับการถ่ายทอดไต่ระดับได้
เพราะฉะนั้น การฝึกมันจะเหมือนเป็น ปิรามิด
เบื้องต้น คือ ฐานกาย กว้าง ก็พอทำกันได้ ใช่ไหม
ในบรรดาคนที่ทำฐานกายได้ดี
ก็จะมีคนที่เข้าสู่ฐานเวทนาได้ดี
ในบรรดาคนที่ฐานเวทนาได้ดี
ก็จะมีเริ่มเข้าสู่ฐานจิตตั้งมั่นได้ดี
ในบรรดาเข้าสู่ จิตตั้งมั่นได้ดี
ก็จะเริ่มมีเข้าสู่ วิปัสสนาญาณ
แล้วก็สลัดคืนเข้าสู่ความบริสุทธิ์ได้ดี
เพราะฉะนั้น มันเป็นยอดปิรามิด
อย่างน้อย ฐานกายไว้ก่อน ยืนพื้นนะ
ถ้าฐานกายไม่ได้ ก็ไม่ต้องคุยกัน
มันก็จะเป็นปิระมิดไป
มันไม่ได้ทุกคนอยู่แล้ว แต่ว่าเราก็ได้ฝึก
ได้เรียนรู้ ตามกำลังที่เราได้มีโอกาสรองรับ
การถ่ายทอดในทางพระพุทธศาสนา
ก็จะมีอะไรให้พาฝึก เรียนรู้ไปเรื่อยๆตลอดพรรษา
จะได้มีความแตกฉาน ในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
มันต้องประจักษ์แจ้ง ต่อตา ต่อใจ ด้วยตนเอง
จึงเกิดการ #รู้แจ้ง
เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่ได้เรียนในตำรับตำรา
ตำรับตำรา เป็นเหมือนแผนที่เป็นหลัก
แต่เราต้องนำมา #ลงมือปฎิบัติ แล้วเกิดการรู้แจ้ง
เกิดสภาวธรรมในแต่ละระดับ
เราถึงจะเข้าถึง แล้วก็เข้าใจธรรมะนั้นได้
ก็ค่อยๆ ฝึกปฏิบัติไป
คำถามเก่าค้างเยอะเลย แต่มันก็เนิ่นมานานแล้ว
ก็ถือว่า ตัดยอดของเก่าออก
พรุ่งนี้ก็จะเปิดโอกาสให้ถามใหม่ได้
ใครต้องการซักถาม ญาติโยมทางบ้าน
ก็ถามคำถามทิ้งไว้ได้
พรุ่งนี้ ฝึกจบ ก็จะทะยอยตอบ
วันนี้ก็พอสมควร แก่เวลา
ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ขอความผาสุก ความเจริญในธรรม
จงมีแก่ทุกท่านเทอญ ฯ
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร