คัมภีร์กรรมฐาน ๑
หลังชีวิตที่โยมจะตายไปนี้ มีแต่บุญเท่านั้นที่จะรองรับ คอยหนุน คอยส่งคอยเสริม เหมือนเสบียงเหมือนอาหารเมื่อยามเราหิว แม้แต่ในขณะปัจจุบันแห่งภพนี้ กรรมในอดีตที่เป็นกรรมชั่วที่เราทำไว้ แต่เมื่อเราทำกรรมดีไว้นี่แล มันจะช่วยไปค้ำจุนผดุงกรรมในกรรมในอดีตไว้ได้ ไม่ให้มันลุกลามบานปลาย แม้จะหนักมันก็เป็นเบาได้ บุญทั้งนั้นที่โยมได้เจริญอยู่ ที่เค้าตามให้ผลอยู่..บุญทั้งนั้น
อย่าได้ไปเรียกร้องเทพเทวดาฟ้าดินว่าเค้าไม่ช่วยเรา แต่ถามว่าโยมสร้างบุญสร้างกุศลอะไรบ้าง ช่วยเหลือตัวเองบ้างหรือยัง หรือกินแต่บุญเก่า คนที่มีโอกาสได้มาเจริญภาวนาสวดมนต์ ได้มาอบรมบ่มจิต ได้มาอยู่วิเวกสัปปายะสันโดษ โดยที่ไม่มีภาระ นี่เค้าเรียกว่าใกล้หมดเวรหมดกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรียกว่าต้องมีบุญอย่างมาก เพราะถ้าไม่อย่างนั้นโยมจะภาวนาอยู่ เดี๋ยวลูกเมียลูกผัวก็รบกวน ใช่มั้ยจ๊ะ
แต่เปล่า..ตรงกันข้ามคนที่มาบวชมาภาวนาไม่เห็นความสำคัญอย่างนั้น นั้นขอให้จำเอาไว้ โยมต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ ใจตนเองนี้แลถ้าเราเอาชนะไม่ได้ อย่าได้ไปดับพวกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่มันจะมาผัสสะกระทบ..โยมดับมันไม่ได้ เพราะใจเรายังมีเหตุ ยังเร่าร้อนอยู่ ยังมีเชื้ออยู่
ถ้าดับใจได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเมื่อจะสัมผัสอะไรมันก็ดับได้หมด..ถ้าดับใจได้ เพราะเหตุประธานแห่งกรรม เหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย..มันอยู่ที่ใจของโยม คือให้รู้เท่าทันจิตเท่าทันใจ ไอ้ตาที่มันจะมาผัสสะมากระทบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหล่านี้ ถ้าดับที่ใจได้แล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร..มันก็ดับได้
นั้น อย่าไปตามรู้ ถ้ายิ่งตามรู้ จิตยิ่งปรุงแต่ง แต่ให้กำหนดรู้ ตามรู้กับกำหนดรู้มันต่างกันแล้วทีนี้ กำหนดรู้คือตัวมีสติเฉพาะหน้าในขณะที่สิ่งที่ทำให้เรารู้ แล้วไอ้ที่เรารู้นั้นแลเราไปปรุงแต่งตัวรู้หรือไม่ แล้วที่รู้น่ะมันรู้มาอย่างไร ถ้ารู้นั้นมันเป็น..รู้ในด้านอกุศลหรือกุศล แล้วเราให้ความสำคัญให้ความพอใจให้ความเพลิดเพลินมันหรือไม่
ถ้าเรารู้แล้ว วางตัวรู้นั้นได้..นิโรธมันก็บังเกิด นั่นเรียกว่ากรรมก็ดับ ถ้าเราไม่ไปติดใจไม่ไปพอใจ ภพชาติก็ดับในตอนนั้น ฝึกแบบนี้..นี่เรียกว่าวิปัสสนา นี่เรียกว่ากรรมฐาน อย่าไปตามรู้แต่ให้กำหนดรู้ ตามรู้เป็นอย่างไร การตามรู้คือการส่งจิตออกไปภายนอก คือการปรุงแต่งของจิตของอารมณ์นั่นแลเรียกว่าตามรู้ ไม่มีทางที่จิตจะสงบได้เลย..
นั้นกรรมฐานเจริญวิปัสสนาเนี่ยะ..ตัวรู้ กับตัวสติในการกำหนดรู้เท่าทันจึงต่างกัน นั้นคนที่มีสติตั้งมั่นมีสมาธิเค้าจะกำหนดรู้ กำหนดรู้..รู้แล้ววาง ไอ้ตัววางนี่แลคือนิโรธ ถ้ามันวางไม่ได้นิโรธก็เกิดไม่ได้เช่นเดียวกัน เมื่อนิโรธเกิดไม่ได้มันดับอารมณ์นั้นไม่ได้..มันก็ค้างอยู่อย่างนั้น มันก็จะมีความลังเลสงสัย การจะไปพิจารณาธรรมวิปัสสนาเดินญาณมันก็เดินไม่ได้
นั้นเราต้องวาง อย่าไปยึดในทุกสรรพสิ่ง รู้แล้ววาง รู้แล้วถึง..ถึงรู้แล้วทิ้งรู้ให้ได้ เพราะตัวรู้ที่แท้จริงมันไม่ใช่เกิดจากตัวเราไปคิดปรุงแต่ง เพราะตัวปัญญาตัววิปัสสนาญาณต้องรู้ด้วยจิตของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องนึกคิด เพราะคำว่านึกยังเป็นสัญญาความจำมั่นหมายอยู่ ยังเป็นของโลกๆที่ยังไม่ข้ามสมมุติบัญญัติ คือสัญญาที่เราจำไว้ ยึดมั่นถือมั่นไว้ ไม่ว่าอดีตภพไหน
นั้นขอให้รู้..ผู้นักปฏิบัติทั้งหลายชอบหลงตรงนี้ หลงว่าตัวเองเห็นอย่างนั้นรู้อย่างนี้ นี่เค้าเรียกว่ายังรู้ไม่จริง เพราะยังไม่รู้เท่าทันในสังขารตัวเองแห่งความคิด ว่าไอ้ความคิดนั้นมันเป็นความคิด มันเป็นสัญญา มันเป็นความจำ..แยกกันไม่ได้ เมื่อแยกไม่ได้มันยังไม่เข้าถึงวิปัสสนาญาณ ยังไม่รู้เท่าทันความคิดตัวเอง นี่เรียกความหลง มันไม่ใช่วิชชา..มันเป็นอวิชชา
อย่างที่ฉันบอกถ้านั่งสมาธิแล้วยังมีความเคลิบเคลิ้มมีความง่วงอยู่ จิตยังไม่สว่างยังไม่ตื่นรู้ ไม่สามารถข้ามนิวรณ์ได้ โยมจะเอาอะไรมาคุยได้ว่าโยมเจริญกรรมฐานอยู่ เห็นนั่งสมาธิกันนั่งคำนับกันใหญ่เลย คำนับ ๑ คำนับ ๒ คำนับ ๓ พวกนี้หลงศาลมา ชอบคำนับ เพราะคนที่เข้าสมาธิได้จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นน่ะกายมันก็จะตั้งมั่นไปในตัว จำไว้นะจ๊ะ
เพราะกายกับจิตนี่..เมื่อจิตมันตั้งมั่นแล้ว กายมันก็ต้องตั่งมั่น อ้าว..ไม่งั้นจะเรียกว่ากาย วาจา ใจนี่มันต้องสงบ ถ้ามันยังคำนับ ๑ คำนับ ๒ อยู่เนี่ยะมันไม่ได้ตั้งมั่น สติมันยังระลึกไม่เท่าทันเลย เพราะถ้าตั้งมั่นมันต้องรู้ว่าตอนนี้มันคำนับอยู่แล้ว คำนับ ๒ คำนับ ๓ แล้ว..
เค้าถึงบอกว่าการดูลมหายใจ สมถะดูลมนี่เค้าเรียกดูกาย แสดงว่ายังมีสติอยู่ในกาย อันดับแรกเราต้องภาวนาจิตดูลม ดูกายในกาย ดูจิตในจิตให้ได้ก่อน นี่คือวิตกวิจารคือปฐมฌานขั้นตน ทำตัวนี้ให้มันคุ้นเคยเหมือนเราเขียน ก.ไก่ ไม่ว่าโยมจะเดินเจริญฌาน ๔ วิปัสสนาอะไรก็ตาม เราต้องวิตกวิจาร..เพราะอะไร
เพราะเราไม่ใช่นักบวช แม้นักบวชก็ยังทำไม่ได้ เพราะไม่สามารถทรงศีลได้ตลอดทั้งวี่ทั้งวัน จิตมีการแตกแขนงออกไปตลอดเวลาของอารมณ์ เพราะฉะนั้นเราต้องเกลี้ยกล่อมจิตก่อน อันดับแรกก็ต้องมีภาวนา คือการเรียกจิตเข้ามา ให้ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมมันประชุมธาตุกัน ให้จิตมันตั้งมั่นมีกำลัง เช่นว่าการภาวนา หรือกำหนดรู้วิตกของอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เอามาเป็นอารมณ์อย่างนี้..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
คัมภีร์กรรมฐาน ๒
คำว่าปฐมฌานคือชั้นต้นของมัน เราต้องมีการภาวนา เมื่อเราภาวนาสิ่งใดอยู่..อย่างอื่นเราต้องตัดออกไปเสียให้หมด อย่าได้สนใจว่าอาจารย์นั้นสอนมาอย่างนี้..ไม่ต้องสนใจ แต่เมื่อเราทำสมาธิภาวนาจิตไปภาวนาจิตไป เมื่อถึงจิตมันสงบนิ่งแล้ววิชชาทั้งหลายที่โยมฝึกมาจะได้ใช้ตอนนั้น
แต่ตอนขั้นต้นในปฐมฌานต้องทิ้งทุกตำรา เอามาใช้ไม่ได้ตอนนั้น จำไว้นะจ๊ะ เพราะเอามาใช้ได้อย่างไร เพราะจิตโยมยังไม่สงบ จิตไม่สงบโยมไปอ่านอะไรก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้ามันสงบแล้วจิตมันจะสอนของมันเอง เออ..เพราะจิตมันคือตัวรู้ ไอ้ตอนที่โยมยังไม่มีสติมันยังไม่รู้อยู่น่ะ..โยมจะสอนตัวมันเองได้อย่างไร เค้าต้องมีพื้นฐานก่อน
พื้นฐานจิต..ต้องมีอะไรก่อน จิตต้องสงบก่อน ต้องมีศีลก่อน ต้องมีทานก่อน ถึงจะรองรับภูมิธรรมภูมิปัญญา ไม่ใช่นั่งเริ่มสงบปั๊บยังไม่สงบดี ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ สวดมนต์สงบนิดๆหน่อยๆก็อยากจะนั่ง ตัวนี้เรียกว่าเป็นอุปกิเลสทั้งนั้น นั้นขอให้โยมมีทาน ศีล ภาวนาก่อน มีพื้นฐานก่อน นั้นจึงเรียกว่ากรรมฐาน เป็นฐานที่รองรับการงานของจิต ตรงนี้ต้องให้เข้าใจก่อน
มันจึงมีสมถกรรมฐาน..คืออะไรสมถกรรมฐาน คือการดูเอาความสงบเป็นอารมณ์นี่สมถกรรมฐาน เช่นภาวนาจึงเรียกว่าสมถะ แล้วก็วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นยังไง คือการหยิบยกอารมณ์แห่งกรรมฐาน คือการพิจารณาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งให้จิตเราได้เห็นความหดหู่ ความสลดสังเวชของกายก็ดี ของอารมณ์เหล่านั้นก็ดี ให้เห็นกฏแห่งไตรลักษณ์แห่งตัวทุกข์..ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาอย่างนี้ สลับกับสมถะ
เมื่อเราดูกาย..ดูกายสงบเราก็มาดูจิต จิตก็คือดูอารมณ์ ต้องรู้อารมณ์ของจิตของเรา..คือจริต บางคนมีราคะจริตมาก บางคนมีโทสะจริต มีโมหะจริตคือความหลง ความไม่รู้ คือต้องพิจารณาใช้ปัญญา ราคะจริตก็คืออะไร..มีความกำหนัดมาก แม้นั่งอยู่เมื่อหลับตาก็ดีก็มีความกำหนัดมีความอยาก บางคนมีความง่วงก็ดี นี่เค้าเรียกกำหนัดทั้งนั้น บางคนมีปฏิฆะพอใจในรูปในราคะนั้นอย่างนี้
เค้าก็จึงมีวิธีให้พิจารณาให้เห็นของตรงกันข้ามของอารมณ์นั้น คือเอามาแก้กัน อย่างนี้เรียกวิปัสสนากรรมฐาน สลับกับสมถกรรมฐาน คือภาวนาเข้าไปเป็นอารมณ์อยู่อย่างนี้ นั้นเราจะเห็นแต่จิตของเราอย่างเดียว เห็นแต่อารมณ์ของเราอย่างเดียว เห็นจิตเฉพาะหน้า จิตเราจะไม่ส่งออกไปข้างนอก ทำอยู่อย่างนี้จนสงบตั้งมั่นของมัน
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสติสมาธิมันเริ่มมีกำลังแล้ว เมื่อเราภาวนาไปมากๆสลับกับการพิจารณาละอารมณ์ไป ละอารมณ์ไป ละอารมณ์ไป จนถึงที่สุดอารมณ์มันดับ..นิโรธบังเกิดนั่นเอง เราภาวนาไปมันจะเกิดปิติ ปิติเกิดอย่างไร รู้สึกว่ามีความซาบซ่านมีความสุข แสดงว่าจิตเราเริ่มตื่นมีกำลัง
พอเรามีกำลังแล้วสามารถข้ามนิวรณ์ได้ แต่ก็ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เช่นข้ามความง่วงได้ ความสงสัยตอนนั้นไม่มี ราคะตอนนั้นก็ไม่มี เมื่อฌานบังเกิดสมาธิบังเกิดแล้ว จะให้มีอารมณ์ตอนนั้น..มันก็จะเฉยๆ เพราะมันจะเข้าไปในอุเบกขาฌานแล้วตอนนี้
เค้าจึงบอกว่าให้เราพิจารณาภาวนาไป เมื่อถึงขั้นของจิตแล้ว จิตที่เข้าถึงความสงบแล้ว จิตที่จะสงบได้จิตมันต้องว่างจากความคิดให้ได้เสียก่อน ว่างจากอดีต ว่างจากอนาคต รู้อยู่แต่เฉพาะหน้าของจิตในขณะนั้น เค้าเรียกว่าเอกัคคตา..จิตตั้งมั่น
เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว รู้ ได้ยิน สมาธิที่บอกว่าสงบ..ไม่ได้บอกว่าใครพูดอะไรแล้วไม่ได้ยิน..ได้ยิน แต่จิตไม่ยึดสิ่งที่ได้ยินมาเป็นอารมณ์ นั่นเค้าเรียกว่ามีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิพอได้ยินแล้วจิตมีความฟุ้งซ่าน นั่นเรียกว่าจิตเรานั้นไม่เท่าทันในสิ่งที่ได้ยิน จิตยังไม่ตั้งมั่น จิตยังไม่มีกำลัง
เพราะจิตที่วางอุเบกขาหรือจิตที่เป็นสมาธิแล้ว จิตจะไม่มีโมหะจริต ราคะจริต โทสะจริตเข้าไปเกี่ยวข้องในอารมณ์นั้น เค้าเรียกว่าสักแต่ได้ยิน สักแต่ได้รู้ แม้ความคิดก็สักแต่ว่าคิดอย่างนี้ เพราะมันอยู่ในอุเบกขาฌาน อุเบกขาแปลว่าวางเฉย ฌานคือการเพ่งของอารมณ์นั้น อย่างนี้ต้องทำอารมณ์นี้ให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เพื่ออะไร..ที่ต้องทำอารมณ์นี้ให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เพื่อให้จิตนั้นมันชินกับอารมณ์นี้
เมื่อจิตมันวางอยู่บ่อยๆ จิตมันว่างอยู่บ่อยๆในความสงบอยู่บ่อยๆ จิตมันจะดื่มด่ำอมตะรสแห่งธรรมไว้ แล้วเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วจิตมันจะสอนตัวมันเอง มันจะสลับกับการมาดูจิตแล้ววิตกอารมณ์ที่เกิดขึ้น พิจารณาธรรมของมัน ฉันจึงบอกว่าให้เรานั้นตรึกตรองพิจารณาในกายสังขาร คือสติปัฏฐาน ๔ น้อมจิตเข้าไปในสติปัฏฐาน ๔
บุคคลที่จะตัดละสังโยชน์ในกายก็ดี ในภพชาติก็ดี ในทางเดินแห่งมรรคก็ดี เมื่อจิตเรานั้นเข้าถึงอุเบกขาฌานแล้ว ในอุเบกขาฌานนี้ถ้าเราไม่น้อมจิตมาพิจารณาธรรมมันจะวางเฉยอยู่อย่างนั้น นั้นเอาความว่างเอาความสงบนั้นแลแห่งการวางเฉย การวางเฉยไม่ได้บอกว่าเราไม่ได้สนใจอะไร แต่การวางเฉยนั้นหมายถึงว่าเราวางจิตนั้น ไม่ส่งใจออกไปภายนอก จิตที่ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญใจแล้วเหมาะกับจิตที่เราจะไปอบรมบ่มจิต คือการพิจารณาธรรม
นั้นเราก็น้อมจิตเข้าไปในสติปัฏฐาน ๔ คือดูกายในกาย คือยังรู้ลมอยู่ในกาย แม้ลมนั้นจะละเอียดก็รู้ ปราณีตก็รู้ สัมผัสไม่ได้ก็รู้ นี่เค้าเรียกรู้กายในกาย เวทนาในเวทนาคืออะไร เมื่อรู้กายในกายแล้ว เราต้องรู้จิตว่าสภาวะจิตตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องรู้เวทนาในเวทนาของอารมณ์ของจิตที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่ในขณะนี้ มันสงบจริงมั้ย มันว่างจริงมั้ย อย่างนี้..เราจะสามารถดูจิตเราได้
จิตเป็นอย่างไรตอนนี้ จิตยังมีราคะอยู่มั้ย โทสะล่ะยังมีอยู่มั้ยดูซิ..นี่เค้าเรียกว่าการตรึกตรองพิจารณาในอิทธิบาท ๔ ของอารมณ์ ก็วิมังสาคือการพิจารณา เมื่อเราจดจ่อตรึกตรองของจิตแล้ว เราต้องพิจารณาอีก นี่เค้าเรียกวิปัสสนา เข้าไปใช้ญาณหยั่งรู้ในจิตเข้าไป ในขณะที่โยมพิจารณาในธรรมสภาวธรรมข้อนี้ ในสติปัฏฐาน ๔ นี้..นี่คืออยู่ในฌาน ๔ ทั้งนั้นนะ อยู่ในวิตก วิจาร ปิติ สุข เค้าเรียกว่าอยู่ในปิติและสุขอยู่ เพราะโยมถอยลงมาแล้วในอุเบกขาฌาน
นั้นบุคคลที่จะไปพิจารณาธรรมให้ละเอียดอย่างนี้ได้ แสดงว่าฌานของโยมนั้นตั้งมั่นแล้ว สมาธิโยมตั้งมั่นแล้ว ไม่งั้นจะเห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เห็นเวทนาในเวทนาไม่ได้ เมื่อโยมพิจารณาอย่างนี้โยมจะเห็นธรรมเกิดขึ้น ธรรมอะไรเกิดขึ้นบ้าง คือธรรมสังเวช ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล นี่เค้าเรียกว่าเจริญวิปัสสนาญาณ เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
คัมภีร์กรรมฐาน ๓
วิปัสสนากรรมฐานอาศัยสมถกรรมฐานนี่แลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง โยมจะเจริญวิปัสสนากรรมฐานไม่มีสมถะไปหล่อเลี้ยง..ไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นอะไร (ลูกศิษย์ : เป็นพื้นฐานค่ะ) มันเป็นอะไรพื้นฐาน..มันเป็นรูปฌาน รู้จักรูปฌานมั้ยจ๊ะ รูปฌานคือต้องอาศัยกายมั้ยจ๊ะ ที่จะต้องรู้สึกและพิจารณาธรรมได้ รู้จักรูปฌานมั้ยจ๊ะ ฌานที่มีรูป ฌานที่อาศัยรูป แสดงว่าต้องอาศัยสมถะมั้ยจ๊ะ
ถ้าอรูปฌานนี่..ไม่มีแล้วในรูป ไม่สามารถจับรูปได้พิจารณารูปได้ ดังนั้นแล้วถ้าอยู่ในฌาน คนที่จะเกิดปัญญามันต้องพิจารณาตรงนี้..สติปัฏฐาน ๔ ย่อมทำให้มนุษย์ทั้งหลายหรือพระอริยสงฆ์นั้นหลุดพ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นสมถะโยมต้องฝึกให้มันมาก เมื่อมากแล้วอาศัยสมถะนี้เจริญวิปัสสนา ถ้าไม่งั้นต้องเจริญไปคู่กันสลับกันไป เมื่อสลับจนถึงจิตที่โยมว่างแล้วคือจิตที่สงบ แล้วน้อมจิตเข้ามาพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ไอ้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่ โยมจะรื้อค้นภพชาติได้ จะระลึกชาติเห็นภพชาติที่เกิดก็เห็นตอนนี้ได้ เห็นตอนเราพิจารณานี่..สังสารวัฏนี่ ไอ้ภพชาตินี่ ภัยในวัฏฏะนี่ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในกายมันมีอะไร มันมีแก่นสารอะไรบ้าง มันฉาบโรยด้วยอะไรในเนื้อหนังมังสานี้ อาหารเก่า อาหารใหม่ ของหมักดองปฏิกูลทั้งหลายให้พิจารณาอย่างนี้
เอาให้ได้ในหัวใจของกรรมฐาน ให้ละจนถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดแล้วโยมจะเห็นจิต แม้นจิตก็ไม่ใช่จิตแล้วตอนนี้ จะเห็นตัวธรรมปรากฏขึ้นมา นี่คือหัวใจของกรรมฐาน ถ้าโยมปฏิบัติอย่างที่ฉันบอก นี่เค้าเรียกว่าได้อมตะรสของธรรม ถ้าได้แบบนี้ แล้วพิจารณาบ่อยๆ ชื่อว่าผู้นั้นไม่ห่างไกลพระนิพพานเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าโยมนั่งเจริญสมถะแต่ไม่สามารถข้ามนิวรณ์ได้..ยังไม่พ้น ตัดภพชาติไม่ได้ ยังห่างไกลพระนิพพาน เพราะโยมไม่รู้ว่าสมถะนั่งไปทำอะไร ฌานมีไว้ทำอะไร ญาณมันคืออะไร วิปัสสนากับวิปัสสนึกมันคืออะไร ๒ อย่างเท่านั้น สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน..นั้นต้องพิจารณาให้ได้
บางคนนบอกว่า โอ..ฉันก็เคยพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ เนี่ยะ จริงอยู่..แล้วโยมมีกำลังของสติในการไปพิจารณามากแค่ไหน ตรงนี้ก็สำคัญ ไอ้ตอนที่โยมไปพิจารณาน่ะมันเป็นกำลังของสมาธิอ่อนๆ พอกำลังสมาธิมันหายไปเนี่ยะ มันก็พิจารณาให้เห็นจริงไม่ได้ มันแค่นึกเอา มันไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาหยั่งลึกลงไป ให้เห็นชัดด้วยปัญญา เห็นจากนิมิตที่เห็นกับความจำที่เราเคยไปรู้ไปนึกเอา..นั่นจึงเรียกวิปัสสนึก
มันเป็นเพียงอุบายทำให้จิตเรานั้นละคลายอารมณ์นั้นออกไป แต่มันไม่ได้ถูกตัดด้วยปัญญาคือวิปัสสนาญาณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันจึงบอกว่าไอ้คนที่นั่งสมาธิอยู่ในฌานอยู่ในสมาธิน่ะ มีตัณหาเกิดขึ้นก็วางได้ ไม่ปรุงแต่งต่อ อ้าว..ก็ในขณะนั้นมันไม่ต่างอะไรกับหินทับหญ้า อยู่ในฌานน่ะ มีใครทำให้โกรธ หรือมีระลึกถึงความโกรธความไม่พอใจก็ยังวางเฉยได้อยู่ แล้วพอออกมาจากสมาธิล่ะ แล้วทำไมไอ้ตัณหาไม่หายไปล่ะ ความโกรธไม่หายไปล่ะ ความขี้น้อยใจไม่หายไป ทำไมมันยังอยู่ล่ะ..
นั่งสมาธิมานับแล้วหมื่นแสนพันชั่วโมง ทำไมมันยังอยู่ล่ะ ทำไมยังตามมาอยู่ล่ะ โยมเคยคิดบ้างมั้ยจ๊ะ ทำไมตัวอกุศลพวกนี้ยังไม่ตาย..เพราะอะไร ก็นั่งกรรมฐานมาตั้งมากแล้ว ตอนนั่งอยู่ไม่โกรธใคร ไม่อยากได้อยากดีอะไรนัก แต่พอออกจากสมาธิภาวนา อ้าว..อยากอีกแล้ว หิวอีกแล้ว คันปากอีกแล้ว คอยจับผิดอีกแล้ว เป็นเพราะอะไรจ๊ะ
เพราะเราไม่ได้เพ่งโทษหรือตัดละอารมณ์ในขันธ์ ๕ เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะเราไม่ได้เจริญวิปัสสนาญาณ มันจึงไม่เห็นด้วยปัญญาอย่างแท้จริง คือไม่รู้โทษรู้คุณของมัน ไอ้ตอนที่โยมนั่งสมาธิอยู่ในฌานในความสงบ..ความโกรธฉันก็ไม่โกรธ มีความสุข..สุขอยู่ในสมาธิ มีราคะก็อยู่ได้ แต่พอออกจากสมาธิ..ราคะตัณหาอะไรมาหมด นั่นเป็นเพราะว่าเรานั้นไม่ได้เจริญปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
บางคนติดอยู่ในสมาธิ ไม่สามารถถอดถอนสมาธิได้ บางคนติดอยู่ในองค์ภาวนา คำว่า"ติด"คืออะไรจ๊ะ ก็มันวางไม่ได้ไง มันยึดไง ทุกอย่างเค้าให้รู้..รู้แล้ววาง พอวางแล้วเดี๋ยวไอ้ตัวรู้จะเข้ามาใหม่ เข้ามาใหม่ เข้ามาใหม่ รู้จนไม่มีอะไรรู้นั่นแล ถ้ารู้อยู่แล้วยึดรู้..ยังไม่รู้จริง ยังไม่ใช่ของจริง ยังเป็นอวิชชาอยู่ ยังเป็นสังขารปรุงแต่ง ยังมีอุปาทานแห่งขันธ์อยู่
ถ้ารู้แล้ววางนั่นแหล่ะจ้ะ ไอ้ตัววาง..โยมจะเห็น ถ้าโยมไม่วางโยมจะไม่เห็นอะไร ต้องวางให้ได้..ก็คือการละนั่นเอง..ละอารมณ์ ถ้ายังมีอารมณ์อยู่นั่นคือสังขารยังปรุงแต่งทำงานอยู่ นิโรธจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย นั้นฉันจึงบอกว่าโยมนั่งภาวนาไม่ต้องไปสนใจว่าจะต้องสงบเมื่อไหร่ อย่าได้ไปกำหนดกฏเกณฑ์
นั่งสมาธิอย่ากำหนดกฏเกณฑ์ว่าจะสงบเมื่อไหร่..อย่าไปกำหนดมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ไม่ต้องสนใจ อย่าไปสนใจอะไร คือการวางเฉยไม่สนใจ การไม่สนใจคือการวางเฉย โยมต้องให้เวลากับเค้า การฝึกจิตเนี่ยะไปกำหนดไม่ได้เลย เพราะว่าเวลามันเป็นของสมมุติ แต่ธรรมเป็นของจริงที่จะหลุดพ้น มันอยู่เหนือสมมุติ โยมเอาของสมมุติไปกำหนดสิ่งที่เหนือโลก มันกำหนดกันไม่ได้ เพราะเวลาไม่เท่ากัน..
โยมนั่งสมาธิถ้าฌานโยมเกิดจริงๆ นั่งไปชั่วโมงหนึ่ง แต่โยมออกมาจากสมาธิของโยมผ่านไป ๕ ชั่วโมง เวลาไม่เท่ากัน เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะเวลาของสมมุติกับเวลาวิมุติต่างกัน นั้นการจะนั่งสมาธิให้ได้มรรคได้ผล..อย่าสนใจ คือให้เวลาเทพพรหมเค้าไปเลย อธิษฐานบุญกุศลไปเลย คือตัดกังวล อย่านัดหมายอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจใครจะเป็นใครจะตายน่ะ เราช่วยเค้าไม่ได้ ฟ้าถล่มดินทะลายอะไรไม่ต้องไปสนใจทั้งนั้น เอาชีวิตนั้นถวายไปเลย..
ถ้าโยมทำอย่างนั้นได้ มันจะได้มรรคได้ผลได้ความก้าวหน้า ถ้าทำอย่างกล้าๆกลัวๆ โยมจะไม่ได้อะไร ฉันจึงถามว่าโยมนั่งสมาธิ บางคนบอกว่าโห..ฉันก็นั่งมาเป็นสิบๆปีแล้ว อ้าว..ฉันก็ถามว่าแล้วละอะไรได้บ้าง นี่..ตัวชี้วัดมันอยู่ตรงนี้ ว่าโยมน่ะละอะไรไปบ้างแล้ว ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันเบาบางหรือเปล่า ถ้ามันยังหนาแน่นอยู่..ใช้ได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ครับ) โยมเข้าวัดไหนวัดนั้นก็วุ่นวายถ้าอย่างนั้น
นั้นขอให้เข้าใจว่าสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานแตกต่างกันอย่างไร แล้วเกื้อกูลกันอย่างไร แล้วก่อนที่เราจะเข้ากรรมฐานจะเจริญปัญญา เราต้องมีพื้นฐานรองรับมั้ยจ๊ะ ทาน ศีล ภาวนานั้นต้องรองรับก่อน ถึงจะเกิดภูมิธรรมภูมิปัญญา ถึงจะเกิดวิปัสสนา
ดังนั้นโยมต้องภาวนาสมถะให้มากๆ การที่โยมสวดมนต์เป็นชั่วโมงๆน่ะ..เป็นสมถะมั้ยจ๊ะ เป็นฌานมั้ยจ๊ะ เป็นสมาธิมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นครับ) ทั้งนั้น..คือการฝึกจิตทั้งนั้น โยมขอให้จำไว้นะ โยมสวดมนต์เป็นไม่รู้เท่าไหร่ จะภาวนาไม่รู้เท่าไหร่ โยมอย่าลืมว่าโยมเกิดตายเสวยกิเลสมาก็ไม่รู้เท่าไหร่เหมือนกัน
โยมอย่าคิดว่าฉันทำขนาดนี้แล้วทำไมกิเลสตัณหายังไม่ตาย มันจะตายได้อย่างไร..ก็โยมไม่ได้ฆ่ามัน โยมแค่พักรบกับมันเฉยๆ ใช่มั้ยจ๊ะ โยมยังไม่ได้ฆ่ามัน โยมยังไม่ได้ตัดมัน คือยังไม่ได้ตัดใจจากมัน ยังแค่บอกว่า เออ..วันนี้ฉันจะไปสวดมนต์ภาวนานะ แล้วฉันจะกลับมา ถ้าโยมไม่กลับไปสิจ๊ะ..ตัดได้ แต่นี่โยมยังกลับไปอยู่
เมื่อเรายังละไม่ได้ทั้งหมด แต่เราต้องฝึกไว้ ฝึกให้จิตมันเคย..มีต้นทุน ถ้าโยมไม่ได้กรรมฐานฌานวิถีนี้ ชีวิตภายภาคหน้าโยมจะลำบากกันทั้งนั้น โยมจะไปต่อยุคยุคไหนโยมไปได้ยากนัก แต่ถ้าโยมมีพื้นฐานมีต้นทุนน่ะ โยมจะไปต่อยุคได้ พอโยมมีต้นทุนแล้วโยมอธิษฐานได้
แล้วถ้าโยมไม่เร่งปฏิบัติในตอนที่โยมพอมีกำลัง พอแก่แล้วเรี่ยวแรงไม่มีแล้ว..ปฏิบัติไหวมั้ยจ๊ะ ขนาดที่โยมมีกำลังยังเกียจคร้านขนาดนี้ แล้วถ้าเราไม่ลดละอัตตาตัวตน มันจะมีมารยาสาไถยขนาดไหน..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒